ความเดิมตอนที่แล้ว…

ตอนที่ 1 โปรตุเกส ลิสบอน ซินทรา --> http://pantip.com/topic/32358282
ตอนที่ 2 โปรตุเกส โทมาร์ ปอร์โต้ ---> http://pantip.com/topic/32551998



สวัสดีครับ หลังจากรีวิวคราวก่อนผมจบไว้ที่ประเทศโปรตุเกส

วันนี้เรามาต่อกันที่ประเทศสเปนกันครับ

ซึ่งในทริปนี้จุดทเที่ยวส่วนมากของผมจะอยู่ที่สเปนนี่แหละครับ

ปล. แม้จำนวนวันจะน้อยกว่าที่ฝรั่งเศส แต่ที่ฝรั่งเศสจัดโปรแกรมพักผ่อนชิวๆครับ



ซึ่งที่สเปนหลังจากที่ผมได้มาแล้วถือว่าเป็นประเทศที่ผมชอบมากที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรปเลยครับ

ชอบมากกว่าฝรั่งเศสเสียอีกครับ เพราะที่เที่ยวแต่ละที่ล้วนสวยงามและคงความขลังของประวัติศาสตร์และอารยธรรมไว้อย่างมากๆๆๆๆ เลยครับ

สำหรับตอนแรกผมจะพาไปเมืองที่อยู่ใกล้ๆ มาดริด ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศสเปนครับ

นั่นก็คือเมืองโตเลโด และ เมืองเซโกเบีย ครับทั้งสองเมืองเป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานเลยครับ



เอาหล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้วไปรับชมพร้อมๆกันเลยคร้าบบบบ



ปล. หากเพื่อนคนใดเล่น Facebook สามารถพบ รีวิว ที่กิน เที่ยว พัก กับ Travel Planet by Vichie81 ได้ก่อนใครที่


https://www.facebook.com/Travel.Planet.By.Vichie81



ปล.2 หากเพื่อนๆเห็นว่ารีวิวนี้ดีมีประโยชน์หรือชื่นชอบก็ขอคนละ+ คนละ Like คนละ Share นะคร้าบบบบ ขอบคุณครับ



ปล.3 คนเม้นท์กระทู้นี้น่ารักทุกคน



ปล.4 รูปทุกรูปในกระทู้ เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของกระทู้ และ/หรือ เจ้าของกระทู้สิทธิ์ในการใช้แต่เพียงผู้เดียว

ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ ยกเว้นได้รับอนุญาตจากเจ้าของกระทู้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น



ปล.5 ขออนุญาต Tag ห้องกล้องเพราะทริปนี้เป็นทริปถ่ายรูปที่เน้นการเดินทางเพื่อถ่ายรูปโดยเฉพาะ

ซึ่งในแต่ละจุดผมได้ระบุพิกัด GPS เพื่อการไปตามถ่ายาพได้เลย เช่นเดียวกับกระทู้ ฮ่องกงก่อนหน้านี้ครับ

ทั้งนี้การเซตค่ากล้องเพื่อนๆสามารถดูได้จาก Exif ไฟล์ได้เลยครับ ผมไม่ได้ลบออกครับมุ่งหน้าสู่สเปน



เมื่อตอนที่แล้วผมจบที่การนั่งรถไฟจากเมืองลิสบอนเข้ามาที่สเปนครับ…

ซึ่งตอนจองผมโชคดีได้ตั๋วโปรโมชั่นราคาถูกค่ารถไฟนั่ง ราคาเพียง 1200 บาทเท่านั้นเองครับ

โดยรถไฟที่ผมนั่งมานั้นจะมาจอดที่สถานี Chamartin ครับ ซึ่งสถานีจะอยู่ทางเหนือของกรุงมาดริดครับ

(เปรียบได้กับบางซื่อ หรือรังสิตของกรุงเทพฯครับ)

ซึ่งที่สถานีลงไปทางทิศใต้ประมาณ 8 กม. จะถึงย่านกลางเมือง (SOL) ครับ

และถ้าไปทางตะวันออกประมาณ 12 กม. ก็จะเป็นสนามบินครับ



โดยแพลนผมจะเป็นการไปเอารถที่สนามบินแล้วขับออกไปเที่ยวทางใต้ของประเทศก่อนแล้วค่อยวนมาเที่ยวมาดริดช่วงกลางๆ


ก่อนจะขับขึ้นเหนือไปบาเซโลน่าแล้วเข้าฝรั่งเศสครับ แต่ต้องบอกว่าคิดผิดไปหน่อยครับ

เพราะจริงๆแล้ว ควรเที่ยวมาดริดให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยไปเอารถครับ เนื่องจากค่าจอดรถในมาดริดแพงมากครับ

ผมพักอยู่กลางเมืองเป็น Hostel ที่ไม่มีที่จอดรถ ต้องไปจอดรถในที่จอดรถสาธารณะ เจอค่าจอดไปวันละ 31 EUR เกือบๆจะเท่าค่าโรงแรมที่มาดริดผมเลยครับ

แต่ทำอย่างไรได้ดันแพลนแบบนั้นมาเองครับ ดังนั้นก็เตือนเพื่อนๆนะครับ ว่ามาที่มาดริดควรเที่ยวในเมืองให้เรียบร้อยค่อยไปเอารถขับไปนอกเมืองครับ



