.
.
ผมได้รับโอกาสจาก The Regent Cha Am Beach Resort และ KTC World ให้มาทำรีวิวที่รีสอร์ทแห่งนี้ ผมได้ยินชื่อของรีสอร์ทแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยผมยังเป็นเด็ก ผมแอบสงสัยอยู่ในใจว่า รีสอร์ทแห่งนี้มีอะไรดีถึงเปิดบริการมาได้ร่วม 31 ปี ถ้าไม่ดีจริงคงไม่อยู่ยั้งยืนยงได้ขนาดนี้ เพราะปัจจุบันมีรีสอร์ทใหม่ๆ หรูหรา ผุดขึ้นอย่างมากมายบริเวณชะอำ-หัวหิน ถ้าอยากรู้ว่าที่นี่มีดีอะไร ลองติดตามรีวิวนี้ดูนะครับ เผื่อจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการเลือกที่พักของเพื่อน ๆ ที่จะหาที่พักผ่อนแถวชะอำ-หัวหินครับ
การเดินทางมาที่นี่ ไม่ยากเย็นเลยครับ จาก กทม.มุ่งหน้าสู่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี จากตัวเมืองชะอำ ขับรถต่อมาทางหัวหิน ประมาณ 10 นาที ก็จะพบป้าย The Regent Cha Am Beach Resort อยู่ทางซ้ายมือ แต่ถ้ามาจากหัวหิน ขับรถจากหัวหินมุ่งหน้าสู่ชะอำ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที แล้ว U-turn ก็จะถึงรีสอร์ทแล้วครับ เรียกได้ว่าถ้าพักที่นี่ ก็สะดวกที่จะไปเที่ยวทั้งชะอำ หรือ หัวหิน เลยครับ
ขับรถต่อมานิดหน่อยก็จะเจอป้อมยาม ด้านหน้าป้อมยาม มีการตกแต่งต้นไม้เป็นรูปช้างสามเศียรใหญ่โตมากเลยครับ เรียกได้ว่าตื่นตาตื่นใจกันตั้งแต่ทางเข้าเลยครับ
ที่นี่มีลานจอดรถที่รองรับรถได้ถึง 300 คัน ถ้าหากว่ามาเป็นคณะใหญ่โดยรถบัส แล้วจอดรถไกล ทางรีสอร์ทมีรถบริการรับส่งมายัง Reception ด้วยครับ
Reception ที่นี่จะมี 2 ส่วนครับ ส่วนหลักจะอยู่ที่ Main Wing ครับ
ความรู้สึกก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมคิดว่ารีสอร์ทแห่งนี้คงจะค่อนข้างเก่าสมกับอายุ 31 ปี แต่เมื่อผมก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ผมถึงกับตกตะลึงในความโอ่อ่าของแผนกต้อนรับจริง ๆ มันผิดกับความรู้สึกแรกของผมอย่างสิ้นเชิง ในส่วนของ Reception มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกอยู่หลายคน ทางรีสอร์ทจัดเก้าอี้หวายดีไซน์เก๋ และโซฟาซึ่งตัวใหญ่มากกกกไว้ให้ลูกค้านั่งรอระหว่างการ Check in ครับ
ระหว่างรอ Check in ก็จะมี Welcome Drink เป็นน้ำมะขาม มาพร้อมผ้าเย็น เรียกความสดชื่นให้ผมได้เยอะเลยครับ
ดูในส่วน Main Wing ไปแล้ว คราวนี้มาดูในส่วน Regency Wing กันบ้างครับ
ในส่วนของ Regency Wing ก็มี Reception ด้วยเช่นกัน แต่ความหรูหราไม่เท่าในส่วนของ Main Wing ครับ
ทางรีสอร์ทก็จัดเก้าอี้ไว้ให้แขกได้นั่งพักผ่อนและนั่งรอระหว่างทำการ Check in ด้วยเช่นกันครับ
มาดูในส่วนของห้องพักกันบ้างดีกว่าครับ
ห้องนี้เป็นห้อง Regency Room มีทั้งหมด 52 ห้องที่เป็น Garden View และอีก 16 ห้องที่เป็น Sea View ภายในห้องมีพื้นที่ใช้สอย 42 ตารางเมตร ถือว่ากว้างขวางขนาดมินิสูทครับ ภายในห้องตกแต่งโทนสีครีมและสีฟ้า ทำให้ดูผ่อนคลาย สบายตาครับ มีการจัดสัดส่วนของเตียงนอนและมุมพักผ่อนอย่างลงตัว
ห้อง Regency Room แบบนี้จะมีอยู่5 ห้องที่มีประตู connect ซึ่งเมื่อเปิดประตูออกมา จะกลายเป็น Regency Family Suite ครับ
ในส่วนตรงนี้จะเป็นห้องพักของเด็ก ๆ ที่ตกแต่งเอาใจเด็ก ๆ มาก เตียงถูกออกแบบเป็นรูปเรือ คอนเซปห้องจะเกี่ยวกับทะเลครับ มีการวาดภาพที่ผนังห้องเป็นเรือโจรสลัดด้วย ผมว่าเด็ก ๆ ต้องชอบแน่ ๆ ครับ
2 ห้องเมื่อเปิดรวมกัน จะมีพื้นที่ถึง 84 ตารางเมตรเลยทีเดียว ทั้งห้องเด็กและห้องนอนใหญ่จะมีระเบียงไว้ชมวิวสวนและวิวทะเลทั้งสองห้องครับ
ข้ามมาดูห้องในส่วนของ Main Wing กันบ้างครับ
ห้องแรกที่นำมาให้ชมเป็นห้องแบบ Superior มีพื้นที่ใช้สอยอยู่ที่ 32 ตารางเมตร มีจำนวนทั้งหมดถึง 229 ห้องเลยครับ ภายในห้องตกแต่งค่อนข้าง modern มีการเล่นสีสันภายในห้องอย่างลงตัว
