รีวิวตอนนี้เป็นรีวิวชวนเที่ยว1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาดจากแคมเปญของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
โดยแม่ประนอมได้รับการคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเข้าร่วมกิจกรรมThe Amazing Journey :Blogging Contestที่คัดเลือกนักรีวิว 12ทีมไปแข่งขันกันทำรีวิว12 เมืองต้องห้ามพลาดเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสงเสริมให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้นเงินทองจะได้ไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ
สำหรับทีมแม่ประนอมซึ่งมีนายฟ้าใสอีกคนจับฉลากได้เมืองนครศรีธรรมราชซึ่ง Concept ของเมืองนี้คือ "นครสองธรรม" ที่มีความหมายว่าธรรมะ + ธรรมชาติกับสองมุมต่างที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในนครศรีธรรมราช เมื่อ “ธรรมะ" กับ “ธรรมชาติ" คือเอกภาพที่ไม่สามารถแยกจากกันและเมืองนครศรีธรรมราชนี้ก็จะมีออกมาด้วยกัน 2 รีวิวคือรีวิวนี้กับรีวิวของนายฟ้าใสที่จะตามมาไม่กี่วันนี้โดยนายฟ้าใสจะเน้นการท่องเที่ยวทางทะเลและชายทะเลเป็นหลักส่วนแม่ประนอมเน้นท่องเที่ยวทางบก
พร้อมแล้วก็ขอเชิญชวนกันมาเที่ยวเมืองนครศรี นครสองธรรมกันครับ
แม่ประนอมเองจ้าเอาแผ่นใบปลิวโครงการ The Amazing Journey :Blogging Contestมาให้ดูครับ
ซึ่งก็มีผู้สนับสนุกหลักคือสายการบินนกแอร์ซึ่งให้ตั๋วโดยสารไทยเร้นท์อะคาร์ที่ให้รถใช้ช่วงเดินทางรองเท้า KEEN ที่ให้รองเท้าใส่และผลิตภัณท์ outdoor ท่ี่สนับสนุนอุปกรณ์การเดินทางและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา
เราจับฉลากได้จังหวัดนครศรีธรรมราชครับ
โฉมหน้านักรีวิวทั้งหมดที่ร่วมโครงการนี้ครับ
แล้วเราก็เดินทางวันที่ 3 ส.ค. ไปทั้งหมด 3 วัน 2 คืนกลับวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมาครับ
แล้วเราก็ไปเช็คอินกันครับเราเลือกเที่ยวบิน DD7808 ออกเดินทางเวลา 09.15 น.ครับ
มีขนมเล็กๆแจกบนเครื่องด้วยนะ
แล้วก็ถึงแล้วครับโชคดีวันที่ไปฝนไม่ตกฟ้าใสดีด้วยครับ
ก่อนไปเที่ยวมาทำความรู้จักจังหวัดนครศรีธรรมราชกันซักหน่อยนะครับ
นครศรีธรรมราช เป็นเมืองที่มีอดีตอันยาวนานมีวิวัฒนาการต่อเนื่อง ซึ่งปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงถึงการดำรงอยู่ของชุมชนตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์สืบมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านความเจริญรุ่งเรืองมาหลายยุคหลายสมัย ก่อเกิดเป็นศิลปวัฒนธรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมือง และชาวเมืองยังสืบทอดรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน
จังหวัดนครศรีธรรมราชมีเนื้อที่ประมาณ 6,214,064 ล้านไร่ หรือ 9,942,502 ตารางกิโลเมตร เป็นอันดับที่ 16 ของประเทศ ประกอบด้วยชายหาด ป่าชายเลน ตอนกลางของพื้นที่เป็นเทือกเขาทอดตัวยาวตามแนวเหนือใต้ โดยมียอดเขาหลวงเป็นยอดสูงสุด ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในแถบเทือกเขาทำให้เป็นแหล่งน้ำสำคัญ เกิดเป็นน้ำตกที่สวยงามมากมายกระจายไปแทบทุกอำเภอนครศรีธรรมราชเป็นเมืองโบราณที่มีความสําคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และศาสนา นครศรีธรรมราชมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมาไม่น้อยกว่า 1,800 ปีมาแล้ว
หลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทางเอกสารที่ปรากฏในขณะนี้ยืนยันได้ว่า นครศรีธรรมราชมีกําเนิดมาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เป็นอย่างน้อย มีการพบเครื่องหินที่มีตัวขวานยาวใหญ่ (บางคนเรียกว่าระนาดหิน) ที่อําเภอท่าศาลา ในยุคโลหะ ได้พบหลักฐานทางโบราณคดี คือ กลองมโหระทึกสําริด 2 ใบ ที่บ้านเกตุกาย ตําบลท่าเรือ อําเภอเมืองฯ และที่คลองคุดด้วน อําเภอฉวางคำว่า "นครศรีธรรมราช" น่าจะมาจากสร้อยพระนามของปฐมกษัตริย์ ผู้ครองนครศรีธรรมราช คือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช คํานี้แปลความได้ว่า "นครอันงามสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม" และธรรมของราชาแห่งนครนี้ก็คือธรรมแห่งพระพุทธศาสนาพุทธศตวรรษที่ 17-19 เป็นช่วงที่นครศรีธรรมราชมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช ปัจจัยสําคัญที่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองน่าจะเนื่องมากจากการเป็นสถานีการค้าสําคัญของคาบสมุทรไทย เป็นจุดพักถ่าย ซื้อสินค้าระหว่างตะวันออกกับตะวันตกที่ดีที่สุดในเวลานั้น ประกอบกับบริเวณหาดทรายแก้วอันเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ ความศรัทธาและความเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาจึงเป็นปัจจัยชักนําให้ผู้คนจากทุกสารทิศในภาคใต้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในนครศรีธรรมราชอย่างหนาแน่น ในราว พ.ศ. 1700 เศษ ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชก็สามารถจัดการปกครองหัวเมืองรายรอบได้สําเร็จถึง 12 เมือง เรียกว่าเมืองสิบสองนักษัตรเมืองนครศรีธรรมราช หรือนครอันเป็นสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม รุ่งเรืองอยู่ประมาณร้อยกว่าปี และเสื่อมลงเมื่อยกทัพไปตีเมืองลังกา และโจรชวาถือโอกาสเข้าปล้นเมืองถึง 3 ครั้ง ประกอบกับเกิดไข้ห่าระบาด จึงเป็นเหตุให้บ้านเมืองถูกทิ้งร้างจนกระทั่งสมัยอยุธยา ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งบ้านเมืองใหม่อีกครั้ง และนครศรีธรรมราชได้กลายมาเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรอยุธยา ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงรัชกาลที่ 5 ได้มีการแก้ไขการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ใหม่ นครศรีธรรมราชได้เปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2439 จนกระทั่ง พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงได้ยุบมณฑลนครศรีธรรมราช และเปลี่ยนมาเป็นจังหวัดนครศรีธรรมราชจนถึงปัจจุบันจังหวัดนครศรีธรรมราชแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 23 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอปากพนัง อำเภอชะอวด อำเภอทุ่งสง อำเภอท่าศาลา อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอสิชล อำเภอลานสกา อำเภอพิปูน อำเภอหัวไทร อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอฉวาง อำเภอขนอม อำเภอนาบอน อำเภอพรหมคีรี อำเภอบางขัน อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอถ้ำพรรณรา อำเภอพระพรหม อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอนบพิตำ และอำเภอช้างกลาง
ข้อมูลที่มาเวปไซร์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
แล้วเราก็มารับรถเช่าของไทยเร้นท์อะคาร์บูธก็อยู่ในสนามบินนี่แหละ
ทริปนี้เราใช้ยาริสกันครับได้ประหยัดน้ำมันหน่อย
