หยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่รู้จะไปไหน เกิดใจง่าย ใครชวนไปไหนก็ไป ทริปนี้เพื่อนฟลุ๊คชวนไปสัมผัสบรรยากาศที่แดนสวรรค์น้ำงึมรีสอร์ท ด้วยความที่ยังไม่เคยไป เลยตอบรับแบบไม่ลังเล

ทริปนี้ไปแบบ 3 วัน 2 คืน โปรแกรมคร่าวๆ คือเดินทางช่วงเย็นหลังเลิกงานบินลงที่อุดรธานี แล้วตีรถเข้าเวียงจันทน์ นอนค้างเวียงจันทน์ เช้าตะเวนเที่ยวเวียงจันทน์บ่ายตีไปนอนที่แดนสวรรค์น้ำงึมรีสอร์ท เช้าวันสุดท้ายเดินทางกลับครับ

จริงๆ แล้วแอร์เอเชียมีบินตรงสู่เวียงจันทน์ วันละ 1 ไฟล์ท แต่เนื่องจากช่วงเวลาไม่ค่อยดีสักเท่าไร คือจะถึงเวียงจันทน์ในเวลา 13.15 น. ทำให้มีเวลาอยู่ในเวียงจันทน์ประมาณ 25 ชั่วโมงเท่านั้น ไหนๆ จะไปเที่ยวทั้งที ขอใช้เวลาเที่ยวให้คุ้มค่ากว่า 25 ชั่วโมงเถอะ เลยเลือกเดินทางในช่วงเย็นวันศุกร์ เพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวในช่วงเช้าวันเสาร์ด้วยครับ

นานๆ จะได้เห็น 3 สายการบินมาป๊ะกันแบบนี้

สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ผมเลือกเดินทางกับสายการบินแอร์เอเชียครับ

หลังจากถึงสนามบิน ฟลุ๊คได้ติดต่อให้คนขับรถตู้ฝั่งลาวมารับพวกผมที่สนามบินอุดรธานี เมื่อสมาชิกแต่ละคนรับสัมภาระกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่เวียงจันทน์

ปกติเวลามาเที่ยวเวียงจันทน์ในช่วงเช้า จะมีคนมาติดต่อเพื่ออำนวยความสะดวกในการข้ามแดน เพียงแค่ส่งรูปถ่าย กรอกรายละเอียดในใบผ่านแดนชั่วคราวและค่าธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ แล้วเราก็นั่งรอหล่อๆ สวยๆ เพียงไม่นานก็ผ่านกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมืองไปอย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้ต้องดำเนินการเองทุกอย่าง และถือเป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางเข้าลาวแบบใช้ Passport ติดๆ ขัดๆ บ้างเล็กน้อย มีการขอค่าล่วงเวลาจากเจ้าหน้าที่นิดๆ หน่อยๆ กว่าจะผ่านได้ก็ใช้เวลากันพอสมควรครับ

เมื่อผ่านกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ที่พักในทันที เพราะมืดขนาดนี้ก็ไม่รู้จะแวะเที่ยวที่ไหนแล้ว เก็บแรงไว้เริ่มเที่ยวกันแต่เช้าในวันรุ่งขึ้นครับ

ค่ำนี้ผมเข้าพักที่ โรงแรมแสงตะวัน ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามแม่น้ำโขงเลยครับ

บริเวณ Lobby ครับ

มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ

ไปดูห้องพักกันบ้างครับ

จะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเมื่อเปิดห้องเข้ามาจะเป็นห้องโถงกว้าง สำหรับนั่งเล่นครับ

พื้นที่ในส่วนห้องนั่งเล่นจะมีห้องน้ำด้วย ขนาดห้องไม่ใหญ่นัก ไม่มีพื้นที่สำหรับอาบน้ำ มีเพียงอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ครับ


ติดกับพื้นที่ในส่วนนั่งเล่นจะเป็นห้องนอนครับ


ในห้องนอนจะมีห้องน้ำอีก 1 ห้อง สำหรับอาบน้ำครับ


บรรยากาศยามค่ำคืนหน้าโรงแรม มองเห็นลำน้ำโขงทอดยาวสุดลูกหูลูกตา บริเวณตลิ่งมีร้านอาหารมากมาย


ผมเองก็มาฝากท้องที่ร้านอาหารหน้าโรงแรมเหมือนกัน บริเวณนี้มีร้านให้เลือกมากมาย คึกคักเชียวครับ


