สวัสดีเพื่อนๆทุกคนครับ
ปีนี้เป็นปีผมเองได้มีโอกาสไปเที่ยวจันทบุรีมาหลายครั้งเลยครับ
เมื่อต้นเดือน พค. ผมได้มีโอกาสร่วมทริปกับนิตยสาร Barefoot ในฐานะสื่อมวลชน
ในทริป กาลครั้งนั้น...เธอและฉัน...จันทบุรี
ซึ่งเป็นทริปที่คุณนายผมอยากไปมาก เพราะเธอว์..ชอบกินผลไม้มากกก..
แต่ปรากฎว่าวันที่จะไปคุณแฟนดันปวดท้องมากจนต้อง Admit เลยไม่ได้ไป
ให้ผมซึ่งเป็นคนไม่ชอบทานผลไม้ไปคนเดียวซะงั้น 555
แต่ก็เหมือนฟ้าเป็นใจครับ เพราะผมมีโอกาสได้ร่วมโครงการ
The Amazing Journey: Blogging Contest
ที่จัดโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นงานที่มีการรวมตัวของ Blogger มากกว่า 30 ชีวิตแบ่งทีมไปโปรโมต
12 เมืองต้องห้าม...พลาดครับ ซึ่งทีมผมจับฉลากได้จังหวัดจันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้
คุณแฟนผมกรี๊ด..เลยเพราะได้กลับไปแก้ตัวจากทริปก่อนครับ 555
สำหรับรีวิวนี้ผมจะรีวิวรวมจากทั้ง 2 ทริปที่ผมได้ไปมาครับ
แต่โปรแกรมการเดินทางจะเน้นตามที่ผมพาคุณนายไปเที่ยวครับ
โดยจะเป็นทริปวันเสาร์-อาทิตย์ 2 วัน 1 คืนครับ
ถ้าพร้อมกันแล้วออกเดินทางไปจันทบุรีด้วยกันเลยครับ
กระทู้นี้เป็น SR ครับ
โดยการเดินทางทั้งหมดนั้นสนับสนุนค่าใช้จ่ายโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สำหรับโปรแกรมผมเป็นคนจัดทำเองทั้งหมดครับ
ปล. หากเพื่อนคนใดเล่น Facebook สามารถพบ รีวิว ที่กิน เที่ยว พัก กับ Travel Planet Xperiences ได้ก่อนใครที่
http://goo.gl/3xE5Oj
ปล.2 หากเพื่อนๆเห็นว่ารีวิวนี้ดีมีประโยชน์หรือชื่นชอบก็ขอคนละ+ คนละ Like คนละ Share นะคร้าบบบบ ขอบคุณครับ
ปล.3 คนเม้นท์กระทู้นี้น่ารักทุกคน ยิ้ม
ปล.4 รูปทุกรูปในกระทู้ เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของกระทู้ และ/หรือ เจ้าของกระทู้สิทธิ์ในการใช้แต่เพียงผู้เดียว
ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ ยกเว้นได้รับอนุญาตจากเจ้าของกระทู้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น
การคัดลอก ดัดแปลง หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของกระทู้ไม่ว่าจะเป็นบทความหรือรูปภาพไปใช้งาน
นอกเหนือจากการแชร์ผ่านกระทู้นี้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของกระทู้ถือเป็นความผิดในการละเมิด
เจ้าของกระทู้จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด
ปล.5 อุปกรณ์การถ่ายภาพที่ใช้ในทริปนี้ประกอบไปด้วย
- Canon EOS 5DIII
- Canon EOS 6D
- EF 16-35 f/2.8l II
- EF 24-70 f/2.8l II
- EF 70-200 f/4.0l is
The Amazing Journey: Blogging Contest
ก่อนจะพาไปเที่ยวก็ขอแนะนำโครงการ The Amazing Journey: Blogging Contest ซักนิดนึงครับ
โครงการนี้เป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับ เว็บ www.ttbn.co
ซึ่งเป็นเครือข่ายการรวมตัวกันของ Blogger ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยครับ
โดยมีผู้สนับสนุนการเดินทางหลักๆในครั้งนี้คือ สายการบินนกแอร์ และ บริษัทเช่ารถไทยเร้นท์อะคาร์ ครับ
โครงการนี้ทาง ททท. เป็นผู้คัดเลือก 12 Bloggers เป็นตัวหลัก
เพื่อเดินทางไปยัง 12 เมืองต้องห้าม...พลาด
อันได้แก่ ลำปาง น่าน เลย บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ ตราด
จันทบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช
ซึ่งผมเอ๋อ้อยในนามของ Travel Planet Xperiences
ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าทีม
และจับฉลากได้เดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้ครับ
โดยร่วมทีมกับ Blogger อีกสองท่านคือ
คุณอู๋ หมอยา พาเที่ยว และคุณตั้ม Tummeng Trip Travel Magazine ครับ
โดยเพื่อนๆสามารถติดตามกระทู้รีวิวจันทบุรี และสกู๊ปเรื่องราวต่างๆทั้งหมดของทีมผม (T01) ได้ที่
http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T01
จันทบุรี - สวนสวรรค์ ร้อยพันธุ์ผลไม้
จันทบุรีพูดชื่อนี้มาลอยๆหลายๆคนอาจจะคิดว่ามีอะไรให้เที่ยวนอกจากสวนผลไม้..
แต่ในความเป็นจริงแล้วจันทบุรีเป็นจังหวัดที่ครบเครื่องมากๆครับ
ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวภูเขา เที่ยวทะเล เที่ยวน้ำตก หรือมาอยู่เพื่อใช้ชีวิตแบบ Slowlife
และที่สำคัญจันทบุรียังมีชุมชนเก่าดั้งเดิมที่อยู่มาอย่างยาวนาน
ทำให้จันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีอัตลักษณ์ในตัวเองสูงมาก
จันทบุรีเหมาะกับนักท่องเที่ยวในทุกประเภท
ไม่ว่าจะเดินทางมาเป็นครอบครัว เดินทางมาเป็นคู่ หรือเดินทางมาแบบลุยๆ
ไม่ว่าคุณจะอาศัยในกรุงเทพฯ หรือเดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ จันทบุรีล้วนเหมาะสมทั้งสิ้น
ถ้าเพื่อนๆได้มาเที่ยวซักครั้งหนึ่งเพื่อนๆจะเข้าใจเลยว่า
ทำไมในอดีตที่ผ่านมา
รัชกาลที่ 5 จึงทรงยกเมืองอื่นให้ฝรั่งเศสและเลือกที่จะเก็บเมืองจันทบุรีเอาไว้
จันทบุรี ที่เที่ยวใกล้กรุง 2 วัน 1 คืนก็เที่ยวได้
การเดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรีนั้น สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯมหานครและปริมณฑลจะค่อนข้างสบาย
เพราะว่าจังหวัดจันทบุรีนั้นอยู่ไม่ไกลนักระยะทางราวๆ 220 กิโลเมตร พอๆกับการขับรถไปเที่ยวหัวหินเลยครับ
ดังนั้นคนเมืองกรุงฯ สามารถไปเที่ยวจันทบุรีได้ทั้งปีในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยไม่ยากครับ
สำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัดนั้นสามารถนั่งเครื่องบินมาลงที่กรุงเทพฯ
ไม่ว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินดอนเมือง
ที่ปัจจุบันมีสายการบินต้นทุนต่ำจำนวนมากอาทิ นกแอร์ เป็นต้น
จากนั้นถ้าเอาสะดวกก็สามารถเช่ารถเช่าที่มีมากมายเต็มไปหมด
อาทิ Thai Rent A Car ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีครับ
ซึ่งการเที่ยวในรูปแบบดังกล่าวเพื่อนร่วมทีมของผมจะเป็นผู้นำเสนอในลำดับถัดไปครับ
สำหรับการเดินทางของผมนั้นก็เหมือนชาวกรุงทั่วไปครับ
คือต้องการเซพวันหยุด (ของคุณภรรยา) ไว้ดังนั้นผมจึงเลือกเดินทางในวันเสาร์อาทิตย์
เพื่อที่จะไม่ต้องลางานนั่นเองครับ
โปรแกรมวันเสาร์
05:00ออกเดินทางจาก กทม.
06:00แวะกินข้าวเช้าที่ Motor Way
09:00บ้านสวนลุงฉลวย - โทร 087-058-7173 190 km. / 3Hr.
10:00จุดชมวิวเนินนางพญา อ่าวคุ้งวิมาน คล้องกุญแจคู่รัก 15 km. / 25 min
11:00ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 15 km.
12:00ร้านเรือนริมน้ำ 15 km. / 25min
13:00วังสวนบ้านแก้ว(ที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี)27 km. / 40min
15:00เช็คอินบ้านหลวงราชไมตรี 10 km/15min
16:00บ้านเลขที่ 69 - เดินเล่นในชุมชนริมน้ำ ขนมไข่ป้าไต๊ ร้านหวานคำนึง
18:30โบสถ์อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล
19:00Twilight โบสถ์คาทอลิค / ชุมชนริมน้ำ
20:00อาหารเย็นที่ จันทรโภชนา (สาขาเบญจมราชูทิศ)
โปรแกรมวันอาทิตย์
05:30ตื่น
05:45ตักบาตรที่หน้าชุมชนจันทบูร
08:00อาหารเช้าที่บ้านหลวงราชไมตรี /ก๋วยจั๊บป้าไหม ข้าวเหนียวสุนา
09:00เช็คเอ้าท์ / ศาลหลักเมือง/ศาลพระเจ้าตากสิน 1 km.