ได้รถใหม่กิ๊กๆเลยเพิ่งวิ่งได้สามพันกว่าโลเอง
ทริปนี้เราพักที่โรงแรม ทวินโลตัสจองมาในราคาคืนละ 1500 บาท รวมอาหารเช้าด้วย
จากสนามบินเราก็ขับไปเช็คอินโรงแรมก่อนแล้วค่อยออกไปลุยกัน
ไปดูห้องพักกันครับ
หลังจากเช็คอินมื้อแรกที่นครศรีเป็นขนมจีนเจ้าดัง ขนมจีนเมืองคอนครับ
ภายในกว้างขวางดีร้านนี้ร้านดังปกติคนทานกันเยอะ นี่เรามาบ่ายแล้วคนเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
กับข้างราดแกงก็มีหลายอย่างนะครับอร่อยๆทั้งน้าน
ขนมจีนขายเป็นชุดนะเรามากันสองคนก็จัดชุดเล็ก 90 บาท
ชุดนี้ละครับ 90 บาทมีน้ำราดมา 3 อย่างหมดเติมได้ 1 ครั้งแต่เส้นเติมไม่ได้นะ
อยากบอกว่าร้านนี้อร่อยจริงๆเรค คอ เมน เลยครับ
อิ่มแล้วเราก็ไปเที่ยวกันครับจุดแรกที่จะพาไปเที่ยวกันก็คือ ประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ1ใน โครงการพระราชดำริ
การเดินทางจากตัวเมืองนครก็ไปทางปากพนังประมาณ 30 นาทีก็ถึงครับ
สวยงามมากครับลองแวะมาชมกันนะครับ
จุดหมายต่อไปเราจะไปเที่ยวแหลมตะลุมพุกกันทางผ่านเห็นกังหันเพิ่งสร้างใหม่ใหญ่โตมากและสวยดีเลยเอามาบอกกัน
แล้วเราก็ไปเที่ยวแหลมตะลุมพุกกันต่อครับ
เกร็ดความรู้ซักหน่อยกันครับ
แหลมตะลุมพุกเป็นสถานที่ซึ่งอยู่บริเวณตอนบนของอำเภอปากพนัง ด้านที่ติดกับทะเลด้านใน (อ่าวนครฯ) มีประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่ ส่วนด้านนอกที่ติดกับอ่าวไทยเป็นหาดทรายและมีต้นสนขึ้นเป็นแนวยาวเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์มหาวาตภัยครั้งใหญ่จากพายุโซนร้อนแฮร์เรียตพัดถล่มแหลมตะลุมพุก เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2505 ระดับน้ำสูง 5 เมตร กำลังลม 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คลื่นสูง 6.8 เมตร มีชาวแหลมตะลุมพุกสูญหายกว่า 1,300 คน ลักษณะของชายหาดปากพนังเป็นชายหาดยาวไปตามชายฝั่งทะเล มีแหลมตะลุมพุกเป็นแหลมทรายรูปจันทร์เสี้ยวยื่นไปในอ่าวไทย สามารถขับรถไปจนถึงปลายแหลมได้ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารทะเลบริการในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 4013 (นครศรีธรรมราช-ปากพนัง) มีทางแยกเข้าสู่แหลมตะลุมพุก ประมาณ 16 กิโลเมตร
ข้อมูลที่มาเวปไซร์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ที่นี่ก็มีร้านขายอาหารทะเลสดๆที่จับกันแถวนั้นราคาถูกมากๆซื้อแล้วก็มีร้านรับจ้างทำให้ทานกันเลย
หอยตลับตัวใหญ่ๆนี่โลละ 25 บาทเองนะ
ปูขายจานละ 350 บาทตัวใหญ่ๆจานนึงโลกว่าเลยนะแต่แม่ประนอมไปต่อเค้าจนได้ราคา 250 บาท
ร้านอาหารมีหลายร้านริมหาดนั่งชิวดีจังเงียบสงบมากครับ
หลังจากที่ซื้อปูมา 250 บาท 1ถาด 3ตัวและหอยตลับอีก 2 โล 50 บาท
ก็เอามาถามร้านนี้ว่ารับทำไม๊เค้าคิดค่านึ่งปูพร้อมน้ำจิ้มและจานชาม 80 บาทและค่าทำหอยตลับเอามาผัดพริกเผา 70 บาท
ตามนี้เลยครับน้ำจิ้มอร่อยแซบจริงครับถูกปากเลย
ปูที่ซื้อเมื่อกี้ 250 บาทเอาก้ามมาให้ดูขนาดครับ
ราคาถูกเวอร์เลยไม๊ครับ
ร้านนี้ผัดหอยมาก็อร่อยจริงครับหอยจานนี้ 2 โลคุ้มมากมายเลยปกติทานจานเล็กกว่านี้ครึ่งนึงยังเจอมา 300 บาทเลยครับ
แม่ประนอมบอกว่าฟินมากจิงๆ
ออกจากแหลมตะลุมพุกเราก็แวะไปเที่ยวตลาด 100 ปีเมืองปากพนังกัน