ห้องที่สองเป็นแบบ Deluxe มีพื้นที่ใช้สอย 32 ตารางเมตร มีจำนวน 131 ห้อง ห้องนี้จะตกแต่งออกโทนสีเหลือง มีการแบ่งสัดส่วนของเตียงนอนและมุมพักผ่อน สำหรับห้องนี้ ผมสะดุดตากับลายปูนปั้นที่ออกแบบเป็นรูปใบไม้เพิ่มความอ่อนไหวอยู่บนหัวนอนครับ มันยิ่งทำให้ห้องดูขรึมและหรูหรามากครับ
คราวนี้มาดูในส่วนที่เรียกว่า Anavana กันบ้างครับ ห้องพักโซนนี้จะเป็นหลัง ๆ ครับ
หลังนี้เป็นแบบ Anavana Suite ครับ ห้องนั่งเล่นจะแยกเป็นสัดส่วนจากห้องนอน แต่ทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น จะมีประตูที่เปิดออกมาเห็นวิวทะเลเลย เรียกได้ว่า โซนนี้อยู่ติดทะเลมากที่สุดครับ
เปิดประตูห้องเข้ามา จะเห็นชุดโซฟาตัวใหญ่มาก ฝั่งตรงข้ามของโซฟา จะเป็นทีวีจอแบนขนาดใหญ่ และยังแบ่งพื้นที่สำหรับไว้จัดเตรียมอาหารพร้อมชุดสำหรับนั่งทานอาหารครับ
มองย้อนออกมาบ้าง จะเห็นว่าผนังไม้ข้างประตู ออกแบบไว้เพื่อให้เปิดได้ เพื่อให้เห็นวิวทะเลครับ
เดินทะลุห้องนั่งเล่นก็จะเป็นห้องนอน เตียงนอนมีขนาดใหญ่มาก ในห้องมีทีวีตั้งโต๊ะ และผนังห้องก็สามารถเปิดออกเช่นเดียวกับห้องนั่งเล่น เพื่อให้เห็นวิวทะเลได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีประตูเพื่อให้แขกได้เดินออกมานอนสูดอากาศนอกห้องได้อีกด้วย ด้านนอกระเบียง มีชุดเก้าอี้ให้นอนเล่นด้วยครับ
มาดูห้องในส่วนที่ผมได้เข้าพักกันบ้างครับ ห้องที่ผมพักเป็นแบบ Anavana Villa
ใน 1 หลังจะแบ่งเป็นสองห้อง แต่ละห้องจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันโดยสิ้นเชิงครับ
เปิดประตูห้องเข้าไป ด้านซ้ายจะเป็นเตียงนอนครับ เป็นเตียงคู่จับมาชนกัน ขอบอกว่าเตียงนุ่มมากครับ นอนสบายจริง ๆ
ด้านขวามือจะเป็นมุมนั่งเล่น มีทีวีที่เชื่อมต่อจานดาวเทียม มีตู้เย็น และมีสาย High Speed สำหรับต่อ Internet (สำหรับการเชื่อมต่อ Internet ตรงนี้มีค่าใช้จ่ายนะครับ แต่ถ้าไม่อยากเสียเงิน สามารถใช้ Free Wifi ได้ บริเวณ Lobby รวมถึงบริเวณสระว่ายน้ำครับ) รวมถึงโต๊ะวางของเล็ก ๆ ให้ด้วยครับ
เดินถัดจากเตียงเข้าไป จะมีชุดเก้าอี้หวาย สำหรับไว้ทานอาหาร ถัดจากชุดเก้าอี้หวาย ก็จะเป็นห้องน้ำครับ
ด้านข้างของมุมทานอาหาร จะเป็นมุมตู้เสื้อผ้า และอ่างล้างมือ-ล้างหน้าครับ ผมเองก็ไปพักมาหลายโรงแรมแล้ว แต่ไม่เคยเห็นที่ไหนจะมีการจัดเตรียมเตารีดและที่รองรีดให้กับแขกได้พร้อมขนาดนี้เลยครับ
คราวนี้มาดูกันแบบเจาะ ๆ กันบ้างครับ ว่าภายในห้อง ทางรีสอร์ทเขาจัดเตรียมอะไรไว้ให้กับแขกที่พักบ้าง
มีหมอนให้เตียงละ 3 ใบครับ
หมอนมีให้เลือกด้วยว่า แขกชอบหนุนแบบไหน จะแบบหนาหรือแบบนุ่ม จุดนี้ผมเห็นถึงความใส่ใจของโรงแรมที่มีให้กับแขกครับ เพราะเท่าที่ผมเคยไปพักโรงแรม ผมยังไม่เคยเจอแบบนี้เลย
ที่หัวเตียง มีโคมไฟส่องสว่างทั้งด้านซ้ายและด้านขวา และมีนาฬิกาปลุกไว้ให้ด้วย
มีโทรศัพท์ และกระดาษโน๊ต
ในส่วนของตู้เสื้อผ้า รีสอร์ทได้จัดเตรียมเตารีดพร้อมที่รองรีด และไม้แขวนเสื้อ จำนวนมากไว้ให้กับแขกด้วยครับ
ด้านข้างของตู้เสื้อผ้า มีตู้นิรภัย และไฟฉายฉุกเฉิน
ลิ้นชักใต้ตู้นิรภัย มีถุงสำหรับใส่เสื้อผ้าที่จะส่งซัก มีเครื่องเป่าผม และมีเสื้อคลุม 2 ตัวครับ
อุปกรณ์ชงกาแฟและชา
Welcome Fruit
แบบสำรวจความพึงพอใจเกี่ยวกับห้องพัก
บริเวณอ่างล้างหน้า มีน้ำให้ 2 ขวด
แก้วน้ำสำหรับแปรงฟันและผ้าขนหนูสำหรับเช็ดมือ
นอกจากเครื่องปรับอากาศแล้ว ยังมีพัดลมให้อีกด้วยครับ และยังมีตัวตรวจจับควันและสปริงเกอร์สำหรับดับไฟด้วย
มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้างครับ
ห้องอาบน้ำด้วยฝักบัว แยกเป็นสัดส่วนกับอ่างอาบน้ำครับ
