www.gonorththailand.com เป็นเวปสำหรับผู้ที่นิยมชมชอบการท่องเที่ยวเมืองเหนือ ซึ่งจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ที่กิน ที่พักในเขต 17 จังหวัดภาคเหนือ ทางเวปได้จัดกิจกรรมให้สมาชิกได้ร่วมสนุกกัน และจะคัดเลือกผู้โชคดี 1 ท่านได้ไปร่วมทริปในแคมเปญ“กินหรู อยู่สบาย แบบสไตล์เจ้านายเมืองเหนือ" ซึ่งผมเองก็เป็น 1 ในผู้ร่วมสนุก และโชคดีได้รับคัดเลือกให้ไปร่วมทริปในครั้งนี้ครับ

ตามโปรแกรมการเดินทาง ผมจะได้ท่องเที่ยว เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นล้านนาในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ไปทานอาหารหรู ตามร้านต่างๆ และได้ไปพักแบบสบายๆเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน และในทริปนี้ทราบมาว่าผมจะได้ร่วมทริปกับ Net idol ด้วย แต่ทางทีมงานยังไม่เฉลยว่า Net idol คนนั้นเป็นใคร ผมเองก็พยายามค้นหาข้อมูลของ Net idol ว่ามีใครบ้าง ยอมรับว่าตอนนั้นหนักใจพอสมควร เพราะผมเกรงว่าเมื่อได้พบเจอกันแล้ว ผมจะไม่รู้จักเธอ แล้วผมจะต้องทำท่าทางตื่นเต้นขนาดไหนตอนพบเธอ

ปล. ติดตามบันทึกการท่องเที่ยวของผมได้อีกช่องทางที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt ครับ

ทริปนี้ผมเดินทางกับสายการบินนกแอร์ ช่วงนี้นกแอร์ชวนออกไปสัมผัสเมืองต้องห้ามพลาดอยู่ครับ สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางกับสายการบินนกแอร์ ทางนกแอร์จะฟรีค่าโหลดกระเป๋า 15 Kg. ลงใต้ท้องเครื่อง, เลือกที่นั่งฟรี มีอาหารว่างเสริฟบนเที่ยวบิน และล่าสุด มีบริการ Free wifi บนเที่ยวบิน ถือเป็นสายการบินแรกในเอเชียเลยครับ ซึ่งขณะนี้เริ่มเปิดให้บริการ Nok Wifi บนเครื่องบิน 2 ลำไปแล้ว และกำลังพัฒนาต่อเนื่องเพิ่มขึ้นไปอีกครับ

หลังจาก Check in เรียบร้อยแล้ว ระหว่างนั่งรอที่ Gate ก็สามารถเล่น Free wifi ที่ทางนกแอร์เตรียมไว้ให้ครับ สำหรับการลงทะเบียนเข้าใช้ Wifi ก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้ Booking No. เป็นตัว Log in เข้าไปครับ

สำหรับวันนี้ผมบินกับนกทองชมพูครับ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินเชียงใหม่ ด้วยเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ

จากสนามบินเชียงใหม่ผมได้รถ FORD ALL-NEW FOCUS เป็นพาหนะในการเดินทางไปยังโรงแรมศิริปันนาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ Ford รุ่นนี้เป็นรถยนต์ 4 ประตู เครื่องยนต์เบนซิน Duratec 2.0L Ti-VCT Gasoline Direct Injection พร้อมเกียร์อัตโนมัติ PowerShift6 สปีด ภายในห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย มีระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมี่ยม ระบบปรับอากาศในรถสามารถแยกปรับอุณหภูมิระหว่างคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าได้ด้วยครับ

เมื่อถึงโรงแรมศิริปันนา ผมและแขกรับเชิญ ที่ทีมงานบอกว่าเธอคือ Net idol ก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทางเหนือ เพื่อให้การเที่ยวในครั้งนี้ได้อารมณ์ล้านนาแบบเต็มๆ ครับ

ศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา เป็นรีสอร์ทระดับห้าดาวที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากความงามของเวียงกุมกาม อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา ที่นี่จึงเติมเต็มความสุขด้วยวิถีแห่งล้านนา และในปี 2558 ศิริปันนาได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงแรมที่มีการบริการยอดเยี่ยมในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2558 จากเว็บไซต์ Tripadvisor โดยก่อนหน้านี้ก็ได้คว้ารางวัลระดับเงิน กลุ่ม Luxury เขตเมือง ประเภทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ จากการประกาศผล Thailand Boutique Award ประจำปี พ.ศ. 2554 อีกด้วยครับ

เพียงแค่เลี้ยวรถเข้าสู่พื้นที่ของศิริปันนา ก็สัมผัสได้กับความสดชื่นท่ามกลางสวนเขียวแล้วครับ

กลิ่นไอแห่งล้านนา สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวแรกจริงๆ บริเวณ Lobby ค่อนข้างกว้างขวาง ด้านหน้าและด้านข้างของ Lobby มีพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอการ Check in – Check out พื้นที่ส่วนนี้เป็นแบบ Open air ดูสูงโปร่ง สบายตา Welcome drink พร้อมผ้าเย็นที่พนักงานนำมาเสริฟ เรียกความสดชื่นให้ผมได้เป็นอย่างดี

เดินถัดจาก Lobby ก็จะพบเส้นทางที่นำไปสู่ห้องพัก ขนาบซ้ายขวาด้วยพื้นที่สีเขียว ที่ดูสดชื่นทุกย่างก้าวจริงๆ ครับ

แล้วก็มาถึงที่พักของผมในคืนนี้ เป็นแบบ Royal Lanna Villa มีพื้นที่สำหรับให้นั่งชมสวนด้านหน้าห้องด้วยครับ

ภายใน Villa จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่น ศิริปันนาได้จัดเตรียมเก้าอี้ไว้ให้แขกได้นั่งเล่นหรือนอนเอนกาย รวมถึงมีชั้นวางหนังสือไว้ด้านหลังของเก้าอี้ และมีโต๊ะวางของตัวเล็กๆ อยู่ที่ส่วนหน้า พื้นที่ส่วนที่สองเป็นพื้นที่ของที่นอน กับเตียงขนาด King Size หรือจะเป็นแบบ Twin Bed ก็มี แล้วแต่แขกจะเลือกครับ แสงสว่างภายในห้องให้โทนสีอบอุ่น เสริมทัพด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ได้กลิ่นไอความเป็นล้านนาเป็นอย่างดี

พื้นที่ส่วนที่สามคือห้องน้ำ ห้องน้ำกว้างขวางเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกันอย่างชัดเจน บริเวณโถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้พร้อม มีอ่างล้างหน้าให้ 2 อ่าง ภายในห้องอาบน้ำมีทั้งฝักบัวแบบธรรมดาและแบบ Rain Shower และที่เป็น hilight ของห้องน้ำคงหนีไม่พ้นอ่างอาบน้ำทรงกลมขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางห้องน้ำ ด้านบนของอ่างอาบน้ำสามารถรับแสงธรรมชาติจากภายนอกได้ด้วย ช่วงที่มีแสง แสงจากภายนอกจะส่องลงมายังอ่างอาบน้ำพอดีครับ

ภายในห้องพักมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์สีจอแอลซีดี ขนาด 32 นิ้ว พร้อมระบบเคเบิ้ล เครื่องเป่าผม ไฟฉุกเฉิน ระบบดับเพลิง โทรศัพท์ เครื่องปรับอากาศเสื้อคลุมอาบน้ำ รองเท้าแตะ ร่ม ตู้นิรภัย ตู้เย็นและ Minibar กาแฟและชุดชงชา Free wifi และน้ำดื่มมีบริการให้ 4 ขวดต่อวันครับ

มาดูบรรยากาศรอบๆ ศิริปันนากันบ้างครับ

สระว่ายน้ำของที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคูเมืองเชียงใหม่ ที่ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียว ต้องยอมรับเลยว่ามองไปทางไหนก็รู้สึกสดชื่นครับ พื้นที่สีเขียวไม่ได้มีเพียงบริเวณสระว่ายน้ำเท่านั้น แต่แทบทุกพื้นที่ของศิริปันนา จะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดกว่า 20,000 ต้น สมแล้วที่ที่นี่คว้ารางวัลประเภทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ถ้าผมจะบอกว่าศิริปันนา เป็นปอดของเชียงใหม่ก็คงไม่ผิดครับ