ตลาด100ปี ตัวเมืองปากพนังจริงๆ อยู่ฝั่งตะวันออก ต้องข้ามแม่น้ำมาขึ้นท่าที่ตลาดเก่า ตัวอาคารบริเวณตลาดส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ มีลักษณะคล้ายกับอาคารที่อยู่ตามตลาดเก่าทั่วไป สวยงามและเรียบง่าย หน้าร้านเปิดโล่งไว้สำหรับวางสินค้า มีการออกเรือหาปลาและมีจำหน่ายอาหารสดอยู่ไม่ขาดสายราคาถูกกว่าท้องตลาดประมาณ10-20%ใครมาอำเภอปากพนังเป็นอันต้องแวะเที่ยวตลาด100ปีเมืองปากพนังมีทั้งของกินของฝาก ที่เดียวครบครัน
ข้อมูลเวป rakbankerd.com
น่าเสียดายที่เรามาถึง6โมงกว่าร้านค้าเก็บหมดกันแล้วครับ
ออกจากตลาด 100 ปีเราก็กลับตัวเมืองนครศรีกันและแวะเที่ยวศาลหลีกเมืองซึ่งวันนี้มีงานพอดีเลย
ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช
สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานหลักเมือง ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสร้างสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมกับภาคเอกชนก่อสร้างศาลขึ้นบนที่ดินราชพัสดุ บริเวณทิศเหนือของสนามหน้าเมือง เนื้อที่ 2 ไร่ ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานของศาลหลักเมือง ออกแบบให้มีลักษณะ คล้ายศิลปะศรีวิชัย เรียกว่าทรงเหมราชลีลา วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2532 ส่วนอาคารเล็กทั้งสี่หลัง ถือเป็นบริวารสี่ทิศ เรียกว่าศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วยพระเสื้อเมือง ศาลพระทรงเมือง ศาลพระพรหมเมือง และศาลพรบันดาลเมือง วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2535 ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2542
องค์เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ตะเคียนทองที่ได้มาจากภูเขายอดเหลือง อันเป็นภูเขาลูกหนึ่งในทิวเขานครศรีธรรมราช ในท้องที่ตำบลกระหรอ กิ่งอำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช ขนาดความสูง 2.94 เมตร เส้นรอบวง 0.95 เมตร ลวดลายที่แกะสลัก ตั้งแต่ฐานซึ่งเป็นวงรอบเก้าชั้น มี 9 ลาย ส่วนบนของเสาเป็นรูปจตุคามรามเทพ (สี่พักตร์) หรือเทวดารักษาเมือง เหนือสุดเป็นเปลวเพลิงอยู่บนยอดพระเกตุ คือยอดชัยหลักเมือง รูปแบบการแกะสลักจินตนาการจากความเชื่อในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งเคยมีอิทธิพลทางศิลปกรรมในภาคใต้ และนครศรีธรรมราชแต่ครั้งโบราณ ประกอบพิธีเบิกเนตรหลักเมือง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2530 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจิมยอดชัยหลักเมืองเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2530 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ศาลหลักเมือง ในวันรุ่งขึ้น
นอกจากนี้ในการดำเนินงานทุกขั้นตอน จะมีการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะปีพุทธศักราช 2528-2530 มีการประกอบพิธีกรรมถึง 12 พิธีกรรม อาทิ พิธีกรรมลอยชะตาเมือง พิธีกรรมสะกดหินหลักเมือง พิธีกรรมปลักยักษ์เทวดาฯ เป็นต้นจึงนับว่าศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชแห่งนี้ ได้บังเกิดขึ้นด้วยความประณีตบรรจงอย่างมีภูมิหลัง และมีเอกลักษณ์เฉพาะ อีกทั้งจะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนภาพวิถีชีวิตชาวไทยใต้ในอดีต และสองถึงความพยายามอนุรักษ์สร้างสรรค์ของชาวไทยใต้ปัจจุบันไว้อีกด้วย
ข้อมูลwww.nakhonsithammarat.go.th/
ออกจากศาลหลักเมืองจะกลับโรงแรมพอดีขับรถผ่านร้านโรตีป้าหนอมเห็นคนทานเยอะดีเลยลองแวะชิมดูโอเครเลยจ้า
ไปค้นประวัติมาให้ดูครับ
อยากทานโรตีแบบไหนเลือกเอาเลยครับแต่ที่ฟินมากขอแนะนำโรตีทิชชู่เลยครับบางกรอบอร่อยมากครับ