อ่างอาบน้ำ ดีไซน์ให้น้ำไหลออกมาจากเปลือกหอย (ดินเผา) แต่ผมคิดว่าหอยมันอยู่สูงไปหน่อย ทำให้เวลาเปิดน้ำ เมื่อน้ำกระทบกับอ่างน้ำจะเกิดเสียงดังมากครับ
บริเวณโถสุขภัณฑ์ จะมีประตูเลื่อน สามารถเปิดให้อากาศภายนอกถ่ายเทเข้ามาข้างในได้เมื่อเปิดประตูเลื่อนออกไป จะเจอสวนหย่อมเล็ก ๆ ด้วยครับ
อุปกรณ์อาบน้ำครับ
ผมว่าสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างภายในห้องพักถือว่าโอเคนะครับ ทุกห้องเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด สิ่งที่ผมกล่าวแนะนำมาทั้งหมดจะมีอยู่ในห้องทุกประเภทเลยครับ
คราวนี้มาดู การบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทางรีสอร์ทได้เตรียมไว้ให้กับแขกที่มาพักกันบ้างครับ
เริ่มต้นที่ อลาณา สปาสปาแห่งนี้มีบริการนวดทั้งแบบแผนไทยและแบบเอเซียครับ
สำหรับผลิตภัณฑ์สปานั้น ที่นี่แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมะพร้าว เพื่อช่วยให้ความอ่อนเยาว์ และสดชื่น
เมื่อเปิดประตูเข้ามา ก็จะพบกับมุมนั่งพักผ่อน ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ พร้อมกับเสียงเพลงเบา ๆ มันช่วยผ่อนคลายได้เยอะเลยครับ
ถัดมาอีกนิดจะเป็นในส่วนต้อนรับ ซึ่งพนักงานจะคอยแนะนำถึงโปรแกรมการทำสปาต่าง ๆ ให้กับแขกได้เลือกโปรแกรมตามใจชอบครับ หลังจากเลือกโปรแกรมได้แล้ว พนักงานจะนำไปยังห้องทรีตเม้นท์ครับ
จุดแรกจะพบกับมุมพักผ่อนอีกครั้ง การตกแต่งภาพดอกบัวในบรรยากาศแบบนี้ ผมว่ามันทำให้ใจผมสงบลงได้อีกเยอะเลยครับ
ถัดจากมุมรับแขกมาทางขวา ก็จะเป็นมุมสำหรับให้แขกได้ล้างเท้า ก่อนที่จะเข้าทำสปาครับ
เมื่อล้างเท้าเสร็จ พนักงานจะพาไปยังห้องทรีตเม้นท์ บริเวณทางเดินไปห้องทรีตเม้นท์ มีการตกแต่งเป็นน้ำตกเล็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงน้ำในบรรยากาศเงียบสงบแบบนี้ มันมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ
ภายในห้องทรีตเม้นท์ครับ เปิดประตูเข้ามา ด้านซ้ายจะเป็นตู้สำหรับให้แขกได้ใช้แขวนเสื้อผ้าที่เปลี่ยน ด้านขวาจะเป็นห้องน้ำ ด้านในสุดของห้องจะถูกแบ่งระหว่างโซนที่จะทำ Spa และแช่อ่างน้ำ โดยมีการกั้นประตูเลื่อนบานกระจกครับ
เปิดประตูเลื่อนกระจกออกมา ก็จะพบอ่างน้ำ และเบาะสำหรับไว้นวดครับ ผมชอบการตกแต่งจุดนี้ครับ ดูแล้วเป็นมุมที่น่ารักดีครับ ห้องทรีตเม้นท์แบบนี้มีทั้งหมด 8 ห้องครับ หากแขกต้องการทำสปา แนะนำให้โทรมาจองห้องล่วงหน้าครับ จะได้ไม่เสียเวลามานั่งคอยครับ
ห้องนี้เป็นห้องนวดแผนไทยครับ ลักษณะเป็นห้องรวม มีเบาะนวดทั้งหมด 4 เบาะครับ
อลาณา สปาเปิดบริการทุกวัน
วันอาทิตย์ - วันพฤหัสบดี เปิดบริการตั้งแต่ 09.00 - 19.00 น.
วันศุกร์ - วันเสาร์เปิดบริการตั้งแต่ 09.00 - 20.00 น.
นอกจากสปาแล้ว ที่นี่ยังมี Kid's Club ด้วยครับ
Kid's Club เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 18.00 น. ภายในจะจัดทำเป็นสนามเด็กเล่น และจะมีมุมให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดระบายสี ระบายสีตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ สอนทำเครื่องบินของเล่น ทำเปเปอร์มาเช่ตัวการ์ตูน มีเกมส์กระดานให้เด็ก ๆ ได้เล่นมากมาย พิเศษหน่อยสำหรับวันอาทิตย์ จะมีพี่โกโก้ มาร่วมสนุกกับเด็ก ๆ ด้วย อยากรู้ว่าพี่โกโก้เป็นใคร ติดตามรีวิวให้จบนะครับ ที่นี่ยังมีบริการพี่เลี้ยงเด็กให้อีกด้วยนะครับ แต่คงต้องแจ้งล่วงหน้า 1 วัน (มีค่าบริการ)
สำหรับภาพวาดบนฝาผนังห้อง Kid's Club เป็นฝีมือของพนักงานที่นี่ด้วยครับ ยอมรับเลยว่าฝีมือดีจริง ๆ ครับ
จากห้อง Kid's Club แล้ว เรามาดูกิจกรรมกลางแจ้งกันบ้างครับ
มีสนามเปตอง ไว้ให้บริการด้วย
มีมุมสนามเด็กเล่นกลางแจ้ง
สระว่ายน้ำฝั่ง Regency Wing เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00 - 19.00 น.
