เมืองมัลลิกา ร.ศ. ๑๒๔ ONE DAY TRIP ไปใช้ชีวิตเยี่ยงชาวสยาม
หากพูดถึง จ.กาญจนบุรี บอกเลยว่าแจ๊คเขียนรีวิวไว้เยอะ เพราะไปเที่ยวบ่อย
จนมีพี่ครูคนหนึ่งแซวว่า ตกลงเป็นคน จ.กาญจน์ หราาาา 55555
ที่ผ่านมาจะเป็นรีวิวแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติซะส่วนใหญ่
แต่วันนี้แจ๊คจะมารีวิวแหล่งท่องเที่ยวที่ใหม่ อาจจะไม่ใช่ใหม่แกะกล่อง
แต่ใหม่สำหรับใครหลายๆคน เพราะเมื่อเอ่ยชื่อ มีหลายคนถามว่า อยู่ที่ไหน???????
ไม่พูดอะไรมากละกัน วันนี้จะพาเพื่อนๆ เดินทาง ร้อยกว่ากิโลเมตรย้อนยุคไปที่ เมืองมัลลิกา ร.ศ. ๑๒๔
พาน้องชายสายฮาท่านเจ้าคุณพุฒ ไปย้อนยุคกันค่ะ ธรรมดาเคยแต่เดินป่ากัน รอบนี้ เรามาแปลกมาแนวชิลๆ แต่งตัวสวยๆหล่อๆเดินไปมา อิอิ
ขอฝากเพจด้วยนะคะ ติดตามการเดินทาง ท่องเที่ยวถ่ายภาพของแจ๊คได้ที่นี่ค่ะ เพจ นักเดินทางตัวน้อย
https://www.facebook.com/journeymemories ฝากกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะคะ
ข้อมูลการเดินทาง : เมืองมัลลิกา ร.ศ. ๑๒๔ ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150
โทร : 034 540884–86 หน้าแฟนเพจ https://www.facebook.com/MallikaR.E.124
การเดินทางก็แสนง่าย อยู่เส้นทางไปไทรโยค เมืองอยู่ริมถนนใหญ่ จะไปสังขละก็ผ่าน จะไปทองผาภูมิก็ผ่าน
เปิด Google Map เอาก็ได้ค่ะ
ที่นี่ได้จำลองชีวิตคนของชีวิตของชาวสยามในยุค ร.ศ.๑๒๔
กิจกรรมยอดฮิตคือ ใส่ชุดไทย ถ่ายภาพ ซึ่งมีมุมให้ถ่ายภาพเยอะมาก เยี่ยมชมเมือง บ้านเรือน เพื่อสัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิต ทานอาหารไทย ทั้งคาวหวานที่หาทานได้ยาก
และชมการแสดงนาฏศิลป์ไทย
อตราค่าบริการ และโปรโมชั่นค่ะ
โปรโมชั่นเดือน ก.ค. (ต่อโปรเดิม)
พิเศษ! โปรวันธรรมดา จันทร์ – ศุกร์
1.ค่าเข้า + ชุดไทย + สำรับเย็น ราคา 650 บาทต่อท่าน
2.ค่าเข้า + ชุดไทย ราคา 350 บาทต่อท่าน
ราคาค่าเข้า ทุกวันรวมวันหยุดสุดสัปดาห์
ผู้ใหญ่ 200 บาท/ เด็ก, ผู้สูงอายุและผู้พิการ 100 บาท
ค่าเข้าชม+ สำรับเย็น + ชมการแสดง ราคา ผู้ใหญ่ 700 บาท เด็ก 350 บาท (โปรโมชั่นลด 10%)
เด็ก - ความสูงต่ำกว่า 100 cm. เข้าฟรี เด็กความสูงตั้งแต่ 100 - 130 cm. และผู้สูงอายุ - อายุ 70 ปีขึ้นไปใช้ราคาเด็ก
มาถึงสาระกันบ้าง ขอบคุณข้อมูลจากเว็ปของเมืองมัลลิกา "เมืองแห่งวัฒนธรรม และวิถีชน"
เมืองมัลลิกา เป็นเมืองย้อนยุคของวิถีชีวิตชาวสยามบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ในสมัยรัชกาลที่ ๕ วิถีชีวิตของชาวสยามในยุค ร.ศ.๑๒๔ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายหลายด้าน ที่เด่นชัดมากคือการประกาศเลิกทาส