ระหว่างที่รออาหาร ผมดอดไปเดินเล่นบริเวณถนนคนเดิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก แต่เนื่องจากไปถึงค่อนข้างดึกแล้ว ร้านรวงทยอยปิดร้านเยอะแล้ว ผมไปได้กระเป๋าผ้าเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับมาหลายใบ ต่อราคาแทบเป็นแทบตายแต่พ่อค้าไม่ได้ลดราคาให้ แต่เป็นราคาที่รับได้ เลยตกลงซื้อมาครับ

ทานมื้อค่ำเสร็จก็เดินข้ามถนนเข้าที่พักเลย สะดวกดีครับ ถ้าใครมาเที่ยวเวียงจันทน์แล้วหาที่พัก ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจครับ ราคาต่อห้องประมาณ 1,500 บาทรวมอาหารเช้าครับ

ผมว่าค่าครองชีพที่ลาวสูงกว่าเมืองไทยนิดหน่อยครับ ทั้งอาหารและที่พักครับ

เช้าวันใหม่ผมออกมาเดินเล่นสูดอากาศแต่เช้าครับ

ริมตลิ่งมีการปลูกดอกทานตะวันเป็นแนวยาวเลย หลายคนมาเดินเล่น บ้างก็ปั่นจักรยานออกกำลังกาย ช่วงเช้าอากาศดีจริงๆ ครับ

จะเรียกว่าหาดทรายน้ำจืดก็คงไม่ผิดนะครับ เพราะเป็นชายหาดของลำน้ำโขงครับ


เมื่อคืนมาถึงโรงแรมมืดแล้ว เลยไม่เห็นหน้าโรงแรมเลย เช้านี้เลยเก็บภาพด้านหน้าโรงแรมมาซะหน่อยครับ


ชั้นบนสุดของโรงแรมเป็นห้องอาหาร มีระเบียงให้นั่งชมบรรยากาศด้วยครับ


อาหารก็ไม่ได้มีมากมายสักเท่าไร ฟลุ๊คบอกว่าอย่าทานมาก เดี๋ยวจะพาไปทานเฝอครับ


จากระเบียง มองออกไปเห็นหาดทรายทอดยาว ฝั่งตรงข้ามเป็นฝั่งไทย มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนครับ

หลังทานอาหารเรียกน้ำย่อยที่โรงแรมไปแล้ว ต่อไปก็ถึงมื้อเช้าแบบจริงจัง ฟลุ๊คนำเสนอร้าน “เฝอแม่พิม” ครับ

ที่ตั้งของร้านเฝอแม่พิม อยู่ในซอยแคบๆ ต้องสังเกตกันให้ดีๆ ครับ

หน้าร้านแม่ครัวกำลังขะมักเขม้นในการปรุงเฝอครับ


รสชาติของเฝอใช้ได้เลยครับ น้ำซุปอร่อย แต่ขอเตือนเพื่อนๆ สักนิด เวลาสั่งจะมีแบบธรรมดาและพิเศษ บอกก่อนเลยว่า ที่นี่ชามค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว ขนาดผมสั่งแบบธรรมดามา ได้ถ้วยใหญ่เบิ้มมากๆ นี่ถ้าสั่งแบบพิเศษมา น่าจะทานได้ 2 คน เฝอชามนี้ 80 บาทครับ

ก่อนที่จะออกเที่ยวเวียงจันทน์ มาทำความรู้จักเวียงจันทน์กันสักนิดครับ “เวียงจันทน์” เป็นเมืองเก่าแก่แห่งอาณาจักรล้านช้าง มีประวัติยาวนานกว่า 1,200 ปี พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) มาสร้างใหม่ที่เวียงจันทน์ใน พ.ศ.2103 และทรงสถาปนาเวียงจันทน์ขึ้นเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้าง มีชื่อว่า “นครจันทบุรีศรีสัตนาคนหุต อุตมราชธานี” หรือเวียงจันทน์ตั้งแต่นั้นมาครับ

สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองเวียงจันทน์จะเป็นวัดวาอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่ โดยวัดแรกเริ่มที่วัดองค์ตื้อวรวิหารครับ