สระว่ายน้ำฝั่ง Main Wing แยกสำหรับสระเด็กและสระผู้ใหญ่ เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00 - 19.00 น.
มีเตียงชายหาด ไว้บริการให้แขกได้มานั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นกันด้วยครับ
และยังมีอีกหลายสิ่งที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม อาทิเช่น ฟิตเนสเซนเตอร์, ศาลาไทย ไว้บริการนวดแผนไทยเพื่อผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศริมทะเล, มีพยาบาล ซึ่งกรณีฉุกเฉินสามารถเรียกพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง, บริการพี่เลี้ยงเด็ก, ร้านสะดวกซื้อ, ตู้กดเงินสด ATM และยังมีการให้บริการอีกเยอะแยะไปหมดครับ
นอกจากนี้ยังมีห้องประชุมสำหรับจัดสัมมนา หรือเลี้ยงสังสรรค์ หลายห้องมาก ๆ ครับ รองรับแขกได้ถึง 2,000 คนทีเดียว
มาดูในส่วนของห้องอาหารและเครื่องดื่มกันบ้างครับ
บรีซี่ บาร์ (Breezy Bar) อยู่ในส่วนของ Main Wing ถัดจาก Lobby มาเล็กน้อยครับ มุมนี้เหมาะกับการมานั่งผ่อนคลายไปกับสายลมเบื้องหน้ามองเห็นสระว่ายน้ำและท้องทะเล บริเวณนี้สามารถรองรับแขกได้ประมาณ 30 ที่ครับ
ที่บรีซี่ บาร์ บริการเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟสด Welcome Drink หรือจะเป็นเค๊กและเบเกอรี่ที่ขึ้นชื่อของรีเจ้นท์ที่อบใหม่วันต่อวันครับ
นอกจากนี้ยังมี Cocktails ไว้บริการด้วยครับ
เมนูนี้ชื่อ "Dragonfly" มีส่วนผสมของ Smirnoff vodka, น้ำมะนาว, น้ำแก้วมังกร และ Syrup ครับ ถึงสีสันจะไม่สวยสักเท่าไร แต่รสชาติดีเลยครับ
เมนูนี้ชื่อ "Watermelon Sunrise" มีส่วนผสมของ Tequila sierra, Triple sec, น้ำแตงโม, น้ำมะนาว และ Syrup แก้วนี้สีร้อนแรงเอาเรื่องเลยครับ
เมนูนี้ชื่อ "Mojito Tall" มีส่วนผสมของ Bacardi white, ใบมิ้นท์, มะนาว, น้ำตาลทรายแดง และ Top Soda water แก้วนี้ตกแต่งได้สวยงามครับ
เมนูนี้ชื่อ "The Legend of Love" มีส่วนผสมของ Smirnoff, Blue Curacao, Top Sprite และน้ำมะนาว แก้วนีสีสดใส เหมาะกับวัยอย่างผมจริง ๆ ครับ อิอิ
ทั้ง 4 เมนูนี้ถือเป็น Signature Cocktails ของที่นี่เลยครับ
ที่นี่เปิดบริการตั้งแต่เวลา 09.00 - 22.00 น. ส่วนช่วงเวลา 18.00 - 19.00 น. เป็นช่วง Happy Hours จะมีดนตรีมาบรรเลงให้ฟังกันสด ๆ ครับ
เดินถัดจากบรีซี่ บาร์ ลงมาตามบันได ด้านล่างของบรีซี่ บาร์ จะเป็น กร๊อตโต้ ผับ (Grotto Pub) ครับ
กร๊อตโต้ ผับ สามารถใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงหรือปาร์ตี้เล็ก ๆ ส่วนตัวก็ได้ครับ แต่ถ้าจะมานั่งพักผ่อนกับครอบครัวหรือพบปะสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ก็เหมาะทีเดียว ด้านในจะมีวงดนตรีของรีสอร์ท หรือจะร้องเพลงคาราโอเกะก็ได้ มีโต๊ะพูล พร้อมอาหารว่าง เครื่องดื่มต่าง ๆ เบียร์สด หรือค๊อกเทล ไว้บริการครับ ที่นี่เปิดบริการช่วงเวลา 17.00 - 00.30 น. ส่วนช่วงเวลา 19.00 - 20.00 น.เป็นช่วง Happy Hours ที่นี่รองรับแขกได้ 50 ที่ครับ
คราวนี้มาดูในส่วนของห้องอาหารกันบ้าง ห้องอาหารแรกที่จะแนะนำคือ ห้องอาหารสกุณา (Sakuna)
ห้องอาหารสกุณา อยู่ในส่วนของ Main Wing ครับ เดินออกจากกร๊อตโต้ ผับ ด้านขวามือก็จะพบห้องอาหารสกุณา ที่นี่บริการทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ ซึ่งเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน และห้องอาหารนี้ยังใช้เป็นห้องอาหารสำหรับมื้อเช้าด้วย
ด้านในห้องอาหารสกุณาเป็นห้องปรับอากาศ รองรับแขกได้ 70 ที่ครับ
สำหรับระเบียงด้านนอก สามารถรองรับแขกได้ 60 ที่ครับ ช่วงอาหารเช้า บริเวณระเบียงสามารถนั่งชมแสงแรกของวันได้อย่างชัดเจนครับ