เมื่อทาสได้รับความเป็นไทพวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อาศัยและทำมาหากินด้วยตนเอง ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติหรือการดูแลของบรรดาเจ้าขุนมูลนายอีกต่อไป พวกเขาต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอด พึ่งตนเอง และอยู่ร่วมกับคนสยามทุกหมู่เหล่า การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเหล่านี้นับเป็นรากเหง้าสำคัญของคนไทยในยุคปัจจุบัน
พร้อมจะหลงยุคไปกับแจ๊คแล้วหรือยังถ้าพร้อมแล้วก็ตามาเลยค่ะ
นี้คือด้านหน้าของเมืองค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องซื้อตั๋ว จ่ายเงิน แลกเงิน หรือจะแลกตอนเข้าเมืองก็ได้ จะเป็นเงินสตางค์รู 1 สตางค์ = 5 บาทของที่ขายข้างในก็จะขายเป็นสตางค์ ใช้ไม่หมดสามารถแลกคืนได้
ถ้าจะให้ได้รสชาติต้องเช้าชุดไทยใส่ค่ะ ชุดมี 2 แบบ แบบสะไบ ราคา 200 บาท
แบบเป็นผ้าลูกไม้ ราคา 300 บาท มีเครื่องประดับให้ พร้อมค่ะ ต่างหูหนีบ สร้อยคอ กำไลข้อมือ เข็มขัด
ก่อนอื่นก็ เลือกชุดค่ะ
แล้วก็ไปที่ห้องแต่งตัว มีพนักงานช่วยแต่งให้ค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะนุ่งผ้าโจงไม่เป็น
มีล็อคเกอร์ให้เก็บของด้วยนะคะ สบายเลยไม่ต้องถือของเยอะ
แต่งองค์ทรงเรียบร้อยแล้วก็เข้าเมืองกันเลยค่ะ ด้านหน้าสุดจะเป็นวินรถลาก
หรือที่เราเรียกกันติดปากว่ารถเจ๊ก รถที่ใช้คนลาก โดยส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ค่าบริการ 50 บาท ต่อเที่ยว ซื้อตั๋วได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วหน้าเมือง
เราไม่ได้ใช้บริการนะ เดินไปถ่ายภาพใกล้ๆ พี่เค้าเรียกให้นั่งถ่ายภาพบนรถ แถมแอ็คท่าถ่ายทำเป็นลากให้ด้วย บอกว่าไหนๆก็มาแล้วให้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ใจดีจัง อิอิ
ประตูแดงๆด้านหน้านี้เป็นร้านกาแฟ
ชั้นสองของร้านกาแฟค่ะ ติดๆกับร้านกาแฟจะเป็นห้องเล่าเรื่อง
เอาล่ะ เราเข้าเมืองกันดีกว่า
จุดแรกเราจะต้องผ่าน สะพานหัน
ชื่อนี้เรียกตามจาก ลักษณะของตัวสะพานที่ สมัยก่อนนั้นจะเป็นไม้แผ่นเดียวพาดข้ามคลอง ปลายข้างหนึ่งตรึงแน่นกับที่ ส่วนอีกข้างจะไม่ตอกติด จับหันไปมาได้เพื่อให้เรือแล่นผ่านต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างใหม่เป็นสะพานโครงเหล็กพื้นไม้ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนทำเป็นแบบสะพานริอัลโตทีนครเวนิซ และที่ปองเตเวกคิโอ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี คือ เป็นสะพานไม้โค้งกว้าง สองฟากสะพานมีห้องแถวเล็กๆ ให้ขายของ ส่วนตรงกลางเป็นทางเดิน
ซึ่งสะพานนี้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ชอบเสด็จประพาสเพื่อซื้อผลไม้แห้งที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่นลูกพลับแห้ง และผลไม้แห้งต่างๆ นานาชนิด ซึ่งที่นี่ก็มีขายเช่นกัน