“วัดองค์ตื้อวรวิหาร” เป็นหนึ่งในหลายๆ วัดที่เก่าแก่ที่สุดในเวียงจันทน์ เป็นวัดที่ชาวลาวและชาวต่างประเทศให้ความนับถือเป็นอย่างมาก จนมีคำกล่าวที่ว่า “ใครมาเวียงจันทน์แล้วไม่ได้มาไหว้พระเจ้าองค์ตื้อ เหมือนมาไม่ถึงเวียงจันทน์” สมัยก่อนวัดองค์ตื้อวรวิหารใช้ประกอบพิธีสำคัญต่างๆ เช่นพิธีถือน้ำสัตยาบรรณครับ

จุดเด่นของวัดองค์ตื้อวรวิหารคือมีพระอุโบสถหลังใหญ่ ด้านในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าใหญ่ตื้อ ซึ่งเป็นพระประธานที่สร้างโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อปี พ.ศ.2109 พร้อมด้วยพระสุก พระใส พระเสริมครับ

จากวัดองค์ตื้อวรวิหาร ไปต่อกันที่หอพระแก้วครับ

เดิม “หอพระแก้ว” เป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ทรงอัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ อาณาจักรล้านนา ต่อมาในสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อาณาจักรล้านช้างหรือลาว ตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์คบคิดออกห่างจากสยามและเข้าโจมตียึดหัวเมืองอีสาน เมื่อสยามกำราบชนะแล้วจึงสำเร็จโทษเจ้าอนุวงศ์และทำการษเผาเมืองเวียงจันทน์ เว้นไว้แต่หอพระแก้วและวัดสีสะเกดครับ

เดิมหอพระแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ต่อมาภายหลังกองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป ทำให้หอพระแก้วว่างเปล่ามาจนถึงปัจจุบัน พระแก้วมรกตถือเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญสำหรับชาวล้านช้างครับ

บริเวณระเบียงด้านนอกหอพระแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริด ศิลปะล้านช้างที่เก่าแก่หลายองค์ องค์ที่เก่าแก่ที่สุดคือพระพุทธรูปศิลา ประทับยืนในปางทรงแสดงธรรม ศิลปะสมัยเจนละที่เก่าแก่ที่สุดองค์หนึ่งในเอเชีย อยู่ทางประตูด้านหลังหอพระแก้วครับ

ถึงแม้ว่าภายในหอพระแก้วจะไม่มีพระแก้วมรกตแล้ว แต่ภายในยังมีพระพุทธรูปโบราณล้ำค่ารวมถึงวัตถุโบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปยืนแกะสลักจากไม้ลงรักปิดทองที่ดูงดงาม,นาค 7 เศียร ทรงเครื่องเต็มยศด้วยสำริดตามแบบศิลปะล้านช้าง, พระประธานองค์ใหญ่นามว่า “พุทธเจ้าสโคดมพุทธสิมมา” รวมถึงบุษบกที่เคยใช้ประดิษฐานพระแก้วมรกต ถูกจัดแสดงในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ซึ่งตั้งอยู่ด้านในหอพระแก้วนั่นเอง ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป สำหรับค่าเข้าชมหอพระแก้ว 10,000 กีบครับ

เยื้องๆ หอพระแก้วคือวัดสีสะเกด อีกหนึ่งวัดที่หลงเหลือจากการถูกเผาทำลายจากสยามครับ

“วัดสีสะเกด” หรือที่ชาวลาวรู้จักในชื่อ วัดแสน วัดสีสะเกดเป็นวัดหลวง ที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างขึ้น และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้โดยรอบพระระเบียงและภายในพระอุโบสถนับแสนๆ องค์ จนเป็นที่มาของชื่อวัดแสนนั่นเอง เชื่อกันว่าวัดสีสะเกดแห่งนี้เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปมากที่สุดในประเทศลาวครับ ส่วนด้านในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง ที่ผนังวิหารนอกจากจะมีช่องเล็กๆ ที่บรรจุพระพุทธรูปองค์เล็กๆ แล้ว ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องทศชาติชาดกด้วย ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเช่นกัน สำหรับค่าเข้าชมวัดสีสะเกด 10,000 กีบครับ

จากวัดสีสะเกดไปต่อกันที่วัดสีเมืองครับ

“วัดสีเมือง” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2106 แต่ถูกกองทัพสยามทำลายลงในปี พ.ศ.2371 และได้มีการสร้างวัดสีเมืองขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2458 วัดสีเมืองเป็นอีกหนึ่งวัดที่ชาวลาวจะมาสักการบูชากันเป็นจำนวนมาก ด้านในเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์ ที่เชื่อว่ามีเจ้าแม่สีเมืองเป็นผู้ดูแลรักษาหลักเมือง คอยดูแลทุกข์สุขของประชาชน นอกจากนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ของเมืองเวียงจันทน์อีกด้วยครับ