09:30ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับ3 km. / 10 min
10:30น้ำตกพลิ้ว 16 km. / 20 min
12:45ร้านหอยทอดนายเล็ก 2.5 km. / 5 min
13:30แวะจุดแวะซื้อของฝาก ต้นตำรับ 15 km. / 10 min
14:00ขนมเปี๊ยะรัชนีตลาด อ.มะขาม 039-361-08710 km. / 10 min
15:00สวนผลไม้ KP Garden - 086-566-2419 18 Km. / 20 min
16:00กลับ กทม.
20:00ถึงกทม.
เอาล่ะครับพร้อมกันแล้ว
ผมและคุณภรรยาจะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยว จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้กันเลยครับ
ปล. รวบรวมพิกัด GPS ของสถานที่ต่างๆไว้ให้ครับจะได้ตามรอยได้โดยง่ายครับ
บ้านสวนลุงฉลวย - โทร 087-058-7173
N12°41.13828 E101°55.97118
จุดชมวิวเนินนางพญา อ่าวคุ้งวิมาน คล้องกุญแจคู่รัก
GPS:N12°35.47842 E101°52.89618
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
GPS:N12°33.42036 E101°55.08102
ร้านเรือนริมน้ำ
GPS:N12°33.04188 E101°57.36822
วังสวนบ้านแก้ว
GPS:N12°39.83508 E102°5.85432
บ้านหลวงราชไมตรี
GPS:N12°36.7518 E102°6.82662
โบสถ์อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล
GPS:N12°36.55242 E102°7.12314
จันทรโภชนา (สาขาเบญจมราชูทิศ)
GPS:N12°36.71436 E102°6.77058
จันทรโภชนา (สาขามหาราช)
N12°35.85498 E102°6.7344
ศาลหลักเมือง/ศาลพระเจ้าตากสิน
GPS:N12°36.9789 E102°6.64476
ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับ
GPS:N12°35.84166 E102°6.28134
น้ำตกพลิ้ว (อลงกรณ์เจดีย์ และปิรามิด อนุสรณ์แห่งควาามรัก พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์)
GPS:N12°31.65816 E102°10.72038
ร้านหอยทอดนายเล็ก
GPS:N12°31.27806 E102°9.7881
แวะจุดแวะซื้อของฝาก ต้นตำรับ
GPS:N12°37.55166 E102°8.94984
ขนมเปี๊ยะรัชนี 039-361-087
GPS:N12°40.4364 E102°11.92548
สวนผลไม้ KP Garden 086-566-2419
GPS:N12°43.29162 E102°7.86102บ้านสวนลุงฉลวย - ราชาทุเรียนโลก - เกษตรกรตามแนวทางพระราชดำริ
หลังจากออกจากกทม. แวะกินข้าวที่มอเตอร์เวย์แล้วผมก็ขับรถมาทางอ.บ้านบึงครับ
แล้วก็ตัดมาทางอ.แกลงขับไปทางที่ไปจันทบุรีราวๆ 60 กม.
จะเห็นป้ายทางไป ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ก็เลี้ยวมาทางนั้นล่ะครับ แล้วจะมีป้ายบอกทางไปบ้านสวนลุงฉลวยครับ
ลุงฉลวยนั้นแต่เดิมทีเป็นชาวนาครับแต่ว่าพื้นที่ของแกไม่เหมาะกับการทำนาเท่าไหร่
ในช่วงหนึ่งจึงเปลี่ยนมาปลูกยางพารา และเป็นสวนทุเรียนในที่สุด
แต่ด้วยการที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวมานานทำให้ดินเริ่มเสื่อมสภาพและผลผลิตก็เริ่มตกต่ำในที่สุดครับ
จนปี 2544 หรือ 13 ปีก่อนลุงฉลวยได้มีโอกาสเข้าฟังสัมนาจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จึงทำให้ลุงฉลวยหันมาทำสวนที่พึ่งพาการทำเกษตรอินทรีย์แทนครับ รวมถึงหันมาปลูกพืชสวนผสม
เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงเรื่องราคาพืชผลตกต่ำนั่นเองครับ ซึ่งทำให้แกสามารถลดต้นทุนการผลิตได้มาก
ซึ่งนอกจากการลดต้นทุนการผลิตแล้ว ยังส่งผลให้ผลไม้มีรสชาติที่ดีขึ้นด้วยครับ
จนทำให้ทุเรียนของสวนแกได้รับรางวัลชนะเลิศทุเรียนโลก 3 ปีซ้อนในช่วงปี 2552-2554 ครับ
และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าถวายทุเรียนให้สมเด็จพระเทพฯ อีกด้วยครับ
ที่สวนลุงฉลวยเองนั้นในปีนี้ได้เข้าร่วมโครงการสวนผลไม้เพื่อการท่องเที่ยวกับ ททท.
ในการจัดบุฟเฟ่ต์ผลไม้ในราคา 199 บาทด้วยครับ แต่ด้วยความที่ว่าสวนลุงฉลวยค่อนข้างเล็ก
มีพื้นที่เพียง 15 ไร่ทำให้ผลไม้ไม่เพียงพอเท่าไหร่ครับ ที่สวนจึงเปิดบุฟเฟต์อยู่แค่ 10 วันแล้วก็เลิกไปครับ
ซึ่งช่วงที่ผมไปแกก็ไม่ได้เปิดเป็นบุฟเฟต์ผลไม้แล้วครับ แต่จะทานอะไรยังไงก็ซื้อได้และแกจะจัดเป็นถาดๆเอาไว้ครับ
แต่ว่าที่บ้านสวนลุงฉลวยนั้นไม่ได้เน้นการขายผลไม้เท่าไหร่
แต่จะเป็นการเน้นเปิดเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเสียมากกว่าครับ
คือเน้นการให้เดินชมสวน และให้ความรู้เกี่ยวกับสวน และวิธีในการปลูกพืชต่างๆครับ
ซึ่งหากว่างลุงฉลวยจะเป็นผู้นำเดินชมสวนด้วยตนเองเลยครับ
เจอต้นไหนสดๆก็เกี่ยวเองสอยเองจากต้นมาให้เราชิมเลยครับ
นอกจากนี้ที่สวนยังมีบ้านพักเป็นลักษณะโฮมสเตย์ 5 หลัง
และมีกิจกรรมต่างๆเช่นการขับรถ ATV ด้วยครับ
หลังจากกินจนหนำใจ (คุณภรรยา) แล้ว
เลยอุดหนุนผลไม้ในสวนแกกลับไปด้วยครับ
ทุเรียนหมอนทอง 2 ลูก (กิโลละ 80) แล้วแกก็แถมมังคุดมาให้ถุงนึงครับ
"ถึงแม้วันนี้ลุงจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ลุงก็มีความสุข
ไม่ต้องดิ้นรน..ไม่เดือดร้อน มีกิน มีใช้ ลูกๆมีอาชีพ ที่เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ขัดสน
แค่นี้ก็มีความสุขเพียงพอแล้ว สำหรับชีวิตนี้"
คำกล่าวสั้นๆของลุงฉลวยที่ผมได้ยินมาทำให้เราเห็นว่า
"ความพอเพียง" ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริไว้
แม้คำๆนี้อาจจะมีหลายคนตีความไปหลายอย่าง แต่สิ่งที่ลุงฉลวยได้ทำและตีความไว้
แน่นอนว่ามันคือความพอเพียงในแบบฉบับลุงฉลวยที่หลายๆคนต้องอิจฉาแกแน่ๆครับถนนเฉลิมบูรพาชลทิต - เส้นทางสายโรแมนติค (The Dream Destination of Love)
หลังจากอิ่มผลไม้จากสวนลุงฉลวยแล้วผมก็พาคุณภรรยาขับรถต่อไปที่ถนนที่สวยที่สุดสายหนึ่งของประเทศไทยครับ
นั่นคือถนนเฉลิมบูรพาชลทิตซึ่งเป็นถนนเลียบทะเลที่ยาวที่สุดในประเทศไทย..
โดยถนนสายนี้เริ่มตั้งแต่สัตหีบยาวไปจนถึงจังหวัดตราดเลยครับ
แต่ส่วนที่เป็นไฮไลท์สำคัญของถนนสายนี้ก็อยู่ในจังหวัดจันทบุรีนี่แหละครับ
ที่มี Scenic route ที่เริ่มต้นที่จุดชมวิวนางพญาครับซึ่งเป็นเนินเขาเล็กๆ
ที่อยู่ริมทะเลสามารถขึ้นไปชมวิวบริเวณอ่าวคุ้งวิมานได้ครับ
ที่จุดชมวิวนางพญานอกจากจะเป็นจุดชมวิวสวยๆแล้ว
ที่นี่ยังเป็นจุดที่คู่รักนำกุญแจมาคล้องเพื่อขอให้รักนั้นนิรันดร์อีกด้วยครับ...
แน่นอนผมก็เตรียมกุญแจไปจากบ้านครับ...
แต่... ผมเอาไปอันเดียว...
พอไปถึงอ้าวๆๆๆ เค้าคล้องเป็นคู่นี่นา...