จากสะพานหันเราเดินไปเรื่อยๆจะเจอ ย่านการค้า ก่อนเดินก็ดูผังเมืองก่อนค่ะ จะได้รู้ว่ามีอะไรบ้าง
ในสมัย ร.ศ. ๑๒๔ มีย่านการค้าที่ขึ้นชื่อและมีสินค้ามากและทันสมัยสำหรับยุคสมัยนั้น ได้แก่
ย่านถนนแพร่งนรา ถนนแพร่งภูธร ถนนแพร่งสรรพศาสตร์ ใครอยากทราบว่าที่มาของชื่อแพร่งต่างมาจากไหน ตามไปอ่านได้ที่เว็ปของเมืองมัลลิกาค่ะ http://www.mallika124.com
ย่านบางรัก เป็นย่านการค้าที่สำคัญ มีร้านค้าที่ทันสมัยอยู่มาก ย่านเยาวราช อันเป็นย่านที่มีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่มาก มีวัฒนธรรมการกินอยู่ที่น่าสนใจ มีอาหารจีนอร่อย รวมถึงของกินที่แปลกใหม่สำหรับสมัยนั้น อาทิ ข้าวเสียโป
มาดูบรรยากาศกันค่ะ
ขึ้นไปชมวิวบนหอชมเมืองกันค่ะ
หอชมเมือง จำลองมาจากหอคอยคุก ซึ่งเป็นหอคอยที่ใช้สำหรับตรวจตราป้องกันมิให้นักโทษหนี ซึ่งเมืองมัลลิกา ใช้สำหรับชมเมือง ว่ามีทัศนียภาพที่ว่างดงามเพียงใด
ทางเดินขึ้นเป็นบันไดวน วิวจากด้านบนค่ะ ชมวิวได้ 360 องศา
เดินชมเมืองจนเหนื่อยมาพักทานอาหารที่เรือนแพกันค่ะ
ในยุคสมัยนั้น การสัญจรไปมาส่วนใหญ่ใช้แม่น้ำดังนั้น ร้านค้าขายที่จะตั้งอยุ๋ริมน้ำเป็นส่วนใหญ่ซึ่งในเมืองมัลลิกาก็เข่นเดียวกัน จะมีเรือนแพสำหรับค้าขาย เป็นร้านกาแฟ ตงฮู ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่ทันสมัยในยุคนั้นโดยการนำเข้าเมล็ดกาแฟสดจากต่างประเทศเข้ามา และเพื่อรองรับนักเดินทาง ก็จะมีร้านข้าวแกงทรงโปรดในเรือนแพนี้ด้วย อันร้านข้าวแกงทรงโปรดนั้น ทางเมืองมัลลิกาได้ นำเอาอาหารที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงโปรดมา เพื่อให้ประสกนิกร และนักท่องเที่ยวได้เห็นความเรียบง่ายของอาหารที่ มหาราชของชนชาวไทยเสวยซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ง่ายแต่มีความอร่อยอย่างไทยแท้
นั่งพักทานอาหาร จิปกาแฟ ริมน้ำ ลมเย็น
พักกันหายเหนื่อยแล้วเราจะไปชมบ้านเรือน วิถีชีวิตคนในสมัยก่อนกันค่ะ
เราเดินมาถึงเรือนเดี่ยว
เรือนเดี่ยว เป็นเรือนชาวบ้าน ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่เรือนนี้คือคนชนชั้นกรรมาชีพ มีหน้าที่ ผลิตปัจจัยเบื้องต้นในการยังชีพอันได้แก่ การทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกผัก สีข้าว ทอผ้า จักสาน อันเป็นอาชีพทั่วไปของชนชั้นนี้ ในเมืองมัลลิกา นั้นจะมีเรือนเดี่ยว เพื่อแสดงถึงวิถีของชาวบ้านในสมัย ร.ศ. ๑๒๔ ว่ามีวิถีชีวิตอย่างไร
เดินต่อไปเราจะเจอกับโซนของโรงครัว
ท่านเจ้าคุณโชว์ฝีเท้าในการตำข้าว5555
ตรงนี้จะประกอบด้วย โรงสี ยุ้งข้าว โรงเตรียม แสดงกรรมวิธีการฝัดข้าว สีข้าว ตำข้าว พร้อมทั้ง การหุงข้าวเตากระทะใบบัว การประกอบอาหารคาวหวาน เพื่อรับรองแขกเหรื่อ โดยเป็นการประกอบอาหารด้วยเตาถ่าน