กลับมาที่แผนของผมต่อหลังจากรถไฟมาลงที่สถานี Chamartin ผมก็จะต้องหารถไฟไปที่สนามบินครับ

ตอนแรกผมได้ข้อมูลมาจากเว็บนึงว่าถ้าเราจองรถไฟมามันจะออกตั๋วฟรีที่เชื่อมสนามบินกับสถานีรถไฟได้

http://www.accesrail.com/pdf/MAD-airport.pdf

แต่ผมลองทำแล้วมันไม่ได้ครับ เลยไม่แน่ใจว่ามันได้เฉพาะขามาจากสนามบินหรือเปล่าครับ



ซึ่งพอไม่ได้ตั๋วฟรี ก็เลยมีทางเลือกอยู่ 2 ทางในการไปยังสนามบินนั่นก็คือไปด้วยรถไฟ หรือรถไฟใต้ดินครับ

ซึ่งการไปด้วยรถไฟจะแพงกว่า 1-2 EUR ครับแต่สะดวกกว่าครับ เพราะคนไม่แน่นเท่าไหร่ ซึ่งผมไปถึงสเปนช่วง 9 โมงเช้าเลยเลือกที่จะใช้บริการรถไฟครับ

เพราะสะดวกและปลอดภัยกว่าการใช้รถไฟใต้ดินครับรับรถที่สนามบินมาดริด



สำหรับรถที่ผมจองรอบนี้ผมจองรถกับ Expedia ครับ

ซึ่งตอนจองมันจะขึ้นราคาพร้อมทั้ง Brand ของรถให้เราเลือกครับ ซึ่งแน่นอนผมเลือกถูกที่สุด ได้ของ Hertz มาครับ

ค่าเช่ารถ 19 วันราคาที่ 211 EUR แต่เจอค่า One Way Fee เนื่องจากเอารถไปคืนต่างประเทศที่ฝรั่เศส สูงถึง 360 EUR

เรียกว่าแพงกว่าค่ารถเสียอีก แต่จากการคำนวณหลายๆอย่างแล้ว ก็คุ้มกว่าที่จะต้องขับรถย้อนมาคืนที่ มาดริดครับ

อ้ออีกอย่างที่ราคาเช่ารถถูกเพราะผมเช่นรถเกียร์กระปุกด้วยนะครับ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติจะแพงกว่านะราว 1xx EUR ครับ



สำหรับรถที่เช่าจาก Hertz ผมซื้อประกันจาก Expedia มาเลยครับ แต่เป็นประกันแบบมี Deduct นั่นคือถ้าเกิดอุบัติเหตุเราจะต้องจ่ายส่วนแรก


ซึ่งแบบที่ผมซื้อคือต้องจ่ายส่วนแรก $250 ครับโดยประกันจะคุ้มครองสูงสุดที่ $35,000 หรือประมาณ 1 ล้านบาทครับ

โดยค่าประกันอยู่ที่ประมาณ 7000 บาทใน 19 วันหรือตกวันละ 350 บาทโดยประมาณครับ



รถที่ได้มาตอนแรกเป็น Citron C4 Picasso คันใหญ่เลยครับ

ซึ่งสาเหตุการได้คันใหญ่ไม่ใช่ว่า Hertz ใจดีให้ upgrade อะไรแต่รถคันนี้เป็นรถทะเบียนฝรั่งเศสที่คนขับมาทิ้งไว้ที่นี่

เค้าเลยให้ผมขับไปคืนที่ฝรั่งเศสซะ… เอ๊ะ… แบบนี้จริงๆผมน่าจะต้องคิเค่าขับรถไปฝรั่งเศสให้เค้าใช่ม่ะ 5555



หลังจากรับรถเสร็จผมก็ขับรถมาที่โรงแรมเพื่อที่จะ Check in ครับ

โดยวันนี้ผมจองโรงแรมที่อยู่นอกเมืองมาไกลเลยครับ เพราะว่า 2 วันนี้ ผมจะเที่ยวเมืองที่อยู่ใกล้ๆ มาดริด

เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องรถติดก็เลยจองนอกเมืองนิดนึงครับ

ซึ่งผมจองที่ H2 Fuenlabrada อยู่ที่พิกัด 40.273752, -3.755315



ประมาณ 35 กิโลเมตรจากสนามบิน หรือประมาณ 20 กม. จากใจกลางเมือง SOL ครับ



แต่ปรากฎว่าตอนไปถึงผมยัง check in ไม่ได้ครับเนื่องจากเช้าเกินก็เลยใช้ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปลงฟันเล้กน้อย


ก่อนจะขับยาวไปที่ Toledo เลยครับมุ่งหน้าสู่ Toledo



หลังจากจัดการภารกิจเสร็จแล้วผมก็เซต GPS ให้พาไปที่เมืองโตเลโดครับ

ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรม H2 ไปประมาณ 60 กม.ครับ

ขับรถชิวๆประมาณ 1 ชม.ก็ถึงครับ



ตอนแรกผมยังไม่ได้ขับรถไปที่จุดเที่ยวครับ แต่ไปที่ส่วนของเขตธุรกิจก่อน เพราะจะแว๊บไปหาซิมมือถือครับ


แต่วันที่ผมไปเป็นวันอาทิตย์ร้านรวงต่างๆปิดหมดเลยครับ… วันแรกผมเลยยังต้องอยู่แบบไม่มีเนตให้ใช้ไปก่อนครับ