มีห้องออกกำลังกายที่มองออกไปจะพบสวนเขียวอีกเช่นกัน

ปันนาสปา อยู่ท่ามกลางสวนและบ่อน้ำธรรมชาติครับ

ที่นี่มีสาธิตการปลูกข้าวและให้แขกที่เข้าพักได้ร่วมปลูกข้าวด้วยครับ

ติดกับแปลงนาสาธิต จะพบบ้านไม้ทรงไทยเรือนงาม มีชื่อว่า เฮือนศิลป์สล่า บ้านหลังนี้มีไว้เพื่อจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม รวมถึงงานประชุม ขันโตกดินเนอร์ สอนทำอาหาร กาดหมั้ว ดนตรีในสวน และงานแต่งงานครับ และเป็นจุดที่ให้แขกได้มาใส่บาตรพระในยามเช้าด้วยครับ

หลังจากที่ผมและแขกรับเชิญแปลงกายเป็นคนเหนือแล้วเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อสู่จุดหมายแรกครับ

สำหรับสถานที่แรกที่ทีมงานพาผมไปสัมผัสในครั้งนี้คือ วัดสวนดอกครับ

ก่อนอื่นผมขอแนะนำสมาชิกที่จะมาร่วมทริปกับผมตลอด 2 วัน 1 คืนกันก่อนครับ เริ่มที่เจ้าบ้าน คุณแก้วก๊อ ณ เชียงใหม่ เธอมีเชื้อสายพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ นี่ถ้าไม่บอกผมยังคิดว่าเธอเป็นญาติกับคุณเจนนิเฟอร์ คิ้ม นะครับ เพราะความสวยของเธอนั้นสูสีกับนักร้องคนดังซะเหลือเกิน ความรู้สึกแรกที่ผมเจอเธอ ยังคิดว่าเธอคงจะต้องถือตัว แต่เปล่าเลย ยิ่งคุยกับเธอ ยิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนสนุก คุยเก่ง (แบบไม่หยุด) อัธยาศัยดีมากๆ ครับ

สำหรับแขกรับเชิญ ที่ทางทีมงานบอกว่าเธอคือ Net Idol นั้น แท้จริงแล้วเธอคือคุณปุ๊กกี้ หรือที่รู้จักกันดีคือ คุณชลลี่ แห่งน้ำตากามเทพนั่นเองครับ แว๊บแรกที่ผมเห็นเธอ ผมไม่ต้องแสดงละคร ใส่สีหน้าตื่นเต้นอย่างที่ผมกังวลไว้ในตอนแรกตอนเจอ Net Idol ความรู้สึกแรกที่เห็นเธอนั้น มันรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ เพราะผมเองก็ชื่นชอบฝีมือการแสดงของเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมแอบกระซิบถามเธอว่า ตัวจริงกับในละครนิสัยเหมือนกันหรือเปล่า เธอบอกว่า ในละครก็เหมือนชีวิตจริง เธอชอบจิกกัดคน แต่จิกกัดแบบสนุกสนานนะครับ เธอให้ความเป็นเองกับผมมาก ไม่ถือตัว และเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผมได้ตลอดเวลาครับ

และผู้ที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับวัดสวนดอกกับผมนั่นก็คือ รศ.สมโชติ อ๋องสกุล ที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้านประวัติศาสตร์ ครับ

อาจารย์สมโชติเล่าว่า ที่เรายืนอยู่ตรงนี้คือ เวียงสวนดอก ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 570 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุแห่งแรกในเชียงใหม่ พระยากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงอัญเชิญพระบรมธาตุจากกรุงสุโขทัยมาประดิษฐานไว้ที่เชียงใหม่ จากนั้นพระบรมธาตุนี้เกิดปาฏิหาริย์ แยกเป็น 2 ส่วน อีกส่วนหนึ่งได้นำไปไว้บนยอดดอย เกิดเป็นพระธาตุดอยสุเทพ