จากโรงครัวจะมีทางเดินไปสู่เรือนคหบดี
แต่ก่อนถึงจะมีทุ่งหญ้า อิฉันกับท่านเจ้าคุณก็ไม่พลาดที่จะถ่ายมุมชิคๆคูลๆกับทุ่งหญ้า
ใส่ชุดไทยถ่ายมุมแบบนี้ แปลกๆดี 5555
มาถึงเรือนคหบดีแล้วค่ะ
เรือนคหบดี เป็นเรือนคนมีฐานะ บนเรือนคหบดีนั้น แสดงวิถีความเป็นอยู่ของชนชั้นปกครองซึ่งจะมีกิจกรรมบนเรือน เช่น งานใบตอง งานดอกไม้ งานเครื่องแขวน งานแกะสลักผลไม้ ซึ่งงานเหล่านี้เป็นงานวิจิตรที่จะใช้จริงในเมืองมัลลิกา
สุดท้ายแล้วค่ะ เราไปกันที่เรือนหมู่
เรือนหมู่ เป็นเรือนสำหรับรับรองแขกบ้านแขกเมือง ของคหบดีไทยซึ่งอาจเป็น ขุนนางผู้ทรงศักดิ์ หรือคหบดีผู้มั่งคั่ง ซึ่งในสมัยนั้น
นิยมมีคณะนาฎศิลป์ เป็นของตนเอง สำหรับรับแขก ดังนั้นเมืองมัลลิกา จึงสร้างเรือนหมู่ ขึ้นซึ่งถือว่าเป็นเรือนหมู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเรือนหมู่ดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงวิถึชีวิต ของนาฎศิลป์ไทย ว่าใช้ชีวิตอย่างไรในเวลากลางวันและในเวลากลางคืนเมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยม เพื่อรับประทานอาหารเย็นนั้น บนเรือนจะมีการแสดงนาฎศิลป์ไทย และเสริฟอาหารไทยโบราณที่คงความเป็นไทย ในแบบฉบับของไทย
เราก็ได้ทานอาหารกันที่เรือนหมู่นี้พร้อมทั้งชมการแสดงนาฎศิลป์ประหนึ่งว่าเป็นขุนนางผู้ทรงศักดิ์ในสมัยก่อน อิอิ
สำรับมื้อนี้ค่ะ
ไก่ห่อใบเตย
ยำทวาย
หมี่กรอบ
แกงกะทิสายบัว
มัสมั่นไก่
น้ำพริกขี้กา สีแบบนี้ แต่ลองชิมแล้วรสชาติจัดจ้านมากๆค่ะ
อาหารอร่อยทุกอย่าง บางเมนูหาทานยาก
มาที่การแสดงค่ะ ทานอาหารไปด้วย ชมการแสดงไปด้วย เพลินๆค่ะ
การแสดงชุดนี้มันส์มากค่ะ
ทานมื้อค่ำจนอิ่มหนำสำราญ ต่อด้วยผลไม้ จัดเรียงอย่างสวยงาม
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ตอนกลับเดินลงจากเรือน ที่นี่เค้าจะมีของที่ระลึกมอบให้ค่ะ เป็นน้ำปรุงที่ทางเมืองมัลลิกาผลิตเองค่ะ
เปลี่ยนเสื้อผ้า ได้เวลากลับกทม.กับสู่ยุคปัจจุบันกันแล้วค่ะ 5555 สนุกดีนะคะวันเดียวก็เที่ยวได้
ใกล้ๆกทม.นี่เอง ขอบคุณข้อมูลสาระต่างๆจาก http://www.mallika124.com
ขอจบรีวิวไว้เท่านี้นะคะ ขอบคุณเพื่อนๆที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ แจ๊คหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประประโยชน์ หรือสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนออกเดินทาง
ประสบการณ์ไม่มีขาย อยากได้ต้องเดินทาง
https://www.facebook.com/journ...
#นักเดินทางตัวน้อย ทริปหน้าจะพาไปเปิดภูสอยดาว ฝากติดตามด้วยนะคะ
นักเดินทางตัวน้อย
วันพฤหัสที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 08.34 น.