แต่ก็ไม่ได้เสียเที่ยวซะทีเดียวเพราะผมไปเจอร้านอาหารจีนครับ อยู่ตรงหัวมุมถนนนึงพิกัดอยู่ที่ 39.867053, -4.032783

เรียกว่าเหมือนสวรรค์มาโปรดครับเพราะ ตอนอยู่โปรตุเกสกินอาหารยุโรปจนเริ่มเบื่อแล้ว 5555

ปล. ผมมีเริ่มมีเทคนิคในการหาร้านอาหารจีนทีหลัง โดยการ search คำว่า Chinese Restaurant ใน google map ครับ

ส่วนใหญ่ร้านที่ขึ้นมาค่อนข้างตรงครับ แต่ให้ดูชื่อดีๆนะครับ ให้ชื่นแนวจีนๆนิดนึง เพราะบางครั้งอาจจะมีพลาดบ้างครับ แต่โดยทั่วไปแม่นอยู่ครับ



หลังจากทานข้าวเสร็จช่วงบ่ายก็เริ่มไปเดินเที่ยวในส่วนของเมืองเก่ากันครับ จากแผนที่นี้

จุดแรกที่ผม Point ไว้คือเขตเมืองใหม่ที่เป็นเขตครับจะเป็นร้านรวงต่างๆ


และส่วนที่เลย Avenue de la Cava มานั้นจะเป็นส่วนของเมืองเก่าทั้งหมดครับ

ซึ่งจุดท่องเที่ยวส่วนมากก็จะอยู่ในโซนนี้หล่ะครับ

แต่บริเวณในนี้จะหาที่จอดรถยากหน่อยนะครับ ผมจะจอดรถแถว Puerta de Bisagra แล้วก็เดินเที่ยวเอาครับ



อ้อแล้วก็จุดสุดท้ายที่อยู่เลยออกไปอีกฝั่งแม่น้ำจะเป็นจุดชมวิวของเมืองครับ

ซึ่งมีรถสาธารณะบริการครับ แต่ผมขับรถไปซึ่งแถวนั้นก็จะมีที่จอดรถเช่นกันครับนครแห่งประวัติศาสตร์โตเลโด



โตเลโดนั้นถือเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อย่างมากมายครับ

ซึ่งเมืองนี้ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1986 ครับ

เมืองโตเลโดนั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีจากรูปจะเห็นว่าพระราชวังอยู่บนเขาสูงที่มีแม่น้ำล้อมรอบเขานั้นครับ

นั่นแปลว่าในสมัยก่อนการที่ข้าศึกจะบุกเมืองแห่งนี้ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากมากครับ ครั้งหนึ่งเมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิสเปนครับ



โตเลโดเป็นเมืองหลวงสเปนโบราณมานานจนกระทั่งชาวมัวร์ (ชาวมุสลิมจากแอฟริกาเหนือ)


ได้เข้ามายึดครองคาบสมุทรไอบีเรียเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8

ทำให้โตเลโดเองนั้นเป็นเมืองที่มีอารยาธรรมผสมผสานจาก 3 เชื้อชาติคือ คริสต์ มัวร์ และ ยิวครับ

ซึ่งด้วยความที่โตเลโดเองนั้นมีการทำสงครามในการแย่งชิงแผ่นดินบ่อย ที่นี่จึงมีความเชี่ยวชาญในด้านการทำอาวุธ

ซึ่งปัจจุบันเหล่าอาวุธพวกนี้ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการทำของฝากของเมืองครับ



จากภาพข้างล่างจะเห็นว่าพระราชวังอยู่ที่จุดสูงสุดของภูเขา

ดังนั้นคนที่อยู่ในพระราชวังแห่งนี้จะสามารถมองเห็นข้าศึกได้แต่ไกล ทีเดียวครับ

ปัจจุบันที่โตเลโดในส่วนของเมืองเก่าก็ยังคงมีการอนุรักษ์เอาไว้ และได้แปลสภาพเป็นแห่งท่องเที่ยวไปแล้วครับ


ณ ปี 2012 เมืองโตเลโดมีประชากรอยู่ราว 84000 คนครับ

ด้วยความที่ว่าโตเลโดเป็นเมืองเก่าที่อยู่กันมานานจึงไม่มีการสร้างผังเมืองในส่วนของเมืองเก่าที่ดี

การเดินเที่ยวในเมืองจึงหลงทางได้ง่ายมากครับ

จนมีบางเว็บไซต์แนะนำว่าการเที่ยวในโตเลโดคือการ Get Lost หรือให้เดินหลงทางซะ 555



ปล. ภาพทั้งสองภาพถ่ายมาจากจุดชมวิวของเมืองโตเลโดครับ พิกัดอยู่ที่ N39°51.02958 W004°1.3476ประตูเมืองโตเลโด Puerta de Bisagra



ด้วยความที่ว่าโตเลโดเป็นเมืองเก่าที่เคยเป็นป้อมปราการมาก่อน ดังนั้นจึงยังมีเหลือซากของกำแพงเมืองอยู่

ซึ่งประตูเมืองนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของซากอารยธรรมนั้นครับ

การมาเที่ยวที่นี่ผมแนะนำให้มาช่วง เช้านะครับ เพราะจะได้ภาพตามแสงที่สวยงามครับครับ