คุณภรรยาเลยหันมาบอกว่า "นี่ตั้งใจเอาชั้นมาล๊อคทิ้งไว้ที่นี่เหรอ...." 55555
อ้อที่ถนนเฉลิมบูรพาชลทิตนั้นนอกจากจะเป็นถนนที่มีทิวทัศน์สวยงามแล้ว
ถนนนี้ยังเป็นถนนที่มีการทำเลนจักรยานให้ขาปั่นมาปั่นได้ด้วยนะครับ
โดยเส้นทางยอดฮิตคือการปั่นจาก เนินนางพญาเลียบชายหาดไปสุดที่สะพานแหลมสิงห์ระยะทาง 36 กิโลเมตรครับ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
หลังจากคล้องกุญแจ (อันเดียว) ที่เนินนางพญาไปแล้ว
ผมขับรถบนถนนเฉลิมบูรพาชลทิตอ้อมอ่าวคุ้งกระเบนไปประมาณ 15 กม.ครับ
ก็จะถึงศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ซึ่งที่นี่แหละครับเป็นที่ที่เปลี่ยนชีวิตลุงฉลวยจากการมาฟังสัมมนา
และกลับไปปรับปรุงสวนโดยยึดหลักความพอเพียง
ที่ศูนย์ฯ จะมีที่เที่ยวหลักๆ 3 โซนครับคือ
- หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำภายในอ่าวคุ้งกระเบน
- สะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน
- สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา
ซึ่งผมเลือกที่จะไปเดินเล่นที่ หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำภายในอ่าวคุ้งกระเบน ครับ
ซึ่งที่นี่หากเราได้มีการติดต่อไปยังศูนย์ฯก่อน ทางศูนย์จะสามารถจัดเตรียมวิทยากรให้เราได้ด้วยครับ
รวมไปถึงถ้าเราอยากทำกิจกรรมต่างๆที่นี่ ทางศูนย์ก็จะจัดเตรียมไว้ให้ครับ...
เช่นการปล่อยปู การทำอีแปะ เป็นต้นครับ
โดยเราสามารถติดต่อที่ศูนย์ได้ทั้งการโทรศัพท์ และอีเมล์ครับ ซึ่งศูนย์ที่นี่เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุด
ยกเว้นแค่ช่วงสงกรานต์เท่านั้นครับ เพื่อนสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้เลยครับ
http://www.fisheries.go.th/cf-kung_krabaen/index_1.html
พูดถึงเรื่องการทำกิจกรรมต่างๆ
สมัยก่อนผมเคยเดินทางไปยิงลูกยางปลูกป่า..ที่จังหวัดสระแก้วมาครับ
เคยถามคนที่ดูแลว่า พวกกิจกรรมที่มีให้ทำเนี่ยจริงๆแล้วมันได้ประโยชน์มากน้อยขนาดไหน
ผมได้คำตอบว่าอย่างการยิงลูกยางนั้น โอกาศที่ต้นยางจะขึ้นนั้นมีเพียง 2-3% เท่านั้น
แต่การจัดกิจกรรมนั้นเป็นการดึงให้คนทั่วไปเข้ามา เพื่อให้มีอะไรทำ
และระหว่างนั้นก็จะสามารถให้ความรู้ต่างๆกับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมได้นั่นเองครับ
อ้อที่นี่จะมีปลาหลากหลายสายพันธุ์เลี้ยงอยู่ในกระชังเพื่อใช้ในการศึกษาครับ
ถ้าเราไปวันเสาร์อาทิตย์บริเวณทางเข้าจะมีชาวบ้านเอาอาหารปลามาขายสำหรับเอาไปให้อาหารปลาในกระชังได้ด้วยนะครับ
แต่ถ้าไปวันธรรมดาเราจะต้องหาเตรียมไปเองครับ แต่ก็จะสะดวกในแง่ของคนไปจะน้อยหน่อย
สามารถเดินเที่ยวได้สบายๆครับ
อีแปะ...แหล่งอนุบาลลูกหอยนางรม
หนึ่งในกิจกรรมที่ทางศูนย์สามารถเตรียมให้เราได้คือการทำอีแปะครับ
ที่อ่าวคุ้งกระเบนนั้นเป็นที่ที่มีลูกหอยนางรมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปกติแล้วลูกหอยจะต้องลอยไปตามทะเล
เพื่อไปเกาะตามโขดหินต่างเพื่อเจริญเติบโตต่อไปครับ..
ดังนั้นที่ศูนย์จึงมีการทำอีแปะขึ้นโดยการเอาปูนซีเมนต์มาหยอดลงบนเชือก
แล้วเอาไปจุ่มลงไปในทะเลเพื่อให้ลูกหอยนางรมมาเกาะครับ จากนั้นจึงนำลูกหอยเหล่านั้นไปเลี้ยงต่อนั่นเองครับ
ธนาคารปู... เพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
“ถ้าอยากกินปูม้า ต้องทางภาคตะวันออก
แต่ถ้าอยากกินปูดำ ต้องไปทางใต้"
คำกล่าวนี้ผมเคยได้ยินมานานแล้วครับ.. และเป็นความเชื่ออยู่ในหัวของผมมาตลอด
ก็เข้าใจแค่ว่าแถวโซนนี้เป็นถิ่นปูม้า.. เลยทำให้ปูม้าแถวนี้มีเยอะและถูก
ซึ่งมันก็ถูกครึ่งนึงครับแต่นอกจากนั้นจากโครงการธนาคารปูของศูนย์ฯ
ทำให้ที่อ่าวคุ้งกระเบนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปูม้าไปด้วย
เพราะปกติแล้วปูม้าตัวหนึ่งๆจะสามารถออกไข่ได้ครั้งละกว่า 3-7 แสนฟอง
แต่ลูกปูที่เกิดมาจะสามารถโตและรอดชีวิตได้เพียงประมาณ 1% เท่านั้น
ทำให้ที่ศูนย์ริเริ่มโครงการธนาคารปูขึ้นมา
โดยรับฝากปูที่ชาวบ้านทำประมงได้ แต่เป็นปูที่มีไข่อยู่
โดยนำมาผลัดไข่ที่ธนาคารปูก่อนแล้วจึงนำปูนั้นไปขายต่อ
โดยหลังจากปูตัวแม่ผลัดไข่แล้วทางธนาคารปูจะมีการอนุบาลลูกปูต่อ
ซึ่งว่ากันว่าถ้าลูกปูโตจนตัวกว้างประมาณ 1 ซม.
โอกาสรอดไปจนโตเต็มวัยจะสูงขึ้นเป็น 50% เลยครับ
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่บริเวณนี้มีปูม้าสดๆจำนวนมากในราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับทางภาคใต้ครับ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากพระราชดำริของในหลวงในการเข้ามาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวบ้านแถบนี้
ให้สามารถอนุรักษ์ทรัพยากรณ์ธรรมชาติของบ้านเราได้อย่างยั่งยืนครับโครงการ 1 คน 1 วัน 1 ชิ้น
โครงการง่ายๆที่ผมกับคุณภรรยาทำมาได้ซักพักใหญ่ๆแล้ว
กับการเก็บขยะที่ผมเห็นในแหล่งท่องเที่ยวที่ผมไปเที่ยวไปทิ้ง
ผมตั้งใจว่าในการเที่ยวแต่ละวัน
นอกจากเราจะไม่ทิ้งขยะในสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว
ผมจะเก็บขยะอย่างน้อยหนึ่งชิ้นกลับไปครับ
ผมเองไม่ได้คาดหวังหรอกครับ..
ว่าการเก็บขยะวันละ 1 ชิ้นของผมจะทำให้ที่ท่องเที่ยวของเราสะอาดขึ้นแบบทันทีทันใด
แต่ผมคิดว่าผมอยากทำ และอยากเผยแพร่แนวคิดนี้ให้ทุกๆคนค่อยเริ่มทำกันครับ
วันนี้ผมทำคนเดียวก็เก็บได้ 1 ชิ้นต่อวัน
วันต่อมาผมชวนเพื่อนๆผม 10 คนทำก็เก็บได้ 10 ชิ้น
แล้วถ้าเพื่อนๆของผมทุกคนไปชวนเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนต่อๆกันไป
สมมติว่ามีคนห็นด้วยกับการทำแบบนี้ซัก 1 ล้านคน
ในหนึ่งวันเราก็สามารถกำจัดขยะไปได้ 1 ล้านชิ้นแล้วครับ
สำหรับแนวคิดนี้ผมได้มาจาก อช.ภูกระดึง ครับ
ที่เคยมีโครงการให้คนขึ้นภูเก็บขยะลงมา 1 กก. แล้วจะให้ใบประกาศ
ผมว่ามันก็โอนะ แต่มันดูมากไปเป็นภาระและทำยากไปหน่อย
ผมเลยขอเริ่มทำง่ายๆที่วันละ 1 ชิ้นนี่แหละครับ
ไม่เป็นภาระในการเดินทางท่องเที่ยวดีครับ
ปล. อยากชวนเพื่อนๆทุกคนมาร่วมกิจกรรมนี้นะครับ
เพื่อให้ที่เที่ยวของพวกเราอยู่กับพวกเราไปยันลูกหลานครับ
หรือใครมีวิธีอะไรที่ทำอยู่เป็นประจำๆ ก็เอามาแชร์ได้นะครับร้านเรือนริมน้ำ
หลังจากเดินเล่นที่กระชังปลาเป็นที่เรียบร้อยก็เที่ยงกว่าๆพอดีครับ
ผมเลยขับรถเลียบหาด และไปแวะทานข้าวกลางวันที่ร้านเรือนริมน้ำครับ
ร้านนี้เมนูเด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือปูนิ่มผัดมะนาวครับ
ปูเอาไปทอดกรอบๆผัดเหมือนผัดหัวหอมแต่มีการผัดมะนาวลงไป
รสชาติออกเปรี้ยวๆหวานๆกำลังดีเลยครับ
วังสวนบ้านแก้ว
หลังจากอิ่มแล้วผมขับรถจะเข้าไปที่ตัวเมืองครับแต่ก่อนเข้าไปผมแวะไปที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี
เพื่อไปเที่ยวที่วังสวนบ้านแก้วก่อนครับ..