เมนูราคาจ้า
อันนี้เลยโรตีทิชชู่บางเฉียบจริงๆ
เครื่องดื่มหลายๆแบบครับ
เราซื้อห่อไปกินห้องก็เอานมน้ำตาลไปโรยเองละกัน
รูปป้าหนอมกับลูกทั้ง 10 คนปัจจุบันป้าหนอมเสียไปแล้วครับ
หลังจากกลับโรงแรมอาบน้ำเสร็ดก็เอาโรตีมากินกันฟินจริงครับ
ตื่นเช้ามาวันที่สองหลังจากที่ทานอาหารเช้าในโรงแรมแล้วเราก็แวะมาเที่ยววัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารกัน
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร
ประวัติ
พ.ศ. 854 เจ้าชายทนทกุมาร และพระนางเหมชาลาและบาคู (แปลว่า นักบวช) ชาวศรีลังกา ได้สร้างวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช) เจดีย์องค์เดิมเจดีย์แบบศรีวิชัยคล้ายเจดีย์กิริเวเทระ ในเมืองโบโลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
พ.ศ. 1093 พระเจ้าจันทรภาณุ ได้ทำการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นพร้อมกับการก่อสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่เป็นเจดีย์แบบศาญจิ
พ.ศ. 1770 พระเจ้าจันทรภาณุ ได้บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ เจดีย์แบบลังกา ทรงระฆังคว่ำ หรือ โอคว่ำ มีปล้องไฉน 52 ปล้อง สูงจากฐานถึงยอดปลี 37 วา 2 ศอก ยอดปลีของปล้องไฉน หุ้มทองคำเหลืองอร่าม สูง 6 วา (เท่ากับ 2 เมตร) 1 ศอก (เท่ากับ 0.50 เมตร) แผ่เป็นแผ่นหนา เท่าใบลานหุ้มไว้ น้ำหนัก 800 ชั่ง (เท่ากับ 960 กิโลกรัม) รอบพระมหาธาตุมีเจดีย์ 158 องค์
พ.ศ. 2155 และ พ.ศ. 2159 สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถมีการซ่อมแผ่นทองที่ปลียอดพระบรมธาตุ
พ.ศ. 2190 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ยอดพระบรมธาตุได้ชำรุดหักลง และได้มีการซ่อมสร้างขึ้นใหม่
พ.ศ. 2275 - 2301 สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการดัดแปลงทางเข้าพระสถูปพระบรมธาตุบริเวณวิหารพระทรงม้า
พ.ศ. 2312 สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ปฏิสังขรณ์พระอารามทั่วไปภายในวัด และโปรดให้สร้างวิหารทับเกษตรต่อออกจากฐานทักษิณรอบองค์พระธาตุ
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัด) ได้บูรณะพระวิหารหลวง วิหารทับเกษตร พระบรมธาตุที่ชำรุด
ปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บูรณะกำแพงชั้นนอก วิหารทับเกษต วิหารธรรมศาลา วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน ปิดทองพระพุทธรูป
พ.ศ. 2457 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ติดตั้งสายล่อฟ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์
พ.ศ. 2515 - 2517 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และพระอุโบสถ
พ.ศ. 2530 ซ่อมกลีบบัวทองคำที่ฉีกขาดเปราะบาง เสื่อมสภาพเป็นสนิม เสริมความมั่นคงแข็งแรงที่กลีบบัวปูนปั้น ในวันที่ 28 สิงหาคม 2530 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จอัญเชิญแผ่นกลีบบัวทองคำขึ้นประดิษฐบนองค์พระบรมธาตุเจดีย์
พ.ศ. 2537 - 2538 บูรณะปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ และเสริมความมั่นคงปูนแกนในปลียอด ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 50 ล้านบาท สิ้นทองคำ 141 บาท (มาตราชั่ง ตวง วัด ของไทย 1 บาท เท่ากับ 15.2 กรัม)