จุดที่สำคัญของวัดสวนดอกนอกจากพระบรมธาตุคือ กู่เจ้าหลวงเชียงใหม่ ซึ่งก็คือที่เก็บอัฐิของเจ้าหลวงเชียงใหม่นั่นเองอาจารย์เท้าความไปว่าเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักรล้านนา พญามังรายได้มาตั้งเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.1839 ตามปฏิทินจูเลียน โดยมีหลักฐานที่จารึกไว้บนหลักศิลาจารึกที่วัดเชียงมั่น และในปี พ.ศ. 2559 เชียงใหม่จะมีอายุครบ 720 ปี หรือ 60 รอบนักษัตร ในราชวงศ์มังราย ปกครองมา 18 รัชกาล 282 ปี ต่อมาพม่าเข้ามาปกครองอีก 200 ปี จากนั้นพระเจ้าตากสินทรงนำกองทัพจากกรุงธนบุรีมาขับไล่พม่าออกไป ทำให้เกิดการปกครองของชุดใหม่ เรียกว่ายุคของเจ้าเจ็ดตน เชียงใหม่เลยมีผู้ปกครองในยุคที่ตรงกับยุครัตนโกสินทร์ถึง 9 องค์ คือ พระเจ้ากาวิละ พระยาธรรมลังกา พระยาคำฟั่น พระยาพุทธวงศ์ พระเจ้ามโหตรประเทศ พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ และเจ้าแก้วนวรัฐ

พระเจ้าอินทวิชยานนท์ได้ส่งพระธิดาซึ่งก็คือพระราชชายา เจ้าดารารัศมีไปรับราชการฝ่ายใน ในราชสำนักรัชกาลที่ 5 นี่คือจุดเริ่มของสายสัมพันธ์ระหว่าง 2 ราชสำนักที่เกิดขึ้นมา ต่อมาปลายปี พ.ศ.2451 พระราชชายาเสด็จกลับบ้าน ท่านทรงเห็นกู่เจ้านาย เจ้าหลวง ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ที่ริมแม่น้ำปิง บริเวณกาดหลวงที่เรียกว่าข่วงเมรุ ท่านเลยคิดว่าถ้าหากปล่อยให้บรรพบุรุษอยู่ริมแม่น้ำปิง กระจัดกระจายแบบนี้ ผู้คนจะไปสักการะยาก ท่านจึงโปรดให้ย้ายอัฐิบรรดาเจ้าหลวงทั้ง 8 รวมถึงอัฐิของชายา รวมเป็น 11 กู่ (ในยุค พ.ศ.2452) มาประดิษฐานที่วัดสวนดอกแห่งนี้ ในเวลาต่อมาหลังจาก 11 กู่ บรรดาลูกหลาน เจ้านาย รวมถึงพระราชชายา ก็นำอัฐิมาไว้ที่นี่เช่นกัน ณ ตอนนี้ มีไม่ต่ำกว่า 70 กู่ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเรียบร้อย

อาจารย์ยังแนะนำอีกว่า หากคนมาเที่ยวเชียงใหม่แล้วอยากรู้จักเจ้านายฝ่ายเหนือในเชิงสัญลักษณ์ ควรมาสักการะที่วัดสวนดอกแห่งนี้ครับ

วัดสวนดอกในสมัยล้านนามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เทียบเท่าได้กับปราสาทพระเทพบิดรในวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วเลยครับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เมื่อมาเที่ยวเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่วัดพระธาตุดอยสุเทพ ผมเลยอยากจะแนะนำว่า จริงๆ แล้ววัดสวนดอกก็มีความสำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชมนะครับ

หลังจากเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของวัดสวนดอกกันพอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลามื้อกลางวันแล้วครับ ทางทีมงานพาผมมายังร้านเข้าซอยสิบสาม นิมมานเหมินทร์ ซึ่งร้านนี้มีเด่นในเรื่องของข้าวซอยครับ