วังสวนบ้านแก้วเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี
ผู้เป็นอัครมเหสีเพียงพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ครับ
บ้านหลังสีเขียวๆที่เห็นด้านหลังในอดีตเป็นบ้านพักของราชเลขานุการ
ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการของผู้มาติดต่อเยี่ยมชมวังสวนบ้านแก้วครับ
ที่สวนจะมีรูปปั้นของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีอยู่ครับ
ตำหนักเทา ที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
ในสมัยรัชกาลที่ 7 นั้นประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งใหญ่
และมีเหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง มีการจับตัวประกันในเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น
ช่วงที่รัชกาลที่ 7 เสด็จไปรักษาพระเนตรที่ประเทศอังกฤษ
จึงได้มีการประกาศสละราชสมบัติและได้ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษครับ
ซึ่งประเทศไทยก็ยังคงเกิดความวุ่นวายตามมาอย่างต่อเนื่อง
และรัชกาลที่ 7 ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษ
ซึ่งขณะนั้นมีเพียงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีที่ประกอบพิธีแต่เพียงลำพังครับ
และหลังจากนั้นท่านทรงต้องอยู่เพียงลำพังเพียงพระองค์เดียวในประเทศอังกฤษนานถึง 13 ปี
จนเมื่อการเมืองในประเทศไทยนิ่งจึงมีคำเชิญให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จกลับประเทศไทยพร้อมพระอัฐิ
จึงได้มีการประกอบพระราชพิธีดังเช่นกษัตรย์องค์อื่นๆของประเทศไทยครับ
แต่เมื่อกลับมาถึงไทยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีกลับไม่มีที่ประทับ
เพราะวังศุโขทัยที่ท่านเคยประทับกลับกลายเป็นกระทรวงสาธารณสุขไปแล้ว
ท่านจึงได้มาซื้อที่ดินบริเวณคลองบ้านแก้วจำนวน 687 ไร่และสร้างที่ประทับขึ้นที่นี่ครับ
รถยนต์ส่วนพระองค์ที่ทรงใช้ระหว่างประทับที่วังสวนบ้านแก้ว
สำหรับในตำหนักเทานั้นสามารถถ่ายรูปได้ยกเว้นห้องพระบรรทมครับ
พระตำหนักนั้นออกแบบเป็นพื้นเล่นระดับครับ
โดยเครื่องใช้ต่างๆนั้นหลายๆชิ้นท่านได้สั่งนำเข้าจากประเทศอังกฤษอาทิ
เตาแบบครัวฝรั่งยี่ห้อ Aga ที่ว่ากันว่าดีที่สุดในยุคสมัยนั้น
ห้องรับประทานอาหาร
นอกจากนี้ภายในตำหนักเทายังมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าต่างๆ
ที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงใช้ในอดีตด้วยครับพระตำหนักแดง - พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมท้องถิ่น
ด้านหลังของพระตำหนักเทาจะมีพระตำหนักแดงตั้งอยู่ครับ
ในสมัยก่อนเป็นที่พักของราชเลขาส่วนพระองค์
ปัจจุบันได้มีการปรับให้เป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมท้องถิ่นไปแล้วครับ
ภายในมีการจัดแสดงวัฒนธรรมต่างๆเกี่ยวกับจันทบุรี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสื่อจันทบูรที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เป็นผู้คิดค้นขึ้นครับ
และเรื่องการทำเหมืองพลอยในอดีตครับ
หลังจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้ประทับอยู่ที่วังสวนบ้านแก้ว
จนกระทั่งปี 2511 ท่านทรงได้เสด็จกลับไปประทับที่วังศุโขทัยเป็นการถาวร
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้ยกที่ดินของวังบ้านสวนแก้วให้กับกระทรวงศึกษาธิการ
ซึ่งปัจจุบันที่แห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีThe Historic Inn บ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรี .. ที่ที่สายน้ำจะไหลย้อนกลับ
หลังจากเดินเล่นที่ วังสวนบ้านแก้ว เสร็จก็ประมาณเกือบๆ 4 โมงผมก็ขับรถเข้าไปที่เมืองจันทบุรี ครับ
ซึ่งการมาจันทบุรีครั้งนี้ผมเลือกที่จะมาพักที่ บ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรีครับ
บ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรีเป็นที่พักน่ารักๆสไตล์บูทีคโฮเทลแห่งหนึ่งที่น่าสนใจมากครับ
ตอนไปถึงจะมี Welcome Drink เป็นน้ำมะปี๊ด หรือน้ำส้มจี๊ด ทานแล้วสดชื่อเลยทีเดียวครับ
บ้านพักที่นี่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมานี่เองครับ
โดยที่นี่นั้นได้มีการนำบ้านเก่าของหลวงราชไมตรีซึ่งเป็นหนึ่งในปูชนียบุคคลของจังหวัดจันทบุรีมาปรับเป็นที่พักครับ
บ้านหลวงราชไมตรีนั้นนอกจากจะเป็นบูทีคโฮเทลเก๋ๆแล้ว ที่นี่ยังเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์อีกด้วยครับ
เพราะมีการนำเอกสารราชการรวมถึงหนังสือ และเครื่องใช้เก่าๆในสมัยก่อนมาจัดแสดงที่โถงห้องรับแขกด้านล่าง
ซึ่งส่วนนี้เปิดให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามาชมและถ่ายรูปได้ด้วยครับ
แต่ที่เก๋กว่านั้นคือที่บ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรี นั้นจะมีการทำเป็นห้องพักทั้งหมด 12 ห้อง
ซึ่งแต่ละห้องจะมีชื่อที่แตกต่างกันไป ซึ่งชื่อห้องแต่ละห้องนั้นจะมีการตกแต่งแสดงถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆ
รวมไปถึงเรื่องราวการดำเนินชีวิตของหลวงราชไมตรีด้วยครับ
โดยวันที่ผมไปพักนั้นผมได้ไปพักที่ห้องของป่าสมุนไพร
ในห้องจะมีการจัดแสดงถึงสมุนไพรที่สามารถหาได้จากป่าที่จังหวัดจันทบุรี อาทิ กระวาน
และเอกสารต่างๆที่แสดงให้เห็นว่าหลวงราชไมตรีนั้นได้มีการติดต่อเพื่อนำสมุนไพรเหล่านั้นขายไปยังต่างประเทศครับ
ห้องนี้จะค่อนข้างเล็กครับ จึงมีการออกแบบเป็นสองชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นโต๊ะทำงานและที่นั่งพัก
และที่นอนจะอยู่ชั้นบนครับ
คุณนายผมนั่งอินกับบรรยากาศเลยครับ
สำหรับเพื่อนๆที่อยากมาพักที่นี่นั้นหากเป็นวันเสาร์อาทิตย์
แนะนำว่าต้องจองล่วงหน้านะครับ เพราะว่าห้องพัก 12 ห้องนั้นจะรองรับผู้เข้าพักได้เพียง 25 คนเท่านั้นครับ
และที่นี่ด้วยความที่เป็นบ้านเก่าที่ยังคงใช้โครงสร้างเดิมทั้งหลัง ซึ่งถือว่ามีความเปราะบางอยู่
ที่นี่จึงมีกฎง่ายๆ
1. ห้ามวิ่งเนื่องจากเป็นพื้นไม้ที่เชื่อมทั้งหลังการวิ่งจะเสียงดังและรบกวนผู้อื่น
2. การอาบน้ำจะต้องปิดผ้าม่านทุกครั้งเพื่อไม่ให้น้ำกระเด็นโดนไม้ซึ่งอาจสร้างความเสียหายได้จันทบูรโมเดล - ที่พัก.. ที่เป็นมากกว่าที่พัก - วิถีการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
บ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรีนั้นไม่ได้เป็นโรงแรมที่ก่อสร้างขึ้นมาเพื่อมุ่งหวังกำไรเพียงอย่างเดียว
เพราะที่นี่มีการก่อตั้งบริษัทขึ้นมาในรูปแบบ Social Enterprise ที่เปิดโอกาสในคนในชุมชนรวมไปถึงคนทั่วไป
ได้มีโอกาสร่วมถือหุ้นเป็นเจ้าของบ้านหลวงราชไมตรีนี้ร่วมกัน เพื่อเป็นการอนุรักษ์ “วิถีชุมชน" ของชาวจันทบูร
ให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืนครับ ด้วยวิธีดังกล่าวนั้นทำให้เราเห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของคนในชุมชนจันทบูร
ที่ต้องการปกปักษ์รักษาชุมชนแห่งนี้ให้คงอยู่ต่อไป โดยใช้ Concept วัฒนธรรมนำการค้า นั้นเองครับ
ซึ่งก็ทำให้ชุมชนริมน้ำแห่งนี้มีคนมาเดินเล่นเที่ยวชมเป็นจำนวนมากเลยครับ
ซึ่งเสน่ห์ของบ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรีนั้น นอกจากตัวบ้านพักเองแล้ว
ก็เห็นจะเป็นชุมชนที่อยู่โดยรอบนี่แหละครับที่จะทำให้เราเสมือนได้ย้อนเวลาไปยังอดีต
ได้ใช้ชีวิตอย่างช้าๆและเรียบง่ายนั่นเองครับชุมชนริมน้ำจันทบูร... วิถีชุมชน..ที่ซึ่งอดีตมาบรรจบกับปัจจุบัน
หลังจากเช็คอินและเก็บข้าวเก็บของเป็นที่เรียบร้อยผมก็พาคุณนายผมไปเดินเล่นในชุมชนริมน้ำกันต่อครับ