กรมศิลปากร ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53 ตอนที่ 34 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2479 และคณะกรรมการมรดกโลก มีมติในการประชุมคณะกรรมการสมัยที่ 37 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556 รับรองวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเข้าสู่บัญชีเบื้องต้นก่อนเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลก
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ถนนหน้าวัดช่วงที่เราไปกำลังปรับปรุงอยู่ได้ข่าวว่าจะทำเป็นถนนคนเดินนะ
ไหว้พระพุทธบาทจำลองกันก่อนนะครับ
นกพิราบในวัดนี่เชื่องมากครับ
อันนี้เราแวะกลับมาถ่ายรูปอีกทีตอนค่ำๆครับอยากให้ดูว่าสวยงามจริงๆครับ
ออกจากวัดเราก็แวะชิมร้าน ตังเกี๋ยวแต่เตี้ยมที่จริงยังไม่หิวหรอกแต่อยากแวะมาชิมดูและทำรีวิวเพราะได้ข่าวว่าเป็นร้านดัง
พิกัดในแผนที่จะอยู่ตรงข้ามสำนักงานที่ดินนะครับ
ร้านนี้ได้ข่าวว่าคนเยอะแต่เรามาสายๆแล้วคนเลยซาลง
เอาเมนูมาให้ดูครับ
อันนี้ที่เราสั่งมาทานครับก็บอกได้เลยว่าอร่อยครับมานครก็ลองแวะมาทานกันนะครับอร่อยและไม่แพงครับ
ทานเสร็จเราก็มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านคีรีวงที่ได้ชื่อว่าอากาศดีที่สุดในประเทสไทย
ข้อมูลซักหน่อยนะครับ
บ้านคีรีวงที่แหล่งอากาศดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย รางวัลยอดเยี่ยมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว(Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2541 ประเภทเมืองและชุมชนเป็นชุมชนเข้มแข็งต้นแบบการจัดการธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของขุนเขาและสายน้ำ ชาวบ้านมีวิถีชีวิตสุขสงบแบบเครือญาติ อาชีพหลักคือการทำสวน โดยทำสวนแบบผสมผสาน ที่เรียกว่า สวนสมรม ปลูกพรรณไม้หลากหลายชนิดคละกันในสวนเดียวกัน เช่น สะตอ มังคุด ทุเรียน หมาก พลู ฯลฯภายในชุมชนมีการรวมกลุ่มผลิตสินค้าที่ระลึกขึ้นชื่อหลากชนิด เช่น ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ สบู่สมุนไพรเปลือกมังคุดทุเรียนกวน ฯลฯ นักท่องเที่ยวสามารถศึกษา เรียนรู้ ดูงาน ชมการสาธิตผลิตภัณฑ์ พักแบบโฮมสเตย์ หรือเลือกพักรีสอร์ท ติดธารน้ำตกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูผลไม้ ระหว่างเดือน กรกฎาคม – กันยายน จะได้ลิ้มรสผลไม้สดๆ นอกจากนี้มีบริการเดินป่าศึกษาธรรมชาติสู่ยอดเขาหลวงสำหรับผู้ที่หลงใหลธรรมชาติชอบผจญภัย สอบถามข้อมูลติดต่อ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวบ้านคีรีวง โทร.และ0-7553-3370 และ 0-7553-3113
การเดินทางไปบ้านคีรีวง จากอำเภอเมือง ตามทางหลวงหมายเลข 4016จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4015 บริเวณกิโลเมตรที่ 9เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้านคีรีวง เข้าไป 9 กิโลเมตรหรือขึ้นรถสองแถวจากตลาดยาว ในอำเภอเมือง มีรถออก ตั้งแต่เวลา 07.00-16.00 น. ราคา 25 บาท
ที่มาข้อมูลเวปการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเดินทางประมาณ 40 นาทีก็ถึงครับ
ที่นี่มีผลิตภัณท์พื้นบ้านร้านเก๋ๆหลายร้านมาเที่ยวมาถ่ายรูปกันครับ
ช่วงที่ไปนี่ทุเรียน มังคุด กำลังออกพอดีเลย
มังคุดที่นี่ลูกใหญ่มากและส่งออกด้วยอันนี้ขอซื้อเค้าไม่ขายครับเพราะมีพ่อค้าเหมาไว้ส่งออกอย่างเดียว
แต่พี่แม่ค้าใจดีเค้าให้มาชิมกำมือนึงครับอยากบอกว่าอร่อยมากและหาซื้อไม่ได้ด้วยนะ
แต่ก็มีแผงขายผลไม้ให้คนทั่วไปนะซื้อนะแต่มังคุดจะลูกเล็กกว่าคิดว่าคงคัดไซร์เหลือจากที่จะส่งออกมังครับ
