!!! โอ๊ย! มันไกล ไปทำไม ลำบากจะตาย !!!


!!! อุ้มผางหรอ โค้งเป็นพัน อ้วกจะแตก !!!


!!! ฝนไม่ตกหลายวันละนะ น้ำตกจะมีน้ำเรอะ ?!!



ไม่รู้แหละ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราตัดสินใจตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วว่าปี 60 เราต้องไป 'ปิตุ๊โกร น้ำตกรูปหัวใจ'



หลังจากประทับใจกับทริปทีลอซู พี่ป้าน้าอา และอากาศดีๆ ที่อุ้มผางเมื่อปีที่แล้ว (2559) เราแพลนต่อทันทีว่าปี 60 เราจะไปน้ำตกรูปหัวใจ เราหาข้อมูลจากในพันทิป บทความต่างๆ และจากพี่ลูกหาบในอุ้มผาง ก็เลยทำให้รู้ว่า 'ปิตุ๊โกร' เพิ่งเป็นที่รู้จักและเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้ไม่นานแค่ 2-3 ปีเท่านั้น พอได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกว่า เฮ้ย! ไม่ไปก็บ้าแล้ว!!!!



เรามาอุ้มผางช่วงเข้าพรรษาซึ่งก็เป็นช่วงเดียวกับทริปทีลอซูเมื่อปีที่แล้ว แต่รอบนี้เราลาเพิ่มทั้งต้น-ท้ายเทศกาล (6-11 ก.ค. 60) เริ่มต้นทุกอย่างเหมือนเดิมคือขึ้นรถจากหมอชิต2 - บขส. แม่สอด (ประมาณ 8 ชม.) แล้วต่อรถ 2 แถวอีก 3-4 ชม. ไปกัญญาภัค รีสอร์ท



เราถึงรีสอร์ทประมาณบ่ายโมงวันที่ 7 ก.ค. เข้าห้องพัก เก็บของ อาบน้ำแล้วก็ยืมมอ'ไซค์จองรีสอร์ทไปกินข้าวและแวะซื้อเสบียงสำหรับทริปวันพรุ่งนี้ ขณะขี่มอ'ไซค์กลับหลังจากที่เรากินข้าวซื้อของเสร็จแล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น!



น้าพินท์ : ถึงรึยัง เดี๋ยวเย็นนี้น้าพินท์ไปรับที่รีสอร์ทมากินข้าวเย็นกันนะ

เรา : ได้เลยค่ะ



(ถ้าใครได้อ่าน 'ทีลอซู เมื่ออยากไปก็ต้องไป' จะรู้ว่าน้าพินท์คือน้าที่ใจดีมาก นั่งรถเป็นเพื่อนกลับแม่สอดตอนที่ตกรถ)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/35437660



ข้าวกลางวันยังไม่ทันจะย่อยดี แป๊บๆ เวลาข้าวเย็นก็มาถึง น้าพินท์มารับตามสัญญา มื้อนี้มีน้าศักดิ์สามีน้าพินท์เป็นพ่อครัว กินน้ำพริกปลาร้าครั้งแรกก็ที่นี่แหละ แซ่บ!



เช้าวันรุ่งขึ้น (8 ก.ค.) พี่อาร์ม (เจ้าของกัญญาภัค รีสอร์ท) นัดแนะเวลาขึ้นรถประมาณ 9 โมงเช้า ด้วยความที่เรามาคนเดียว พี่อาร์มเลยเอาเราไปฝากไว้กับอีกรีสอร์ทนึงพร้อมกับพี่เอที่เป็นทั้งไกด์และลูกหาบของเรา เราขึ้นรถตอนประมาณ 10 โมงเช้า นั่งรถไปยังจุดเริ่มเดิน (ต. แม่จัน) ประมาณชั่วโมงครึ่ง ปีนี้เป็นปีแรกที่เค้าเก็บค่าเข้า (20 บาท) เงินที่เก็บไปนี้ ทำให้เราๆ นั่งท่องเที่ยวมีห้องน้ำได้ใช้บนดอยแหละเธอ หลังจากจ่ายเงินค่าเข้าแล้ว พี่เอพาเราไปกินข้าวที่พี่เอผัดมาให้และเริ่มเดินไปยังจุดกางเต้นท์