ปัจจุบันบริเวณโดยรอบประตูเมืองกลายเป็นถนนไปหมดหล่ะครับ


เลยจากส่วนประตูมาจะเป็นทางขึ้นเขาครับ ซึ่งก็จะมีร้านรวงเต็มไปหมดครับ


ขึ้นมาไม่ไกลก็จะเจอกับ Mosque of Cristo de la luz ซึ่งเป็น Mosque

หรือมัสยิดที่สร้างขึ้นในสมัยที่ชาวมัวร์ยังคงเรืองอำนาจ

ปัจจุบันเป็นมัสยิดที่เหลืออยู่หนึ่งในสิบแห่งของเมืองแห่งนี้ครับ

และได้มีการแปลงมาเป็นโบสถ์คริสต์ครับ แต่ผมไม่ได้เข้าไปชมข้างในนะครับ

ภาพนี้เป็นภาพประตูเมืองที่เป็นทางเข้าครับ ตัวมัสยิดภายในผมไม่ได้เข้าไปถ่ายมาครับ

จากทางเข้า Mosque of Cristo de la luz ใกล้ๆกันจะเป็นริมเขาที่มองลงไปเห็นวิวเมือง Toledo ครับ


ผมเลยไปถ่ายรูปมานิดหน่อยครับ

มหาวิหารโตเลโด Toledo Cathedral



มหาวิหารโตเลโดนั้นเป็นวิหารสไตล์โรมันคาทอลิค สร้างมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ครับ

ในยุคการปกครองของฟอร์ดินานด์ที่สาม โดยสร้างมาเสร็จในช่วงปี 1493 ครับ

มหาวิหารที่โจเลโดนั้นเป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสเปน รองจากวิหารเมืองเซบีญ่าครับ

ถ้ามีเวลาแนะนำให้เข้าไปชมภายในด้วยนะครับ เค้าว่ากันว่าสวยงามมากครับ แต่ตอนผมไปผมเหนื่อยมากครับ

เพราะเที่ยวตะลอนๆที่โปรตุเกสมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ

และคืนก่อนหน้าก็น่งรถไฟข้ามประเทศมาทั้งคืนครับ (เอาจริงๆไม่ได้ทำการบ้านมาด้วยว่าที่นี่สวย 555)



ผมเลยนั่ง(หลับ)เล่นอยู่ที่หน้าโบสถ์ครับ 55

แต่อย่างที่ผมบอกข้างต้นนะครับว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าครับ ซึ่งผังเมืองไม่ดี

ดังนั้นโบสถ์ที่นี่จะตั้งอยู่กลางเมือง และมีตึกรามบ้านช่องล้อมอยู่เต็มไปหมดครับ

ซึ่งจะหามุมถ่ายโบสถ์แบบเต็มๆได้ยากหน่อยครับ

แถมวันที่ผมไปมีตั้งเวทีอะไรซักอย่างเลยยิ่งไม่มีพื้นที่ถ่ายรูปเข้าไปใหมญ่เลยครับ

The Alcázar of Toledo



Alcazar of Toledo หรืออดีตพระราชวังของโทเลโด อยู่บนจุดสูงสุดของเมือง

ปัจจุบันมันที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านการสงคราม การทหาร และประวัติศาสตร์ของชาติสเปนครับ

โดยใช้ชื่อว่า Museo Del Ejercito ค่าตั๋ว 5 ยูโร เปิดทุกวันยกเว้นวันพุธ โดยเปิด 10.00-17.00 ครับ

ตอนที่ผมไปถึงเลย 5 โมงเย็นไปแล้วเลยไม่ได้เข้าไปชมข้างในครับ

ที่นี่ถ้ามีเวลาควรเพื่อเวลาไว้ซัก 1-2 ชม. ในการเดินชมนะครับ

เนื่องจากมันปิดไปแล้วผมเลยไปเดินเล่นที่สวนแถวนั้นแทนครับ


จากจุดนี้เห็นวิวไปไกลเลยครับ เพราะว่าเป็นที่สูงครับ

ฝั่งตรงข้ามที่มองไปเป็นโรงเรียนทหารของโตเลโดครับ

จากนั้นผมเดินวนลงมาทาง Museo De Santa Cruz


ซึ่งผมไม่ได้แวะอีกเช่นกันครับ แต่ตรงนี้มีมุมให้ถ่ายรูปเมืองเล่นได้ครับ

Toledo View Point



หลังจากเดินเล่นที่ในส่วนของเมืองเก่าเสร็จแล้วผมก็เตรียมที่จะไปถ่ายภาพที่จุดชมวิวหล่ะครับ

แต่ช่วงที่ผมไปกว่าฟ้าจะมืดก็ประมาณ 3 ทุ่มครับ

พวกผมเลยขับรถไปในส่วนเขตเมืองใหม่พ่หาอะไรทานกันก่อนครับ

ตอนแรกว่าจะไปทานอาหารจีนที่ร้านเดิม แต่ปรากฎว่าร้านปิดจ้า….