และทุเรียนนี่โลละ 15 บาทเองนะจ๊ะ
ก็จัดไปลองชิมดู
เนื้อสวยครับแต่กลิ่นแรกมากคงเหมาะกับการนำไปกวนมากกว่าครับ
เรามาแวะดูกลุ่มใบไม้กันครับ
คือการรวมกลุ่มของสมาชิกภายในชุมชนเพื่อผลิตสินค้าที่ระลึก ซึ่งมีหลายกลุ่มด้วยกันมีการจัดตั้งกลุ่มแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลูกไม้ กลุ่มบ้านสมุนไพร กลุ่มมัดย้อม กลุ่มใบไม้ กลุ่มลายเทียน กลุ่มลูกหยีสามรส กลุ่มจักสานกะลามะพร้าว กลุ่มทุเรียนกวน ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมี ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค และเป็นสินค้า OTOP ที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพง
กลุ่มนี้คือการนำผ้ามามัดย้อมสีธรารมชาติจากใบไม้แล้วตัดเย็บเป็นเสื่อผ้า
พี่เค้าก็แนะนำวิธีการครับก็คือการมัดแล้วก็นำมาย้อมสีครับ
สีต่างๆที่ได้จากพืชแต่ละชนิดครับ
แกะออกมาก็จะเป็นแบบนี้ครับรับรองว่าตัดเสื้อออกมาแล้วก็จะมีแค่ 1 เดียวในโลกจริงๆ
ก่อนกลับก็มาแวะซื้อของที่ระลึกกันที่ศูนย์กลางจำหน่ายผลิตภัณท์ของชุมชนกันของดีมากมายราคาถูกจริงๆ
ออกจากบ้านคีรีวงเราก็มาทานขนมจีนป้าเขียวกันร้านดังของที่นี่เลย
ไก่ทอดเค้าอร่อยจริงนะ
ราคาครับเราสั่งแบบกิโลครับสั่งแบบนี้คือเส้น 1 กิโลแล้วน้ำยาหมดเติมได้ตลอดครับ
มาเข่งใหญ่ๆเลย 1 กิโล
น้ำยามา 4 อย่างเลยหมดเติมได้ตลอดผักไม่อั้นจ้า
ถูกและอร่อยครับแนะนำเลย
ป.ล.ขนมจีน 1 กิโลควรทานกัน 4-6 คนครับถึงหมดวันที่ 3 หลังจากที่ทานอาหารเช้ากันเสร็ดแล้วเราก็เก็บของเช็คเอาท์กันแล้วมุ่งหน้าไปเที่ยวอำเภอทุ่งสงกัน
เราจะไปเที่ยวถ้ำตลอดซึ่งขับรถไปประมาณ 50 นาที
ถ้ำตลอดหรือที่ชาวทุ่งสงเรียกกันว่า“ถ้ำหลอด"เป็นถ้ำที่รู้จักกันมานานเท่าใดไม่มีหลักฐานปรากฏทราบเพียงว่าในปีพ.ศ.2431 นายบุญช่วยกุมารจันทร์ได้รวบรวมเงินจากผู้มีจิตศรัทธาสร้างพระพุทธไสยาสน์ขึ้น
ถ้ำตลอดเป็นถ้ำของภูเขาวัดโคกหม้อ(วัดชัยชุมพล)สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์วัดชัยชุมพลแห่งนี้เดิมชื่อวัดโคกหม้อได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดชัยชุมพลตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ในปีพ.ศ.2482โดยท่านนายพลเฉลิมเกียรติอิทธยางกูลณอยุธยาและก็ใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
สมัยสงครามโลกครั้งที่2 ปีพ.ศ.2484 เมืองทุ่งสงในฐานะชุมทางการคมนาคมที่สำคัญจึงตกเป็นเป้าหมายของฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะญี่ปุ่นได้ยึดเอาเมืองทุ่งสงเป็นเป้าส่งกำลังบำรุงเพื่อขยายแนวรบสู่ประเทศพม่าเกณฑ์แรงงานคนทุ่งสงสร้างสนามบินทุ่งชนและปรับจุดยุทธศาสตร์พักกำลังพลโดยสร้างทางรถไฟเลียบภูเขาด้านตะวันออกภูเขาโคกหม้อจึงกลายเป็นเป้าโจมตีทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรทำให้ถ้ำกระโจมซึ่งอยู่ด้านบนเขาพังทลายลงต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อภูเขาโคกหม้อเป็นภูเขาชัยชุมพลเพื่อเป็นอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ลักษณะของถ้ำตลอดหันหน้าไปทางทิศเหนือและสามารถเดินทะลุได้เมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะรู้สึกเย็นภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงามมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางไสยาสน์สวยงาม1 องค์ความยาว11 เมตรหันเศียรไปทางทิศใต้ตามส่วนลึกของถ้ำพระบาทหันไปทางปากถ้ำทั้งยังมีพระพุทธรูปเท่าองค์จริงประดิษฐานเรียงรายไปกับผนังถ้ำทางด้านทิศตะวันตกจนสุดถ้ำตรงกลางปากทางเข้าถ้ำมีสิงโตแกะสลักจากหินขนาดใหญ่ดูโดดเด่นสวยงามด้านข้างปากถ้ำมีพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดต่างๆและเจดีย์ฯลฯ