ต้องบอกก่อนว่าใครจะมาที่นี่ให้ใส่รองเท้าที่ใส่สบายพอดี กระชับเท้า และที่สำคัญต้องเป็นรองเท้าที่ใส่แล้วไม่เสียดาย เพราะทางมันเป็นยังงี้



ภาพทุ่งนาสวยๆ มันหลอกให้เราตายใจ เดินๆ ไปเจอแบบนี้



แห้งขึ้นมาหน่อย ฮ่าๆ



เราไม่ได้จับระยะทางเลยว่าจากจุดเริ่มเดินจนถึงจุดหางเต้นท์เป็นระยะทางกี่กิโล แต่ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 1.40 ชม. ระหว่างทางจะมีทั้งแอ่งน้ำ (สูงไม่ถึงครึ่งแข้ง) ทางโคลนเลนที่แบบเหยียบไปแล้วดึงขาขึ้นไม่ได้ จนไปถึงเส้นทางป่าดิบ ป่าไผ่แห้งๆ เป็นเส้นทางเดินที่ไม่ไกลแต่ครบทุกรสจริงๆ



เจอพื้นแห้งแบบนี้ค่อยเดินสบายหน่อย ^^



ก็จะมีรกๆ บ้างเป็นบางจุด



ในที่สุดเราก็มาถึงจุดกางเต้นท์แล้ว ได้ยินเสียงน้ำตกแบบใกล้หู มีห้องน้ำ 4 ห้อง ข้างบน 2 ห้อง ข้างล่างอีก 2 เป็นห้องน้ำสังกะสี มีก๊อกน้ำ ส้วมซึมแบบนั่งยองๆ มีที่ล๊อคประตูเป็นยางรัดผม นับว่าเป็นห้องน้ำที่สะอาด ไม่มีสัตว์เลื้อยคลานหรือแมลง พี่เอ (ลูกหาบ + ไกด์) ของเราขึงเชือกเอาแสลนผ้าใบสีฟ้าพาดเป็นฟลายชีท แล้วกางเต้นท์ แต่ยังกางไม่เสร็จดีฝนก็ตกลงมา ถือว่าเป็นการต้อนรับที่แฉะดีจริงๆ พี่เอคนดีคนเดิมของเราบอกให้เราไปนั่งพักเดี๋ยวพี่เค้าจัดการเอง หารู้ไม่ว่าเราอยากเล่นน้ำฝนแบบนี้มานานแล้ว



ฟลายชีทบ้านๆ เวลาฝนตกเนี่ยได้ยินชัดสุด ฟินเว่อร์



ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่กลางฝนต่อไปไม่ไหว ต้องหลบอยู่ในเต๊นท์เลยมองเห็นวิวได้แค่นี้



ว่าแล้วก็ตากมันซะหน่อย อยู่ด้วยกันมาหลายทริปแล้วนะคู่นี้



หลังจากอาบน้ำเสร็จ พี่เอก็ก่อไฟ หุงข้าว ต้มน้ำร้อนกินมาม่าให้เรากิน มื้ออิ่มอร่อยผ่านไปได้ด้วยดี ก่อนนอนเรานั่งคุยกับพี่เอ จากพี่เอผู้ชายขรึมๆ กลายเป็นคนคุยเก่งขึ้นมาทันใด สองทุ่มกว่าเราขอตัวไปนอน อากาศเย็นพอดีไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ซุกตัวในถุงนอนมันฟินดีจริงๆ



ติ๊ด. . . ติ๊ด. . . ติ๊ด. . .



6:30 ของวันที่ 9 ก.ค. ตื่นมาอย่างงัวเงียและของีบต่อไปอีกนิด ฟื้นมาอีกทีพี่เอต้มน้ำร้อนรอสำหรับโจ๊กคัพ อาหารเช้าของเรา และประมาณ 7 โมงนิดๆ เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินต่อไปยังดอย 'มะม่วงสามหมื่น'



เรา : เดินไปอีกไกลมั้ยพี่เอ

พี่เอ : ไกล!