จากวัดสีเมืองไปต่อที่ “ธาตุดำ” เจดีย์ทรงระฆังแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่องค์เดียวในเวียงจันทน์ ลักษณะคล้ายกับเจดีย์ที่มีฐานแปดเหลี่ยมในศิลปะอยุธยาและล้านนา เดิมพระธาตุหุ้มด้วยทองแต่ถูกลอกออกในสมัยสงครามที่สยามเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ จึงถูกเรียกว่าธาตุดำตั้งแต่นั้นมาตำนานเล่าว่าบริเวณพระธาตุเป็นทางเข้าออกเมืองบาดาลที่พญานาค 7 เศียรมาช่วยเหลือชาวเมืองในสมัยที่ทำสงครามกับกองทัพสยามครับ

จากธาตุดำ ไปต่อที่ประตูชัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักครับ

เมื่อพูดถึงเวียงจันทน์ ผมมักจะนึกถึง “ประตูชัย” ประตูชัยเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2512 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ สถาปัตยกรรมของประตูชัยได้รับอิทธิพลจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่จะแตกต่างกันตรงที่ประตูชัยลาวจะใส่เอกลักษณ์ของศิลปะแบบล้านช้างเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นยอดปราสาทบนประตู ลวดลายปูนปั้นเทพนม และภาพจิตรกรรมบนเพดานครับ หากใครมีพละกำลังเหลือเฟือ แนะนำว่าให้ขึ้นไปที่ด้านบนของประตูชัยนะครับ ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สวยเลยทีเดียว ผมเคยขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้แดดร้อนมากเลยไม่ได้ขึ้น เลยไม่มีภาพมาฝากครับ

จากประตูชัยไปต่อที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ครับ

“พระธาตุหลวงเวียงจันทน์” เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองลาว เชื่อว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 ในยุคอาณาจักรศรีโคตรบอง สร้างขึ้นเป็นพระธาตุองค์เล็กๆ ชื่อว่า องค์พระธาตุศรีธรรมาโศก ภายในพระธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกหัวเหน่า ต่อมาในปี พ.ศ.2109 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างพระธาตุหลวงใหม่ครอบองค์พระธาตุเดิม และให้ชื่อว่า “พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี” ต่อมาภายหลังได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่อีก โดยมีรูปทรงตามคติจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง องค์พระธาตุรูปทรงดอกบัวตูม มีเจดีย์บริวาณล้อมรอบ 30 องค์ ดังที่เป็นอยู่จวบจนปัจจุบันครับ พระธาตุแห่งนี้มีอายุร่วมสมัยกับพระธาตุพนม จ.นครพนม สำหรับค่าเข้าชมพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ 10,000 กีบครับ

บริเวณด้านหน้าขององค์พระธาตุจะมีอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ล้านช้าง องค์ที่ 45 ประทับนั่งอย่างสง่างามครับ

โดยรอบของพระธาตุหลวงเวียงจันทน์มีวัดพระธาตุเหนือ วัดพระธาตุใต้ และยังมีตลาดขายของที่ระลึกให้เลือกจับจ่ายมากมาย ขอบอกว่าราคาถูกกว่าที่ถนนคนเดินด้วยครับ ผมมาเห็นราคาสินค้าที่ตลาดแห่งนี้เลยต้องซื้ออีกรอบเหตุเพราะเจ็บใจที่ซื้อของแพงจากถนนคนเดิน สินค้าที่ระลึกจะเป็นผ้าซิ่น กระเป๋าที่ทำจากผ้า เสื้อสกรีนลาว และของที่น่าสนใจอื่นๆ อีกเยอะเลยครับ

พักเบรกทานมื้อเที่ยงกันก่อน ก่อนที่จะออกไปเที่ยวอีก 1 จุดซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ออกไปไกลพอสมควรครับ เที่ยงนี้ผมฝากท้องไว้ที่ “ร้านปิ้งไก่นาโป่ง” ครับ

อาหารจะสไตล์ร้านส้มตำไก่ย่างบ้านเราครับ เริ่มที่ยำไข่มดแดง ไข่มดแดงเยอะมากๆ

ลาบเป็ดรสชาติกำลังดีครับ


ปลาเนื้ออ่อนนึ่งมะนาว ปลาอาจจะตัวเล็กไปสักนิด เนื้อปลาเลยน้อยตามไปด้วย แต่ก็อร่อยดีครับ