เพราะนอกจากบ้านพักประวัติศาสตร์ หลวงราชไมตรีแล้ว
ชุมชนริมน้ำจันทบูรแห่งนี้ถือว่าเป็นที่ที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากๆเลยครับ เอาแผนที่มาฝากกันก่อนครับ
โดยผมไปเริ่มต้นที่ บ้านหมายเลข 69 ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนริมน้ำจันทบูรครับ
บ้านหลังนี้เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ เป็นบ้านของขุนอนุสรสมบัติ อายุกว่า 100 ปีแล้วครับ
ปกติแล้วจะเปิดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ 10 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นครับ
เพราะเนื่องจากที่นี่จะมีอาสาสมัครไปประจำอยู่เพื่อคอยเล่าประวัติความเป็นมาของชุมชนแห่งนี้ครับ
แต่หากเราไปนอกช่วงเวลาเราสามารถโทรติดต่ออาจารย์ประภาพรรณ ฉัตรมาลัย 081 945 5761
เพื่อประสานงานคนมาเปิดให้ได้นะครับ
จากการที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับอ.ประภาพรรณทำให้ผมรู้สึกว่า
จุดเด่น และจุดแข็งของชุมชนริมน้ำจันทบูรอย่างหนึ่งคือ
การเป็นชุมชนเก่าที่ยังคงวิถีการดำเนินชีวิตอยู่จริงๆ
ไม่ได้เป็นเพียงตึกรามบ้านช่องเก่าเหมือนอย่างหลายๆแห่ง
อ.ประภาพรรณเล่าว่าที่ชุมชนแห่งนี้เราจะไม่ได้ทำมาค้าขายแข่งกัน
เพราะโดยมากแล้วของที่ขายแต่ละอย่างจะมีทำอยู่เพียงร้านเดียว
เรียกว่าใครเด่นอะไรก็ขายอย่างนั้น เพราะมันคือตัวตนของเรา
ผมถามอ.ประภาพรรณถึงเรื่องที่มีนายทุนมาลงทุนเปิดร้านใหม่ๆว่า
กลัวที่นี่จะกลายเป็นแบบแหล่งท่องเที่ยวแบบอัมพวาหรือที่อื่นๆมั๊ย
ที่ดูเหมือนสูญเสียความเป็นตัวตนของชุมชนไป
อ.ประภาพรรณบอกว่าแม้ปัจจุบันจะมีนายทุนมาลงทุนเปิดร้านอะไรใหม่ๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
เนื่องจากคนในชุมชนนั้นอาศัยอยู่และดำเนินชีวิตไปอย่างความเป็นจริงดังเช่นที่ผ่านๆมานั่นเองครับขนมไข่ป้าไต๊
หลังจากร่ำลาอาจารย์ประภาพรรณผมก็เดินไปที่ร้านขนมไข่ป้าไต๊ครับ
คุณป้าไต๊แม้ปัจจุบันจะอายุอานามไป 80 กว่าปีแล้ว
แต่แกยังคงนั่งทำร่วมกับทายาทของแกอยู่ครับ
ขนมไข่ป้าแกหอมกรอบมากๆครับ แนะนำว่ามาแล้วต้องมาชิมนะครับ
ร้านหวานคำนึง
ใกล้ๆกับร้านขนมไข่ป้าไต๊.. ผมได้แวะไปที่ร้าน หวานคำนึง ที่เป็นร้านยุคใหม่
ออกแนวทำขึ้นมาเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในปัจจุบันครับ ร้านมีมุมถ่ายรูปเยอะแยะตามสมัยนิยมเลยครับ
ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นเหมือนกันครับว่าร้านที่มีอยู่ในอดีตยาวนานกว่า 60 ปี
อย่างขนมไข่ป้าไต๊.. ก็สามารถอยู่ร่วมในชุมชนกับร้านยุคใหม่ได้อย่างกลมกลืน
เพราะส่วนตัวแล้วผมกลับรู้สึกว่า มันต้องมีร้านทั้งสองประเภทนี้อยู่ด้วยกัน
มันถึงจะเป็นเสน่ห์ให้มาเยี่ยมชม.. เพราะถ้ามีแต่ร้านโบราณๆ
นักท่องเที่ยวมาเดินก็ไม่มีที่นั่งพัก แต่ถ้ามีแต่ร้านยุคใหม่
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เรานั่งเล่นอยู่กรุงเทพฯ จริงมั๊ยครับโบสถ์คาทอลิค ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของวิถีชุมชน
ชุมชนริมน้ำจันทบูรเป็นชุมชนเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ราวๆ 300 ปีที่แล้ว
ซึ่งในสมัยก่อนนั้นที่นี่ถือว่าเป็นทำเลที่ดีการเดินทางสะดวก
ถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของพื้นที่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทยเลยครับ
ซึ่งทำให้ที่ชุมชนจันทบูรมีคนหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ทั้งคนไทย จีน เวียดนาม และฝรั่ง
ที่นี่จึงมีโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล ตั้งอยู่ครับ
ว่ากันว่าที่นี่สร้างขึ้นโดยมีต้นแบบจากมหาวิหารนอร์เธอร์ดามที่ปารีสครับ
จริงๆแล้วที่ตัวโบสถ์ในสมัยก่อนจะมีโดมด้วยแต่ในช่วงเกิดสงครามโดมดังกล่าวได้ถูกรื้อถอนออกไปครับ
ตัวโบสถ์นั้นถูกสร้างและบูรณะมาหลายครั้งแล้วครับ
ซึ่งโบสถ์ที่เห็นในหลังปัจจุบันนั้นเป็นการสร้างเป็นครั้งที่ 5
และนับจนถึงปัจจุบันนี้โบสถ์นี้ก็มีอายุอานามมากกว่า 109 ปีเข้าไปแล้วครับ
จันทรโภชนา ตำนานความอร่อยคู่เมิองจันทบุรี
หลังจากเดินถ่ายรูปที่ชุมชนริมน้ำเสร็จผมก็ไปทานข้าวครับ
โดยผมไปทานข้าวที่ร้านจันทรโภชนาครับ...
ซึ่งเป็นร้านที่อยู่คู่กับเมืองจันทบุรีมานานกว่า 53 ปีแล้วครับ
สำหรับสาขาแรก(สาขาเบญจมราชูทิศ) นั้นดูแลโดยคุณแม่ไพจิตต์
และปัจจุบันสาขาที่สอง(สาขามหาราช) นั้นดูแลโดยพี่ต่อคุณอุกฤษฎ์
ส่วนตัวผมมีโอกาสไปทานมาทั้งสองสาขาเลยครับ
โดยครั้งที่มาทริปกับนิตยสาร Barefoot ผมไปทานที่สาขามหาราชครับ
แต่ครั้งนี้ผมมาทานที่สาขาเบญจมราชูทิศเพราะอยู่ห่างจากบ้านพักฯ แค่ 100 เมตรเท่านั้นครับ
ความแตกต่างของสองสาขานี้คือสาขาดั้งเดิมที่คุณแม่ไพจิตต์ดูแลนั้นจะตั้งอยู่ใกล้กับชุมชนริมน้ำจันทบูร
ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นชาวเมืองจันทบูรแวะเวียนมาทานกันครับ แต่ที่นี่จะต้องจอดรถเอาเองริมถนนครับ
ส่วนสาขามหาราชนั้นจะมีที่จอดรถกว้างขวางและมีการตกแต่งร้านสวยงามในสไตล์โคโลเนียล
โดยจุดเด่นของร้านจันทรโภชนา คือการประยุกต์นำของพื้นบ้านมาทำเป็นอาหารครับ โดยเฉพาะผลไม้
ไม่ว่าจะเป็น "ยำมังคุด" "ส้มตำทุเรียน" และ "มัสมั่นทุเรียน"
ซึ่งมัสมั่นทุเรียนถือว่าเด็ดมากครับ เพราะปกติแล้วผมเป็นคนไม่ทานทุเรียนเพราะเหม็นครับ
ครั้งแรกที่ทานไม่ทราบเลยครับนึกว่าคือมัน ตักทานไปอร่อยมากกก.... ไม่มีกลิ่นเหม็นเลยครับ
ถ้ารู้ก่อนว่าเป็นทุเรียนคงไม่กล้าทาน 55555 และด้วยการนำทุเรียนมาใช้แทนมันนั้น
ทำให้มัสมั่นจะมีรสชาติออกไปทางหวานนิดๆ จากทุเรียนด้วยครับ
ส่วนอาหารพื้นบ้านของจันทบุรีอย่าง "หมูชะมวง" และ "เส้นจันท์ผัดปู" ก็อร่อยครับ
รวมไปถึง "แสร้งว่า" ที่มีลักษณะคล้ายๆน้ำพริกกุ้งสดจากทางใต้ แต่อันนี้เป็นแบบไม่มีกะปิครับ
อีกจานหนึ่งที่เด็ดไม่แพ้จานอื่นๆคือ "ถั่วฝักยาวผัดกะปิ" ที่รสชาติออกหวานนิดๆเค็มกะปิหน่อยๆ
เข้ากันดีอย่างไม่น่าเชื่อครับ และสุดท้ายคือ "ต้มลอมาจู" เป็นการนำเนื้อปลากะพงไปต้มแบบต้มส้มและมีการใส่ไข่ลงไปครับทานแล้วสดชื่นดีครับ
ส่วนของหวานก็มีหลากหลายครับทั้ง สละลอยแก้ว และไอศกรีมกะทิ Espresso รวมไปถึงเค้กทุเรียนครับ
ปล. เค้กทุเรียนกลิ่นทะลุทะลวงมากจนไม่กล้าถ่ายรูปเลยครับ ผมนี่รีบยกให้คุณนายผมเลยครับ 555
สำหรับสนนราคาก็ตามนี้ครับ
ยำมังคุด 120.-
ส้มตำทุเรียน 120.-
มัสมั่นไก่ใส่ทุเรียน 250.-
ถั่วฝักยาวผัดกะปิ 80.-
หมูชะมวง 100.-
แสร้งว่า 100.-
ลอมาจู (หม้อไฟ) 280.-
เส้นจันท์ผัดปู (ใหญ่) 100.-
ของหวาน 65.-สำหรับทั้งสองสาขาที่ได้ไปชิมมานั้นรสชาติใกล้เคียงกันครับ
แต่จะรู้สึกว่าสาขาเบญจมราชูทิศ นั้นรสชาติจะจัดจ้านกว่าครับ
ส่วนสาขามหาราชจะออกแนวละมุนลิ้นกว่า
ส่วนเรื่องความสะดวกถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่สาขามหาราชจะค่อนข้างสะดวกกว่าครับ
รวมถึงร้านจะตกแต่งสวยงามมีมุมให้ถ่ายรูปเล่นมากกว่าครับ
วันที่ไปเจอคุณแม่ไพจิตต์พอดีเลยถ่ายรูปมาด้วยครับ
หลังจากอิ่มแล้วผมก็รีบกลับที่พักนอนครับ
เพราะวันรุ่งขึ้นมาจะตื่นมาใส่บาตรด้วยครับตักบาตรยามเช้า - ท่องเที่ยววิถีไทยเก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร
ด้วยความที่บ้านพักแห่งนี้ตั้งอยู่ในชุมชนริมน้ำจันทบูร
ช่วงเช้าจึงสามารถตื่นมาเพื่อตักบาตรได้ครับ เพราะเป็นชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่ จึงมีพระมาเดินบิณฑบาตรครับ
โดยฝั่งตรงข้ามบ้านพักฯ จะมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ทำอาหารเป็นชุดไว้สำหรับใส่บาตรครับ