เป็นคำสั้นๆ ที่บาดใจจริงๆ เช้าก็เช้า อาหารก็ยังไม่ย่อยดีแล้ววต้องมาเดินขึ้นเขาชันๆ นี่ถ้าไม่ได้พิมเสนตราแม่กุหลาบเราไม่รอดแน่ๆ ฮ่าๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งชัน ยิ่งสูงลมก็ยิ่งแรง 1 ชม. จากจุดกางเต้นท์ถึงจุดชมวิวแรกผ่านไปได้ด้วยดี รางวัลของคนตื่นเช้าของที่นี่ไม่ใช่วิวพระอาทิตย์ขึ้น แต่เป็นโครงริ้วน้ำตกรูปหัวใจพร้อมกับหมอกพัดมาอ่อนๆ อยากอยู่ตรงนั้นนานๆ อยากนอนตรงนี้อีกซักคืน



หรือที่เค้าว่าช่วงนี้น้ำน้อยจะเป็นเรื่องจริง ทำไมหัวใจมันถึงกิ่วได้ขนาดนี้ หรือว่าเราจะมาเสียเที่ยว?



ดอยมะม่วงสามหมื่น



เรา : ตรงนี้คือดอยมะม่วงสามหมื่นรึยังพี่

พี่เอ : ย้างงงง! (พร้อมชี้นิ้วไปที่ภูเขาลูกนึงที่เห็นแล้วปวดใจนัก) เห็นลูกนั้นมั้ย นั่นแหละสามหมื่น

เรา : เดินไปอีกไกลป่าวค่ะ

พี่เอ : ไกล!

เรา : (เรา เฮ้อ! ในใจแล้วถามต่อ) กี่ชั่วโมงค่ะ

พี่เอ : อีกชั่วโมงนึง แต่ชันกว่าที่เดินขึ้นมามาก

เรา : . . . (ไปนะ แต่ขออยู่นิ่งๆ แป้บ)

พี่เอ : ไหนๆ ก็มาแล้ว ขึ้นไปดู ข้างบนอากาศหนาวมีละอองฝน ลืมบอกให้เอาเสื้อกันฝนติดมาด้วย

เรา : ไปค่ะ (แบบอิดโรย 5555)



มันก็จะชื่นใจหน่อยๆ นะ



เราเดินตามพี่เอไปเรื่อยๆ ชันบ้างราบบ้าง ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงดอยมะม่วงหนึ่งหมื่น ลมแรงมาก หมอกหนามากจนมองไม่เห็นอะไรเลย รอบตัวเป็นพื้นที่ขาวๆ เต็มไปหมด พี่เอชี้นิ้วไปข้างหน้าแล้วบอกว่าว่านั่นคือดอยมะม่วงสองหมื่น และนั่นก็สามหมื่น ขึ้นไปก็วิวเดียวกันนะมองไม่เห็นอะไรเหมือนกันหมอกมันบังหมด เราเห็นด้วยอย่างมาก อย่าทรมานกันไปมากกว่านี้เลย เตรียมตัวไปดูน้ำตกใกล้ๆ กันดีกว่า จะได้เห็นซะทีว่าน้ำจะน้อยจริงๆ มั้ย



ก็ยิ่งเดินหมอกมันก็ยิ่งเยอะอ่ะ



แบบนี้เรียกว่าหมอกจัดได้รึยัง?! ถ้ายังดูคลิปข้างล่างนะ





เป็นอีกหนึ่งวิวที่ชอบมากระหว่างเดินไปน้ำตก



จากดอยมะม่วงเดินลงไปน้ำตกรูปหัวใจก็อีกประมาณ 1 ชั่วโมง จะว่าง่ายๆ ก็คือแต่ละจุดห่างกัน 1 ชั่วโมง ทางเดินไปน้ำตกเป็นทางชันเดินลงอย่างเดียวค่อนข้างลื่น



บางจุดเป็นหินที่มีมอส ตะไคร่น้ำ เถาวัลย์พันกันรกๆ ชุ่มชื่นมาก ยิ่งเดินเสียงน้ำตกก็ชัดขึ้น ลุ้นๆ อยู่ว่าน้ำจะเยอะมั้ยนะ จะเป็นรูปหัวใจแบบในรูปรึป่าว จะเสียเที่ยวมั้ย คิดๆ แล้วก็ค่อยๆ เดินไป