ไข่เจียวไข่มดแดง ไข่มดแดงเยอะมากครับ


ตระกูลตำ มีทั้งตำแตง ตำไทย ตำปลาร้าครับ


ตะกูลไก่ก็มา มาทั้งแบบไก่ย่างและหมกไก่ครับ

สำหรับรสชาติอาหารโดยรวม ผมว่าอาจจะยังไม่จัดจ้านเท่าที่ควรครับ ไก่ย่างอร่อยครับ

หลังมื้อเที่ยง ไปต่อกันที่สวนพระ (Buddha Park) ครับ

“สวนพระ” หรือวัดเชียงควน อยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ประมาณ 25 กิโลเมตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2501 ภายในสวนพระจะมีรูปปั้นพระวิษณุ พระศิวะ และรูปปั้นแปลกๆ ตามจินตนาการของผู้สร้างมากมายครับ

พุทธอุทยานหรือสวนพระ สร้างโดยปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ เมื่อครั้งที่ท่านยังอยู่ในประเทศลาว ต่อมาภายหลังได้ย้ายกลับมายังฝั่งไทยและมาสร้างศาลาแก้วกู่ หรือวัดแขกในจังหวัดหนองคาย จึงไม่แปลกเลยที่ศิลปะของทั้งสวนพระและศาลาแก้วกู่จะคล้ายกัน ภายในพุทธอุทยานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อซีเมนต์ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธและฮินดู นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นของเหล่ามนุษย์ พระเจ้า สัตว์ ปีศาจ พระศิวะ พระนารายณ์และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ผมว่าหากมาเดินที่นี่ในช่วงโพล้เพล้ ก็ให้บรรยากาศน่ากลัวดีเหมือนกันครับ

จุดเด่นของสวนพระ เห็นจะเป็นอาคารทรงฟักทองขนาดใหญ่ ซึ่งเราสามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ด้วยครับ


บรรยากาศภายในอาคารทรงฟักทอง ดูน่ากลัวดีเหมือนกัน บันไดที่จะเดินขึ้นไปค่อนข้างแคบและชัน ต้องเดินด้วยความระมัดระวังครับ


ทางออกจากอาคารทรงฟักทองที่จะออกมายังจุดชมวิวค่อนข้างแคบ ถือว่าอันตรายอยู่เหมือนกัน ด้านบนไม่มีราวสะพานกันตก คงต้องระวังเป็นพิเศษครับ ด้านบนสามารถชมวิวโดยรอบของสวนพระได้แบบมุมกว้าง มองเห็นพระนอนขนาดใหญ่ ซึ่งยาว 45 เมตรและสูง 19 เมตรได้อย่างชัดเจน ถ้าหากใครมีเวลาในเวียงจันทน์ก็ลองแวะมาชมที่สวนพระดูนะครับ ที่นี่เสียค่าเข้า 5,000 กีบครับ

จากสวนพระ ผมตีรถยาวกว่า 90 กิโลเมตรไปยังเหนือเขื่อนน้ำงึม ซึ่งเป็นที่ตั้งของแดนสวรรค์ น้ำงึม รีสอร์ท ที่พักของผมในคืนนี้ครับ

เส้นทางที่แยกจากถนนใหญ่เข้าสู่แดนสวรรค์น้ำงึมรีสอร์ท เป็นเส้นทางที่ขึ้นเขา จะมีจุดชมวิวอยู่กลางทางซึ่งจะมองเห็นรีสอร์ทที่อุดมด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ของผืนป่า ภูเขา และสายน้ำครับ

มีสายหมอกมาทักทายด้วย


แดนสวรรค์น้ำงึมรีสอร์ท เป็นรีสอร์ทริมทะเลสาบน้ำงึมพร้อมบ่อนคาสิโน เป็นโครงการร่วมลงทุนของกลุ่มนักธุรกิจชาวมาเลเซียที่มีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านเหรียญ ภายในรีสอร์ทมีกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่บ่อนคาสิโนที่สามารถเข้าไปเสี่ยงโชคได้ตลอด 24 ชั่วโมง, สนามกอล์ฟ, กิจกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพายเรือคายัคชมวิว สปีดโบ๊ท รวมถึงการล่องเรือชมเขื่อนน้ำงึม นอกจากนี้ยังมีสปา และดิสโก้ คาราโอเกะอีกด้วยครับ