ที่สเปนร้านอาหารส่วนมากจะเปิดเป็นช่วงเวลาครับ

คือเปิดมื้อกลางวันราวๆ 12:00 – 15:00 จากนั้นจะปิดร้านครับ ปิดแบบจริงจังดึงเหล็กดัดมาปิดเลยครับ

แล้วจะมาเปิดอีกทีประมาณ 19:00 หรือบางร้านอาจจะเปิด 20:00 ครับ

ซึ่งตอนแรกผมไม่ทราบ ก็ไปเข้าใจว่าวันนี้วันอาทิตย์ เลยเปิดแค่ครึ่งวันอะไรอย่างนั้น

สรุปวันนั้นผมไปกิน Kebab แทนครับ พอกอนเสร็จเดินมาถึง ร้านเปิดจ้า… หึหึ



เอาหล่ะครับ ไม่บ่นแระ… กลับไปจุดชมวิวกันดีกว่า

ที่จุดชมวิวตอนแรกก่อนไปผมเห็นว่าเป็นภนนริมหน้าผาก็นึกว่าจะเงียบและเปลี่ยวครับ

แต่ที่ไหนได้ ตรงจุดชมวิวเค้าทำเป็นจุดชมวิวแบบจริงจัง

คือมีร้านค้ามีป้ายประวัติสถานที่ ครบเลยสบายใจโลด อิอิ

สำหรับพิกัดจุดชมวิวก็ตามนี้เลยครับ N39°51.02958 W004°1.3476



วันที่ไปผมถือว่าโชคดีมากเลยครับตอนเย็นท้องฟ้ามีเมฆนิดๆ แล้วตอนพระอาทิตย์ตกก็ฟ้าระเบิดอย่างสวยงามเลยครับ

เรียกว่าถ่ายรูปกันมันส์มือเลยครับ

พระอาทิตย์กำลังจะตกหล่ะครับ ซึ่งก็สวนกับย้านเรือนและพระราชวังที่เริ่มเปิดไฟขึ้นมาครับ


ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมฟินกับบรรยากาศ และตกหลุมรักเมืองนี้มากเลยครับ

ภาพอาจจะมุมใกล้ๆเดิมครับ เนื่องจากผมตั้งกล้องอีกตัวหนึ่งเพื่อถ่าย Day to Night Timelpase ไปด้วยครับ


เลยต้องเฝ้ากล้องครับไปไหนไกลไม่ได้ครับ แต่ Clip ที่ได้มาก็คุ้มเหลือหลายครับ



ปล. ผมไม่สามารถโพสคลิปนี้ได้ด้วยเหตุผลด้านสัญญาบางอย่างครับ ผมขอเอารูปมาให้ดูแทนนะครับ

ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่ผมถ่ายมาครับ ตอนแรกอยากรอจนฟ้ามืดครับ แต่น่าเสียดายที่รอไม่ทันครับ


เพราะกว่าฟ้าจะมืดสนิทจริงๆก็ราวๆ 5 ทุ่มกว่าครับ ซึ่งดึกเกินไปหน่อยเนื่องจากผมต้องขับรถย้อนกลับมาที่มาดริดอีกกว่า 1 ชม.ครับ เลยต้องทำใจครับ

มุ่งหน้าสู่เมืองเซโกเบีย (Segovia)



วันต่อมาผมมีโรปแกรมไปเที่ยวที่เมืองเซโกเบียครับ โดยจะแวะไปที่ปราสาทเมนโดซ่าก่อนครับ

แต่วันนี้ผมต้องแวะไปเปลี่ยนรถที่สนามบินก่อน เนื่องจากเจ้า C4-Picasso ที่ผมได้มาเมื่อวานดันมีปัญหาครับ

คือถ้าผมจอดรถเกินกว่า ครึ่งชม. รีโมทกุญแจ และระบบไฟฟ้าทั้งหมดของรถจะใช้งานไม่ได้ครับ

ต้องไขรถด้วยกุญแจ สตาร์ทรถ ซักพักระบบไฟฟ้าจึงกลับมาใช้ได้ ซึ่งเดาว่าคงมีปัญหาเกี่ยวกับแบต (มั๊ง) ครับ

ซึ่งผมก็กลัวจะไปมีปัญหาตอนอยู่นอดเมืองไกลๆ เลยยอมขับย้อนไปที่สนามบินเพื่อเปลี่ยนรถครับ ซึ่งที่ Hertz ก็ให้บริการอย่างดีครับ

เปลี่ยนรถคันใหม่ให้อย่างไม่มีอิดออดเลยครับ



แต่รถคันใหม่ที่ได้มาเลยกลับมาเป็นรถคันเล็ก Size Compact ตามที่ผมจองไปครับ

เป็นรถยี่ห้อ Renault ซึ่งเป็นยี่ห้อฝรั่งเศสครับ เป็นรถดีเซลประหยัดน้ำมันมากครับ ผมวิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 25-30 กม./ลิตร ครับ

รถที่ผมได้มานั้นเป็นรถที่ถูกขับมาจากเยอรมันครับ ซึ่งฝรั่งเศสก็อยู่ตรงกลางระหว่าง สเปน และเยอรมัน

นั่นก็คือเหมือนผมขับรถไปคืนให้เค้าครึ่งทางนั่นหล่ะครับ 555



สำหรับเมืองเซโกเบียจะอยู่ห่างจากกรุงมาดริดไปประมาณ 80 กม.ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือครับ

ถนนที่ไปนั้นเป็น Highway ตลอดทางครับซึ่งแน่นอนค่าทางด่วนอ๊วกครับ

แต่ตอนไปผมใช้อีกเส้นทางนึง คือแวะไปที่เมือง…… ก่อนเพื่อแวะไปเยี่ยมชม ปราสาทเมนโดซ่าครับ