เดินต่อออกมาอีกหน่อยที่ริมทะเล จะมีอยู่มุมหนึ่งน่าสนใจมาก ๆ เลยครับ จัดพิเศษเฉพาะแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
มุมนี้โรแมนติกมากเลยครับ เสียดายที่เปิดบริการช่วงเย็นเท่านั้น อีกอย่างจุดนี้ไม่ได้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดิน ไม่งั้นคงเป็นช่วงเวลาที่วิเศษมาก ๆ ที่ทานอาหารไปชมพระอาทิตย์ตกดินไป แต่ถึงไม่ใช่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดิน ก็สามารถมานั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ ผมไม่แน่ใจว่าทางรีสอร์ทจะเปิดบริการช่วงเช้าหรือไม่ ถ้าหากว่าใครต้องการใช้บริการมาดินเนอร์ได้แสงเทียนแบบนี้ ต้องโทรจองล่วงหน้ากับทางรีสอร์ทครับ เพราะจุดนี้มีเพียงโต๊ะนี้โต๊ะเดียวเท่านั้น
วันนี้ผมเดินจนขาลากแล้วครับ กับพื้นที่ในรีสอร์ทร่วม 100 ไร่ ค่ำนี้เลยขอพักทานอาหารมื้อค่ำก่อนครับ ค่ำนี้ผมทานที่ห้องอาหารฟลูโซ่ (Fluxo) ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลเลย บริการอาหารเมดิเตอร์เรเนียนครับ
ยามพลบค่ำแบบนี้ ที่นี่บรรยากาศดีมากเลยครับ การได้มานั่งทานอาหารอร่อย ๆ กับบรรยากาศดี ๆ ใต้แสงจันทร์แบบนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริง ๆ เลยครับ ห้องอาหารฟลูโซ่ เปิดบริการ 2 ช่วง คือ ช่วงกลางวัน เปิดบริการเวลา 11.00 - 17.00 น. และมื้อเย็นเปิดบริการเวลา 18.00 - 22.30 น. รองรับแขกได้ 110 ที่ครับ
สำหรับมื้อค่ำนี้ ผมขอแนะนำรายการอาหารตามเมนูนี้เลยนะครับ
เมนูแรกดับกระหายด้วยน้ำมะพร้าวสดครับ แล้วตามด้วย Appertizer ครับ
ขนมปัง เสริฟพร้อม Tomato Sauceและ Olive Sauce ครับ
ตามมาด้วยสลัดปลาทูน่าย่าง (Served tuna with olives, capers, pepers and tomato) เมนูนี้ Chef จะนำปลาทูน่ามาหมักกับเกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก จากนั้นน้ำมาย่าง แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ เสริฟพร้อมผักสลัดครับ สังเกตที่ปลาทูน่าครับ จะไม่สุกทั้งชิ้น จึงทำให้เนื้อปลายังคงนุ่มและได้กลิ่นหอมของเครื่องปรุงที่นำมาหมัก ทานคู่กับผักสลัดเข้ากันมาก ๆ ครับ
จากนั้นเริ่มด้วย Main Dish ครับ เปิดเมนูแรกที่ สปาเก็ตตี้กับน้ำมันมะกอกและกระเทียมเสริฟกับกุ้ง (Spaghetti with olive oil and garlic flakes serve with tiger prawn) เมนูนี้ Chef จะนำสปาเก็ตตี้มาต้มให้ได้ที่ จากนั้นนำมาคลุกกับน้ำมันมะกอก แล้วผัดกระเทียมกับน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ไวน์ขาว อโรมาต แล้วนำเส้นสปาเก็ตตี้ลงไปผัดให้เข้ากัน เมนูนี้รสชาติกลมกล่อมครับ
เมนูที่สองตามมาด้วย ซี่โครงแกะราดซอสไวน์แดง (Lamp chop with red wine sauce served with asparagus) เมนูนี้ Chef จะนำซี่โครงแกะมาหมักเกลือ พริกไทย อโรมาตและไวน์แดง จากนั้นนำมาย่างไฟในเวลาที่พอเหมาะ จากนั้นราดไวน์แดงซึ่งมีส่วนผสมจากไวน์แดงและหอมแดง ผัดกับน้ำมันมะกอก การย่างในเวลาที่พอเหมาะจึงทำให้เนื้อแกะนุ่ม รสชาติดี เป็นอีกเมนูที่ขอแนะนำครับ
เมนูที่สามตามมาด้วยเมนูปลาแซลมอนราดซอสโรสแมรี่กระเทียม (Norwegian salmon with garlic rosemary sauce serve with mach potato and roasted vegetable) เมนูนี้ Chef จะนำปลาแซลมอนที่นำเข้าจากนอร์เวย์ มาหมักเกลือ พริกไทย อโรมาต แล้วนำมาย่างไฟ จากนั้นนำกระเทียม โรสแมรี่ผัดเนย ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย อโรมาต ไวน์ขาว เสริฟพร้อมมันฝรั่งบดและผักอบครับ เนื้อปลา หนา แน่น อร่อยมาก ๆ ครับ
ปิด Main Dish ด้วยเมนูปลาหิมะทอดซอสมะนาวเสริฟพร้อมข้าวกล้องผัดเนย (Pan fried snow fish sarved with lemon sauce, asparagus, tomato and brown rice) เมนูนี้ Chef จะนำปลาหิมะมาหมักเกลือ พริกไทยป่น ไวน์ขาว แล้วนำมาย่างไฟ เสริฟพร้อมข้าวกล้องผัดเนย กระเทียม หน่อไม้ฝรั่งและมะเขือเทศ ราดซอสมะนาวครับ เนื้อปลาหิมะหวานมาก เมื่อทานคู่กับซอสมะนาว รสชาติมันเข้ากันมาก กลมกล่อมดีจริง ๆ ครับ