ซึ่งคนขายเองก็ทำขึ้นมาเพื่อตักบาตรเองด้วยนั่นล่ะครับ
ก๋วยจั๊บป้าไหม.. สุนาบ้านข้าวเหนียว
สำหรับมือเช้าปกติแล้วทางบ้านพักจะมี “ข้าวต้มจันทบูร" ไว้บริการครับ
ซึ่งจะเป็นเหมือนข้าวต้มหมูสับแต่จะโรยด้วยไข่เจียวซอยและหัวไชโป้วซอยครับ
แต่จะมีอาหารเด็ดอีกอย่างที่น่าลองคือ"ก๋วยจั๊บป้าไหม" ซึ่งร้านอยู่เยื้องๆบ้านพักฯครับ
เราสามารถบอกที่บ้านพักให้เค้าเตรียมให้เราได้ครับราคา 30 บาทอร่อยมากครับ
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จผมไปเดินเล่นในชุมชนอีกพักนึงครับ
ไปเจออีกร้านนึงที่น่าสนใจแต่ไม่ได้อยู่ในถนนริมน้ำนะครับ
แต่ร้านจะอยู่ที่ถนนขวางนั่นคือ "สุนาบ้านข้าวเหนียว"ครับ
โดยจากชุมชนริมน้ำพอเจอถนนขวางให้เดินขึ้นไป 1 บล๊อคร้านจะอยู่ทางซ้ายมือครับ
ข้าวเหนียวของที่นี่จะทำวันต่อวันหอมสดอร่อยมากครับ โดยสามารถเลือกหน้าได้หลากหลายครับ
หรือถ้าเลือกไม่ถูกจะทานแบบไส้รวมก็ได้ครับ
ศาลหลักเมือง - ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
หลังจากเช็คเอ้าท์ที่บ้านหลวงราชไมตรีเรียบร้อย
ผมขับรถไปไหว้ศาลหลักเมือง และศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครับ
ทั้งสองที่นี่อยู่ติดกันเลยครับ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถือว่ามีความผูกพันกับเมืองจันทบุรีไม่น้อย
เพราะใช้จันทบุรีเป็นที่รวมพลในการไปกู้เอกราชครั้งที่สองนั่นเองครับ
ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับ - พิพิธภัณฑ์อัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
หลังจากไหว้ศาลหลักเมืองและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเพื่อเป็นศิริมงคลแล้ว
ผมพาคุณภรรยาไปที่ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับ ครับ
ซึ่งที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์อัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียเลยครับ
สำหรับการมาที่นี่ผมได้ไกด์กิตติมศักดิ์ พี่นุศ prettyguide เจ้าถิ่นคนเมืองจันท์เป็นคนพาเดินชมครับ
ที่นี่จะมีห้องวิดีทัศน์ให้ชมประวัติของอุตสาหกรรมพลอยด้วยครับ
โดยปกติที่นี่หากต้องการเข้าชมจะต้องเป็นกรุ๊ปใหญ่
หรือไม่อย่างนั้นต้องโทรมาแจ้งล่วงหน้านิดนึงนะครับ โทร 039-303-118
หลังจากชมวิดีทัศน์เสร็จผมก็ไปเดินชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์ต่อครับ
ก็จะมีประวัติต่างๆ และมีแสดงให้เห็นว่าบรรดาพลอยและอัญมณีต่างๆนั้น
ประเภทใดสามารถขุดได้จากแหล่งใดในโลกบ้างครับ
ห้องนี้มีฉายโฮโลแกรมด้วยครับทันสมัยไฮโซมากๆ
แล้วก็มีมงกุฎจำลองด้วยครับ.. ภาพนี้เป็นมงกุฎของ Queens Elizabeth
จากการมาเดินที่นี่ทำให้ทราบว่าจริงๆแล้ว ที่หลายๆคนมักพูดว่าพลอยเมืองจันทบุรีนั้นหมดไปแล้วนั้นไม่จริงซะทีเดียว
แต่พลอยที่ขุดเจอนั้นลดปริมาณลงไป อันนี้เป็นเรื่องจริงครับ
เพราะที่จริงแล้วที่จันทบุรีนั้นไม่ได้มีจุดเด่นที่การขุดพลอยครับ
แต่ที่เมืองจันทบุรีนั้นเป็นแหล่งค้าพลอยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
นั่นคือจะมีพ่อค้าพลอยนำเข้าพลอยจากต่างประเทศที่เป็นลักษณะพลอยดิบ
มาขายที่นี่และที่เมืองจันทบุรีนั้นจะเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับพลอย
เช่นการเผา การเจียระไน และประดับลงเรือนเช่นสร้อยคอ หรือแหวนเสียมากกว่าครับ
ซึ่งปัจจุบันยังถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศต้นๆของโลกที่ส่งออกอัญมณีครับ
ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกเล็กน้อยครับ (วันนี้พี่ตั้ม Blogger อีกคนในทีมผมเดินทางมาที่นี่เหมือนกันครับ)
หลังจากเดินเล่นเสร็จคราวนี้ก็ถึงคราวช๊อปปิ้งของคุณนายผมบ้างหล่ะครับ
จริงๆแล้วในห้องค้าพลอยนี้ห้ามถ่ายรูปนะครับ
ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยรวมถึงเรื่องการลอกเลียนแบบด้วยนั่นเองครับ
แต่ผมขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษเพื่อถ่ายเก็บบรรยากาศมาให้ชมกันครับ
สำหรับสัญลักษณ์ PloyChan นั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ออกให้กับร้านค้า
ที่ได้รับการตรวจรับรองคุณภาพอัญมณีต่างๆว่าเป็นอัญมณีของแท้
ซึ่งทุกร้านที่นี่ล้วนผ่านการรับรองนี้แล้วทั้งสิ้นครับ
อ้อสำหรับขาช้อปที่นี่มีของขายตั้งแต่ราคาหลักร้อยจนราคาหลักแสนหลักล้านเลยนะครับอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว - แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ.... อนุสรณ์แห่งความรัก พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
หลังจากคุณนายผมช้อปปิ้งเป็นที่เรียบร้อย
ผมก็(รีบ)พาคุณนายผมออกมาครับ เพราะอยู่นานเดี๋ยวเสียตังค์ 55555
ผมก็ไปเที่ยวต่อที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วครับ
ที่นี่ไม่สามารถนำรถเข้าไปภายในอุทยานได้นะครับต้องจอดรถตามที่จอดรถด้านนอกครับ
แต่ผมแนะนำให้ขับไปจนเห็นทางเข้าอุทยานค่อยหาที่จอดครับ
เพราะที่จอดที่แรกจะอยู่ไกลมากครับ ค่าจอดที่นี่ 30 บาทครับ
สำหรับค่าเข้าอุทยานฯนั้นก็คนละ 40 บาทครับ
แต่ล่าสุดผมเห็นประชาสัมพันธ์ของอุทยานฯ ลดราคาเข้าอุทยานฯ ครึ่งราคา
สำหรับการมาเที่ยวใน "วันธรรมดา" ครับ โดยเริ่มลดราคาตั้งแต่ 1 กค. เป็นต้นไปครับ
ที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วนั้นเป็นป่าที่ร่มรื่น
มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเดินชิวๆ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรครับ
ระหว่างทางเป็นธรรมชาติเขียวร่มรื่นมากๆครับ
บริเวณก่อนถึงน้ำตกนั้นจะมีอลงกรณ์เจดีย์และปิรามิด อนุสรณ์แห่งความรักพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ตั้งอยู่ครับ
ที่นี่ในสมัยก่อนนั้นสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จมาพร้อมกับพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงโปรดปรานที่นี่มาก เพราะเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามอย่างยิ่ง
สวยกว่าที่เคยเสด็จไปที่อื่นมาทั้งในและต่างประเทศ
จึงได้มีการสร้างอลงกรณ์เจดีย์ ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเสด็จประพาสที่นี่
โดยในครั้งนั้นพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ได้กล่าวว่าทรงอยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง
แต่ยังไม่มีโอกาสในการกลับมาที่นี่ก็เสด็จฑิวงคตจากอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่มในแม่น้ำเจ้าพระยาเสียก่อน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดให้สร้างปิรามิดขึ้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2424
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักและอาลัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อพระนางเจ้าสุนันทากุมารี โดยที่ภายในบรรจุพระอังคารส่วนหนึ่งไว้ด้วยครัย
สาเหตุที่ทำเป็นรูปทรงปีระมิดเพราะทรงเห็นว่าปิรามิดในอียิปต์สามารถอยู่ยืนยาวจวบจนปัจจุบันฉันใด
ปิรามิดที่ทรงให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอุนสรณ์แห่งนี้ก็จะคงอยู่ตลอดไปเฉกเช่นปิรามิดอื่นๆฉันนั้นเช่นกันครับ
สำหรับน้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีน้ำไหลลงมาตลอดทั้งปีครับ
จึงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่เสมือนที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวจันทบุรีครับ
ผมไปมาวันหยุดคนนี่เพียบเลยครับ....