แล้วค่อยไปที่เซโกเบีย แต่ถ้าไปทางนี้ ทางที่ GPS นำไปจะต้องขับทะลุเขาในช่วง เมนโดซ่า – เซโกเบียครับ

แต่ถ้าดูจาก google map มันจะพามาทาง highway ครับ



Castle of los Mendoza



พิกัด GPS N40°43.61922 W003°51.73302



ปราสาทเมนโดซ่า เป็นป้อมปราการที่สร้างมาตั้งแต่สมัยปี 1475

ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในปราสาทที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดในสเปนครับ

ปัจจุบันปราสาทได้กลายเป็นพิพทธภัณฑ์เกี่ยวกับปราสาทต่างๆในสเปน

และเป็นที่เก็บพรมแบบแขวนที่ใช้ประดับตามฝาผนังครับ

แต่วันที่ผมไปเป็นวันจันทร์ครับ ซึ่งพิพิทธภัณฑ์จะปิดครับ แต่ก็ไม่คิดมากครับ

พราะผมกะไปถ่ายภาพจากภายนอกเป็นหลักอยู่แล้วครับ ถ้าใครมีโอกาสไปอย่าลืมเอารูปมาฝากกันบ้างนะครับ

เนื่องด้วยมีเวลาเหลือเยอะเนื่องจากปราสาทปิดผมเลยได้เดินเล่นสำรวจบ้านเมืองเค้าครับ ถือว่าค่อนข้างเงียบๆครับ


สภาพบ้านเมืองที่นี่ยังเป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของสเปนครับ

Segovia



หลังจากเดินเล่นรอบๆปราสาทเมนโดซ่าเสร็จผมก็ขับรถไปที่เมืองเซโกเบียครับ

อย่างแรกที่ทำก่อนเลยคือ กินครับ 5555 ซึ่งตอนขับรถในเมืองก็เจอร้านอาหารจีนพอดีครับ

เลยแวะซะเลย พิกัดอยู่ที่ 40.939604, -4.115704 ครับสามารถหาที่จอดรถแถวๆนี้ได้ครับ



หลังจากทานข้าวเสร็จตอนแรกผมขับเข้าเมืองไปเพื่อจะซื้อซิมมือถือครับ

แต่ว่าร้านปิดจ้า…..



ที่สเปนมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งคือการ นอนกลางวันครับ

ร้านรวงหลายๆร้าน จะปิดช่วง 14:00 – 17:00 ครับ ดังนั้นจะหาซื้ออะไรในสเปนเลี่ยงช่วงนี้ด้วยนะครับ

ปล. ตอนผมอยู่สเปนผมก็ดูจะซึมซับวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดีครับ เพราะบ่าย 2 ทีไรง่วงนอนทุกทีซินะ 5555



เซโกเบียปัจจุบันมีประชากรในเขตเทศบาลราวๆเกือบๆ 60,000 คนครับ

เซโกเบียถือเป็นจุดยุทะศาสตร์ในทางทหารจุดหนึ่งครับ

มีการสร้างป้อมปราการ และพระราชวัง ในจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายคือ

แม่น้ำเอเรสมา (Eresma) กับแม่น้ำกลาโมเรส (Clamores)



พระราชวังหรือ Alcazar ที่นี่ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีทรวดทรงที่สวยงามคล้ายเรือ

และว่ากันว่าเป็นต้นแบบของปราสาทดิสนีย์ครับ

Vera Cruz Church



จากนั้นผมเลยวนไปที่ Vera Cruz Church ก่อนครับ

พิกัด N40°57.33852 W004°7.94472

โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์เก่ามากครับ สร้างตั้งแต่ปี 1208 โดยอัศวินเทมพลาร์

คุ้นๆชื่อมั๊ยครับ ผมเคยพูดถึงอัศวินเทมพลาร์ตอนพาเที่ยวโทมาร์ที่โปรตุเกสในตอนที่แล้วครับ



ลักษณธของโบสถ์นี้เป็นอาคาร 12 เหลี่ยมโดยมีหอคอยอยู่ทางด้านทิศใต้ครับ

ซึ่งมีต้นแบบมาจาก Church of the Holy Sepulchre ในเมืองเยรูซาเลมนั่นเองครับ

แต่จริงๆแล้วผมมาที่นี่ไม่ได้กะจะมาเยี่ยมชมดบสถ์หรอกครับ แต่ต้องการมาเพื่อถ่ายภาพ Alcazar ครับ


จุดนี้เป็นจุดชมวิว Alcazar ที่สวยจุดหนึ่งเลยครับ แต่ๆๆๆๆ ควรมาช่วงเช้านะครับ

ผมมาช่วงบ่ายย้อนแสงไปเรียบร้อยครับ

Alcazar of Segovia



พิกัด GPS N40°57.15456 W004°7.95354



จากนั้นผมก็เลยไปเดินเล่นภายในพระราชวังเซโกเบียหรือ Alcazar of Segovia ครับ

ซึ่งที่นี่ก็จะเหมือนกับที่โตเลโดคือตัวพระราชวังจะอยู่ในจุดสูงสุดของเมืองครับ ซึ่งบริเวณพระราชวังจะมีที่จอดรถไม่มากนะครับ ผมต้องจอดกลางๆเมืองแล้วเดินขึ้นมาครับ