ทีนี้มาดูในส่วนของของหวานกันบ้าง สำหรับใครที่ชอบของหวานที่รสชาติจัดจ้าน ผมขอแนะนำเค๊กชอคโกแลตเสริฟกับไอศครีมวนิลา (Warm Chocolate cake with vanilla ice cream) ก่อนเสริฟ Chef จะนำเค๊กชอคโกแลตมาเวฟ แล้วตักไอศครีมวนิลา 1 ก้อน เวลาที่เค๊กชอคโกแลตโดนความร้อน จะกลายเป็นชอคโกแลตลาวาอุ่น ๆ ทานคู่กับไอศครีมเย็น ๆ ขอบอกเลยครับว่า สุดยอดความอร่อยเลยจริง ๆ ไม่คิดว่าของร้อนกับของเย็น จะทานคู่กันได้อย่างลงตัว
สำหรับเมนูของหวานอีกเมนูหนึ่ง หากใครที่ชอบรสชาติที่อ่อนละมุน ผมขอแนะนำเมนูนี้ครับ ทิรามิสุ (Layered of coffee sponge with rum, khalua and lich mascarpone) เมนูนี้ Chef จะนำมากาโพนชีสมาผสมตีให้เข้ากัน ใส่กาแฟเข้มข้น เหล้ารำ และการัว ตีจนส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นจะนำเลดี้ฟิ้งเกอร์แช่น้ำที่ผสมกับกาแฟและเหล้ารำ การัว ลงไป แล้วเอาครีมชีสราดลงข้างบนเลดี้ฟิ้งเกอร์ ทำแบบนี้ 3 รอบ แล้วนำเข้าตู้แช่แข็ง เวลาจะเสริฟก็จะตัดออกมาแต่งหน้าด้วยไอเดียสุดเก๋ของ Chef ครับ เมนูนี้รสชาติหวานอ่อน ๆ แบบละมุนลิ้นครับ ไม่จี๊ดจ๊าดเหมือนเมนูแรกครับ
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็มีแรงเดินชมรีสอร์ทกันต่อครับ
ช่วงพลบค่ำแบบนี้ ได้มาเดินเล่นบริเวณสระน้ำจะสวยมาก ๆ ห้องพักที่เปิดไฟจะสะท้อนเงากับผิวน้ำ เลยทำให้ดูสว่างไสวมาก ๆ ครับ
เข้ามาดูในส่วน Main Wing ในช่วงค่ำ ๆ แบบนี้ ดวงไฟที่ทางรีสอร์ทประดับประดาไว้ จะทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสวยงามครับ
ผมขอเริ่มที่ปราการด่านแรกเลยนะครับ ด้านซ้ายมือจะมีอ่างน้ำ ที่ประดับด้วยโคมไฟดีไซน์เก๋ ผมชอบเงาสะท้อนของโคมไฟบนเพดานมาก ๆ มันดูเป็นอีกลูกเล่นหนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ จากนั้นจะเห็น Concierge และโซฟาตัวมหึมา คอยต้อนรับแขกครับ ขอบอกว่าโซฟานั่งสบายมาก ๆ ครับ
สำหรับด้านขวามือ จะเป็นมุมสำหรับ Bellman ที่คอยรอบริการนำกระเป๋าแขกไปยังห้องพักครับ
สำหรับตรงกลาง จะเป็นส่วนของ Lobby ครับ
บริเวณ Lobby จะมีโซฟาตัวมหึมา และเก้าอี้หวายดีไซน์เก๋ ไว้ให้บริการกับแขกในช่วงเวลา Check in - Check out หรือจะมานั่งเล่น Free wifi ตรงจุดนี้ก็ได้ครับ
บริเวณ Lobby ดูโอ่โถงมาก ๆ ครับ
จุดที่สะดุดตาของแขกทุกคน คงหนีไม่พ้นบรรดาโคมไฟเหล่านี้ครับ เวลาที่มีลมพัดมา โคมไฟที่ทำด้วยหวายสานก็จะหมุนไปตามทิศทางของลมครับ
มีลิฟต์ไว้คอยบริการ 2 ตัวครับ ผมว่าลิฟต์ค่อนข้างเก่า และพื้นที่ภายในค่อนข้างแคบ
มุม Business Services ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้บริการสำหรับแขก จุดนี้เปิดบริการ 24 ชั่วโมงครับ สามารถใช้งาน Internet และคอมพิวเตอร์ บริการถ่ายเอกสาร โทรสารได้ครับ
คืนแรกผมขอนอนเอาแรงก่อนนะครับ
เช้าวันใหม่ ผมตื่นมาพร้อมสายฝนโปรยปรายเล็กน้อย ผมตั้งใจตื่นขึ้นมาเพื่อจะมาชมแสงแรกของวัน แต่ก็ต้องผิดหวังครับ แต่สักหกโมงเช้า ฝนหยุด ฟ้าเริ่มเปิดบ้างเล็กน้อย ก็เลยมีโอกาสเดินเก็บบรรยากาศก่อนที่จะทานอาหารเช้าครับ
บริเวณจุดที่ทางรีสอร์ทตั้งเตียงชายหาดไว้ให้บริการกับแขกเพื่อมานอนชมพระอาทิตย์ขึ้นครับ
บริเวณป้ายรีสอร์ทข้างห้องอาหารฟลูโซ่ครับ
มุมนี้ดูยังไงก็โรแมนติกมาก ๆ ครับ
มุมสระน้ำของรีสอร์ท ด้านหน้าห้องอาหารสกุณาครับ
เช้านี้ผมฝากท้องไว้กับห้องอาหารสกุณาครับ
สำหรับมื้อเช้า ห้องอาหารสกุณาเปิดบริการตั้งแต่เวลา 06.30 - 10.30 น.ครับ
ไลน์นี้จะเป็นพวกของคาวครับ จะมีอาหารหลากหลายครับ ทั้งฮอทดอก เบคอน ข้าว แกง ข้าวต้มหมู ข้าวต้มกุ๊ย ฯลฯ