นอกจากน้ำตกแล้วเหล่าปลาพลวงหินที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาที่นี่ครับ
สำหรับปลาพลวงหินจะชอบกินถั่วฝักยาวซึ่งสามารถซื้อได้จากร้านค้าทั่วไปในบริเวณอุทยานครับ
หอยทอดนายเล็ก.. หอยทอด..จานไม่เล็ก
เดินเล่นในน้ำตกจนเหนื่อยแล้วผมก็พาคุณนายไปกินข้าวกลางวันกันครับ
โดยเป้าหมายอยู่ที่ "ร้านหอยทอดนายเล็ก" ซึ่งตั้งบนถนนสุขุมวิทฝั่งเข้าเมืองจันทบุรีครับ
โดยออกจากอุทยานแล้วพอเลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิทขับมาประมาณ 500 เมตรก็จะเจอครับ
ร้านนี้ของเด็ดอยู่ที่หอยทอดจานยักษ์ครับ
โดยขนาดเล็กสุดสำหรับกินประมาณ 3 คนอยู่ที่ราคา 300 บาท
และจานยักษ์กินประมาณ 15 คนราคาจะราวๆ 1200 บาทครับ
ผมกลั้นใจสั่งจาน 300 บาทมาแบ่งกับคุณภรรยา.... กะว่าไม่หมดก็ใส่กล่อง...
ปรากฎว่าหมดจ้า...
ปล. จริงๆแล้วที่นี่ถ้าไม่ได้อยากทานกุ้งแม่น้ำแนะนำว่าสั่งแบบธรรมดาคุ้มกว่าครับ
โดยสามารถเลือก Topping ได้ 1 Topping 60 บาท 2 Topping 90 บาทครับแวะซื้อของฝากที่ร้านต้นตำรับ
หลังจากกินหอยทอดจานยักษ์เสร็จก็ขับรถกลับไปตามถนนสุขุมวิทครับ
โดยผมจะแวะไปที่อ.มะขามครับ แต่ก่อนถึงผมไปแวะที่ "ร้านต้นตำรับ" ก่อนครับ
ที่ร้านต้นตำรับเป็นทางแยกในการกลับกรุงเทพฯ หรือแยกกลับทางสระแก้ว ปราจีนบุรี รวมถึงขึ้นไปทางอีสานครับ
ปล. แวะต้นตำรับก็จริงแต่ผมไปซื้อของที่เพิงที่อยู่ใกล้ๆแทนครับ 5555
ขนมเปี๊ยะรัชนี - อร่อยต้องรอ
หลังจากช้อปของฝากกลับบ้านกันแล้วแต่ผมยังไม่ได้กลับครับ
ที่มาช้อปก่อนเพราะเดี๋ยวตอนขับรถไปอีกสองที่มันจะไม่ได้มาผ่านเส้นนี้แล้วครับ
จากร้านต้นตำรับผมขับรถไปทางอ.มะขามครับเพื่อไปดูและเยี่ยมชมบ้านของคุณป้ารัชนี
ที่มีข่าวออกไปว่าการจะสั่งขนมเปี๊ยะที่แกทำนั้นมีคิวล่วงหน้านานถึง 2 ปีเลยครับ
บ้านของป้ารัชนีนั้นอยู่หลังเทศบาลอำเภอมะขามเลยวัดมะขามไปไม่ไกล
เป็นบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียวครับ
ตอนที่ไปถึงนั้นคุณป้ารัชนียังคงง่วนอยู่กับการปั้นแป้งขนมเปี๊ยะอยู่ครับ
แต่พอป้าแกเห็นพวกผมเดินมาดูแกก็ลุกขึ้นมาต้อนรับอย่างดีเลยครับ
จากที่คุยกับแก..ปัจจุบันแกอยู่ตัวเพียงคนเดียว มีอาชีพทำขนมเปี๊ยะขาย
ไม่ได้มีหน้าร้านหรือทำเพื่อนำไปวางขายที่ไหน แต่จะรับทำตามออเดอร์เท่านั้น
แกทำมา 21 ปีหล่ะครับเมื่อก่อนเคยทำขนมไทยด้วย แต่ปัจจุบันแค่ทำขนมเปี๊ยะอย่างเดียวก็เวลาไม่พอแล้วครับ
แกบอกว่าแกไม่เคยเปิดหน้าร้าน ไม่เคยส่งขนมเปี๊ยะไปขายที่ไหน แต่ทำให้คนแถวบ้านทานแล้วก็อร่อย
จนมีคนมาออเดอร์แกให้ทำ จากนั้นก็บอกกันปากต่อปากถึงความอร่อย
จนทำให้มีคนสั่งมาเรื่อยๆ จนปีที่แล้วคนที่สั่งคนสุดท้ายเนี่ยต้องรอนานถึง 2 ปี
ทำให้ปัจจุบันคุณป้ารัชนีได้หยุดการรับออเดอร์ไปแล้วครับ
ระหว่างคุยกับแก แกก็ปั้นขนมเปี๊ยะไปเรื่อยๆครับ
แกบอกว่าในสมัยก่อนนั้นแกเคยทำขนมเปี๊ยะต่อวันประมาณ 1,000 ลูก
แต่ด้วยวัยที่ล่วงเลยไป แกบอกว่าปัจจุบันทำเฉลี่ยได้เพียงวันละ 600 ลูกเท่านั้น
และอีกสาเหตุหนึ่งที่ออเดอร์ยาวนานถึงสองปีนั้น
ก็เพราะคุณป้าแกทำทุกกระบวนการทุกขั้นตอน
ด้วยตัวแกเองเพียงคนเดียวไม่มีลูกจ้างใดๆทั้งสิ้น
เพราะต้องการควบคุมคุณภาพให้ได้ดังที่แกตั้งใจเอาไว้นั่นเองครับ
แกบอกว่าช่วงหนึ่งเคยรับลูกจ้างมา กว่าจะเทรนให้ทำตามที่แกต้องการได้ลูกจ้างก็ลาออกไปเสียก่อน
แกเลยตัดสินใจว่าจะทำเองคนเดียวครับ
ระหว่างปั้นอยู่เสียงติ๊ง.. จากเครื่องอบดังขึ้น
แกก็ลุกจากเก้าอี้ไปที่เตาอบเพื่อเอาขนมเปี๊ยะออกมา
พร้อมกับเอาล็อตใหม่ใส่เข้าไปอบต่อ
พอขนมล็อตนั้นเสร็จแกก็ชวนให้พวกผมลองชิมดูครับ...
จากการที่ได้ชิม... ขนมเปี๊ยะของแกอร่อยที่ตัวแป้งครับ (ซึ่งเป็นเคล็ดลับของแกที่ไม่สามารถบอกได้ครับ)
ตัวแป้งจะบางกรอบเป็นชั้นๆคล้ายๆพัฟ ส่วนใส้นั้นจะออกเค็มกว่าขนมเปี๊ยะทั่วไปนิดนึงครับ
เพราะแกจะใส่ไข่เค็มที่มากกว่าปกติครับ ยิ่งได้ทานตอนร้อนๆใส้จะเนียนมากครับ
ตอนแรกจะจ่ายตังค์แก แกก็บอกว่าไม่เอา ให้ชิมคือให้ชิมไม่ขาย..