บริเวณด้านหน้ารีสอร์ทครับ


บริเวณลอบบี้



ติดลอบบี้เป็นห้องโถงกว้างและมีทางเดินไปสู่ห้องพักและบ่อนคาสิโน เนื่องจากว่าพื้นที่ในบ่อนคาสิโนไม่สามารถถ่ายรูปได้ ขอตัดไปที่ห้องพักเลยครับ



ห้องพักค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีมุมให้นั่งทำงานและนั่งพักผ่อนด้วย


พื้นที่ในห้องน้ำขนาดกำลังดี ดูแล้วไม่อึดอัด โถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้ด้วยครับ โดยรวมแล้วห้องพักถือว่าดูหรูหราในสไตล์ประเทศลาวครับ

ช่วงเช้าอากาศกำลังดี ผมเลยออกไปเดินเล่นเก็บบรรยากาศโดยรอบรีสอร์ท

เดินไปสัก 300-400 เมตร จะเห็นอาคารที่กำลังก่อสร้าง ดูจากเอกสารแนะนำโรงแรมแล้ว ผมเดาว่าน่าจะทำเป็น Club Houseแล้วมีเรือยอร์ชมาจอดเทียบท่า ประมาณนั้นครับ



บริเวณ Club House นี้สามารถชมวิวเหนือเขื่อนน้ำงึมได้ครับ







ซึมซับบรรยากาศได้สักพัก ก็เดินกลับมาฝากท้องที่ห้องอาหารของรีสอร์ทครับ ภายในห้องอาหารค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ไลน์ Buffet ช่วงเช้ามีให้เลือกน้อยกว่าช่วงเย็นครับ ผมเห็นมีมุมก๋วยเตี๋ยวมุมเดียวที่จะทำตาม order ของแขก นอกนั้นอาหารจะปรุงเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว มีอยู่หนึ่งเมนูที่ผมเพิ่งเคยเห็นว่ามีการนำมาวางในไลน์ Buffet ด้วย นั่นก็คือ มันเผาครับ


น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวอร่อยดีทีเดียวครับ

หลังอาหารเช้า ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องต่ออีกสักเล็กน้อย ได้เวลาจึงเดินทางสู่เวียงจันทน์อีกครั้งเพื่อเตรียมเดินทางกลับครับ

มื้อกลางวันผมฝากท้องไว้ที่ ร้านเวียงสวรรค์แหนมเนือง ร้านนี้ตั้งอยู่ในตัวเมืองเวียงจันทน์ ไม่ไกลจากหอวัฒนธรรมแห่งชาติ ว่ากันว่าร้านนี้โด่งดังเรื่องอาหารเวียดนามที่สุดในเวียงจันทน์ครับ


แหนมเนืองจะมีแบบชุดเล็กชุดใหญ่ เลือกสั่งตามจำนวนสมาชิกได้เลย ผักแนมไม่มากเหมือนบ้านเราครับ


ปอเปี๊ยะทอด และ ก๋วนหั่น หรือ พันหอมครับ


สำหรับรสชาติโดยรวม ยังธรรมดา ผมว่าแหนมเนืองที่ทานในเมืองไทยอร่อยกว่าครับ


ถึงเวลาต้องอำลาเวียงจันทน์แล้วครับ สำหรับขากลับผมใช้บริการของแอร์เอเชียเช่นเดิม มีบินกลับเมืองไทยวันละ 1 เที่ยวบิน ออกจากเวียงจันทน์เวลา 14.15 น. เดินทางถึงดอนเมืองเวลา 15.20 น.ครับ


ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงดอนเมืองโดยสวัสดิภาพครับ

การมาเวียงจันทน์ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ 4 สำหรับผมแล้ว แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ผมได้รู้จักเวียงจันทน์มากขึ้น ได้เห็นวัฒนธรรม รวมถึงบรรยากาศวิถีชีวิตของคนเวียงจันทน์มากกว่าทุกครั้งที่ผมได้สัมผัสมา ถ้าหากเพื่อนคนใดชอบที่จะเรียนรู้วัฒนธรรม ชอบการเที่ยวชมวิถีชีวิต แบบไม่ต้องไปที่ไหนไกลๆ ผมว่าที่เวียงจันทน์นี่แหล่ะครับ เพื่อนบ้านของเรา ตะเข็บชายแดนไทย น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.27 น.

ความคิดเห็น