มุมสลัดครับ
มุมชีส และ แฮมต่าง ๆ
มุมโยเกิตและฟรุตสลัด
มุมเบเกอรี่ หลากหลายดีครับ
ครัวซองที่นี่ขึ้นชื่อนะครับ ส่งเข้าวังไกลกังวลด้วยครับ
มุมเครื่องดื่ม มีหลากหลายมาก ทั้งน้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำฝรั่ง น้ำเต้าหู้ นมสด น้ำดื่มครับ
มาที่มุมด้านนอก ตรงระเบียงกันบ้างครับจะมี Chef คอยบริการทำสดจานต่อจานครับ มุมนี้เป็นมุมไข่ และแพนแค๊กครับ
มุมก๋วยเตี๋ยวครับ
ในส่วนที่เป็นระเบียงด้านขวา จะเป็นบริเวณที่ Chef มาปรุงอาหารกันจานต่อจานครับสำหรับกิจกรรมระหว่างวันที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้กับแขกนั้นมีดังนี้ครับ
วันจันทร์ : กิจกรรมแอโรบิกในน้ำ ช่วงเวลา 11.00 - 12.00 น.บริการฟรี
วันอังคาร : กิจกรรมขี่จักรยานยามเย็นไปตลาดและหมู่บ้าน ช่วงเวลา 16.00 - 17.00 น. ค่าบริการคนละ 40 บาท
วันพุธ : เที่ยวบ้านไทยประวัติศาสตร์ ช่วงเวลา 14.00 - 15.00 น. บริการฟรี
วันพฤหัสบดี : กิจกรรมแอโรบิกด้วยอุปกรณ์ไม้ ช่วงเวลา 15.00 - 16.00 น. บริการฟรี
วันศุกร์ : กิจกรรมแอโรบิกมวยไทย ช่วงเวลา 15.00 - 16.00 น. บริการฟรี
วันเสาร์ : กิจกรรมเกมส์แสนสนุก ช่วงเวลา 15.00 - 16.00 น. บริการฟรี
วันอาทิตย์ : กิจกรรมลูกโป่งแฟนซี ช่วงเวลา 10.00 - 11.30 น. บริการฟรี
ผมเองไม่ได้ไปใช้บริการครับ เพราะมัวแต่เดินถ่ายรูปรอบบริเวณรีสอร์ทครับ
บรรยากาศยามพลบค่ำริมสระน้ำครับ
วันเสาร์บริเวณห้องอาหารฟลูโซ่จะกลายเป็น Dinner BBQ Night Buffet ดูครึกครื้นเชียวครับ
มาดูการเตรียมตัวของรีสอร์ทกันครับ
Chef ให้ความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ในการทำ BBQ ครับ
มีการแกะสลักน้ำแข็งเป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารทะเลครับ
มุมเครื่องปรุง มุมสลัดต่าง ๆ ครับ
มีมุม Cocktails ด้วยครับ
มุมอาหารหวาน มีทั้งเค๊ก เบเกอรี่ รวมทั้งขนมไทยอย่างรวมมิตร ขนมกล้วย ขนมตาล เม็ดขนุนครับ
มุมนี้เป็นมุมโปรดของผมจริง ๆ ครับ
มุมสปาเก็ตตี้Chef มาบริการกันแบบเห็น ๆ ครับ
มุม BBQ ครับ
ผมว่ามื้อนี้คุ้มค่ากับราคาค่าหัว BBQ ครับ
แต่มื้อค่ำนี้ ผมฝากท้องที่ห้องอาหารสกุณาครับ
เมนูของผมวันนี้เป็นอาหารไทยครับ
เมนู Appertizer Chef นำเสนอเมนู ลาบหมูทอด (Deep fried pork patty with Thai Herbs) ถ้าหากไม่ทานหมู สามารถเปลี่ยนเป็นไก่ได้นะครับ เมนูนี้ Chef จะนำหมูติดมัน พริกป่น หอมแดง น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำมาปั้นกลม ๆ จากนั้นนำไปทอดครับ รสชาติถึงรส เปรี้ยว เค็ม ถือว่าอร่อยสมคำร่ำรือครับ
เมนู Soup Chef นำเสนอแกงเผ็ดเป็ดย่าง (Red Curry with roasted duck,tomatoes, eggplants, grapes and pineapple) เมนูนี้ Chef จะผัดเครื่องแกงด้วยกะทิสดให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำกะทิอีกรอบ ใส่เป็ด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ องุ่น และสับปะรด ลงในน้ำกะทิที่เตรียมไว้ รอจนเดือดและกะทิแตกมันครับ เมนูนี้พูดได้คำเดียวว่าอร่อย รสชาติกลมกล่อมจริง ๆ ครับ
เมนู Soup ต่อมา Chef นำเสนอ แกงเลียงกุ้งสด (Shrimp paste vegetable soup with shrimp and Thai garden herbs) Chef จะนำน้ำสต๊อกไก่ไปตั้งไฟ แล้วใส่เครื่องแกงเลียงลงไป พอไฟเดือดใส่ยอดข้าวโพด ยอดตำลึง ฟักทอง กุ้งสด กะปิ ใบแมงลัก รอจนเดือดอีกครั้งครับ ปกติผมเองไม่ค่อยชอบทานแกงเลียงเท่าไร แต่พอได้มาลองชิมที่นี่ ถือว่าถูกปากผมมากครับ อร่อย หอมกลิ่นใบแมงลัก รสชาติกลมกล่อมอีกแล้วครับ