ข้อมูลที่มาเวปไซร์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ออกจากถ้ำตลอดมาเจอร้านนี้ครับเห็นว่าน่าสนใจดีแต่ท้องยังอิ่มอยู่ก็เลยลองชิมซาลาเปาเค้าดูครับ
ลูกละ 15 บาทอร่อยดีใส้เยอะด้วยครับ
เมนูน่ากินหลายอย่างเลยอะ
ลองชิมดูลูกนุงอร่อยใช้ได้เลยครับ
เลยซื้อหิ้วกลับมากรุงเทพเลย
จุดหมายต่อไปที่เราไปคือพระซำปอกง หรือ หลวงพ่อโต (เจ้าแม่กวนอิมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย)ซึ่งก็อยู่ในทุ่งสงนี่เองครับ
พระซำปอกง หรือหลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปโบราณสร้างเมื่อปีพุทธศักราช 1867 ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ประดิษฐานเป็นพระประธานในวิหารวัดพนัญเชิงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพระพุทธรูปที่ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวจีนเคารพนับถือเป็นเวลาช้านานด้วยเชื่อว่าสามารถดลบันดาลและนำความโชคดีมาสู่ตนได้ทั้งยังเป็นคุณอย่างยิ่งแก่ผู้ประกอบกิจการค้าขาย
ตามประวัติกล่าวว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ.2492 มีคณะบุคคลซึ่งมีความนับถือศรัทธาในพระซำปอกง (หลวงพ่อโต) ได้อัญเชิญกระถางธูปพระซำปอกง มาตั้ง ณ ศาลเจ้า ซึ่งเป็นอาคารไม้หลังเล็ก ๆ ที่บ้านนาเหนือ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อสักการะบูชา และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในการทำความดี ต่อมา ในปี พ.ศ.2514 ได้ก่อสร้างวิหารหลังใหม่ พร้อมกันนี้ได้สร้างพระพุทธรูปพระซำปอกง องค์ใหม่ เป็นปูนปั้นขนาดหน้าตักกว้าง 52 นิ้ว ขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธาน
นอกจากนี้ด้านข้างของวิหารยังได้สร้างพระรูปเหมือนขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นปฏิมากรรมปูนปั้นปางปาฏิหาริย์ทรงแผ่เมตตาประดิษฐานอยู่กลางสระน้ำรายรอบด้วยน้ำพุเหนือแท่นบูชา 3 ชั้น โดยมีขนาดความสูงขององค์พระรูป 19 เมตร นับเป็นพระรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ขากลับก่อนขึ้นเครื่องตอนบ่าย 3 ก็มาแวะกินขนมจีนร้านขนมจีนเมืองคอนอีกครั้งเนื่องเพราะยังติดใจรสชาติอยู่ครับ
แล้วก็ลองมังคุดเสียบไม้ดูครับ
ได้เวลาก็ขึ้นเครื่องกลับกันเวลาสามโมงเย็นจบภารกิจของเราครับแล้วอย่าลืมติดตามรีวิวเมืองนครศรีของลูกทีมแม่ประนอมอีกคนคือนายฟ้าใสที่จะรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวแถบชายทะเลของเมืองนครศรีธรรมราชนะครับ
จบแล้วนะครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำหรับกิจกรรมที่ให้แม่ประนอมได้มีโอกาสเข้าร่วม
ขอบคุณNokAir, Thai Rent A Car , KEEN , OUTDOOR INNOVATIONที่ร่วมสนับสนุน
ขอบคุณ Pantip สำหรับพื้นที่ดีท่ี่ให้เราได้แบ่งปันข้อมูลและหาข้อมูลดีๆในการท่องเที่ยวด้วยตนเอง
ขอบคุณเพื่อนๆแฟนๆที่ให้การสนับสนุนแม่ประนอมมาตลอดๆ
แล้วจะพยายามทำรีวิวให้ดีขึ้น ดีขึ้น นะครับ
รักผู้อ่านทุกคนคราบ..........................................
แม่ประนอม เจ้าเก่า จริงๆ
แม่ประนอม
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.50 น.