เราไม่รู้ว่าถ้าน้ำเยอะมันจะขนาดไหน แต่รู้ว่าแค่นี้เราก็ปลื้มปริ่มจะแย่ละ มองจากข้างบนเป็นริ้วบางๆ เดินลงมาข้างล่างเป็นทรงรูปหัวใจชัดเจน น้ำไหลแรง นั่งฟังเสียงน้ำตกแล้วเพลินจัง





นั่งชิวกับน้ำตกได้สักพักก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินกลับเต๊นท์แล้ว ใช้เวลาเดินไม่ถึงชั่วโมงก็ถึง ระหว่างทางพี่เอของเราก็เด็ดผักตามทางไปด้วยแล้วเอาไปล้างที่น้ำตกใกล้จุดกางเต๊นท์ ใครจะรู้ว่าเจ้าผักกูดนั้นจะเป็นมื้อบ่ายของเรา หลังจากกินข้าวเสร็จก็เตรียมเก็บเต๊นท์แล้วเดินทางออกจากป่า ซึ่งทั้งขาไปขากลับใช้ทางเดียวกัน จริงๆ ต้องเรียกทริปนี้ว่าทริปเท้าเปื่อย! ขาเดินกลับใช้เวลาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อยแล้วก็ขึ้นรถกลับไปยังรีสอร์ท พักผ่อนตามอัธยาศัย



ลืมให้ดูน้ำตกที่อยู่ติดจุดกางเต๊นท์ของเราเลย เราใช้น้ำที่นี่ทำอาหารและดื่ม พี่เอบอกว่าน้ำตรงนี้สะอาดกินได้ เค้าวิจัยกันมาแล้ว



เจอตอนเดินกลับ น่าจะเป็นดอกกระเจียวนะ

เช้าวันรุ่งขึ้นประมาณ 7 โมงเช้ามี wake-up call ของรีสอร์ทมาก๊อกๆ ประตูเพื่อให้เตรียมตัวไปกินข้าวเช้าและรอรถออกประมาณ 8:30 แต่เที่ยวอุ้มผางรอบนี้แทบจะไม่ได้กินข้าวรีสอร์ทเลย อย่างมื้อเช้านี้น้าพินท์ก็รับไปกินข้าวเช้าที่บ้านเหมือนเดิม น้าศักดิ์ยังเป็นพ่อครัวเหมือนเดิมเช่นกัน และเตรียมตัวขึ้นรถของรีสอร์ทออกจากอุ้มผาง ถ้าเรานั่งรถประจำทาง (รถสองแถว) ต้องโทรนัดแนะให้ดีเพราะรอบรถวิ่งถึงแค่ช่วงเที่ยงเท่านั้น ถ้าพลาดจากนั้นคือตกรถ แต่ถ้าเป็นรถของรีสอร์ทเค้าจะพาเราแวะที่เที่ยวตามทางผ่านให้ หรืออยากถ่ายรูปตรงไหนก็บอกพี่เค้าได้



ด้วยความที่รอบนี้เป็นจังหวะที่กรุ๊ปที่ไปเที่ยวทีลอซูกลับพอดี เราเลยขอแจมไปด้วย ทุกคนน่ารักสุดๆ เจอครั้งแรกก็คุยกันได้แบบไม่เกร็งเลย และเพราะเพื่อนใหม่นี้เองทำให้เรารู้ว่าเราสามารถไปต่อเมียวดี ประเทศพม่าได้ระหว่างรอขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพ แต่ก่อนจะไปเที่ยวต่างประเทศนั้น เราก็ได้แวะน้ำตกพาเจริญซึ่งเป็นทางผ่านระหว่างไปแม่สอด อย่าลืมเอาพาสปอร์ตอุทยานไปปั๊มล่ะ



น้ำตกพาเจริญ (อ. พบพระ จ. ตาก) เป็นน้ำตกที่ไม่ใหญ่ สวย มีลักษณะเป็นชั้นๆ ไล่ลงมาแต่ต้องระวังให้ดีเพราะค่อนข้างลื่น