มาถึง Main Dish กันบ้าง Chef นำเสนอ ข้าวคลุกกะปิ (Stir fried rice in shrimp paste topped with crispy dried shrimps, sweet pork and chopped green mangoes) เมนูนี้ใช้ข้าวกล้องมาผัดกับกะปิแล้วปรุงรสนิดหน่อย จากนั้นตกแต่งด้วยมะม่วงสด กุ้งหวาน ไก่หวาน ไข่เจียวฝานเป็นเส้น ๆ พริกสด หัวหอมครับ เมนูนี้สำหรับผม ผมว่ากลิ่นกะปิยังไม่แรงเท่าที่ควร ทานแล้วไม่รู้ว่าทานข้าวผัดกะปินะครับ แต่ Chef อาจจะปรุงสำหรับให้ทานได้ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ เพราะคนต่างประเทศ รวมทั้งคนไทยบางคนอาจจะไม่ชอบกลิ่นกะปิแรง ๆ ก็ได้ครับ แต่รสชาติของเครื่องเคียง เวลามาผสมคลุกกับข้าวแล้ว อร่อยดีครับ
ปิดท้ายกันที่ของหวานครับ Chef เตรียมของหวานแบบไทย ๆ คือ ทับทิมกรอบ (Water chestnuts with coconut ice cream and nuts, served in young coconut) Chef จะนำมะพร้าวอ่อนมาปาดหัวออก แล้วตักไอศครีมกะทิใส่ลงไป 1 ลูก จากนั้นตักทับทิมกรอบที่เตรียมไว้ราดบนไอศครีม โรยถั่วลิสงและน้ำกะทิสดลงไปอีกหน่อย เมนูนี้อร่อยมากครับ ความรู้สึกเหมือนกับทานทับทิมกรอบใส่น้ำแข็งใส แต่เปลี่ยนจากน้ำแข็งใสเป็นไอศครีม เลยรู้สึกว่ารสชาติมัน ๆ จากกะทิเพิ่มความหวานให้กับทับทิมกรอบ อร่อยกว่าทานกับน้ำแข็งใสมากครับ
อีกเมนูสำหรับของหวานคือ ครีมชีสชอคโกแลตพาร์เฟ่ท์ (Chocolate Cheese Parfait with Strawberry Sauce) Chef จะนำชอคโกแลตพาร์เฟ่ท์ที่แช่เย้นไว้มาตัดเป็นชิ้น ๆ แต่งหน้าด้วยผลไม้สด ราดด้วยซอสสตอรเบอรี่ เมนูนี้ก็อร่อยครับ ซอสสตอรเบอรี่เข้มข้นมาก ๆ ครับ ผมตักซอสซะหมดเกลี้ยงเลยครับ
หลังจากมีความสุขกับการทานมื้อค่ำแล้ว ก็กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้รอลุ้นกับแสงยามเช้าครับ
เช้าวันที่สองของผม ตื่นมาพร้อมกับสายฝนพรำอีกแล้วครับ แล้ววันนี้ดูท่าจะหนาเม็ดกว่าวันแรกเสียอีก แต่ดีที่ตกแป๊บเดียว หกโมงเช้าก็ซาเม็ดแล้วครับ
อดเห็นแสงแรกอีกตามเคย
สำหรับอาหารมื้อเช้านี้ ผมไปทานที่ห้องอาหารเยลโล่เทลส์ (Yellowtails) ซึ่งอยู่ในส่วนของ Regency Wing ครับ
ไลน์อาหารเช้าจะน้อยกว่าทางฝั่งห้องอาหารสกุณาครับ
ที่นี่รองรับแขกได้ 130 ที่ มองออกไปจากห้องอาหารจะเป็นวิวสระน้ำครับ
สำหรับห้องอาหารเยลโล่เทลส์ เปิดให้บริการอาหารกลางวัน ช่วงเวลา 11.00 - 17.00 น. และอาหารค่ำ ช่วงเวลา 18.00 - 22.30 น. ห้องอาหารนี้จะเน้นอาหารทะเลครับ
สำหรับในวันอาทิตย์ พี่โกโก้ จะออกมาให้ความสุขกับเด็ก ๆ และคอยส่งแขกที่ส่วนใหญ่จะ Check out กันวันนี้ครับ
ถึงแม้ว่ารีสอร์ท แห่งนี้จะไม่ใช่รีสอร์ทระดับ 5 ดาว แต่ผมคิดว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่รีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้กับแขกนั้น มีเทียบเท่าระดับ 5 ดาวครับ และอีกอย่างในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ผมว่าสะดวกต่อการเดินทางไปท่องเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโซนชะอำ หรือโซนหัวหิน ผมถือว่าเป็นจุดแข็งของที่นี่ครับ
ดูโดยรวมแล้วถึงแม้ว่าตัวอาคารที่พักภายนอกอาจจะดูเก่าไปบ้างตามสภาพการใช้งาน แต่ภายในห้องพักที่ผมได้เดินสำรวจ ผมว่าก็ไม่ได้เก่าไปตามสภาพอาคารเลย มีการปรับปรุงตบแต่งให้น่าพักทุกห้อง ผมว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เหตุผลสำคัญในการเลือกเข้าพัก แต่การให้บริการซิครับน่าจะเป็นตัวเลือกหลักและผมก็คิดว่าหลาย ๆ ท่านคงคิดเหมือนผม ไม่เช่นนั้น The Regent Cha Am Beach Resort คงไม่ยืนหยัดเปิดบริการมาจนถึง 31 ปีหรอกครับ
ผมขอขอบคุณ The Regent Cha Am Beach Resort และ KTC World ที่เปิดโอกาสได้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมที่รีสอร์ทแห่งนี้นะครับ ขอบคุณคุณแสนศรี Director of Food & Beverage ที่คอยอำนวยความสะดวกให้ผมตลอดการเข้าพักทั้ง 2 วันครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.36 น.