ที่พระราชวังเปิดให้เข้าชมเวลา 10:00-19:00 นะครับ

พระราชวังแห่งนี้คล้ายกับพระราชวังหลายๆแห่งในสเปนครับ คือแรกเดิมทีถูกสร้างขึ้นมาในช่วงชาวมัวร์ครอบครองพื้นที่ครับ

และถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ชาวคริสเตียนเข้ามาครอบครองในราวปี 11xx ครับ

ภาพนี้เป็นภาพจากบริเวณหน้าพระราชวังครับ มองไปเห็น มหาวิหารเซโกเบียครับ

และนี่เป็นอนุเสาวรีย์อะไรซักอย่างที่อยู่หน้าพระราชวังครับ


ภายในพระราชวังนั้นก็จะเป็นห้องต่างๆ ของพระราชวังให้เดินชมครับ รวมไปถึงพวกที่เกี่ยวกับการสงครามครับ


เพราะคาบสมุทรแห่งนี้ในอดีตถือเป็นดินแดนที่มีการแย่งชิงอำนาจและมีการเปลี่ยนมือมาหลายครั้งครับ



ลักษณะสถาปัตยกรรมยังคงกลิ่นอายจากทางอาหรับหรือจากชาวแขกมัวร์ครับ


ห้องนี้ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นห้องประทับของพระราชาครับ


ห้องอื่นๆ ครับลองชมกันดูครับ


ภาพจากหน้าต่างภายในพระราชวังครับมองไปเห็นโบสถ์ Vera Cruz ด้วยครับ


จากในปราสาทสามารถเดินออกมาภายนอกได้ด้วยครับ


หลังจากเดินเล่นในพระราชวังเสร็จผมก็ขับรถชิวๆ


ริมแม่น้ำหาจุดถ่ายรูปครับพอได้มา 2-3 จุดครับ



อันนี้ถ่ายจากพิกัดN40°57.1716 W004°8.0487



ส่วนอีกจุดหนึ่งเป็นสวนสาธารณะครับ


พิกัดอยู่ที่N40°57.24738 W004°8.05548



การจอดรถในยุโรปและ Ticket



หลังจากผมถ่ายรูป Alcazar จนจุใจแล้วผมขับรถเข้าไปที่ตัวเมือง เพื่อไปหาซิมครับ

จากนั้นผมก็จอดรถที่นึง ซึ่งตอนที่ผมลงไปผมพยายามมองหาตู้หยอดเงิน แต่หาไม่เจอครับ

ก็เลยพลอยเข้าใจไปว่าตรงนั้นจอดได้ฟรีครับ (ที่โปรตุเกสที่จอดรถจะมีตู้หยอดเงินค่าจอดถี่มากครับ)

จากนั้นผมก็เข้าไปซื้อซิม ซึ่งใช้เวลาไปประมาณ ชม.นึงครับ



ปรากฏว่าได้เรื่องเลยครับ ออกมาเจอ Ticket เป็นที่เรียบร้อยครับค่าปรับเจอไป 80 EUR ครับ

แบบว่าแอบอึ๊งครับ แต่ก็ต้องทำใจเพราะผมไม่ได้ไปหยอดตู้จริงๆ ซึ่งผมไปเจอว่า

ตู้หยอดมันไปอยู่หัวถนนซึ่งไกลไปจากจุดที่ผมจอดรถราวๆ 150 เมตรนู่นหล่ะครับ



เรียกว่าโดนไปทีทำเอาเซ็งไม่อยากเที่ยวต่อเลยทีเดียวครับ

ตอนนั้นก็พยายามหาข้อมูลนะครับ.. ว่าจะต้องไปจ่ายค่าปรับอย่างไร

เท่าที่หาข้อมูลได้ยิ่งไปจ่ายเร็วจะได้รับส่วนลดซึ่งอาจจะมากถึง 30% เลย

ซึ่งมันมีเว็บที่มีคนให้ข้อมูลมา แต่ทุกอย่างเป็นภาษาสเปนครับเลยไม่สามารถไปจ่ายได้ครับ



ตอนนั้นก็เลยพยายามไปหาตำรวจครับ ซึ่งตำรวจหลายคนก็พูดอังกฤษไม่ได้ซะด้วยครับ

แต่หลังจากเจอคนที่พอพูดได้ เค้าก็บอกว่า



1. ตำรวจไม่ได้เป็นคนออกใบสั่ง แต่เป็นประมาณเทศกิจ (ที่ยุโรปเค้าให้เอกชนเป็นผู้ออกใบสั่งนะครับ ประมาณว่ากระจายงานไม่สำคัญออกไป)

2. ตำรวจคนแรกบอกว่า ถ้าเป็นเค้าได้ใบสั่ง เค้าจะไม่สนใจและขยำททิ้งไปเลย พร้อมกับบอกว่าคนประเทศเค้าไม่สนใจหรอก



คือได้ฟังแบบนี้ผมก็อึ้งครับ… ว่าเฮ้ย ประเทศนี้มันทำอย่างนี้กันเลยเหรอ… ซึ่งผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี



ตอนนั้นผมลองหาข้อมูลเพิ่มก็พอทราบว่าถ้าสุดท้ายเราไม่จ่าย และทางเทศกิจเรียกเก็บไปที่บริษัทรถเช่าเค้จะชาร์จผ่านบัตรเครดิตเรามาอีกทีครับ

แต่ประเด็นคือบริษัทรถเช่าเค้าจะชาร์จค่าดำเนินการเพิ่มด้วย เคสนึงเคยเจอไป 150 EUR ครับซึ่งผมก็ไม่อยากเจอแบบนั้น

เลยพยายามหาทางจ่าย โดยลองขับรถไปที่ สถานีตำรวตดูครับ ปรากฎว่าทุกคนบอกเหมือนตำรวจนายแรกที่บอกผมครับว่า



..Don't Care, Let's fun with your trip.