หลังจากเที่ยวน้ำตกพาเจริญแล้วอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแม่สอด เราแวะกินข้าวกันก่อนเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน 'พม่า' ของเรานี่เอง ในการไปพม่านี้เอง พี่ยะ พี่คนขับรถของเราได้ขอบัตรประชาชนพร้อมเงินคนละ 220 บาทเป็นค่ารถให้เพื่อนเค้ารับช่วงต่อพาเที่ยวในเมียวดี แค่เพียงแป๊บเดียวเราก็เข้ามาสู่เขตพม่า ในเวลา 16:30 น. เป็นเวลาเคารพธงชาติของที่นี่ (เห็นเค้ายืนตรงกันทุกคน) พร้อมฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย รู้แล้วจ้าว่าหน้าฝน หึหึ



เที่ยวเมียวดีนี้เราจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เพราะเราไม่ใช่สายบุญหรือสายวัฒนธรรม ออกแนวเป็นมินิทริป 2 ชม. ในการชมวัด 4 วัด (วัดจระเข้ยักษ์ / วัดก้อนหินยักษ์ / วัดพระยืน / วัดสุดท้ายสวยสุดไม่รู้ชื่อ) แต่รู้สึกชอบศิลปะในการออกแบบพวกขอบหลังคาวัดอยู่เหมือนกัน (มีพระบรมสารีริกธาตุ) ต่อไปเป็นรูปวัดรัวๆ ไม่มีบรรยายใต้ภาพเพราะจำไม่ได้ว่ารูปไหนเป็นวัดอะไร



ในส่วนของการเที่ยวเมียวดี ประเทศพม่า ในเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็จะประมาณนี้แหละค่ะ ก่อนจะออกจากพม่าพี่คนขับขอแวะปั๊มก่อนเหมือนน้ำมันจะหมด

ปั๊มน้ำมันแบบบ้านๆ ขอถ่ายรูปซะหน่อยนะ



สภาพแวดล้อมบ้านเค้าก็ไม่ได้ต่างอะไรจากบ้านเราเท่าไหร่ ที่เมียวดีนี้สัญญาณโทรศัพท์ 4G ยังใช้ได้ดีอยู่ มีร้านขายมือถือเต็มไปหมด

ประมาณ 18:30 ถึง บขส. แม่สอด คือมันใกล้กันมากถ้าจะเที่ยวเมียวดีต่ออีกชั่วโมงก็ทันนะ และจุดสิ้นสุดของทริปก็มาถึง เราร่ำลาเพื่อนร่วมทริป 10 ชีวิตแล้วรอขึ้นรถกลับกรุงเทพรอบ 20:00 น. จะว่าไปทริปนี้มีอะไรที่เกินคาดเยอะอยู่เหมือนกัน เราไม่ได้คิดหรือสงสัยเลยว่าทางไปน้ำตกมันจะชันและจะเดินเยอะ (ตอนแรกคิดว่านั่งเรือยางซะอีก ><) เกินคาดที่สองคือไม่คิดว่าเพื่อนใหม่เราจะเฟรนด์ลี่ขนาดนี้ ทุกครั้งที่เจอเพื่อนใหม่เรามักจะเกร็งตลอด ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ทำให้เราได้ไปต่อ 5555 เกินคาดที่สามคือการได้ไปพม่า ถึงจะไม่ใช่แนวที่ชอบแต่ก็รู้สึกดีแปลกๆ นะ แต่ที่ไม่เกินคาดและรู้ว่าจะต้องเจอแน่เมื่อมาอุ้มผางคือ คนอุ้มผางยังน่ารัก มีน้ำใจเหมือนเดิม และที่สำคัญต้องขอบคุณครอบครัวน้าศักดิ์และกัญญาภัค นีสอร์ทตลอดหลายวันที่ผ่านมานะคะ <3



ลาไปด้วยภาพนี้ วิวมุมสูง (ไม่มาก) ของเมียวดีค่ะ


ฺํ- BYE BYE -

:: ข้อมูลในการจองรถและที่พักนะคะ ตามนี้เลย ::



Website จองรถทัวร์ : http://www.pns-allthai.com/pns_bs/index.php

Website ที่พักและทริปน้ำตกทีลอซู : http://www.kanyapaktour.com

Tel : 081-972-7973 พี่อาร์ม

prinnparinada

 วันพฤหัสที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.31 น.

ความคิดเห็น