แต่ผมจะขอซื้อก็เกรงใจแก.. เกรงใจคนที่รอคิวอยู่
แต่แกบอกว่าวันนี้พอให้ได้ 1 กล่องเพราะวันนี้ทำเกินกว่า 600 ลูก
แต่วันไหนทำพอดีวันนั้นก็ไม่สามารถขายให้ได้นะครับ
ซึ่งจากการที่ได้มาคุยกับคุณป้าแล้ว ก็รับรู้ได้เลยว่าแกไม่ได้หยิ่ง แกไม่ได้ทำการตลาด
แต่เป็นเรื่องของความรู้จักกำลังตน ความพอเพียง และความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า
ที่ต้องการให้ลูกค้าได้ของตามมาตรฐานของแกมากกว่าการจะจ้างใครก็ไม่รู้มาทำ
สุดท้ายก็ไม่ได้คุณภาพอะไรอย่างนั้นครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการสั่งจองนั้น
คุณป้าบอกว่าจะเปิดรับสั่งจองอีกครั้งเมื่อเคลียร์ออเดอร์เก่าหมดแล้วเท่านั้น
นั่นก็คือจะเปิดรับจองตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559 เป็นต้นไปครับ
โดยสามารถโทรไปได้ที่หมายเลข โทร.039-361-087 เวลา 6:00-18:00KP Garden.. เทศกาลสวนผลไม้บุฟเฟต์
หลังจากมีโอกาสได้ชิมขนมเปี๊ยะรัชนีอย่างไม่คาดฝันผมก็ร่ำลาป้ารัชนี
แล้วเดินทางต่อไปยังสวน "KP Garden" ครับ
ซึ่งที่นี่ก็เป็นหนึ่งใน 11 สวนที่จัด "เทศกาลบุฟเฟต์ผลไม้" ร่วมกับ ททท. ครับ
สำหรับที่สวนแห่งนี้จะจัดบุฟเฟต์เป็นรอบๆ เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์
วันละ 4 รอบคือ 9:00 11:00 13:00 และ 15:00 จะเปิดรับเพียงรอบละ 50 คนเท่านั้นครับ
และจะต้องโทรมาจองล่วงหน้าครับ เพราะถ้าไม่จองมาแล้วรอบนั้นเต็ม
เค้าจะไม่รับครับ... เพราะไม่สามารถเตรียมผลไม้ไว้ให้พอนั่นเองครับ
อีกอย่างการโทรมาจองก่อนจะสามารถบอกทางสวนได้ด้วยครับว่าชอบผลไม้แบบไหนยังไง
เช่นทุเรียน ชอบห่าม ชอบสุกๆ หรือชอบแบบไหนก็บอกเค้าล่วงหน้าได้ครับ
เค้าจะได้เตรียมผลไม้แบบที่เราชอบไว้ซึ่งผมโทรมาจองรอบ 15:00 ไว้ครับ
พอไปถึงก่อนอื่นเค้าจะพาเดินชมสวนก่อนครับ..เพื่อให้ดูสวนที่เค้าปลูก
รวมถึงพูดให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกผลไม้ชนิดต่างๆด้วยครับ
แล้วก็ให้เราลองเก็บผลไม้เองด้วยครับ
ส่วนทุเรียนนี่เจอลูกที่สุกตามแบบที่เราอยากกิน
เค้าก็ตัดมาให้เราสดๆเลยครับ (แต่จริงๆเค้าจะเตรียมไว้อยู่ส่วนหนึ่งแล้ว)
จากนั้นพอเดินรอบสวนเสร็จเค้าจะให้เราลองผ่าทุเรียนเองได้ด้วยครับ
คุณนายผมเลยขอลองซะเลย 5555
ผ่าเสร็จแล้วอวดใหญ่เลย.... วันนี้ผมยกให้วันนึง
เพราะปกติผมเป็นคนเหม็นกลิ่นทุเรียนมากครับ
ใครกินมานี่ผม Detect ได้หมดแล้วจะเหม็นมาก...
แต่วันนี้ยอมครับ ยอมคุณภรรยาให้ทานทุเรียน นางนี่ยิ้มกริ่มเลยครับ.....
อันนี้เป็นภาพบรรยากาศบริเวณที่นั่งทานครับทางสวนจะยกมาเสิร์ฟให้
ถ้าหมดแล้วอยากได้อะไรก็สามารถสั่งเพิ่มได้เลยครับ...
วันนี้รอบที่ผมไปคนไม่เต็มครับ.. มีที่ว่างประมาณนึงเลย
หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยก็สามารถไปซื้อผลไม้กลับบ้านได้ครับ
คุณนายผมเธอเลือกใหญ่เลย 5555
หลังจากได้ที่(คุณภรรยา)ผมได้ชิมผลไม้ทั้งจากที่ KP Garden และบ้านสวนลุงฉลวย
รู้สึกดังนี้ครับ.. เธอบอกว่าทุเรียนที่ KP อร่อยกว่ามากรสชาติหวานอร่อย
แต่ทุเรียนที่ซื้อมาจากสวนลุงฉลวยมาทานที่บ้านเธอบอกว่าทุเรียนที่ได้มาไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ครับอารมณ์เหมือนทุเรียนอ่อน
ซึ่งค่อนข้างต่างจากตอนที่ผมไปออกทริปกับนิตรสาร Barefoot ครั้งนั้นเพื่อนร่วมทริปบอกว่าทุเรียนที่สวนลุงฉลวยอร่อยมาก
แต่จากที่คุยๆกันก็คิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการจัดการที่แตกต่างกันของทั้งสองสวน
นั้นคือสวนลุงฉลวยนั้นมีพื้นที่เล็กกว่าคือ 15 ไร่ กับ KP ที่มีพื้นที 50 ไร่
แต่ทาง KP Garden จะมีการจัดการที่ค่อนข้างดีครับ คือมีการจัดคิวเป็นรอบๆ และจำกัดจำนวนคนในแต่ละวัน
แต่ทางสวนลุงฉลวยใช้วิธีว่าเปิดเพียง 10 วันแต่ไม่ได้มีการจำกัดคน
ทำให้ช่วงที่เปิดบุฟเฟต์นั้นคนไปที่สวนลุงฉลวยเยอะมากจนผลไม้ในสวนอาจไม่พอ
จึงอาจจะเหลือผลไม้ที่ไม่ใช่เกรด A ซะทีเดียวครับ
ปล. เรื่องความอร่อยเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคลนะครับ
และยิ่งผลไม้ผมไม่ค่อยได้ทานด้วย ฟังจากคุณภรรยาเอาครับ 55555บทสรุป... จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ุผลไม้
หลังจากทานผลไม้ที่ KP Garden เป็นที่เรียบร้อย
ผมก็ขับรถกลับบ้านครับ โดยคุณภรรยาแอบขอ Windows Shopping แถวๆตลาดเนินสูงอีกรอบครับ
จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านใช้เวลาเกือบๆ 4 ชม.ก็ถึงบ้านครับ นานหน่อยเพราะแถวๆทางเชื่อมตรงบ้านบึงรถค่อนข้างติดครับ
ก็เป็นอันว่าจบไปอีกทริปฟินๆ (โดยเฉพาะคุณนาย) กับการมาบุกสวนผลไม้เมืองจันท์ใน "เทศกาล บุฟเฟต์ผลไม้" ครับ
สำหรับเมืองจันทบุรีแล้วหากไม่เคยมาเที่ยวมาก่อน..
ส่วนตัวแล้วผมเองก็จะคิดว่าที่นี่มีแค่สวนผลไม้ (ที่ผมเองไม่ชอบ แต่คุณนายผมชอบมาก.. 5555)
แต่หลังจากการได้เดินทางมาที่นี่แล้วผมกลับพบว่าเมืองจันทบุรี
มีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะ ไม่ว่าจะเป็น "วิถีชุมชนริมน้ำจันทบูร" ที่เป็นชุมชนที่มีอัตลักษณ์ในตัวเองมาก
คนในชุมชนก็น่ารักอยู่อย่างเรียบง่ายที่ทำให้ผมเห็นถึงคำว่า "พอเพียง" ตามที่ในหลวงทรงมีพระราชดำริไว้
เมืองจันทบุรียังเป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งอาหารการกิน ที่มีร้านอาหารอร่อยๆมากมาย
มีสถานที่ "ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ" มากมายหลายแห่งทั้ง น้ำตก ภูเขา และทะเล
เรียกว่าเป็นจังหวัดที่ครบเครื่องมีอะไรๆให้เที่ยวมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ
ซึ่งถ้ามาถามผมตอนนี้ว่าอยากกลับไปที่จันทบุรีอีกมั๊ย
ผมตอบได้เต็มปากเลยครับว่าอยากกลับไป...
ดังนั้นจันทบุรีเตรียมรอผมไว้ได้เลย
ผมจะกลับไปเยือนอีก(หลาย)ครั้งแน่นอนครับ
สำหรับวันนี้ผมและคุณนายก็คงต้องขอลาทุกคนไปแต่เพียงเท่านี้ครับ
สวัสดีและขอบคุณที่ติดตามรีวิวมาจนจบครับ เป็นรีวิวที่ยาวมาก
ยาวกว่าหลายๆรีวิวที่ผมเคยทำมาเลยครับ
ปล. ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็น Nok Air และ Thai Rent A Car ที่ทำให้เกิดงาน The Amazing Journey ขึ้นมา
และขอบคุณที่ให้โอกาสผมและเพื่อน Blogger อีก 2 ท่าน
ได้มีโอกาสเดินทางมายังจังหวัดจันทบุรีในครั้งนี้ครับ เป็นทริปที่ประทับใจจริงๆครับ
เอ๋อ้อย
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.35 น.