และก็บอกมาอีกว่าที่สเปนการดำเนินการคือจะมีการรวบรวมข้อมูลส่งไปที่ส่วนกลางที่มาดริดใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน

จากนั้นจึงหาข้อมูลเราส่งไปรษณีย์แจ้ง ซึ่งปานนั้นคุณก็กลับประทศไปแล้ว ดังนั้นอย่างได้ใส่ใจ ขย้ำทิ้งแล้วไปเที่ยวต่อได้เลย

(ตรงนี้ผมเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเพราะรถที่ผมขับเป็นทะเบียนจากเยอรมันด้วยครับ)



สุดท้ายเมื่อหาที่จ่ายเงินไม่ได้ผมจึงทำใจสบายๆแบบที่คุณตำรวจว่าครับแล้วไปเที่ยวต่อ

โดยตอนที่ผมไปคืนรถผมได้แจ้งทางบริษัทไว้ เค้าก็บอกว่าถ้ามันมีการส่ง ticket มาจริงเค้าจะเรียกเก็บเงินไปเอง

ซึ่งปัจจุบันนี้ผมกลับมาแล้วครึ่งปีก็ยังไม่มีการเรียกเก็บใบสั่งใบนี้มาแต่อย่างใดครับ



อ้อเพื่อเป็นการให้เพื่อนๆไม่ต้องว้าวุ่นในเรื่องจะโดนใบสั่งนะครับ เท่าที่ผมหาข้อมูลมา

ปกติจุดที่จอดรถจะมีการตีกรอบให้จอดรถได้ครับ ซึ่งถ้ากรอบเป็นสีฟ้า (หมายถึงจุดนั้นจะต้องจ่ายค่าจอดครับ)

แต่ถ้ากรอบเป็นสีขาว หรือไม่มีกรอบ แปลว่าตรงนั้นจอดฟรีครับ

ลองดูข้อมูลคร่าวๆจากเว็บนี้ได้ครับเป็นกฎของที่อิตาลี แต่โดยรวมก็ใกล้เคียงกันครับ



http://www.slowtrav.com/italy/driving/parking.htmท่อส่งน้ำโบราณ (ancient aqueduct)



หลังจากเคีลยร์เรื่อง ticket เป็นที่เรียบร้อยผมก็พาร่างตัวเองไปเที่ยวที่สะพานส่งน้ำโบราณของเมืองเซโกเบียครับ

ซึ่งท่อส่งน้ำแห่งนี้มีการสร้างมาตั้งแต่สมัยโนมันแล้วครับ

โดยสะพานแห่งนี้สร้างเพื่อการลำเลียงน้ำจากแม่น้ำฟรีโอที่อยู่ไกลจากตัวเมืองไปถึง 18 กม.

โดยจุดที่จะเข้าตัวเมืองนั้นจะเป็นจุดที่ยกตัวสูงจากพื้นดินดังที่เห็นในรูปครับ



อันนี้เป็นภาพอีกมุมหนึ่งครับ


ภาพอาจจะมีไม่มากนะครับ เพราะตอนนั้นจิตใจไม่ค่อยอยู่กะร่องกะรอยเท่าไหร่จากการโดน Ticket มาครับ 5555


หลังจากเที่ยวที่นี่เสร็จผมก็กลับไปทานข้าวที่ร้านเดิมเมื่อตอนกลางวันครับ

ซึ่งวันนี้ผมไม่ได้อยู่ถ่ายภาพช่วงค่ำเนื่องจากวันรุ่งขึ้นผมต้องขับรถไปที่เมือง เซบีย่า ซึ่งต้องขับจากมาดริดไปราวๆ 600 กม.ครับ

กลังจะไม่ไหวครับ ก็เลยขับรถกลับไปที่ที่พักไปพักผ่อนดีกว่าครับ..to be continue



สำหรับตอนแรกของการท่องเที่ยวในสเปนก็คงจงลงเพียงเท่านี้ครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับ หวังว่าคงถูกใจเพื่อนๆกันนะครับ

สำหรับตอนหน้าผมจะพาเพื่อนๆลงไปเที่ยวทางใต้ครับ



ซึ่งทางใต้นั้นเป็นส่วนที่ใกล้กับทางทวีปแอฟริกา

จึงเป็นส่วนที่ได้รับอิทธิพลจากทางแขกมัวร์มาค่อนข้างมากเลยครับ

สถาปัตยกรรมต่างๆจะแปลกตาไปจากเดิมมากทีเดียวครับ



แล้วรอติดตามชมกันนะครับ สำหรับวันนี้ผมขอลาไปเพียงเท่านี้ครับ

ขอบคุณที่ติดตามชมและสวัสดีครับ



เอ๋อ้อย

 วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.02 น.

ความคิดเห็น