ปกติเวลาที่ผมมาเที่ยวเชียงใหม่ นึกจะทานข้าวซอยเมื่อไรก็จะนึกถึงแต่ข้าวซอยแถวฟ้าฮ่าม รูปลักษณ์ของร้านแถวนั้นจะเป็นร้านไม้เก่าๆ ซึ่งพอจะบอกให้รู้ว่าร้านแห่งนั้นเปิดขายมานานหลายปี แต่วันนี้ผมมีโอกาสได้รู้จักร้านข้าวซอยสไตล์ใหม่ ที่ฉีกแนวรูปลักษณ์ความเป็นร้านข้าวซอยที่ผมเคยรู้จักมา ร้านแห่งนี้อยู่บนถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 13 ท้ายๆ ซอยครับ

ร้านเข้าซอยสิบสาม เป็นร้านเล็กๆ ที่ดัดแปลงชั้นล่างของห้องแถวให้เป็นร้านขายข้าวซอย ด้วยการตกแต่งร้านที่เก๋ไก๋สไตล์วัยรุ่น จึงเป็นที่นิยมของวัยรุ่น วัยทำงาน นิยมมาทานกันอย่างเนืองแน่นครับ

เนื่องจากข้อจำกัดของห้องแถว จึงทำให้พื้นที่ภายในของร้านค่อนข้างแคบ แต่ทางร้านได้นำกระจกใสเข้ามาติดตั้งที่ด้านหน้าร้าน จึงทำให้ร้านดูโปร่งขึ้น ภายในรองรับลูกค้าได้ประมาณ 7 โต๊ะ ตั้งอยู่ขนาบซ้ายขวาของร้าน และมีการทำเป็นบาร์บริเวณผนังกระจกเสริมไว้ให้ลูกค้าได้นั่งเพิ่มเติมด้วย ภายในร้านติดตั้งเครื่องปรับอากาศครับ

ด้านข้างของห้องปรับอากาศ ยังมีโต๊ะยาวไว้ให้บริการอีกด้วย ส่วนนี้แบบ open air ครับ

ร้านเข้าซอยสิบสาม มีเมนูข้าวซอยประเภทต่างๆ ให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวซอยน่องไก่ ข้าวซอยหมูกรอบ ข้าวซอยหมู ข้าวซอยเนื้อ ข้าวซอยทะเล ข้าวซอยลูกชิ้นครับ

ผมเลือกเมนูข้าวซอยไก่ น้ำของข้าวซอยค่อนข้างเข้มข้น บีบมะนาวเพิ่มนิดหน่อย ทานกับหัวหอม และผักดองที่ทางร้านดองเองยิ่งเพิ่มความจัดจ้านของข้าวซอยขึ้นไปอีก แถมน่องไก่เนื้อนุ่ม ชิ้นโตมากๆ ครับ

นอกจากนี้ยังมีข้าวซอยหมูกรอบ แต่ผมไม่ได้ชิม เพราะเจอข้าวซอยไก่ไปชามเดียวก็อยู่ท้องแล้วครับ

นอกจากเมนูข้าวซอยแล้ว ที่นี่ยังเด่นเรื่องขนมจีนน้ำเงี้ยว (สูตรเชียงราย) อีกด้วย น้ำเงี้ยวสูตรเชียงรายจะใส่ดอกงิ้ว และเลือดหมูผสมหมูสับเคี่ยวให้เป็นเนื้อเดียวกัน จึงทำให้น้ำเงี้ยวข้นครับ

นอกจากนี้ยังมีข้าวกันจิ้นหอมทอด เป็นข้าวที่หุงกับเลือดหมูและหมูสับ โรยหน้าด้วยหอมทอด ทานคู่กับปีกไก่ทอด และเกาเหลาน้ำเงี้ยวก็เข้ากันดี๊ดีครับ

ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง Lava Crunch จริงๆ แล้วนั่นก็คือไอศกรีมวนิลาราดด้วยคาราเมล โดยหน้าด้วยอัลม่อนครับ

ถึงแม้ว่าหน้าตาของร้านจะดูสมัยใหม่ แต่สูตรเด็ดเคล็ดลับของข้าวซอยที่นี่เป็นสูตรเดียวกับร้านข้าวซอยนางแล จังหวัดเชียงราย ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 30 ปีแล้วครับ จึงมั่นใจได้ว่า ข้าวซอยที่นี่อร่อยอย่างแน่นอนครับ ร้านเข้าซอยสิบสาม เปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 – 20.00 น. หยุดทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือนครับ

อิ่มท้องแล้ว เตรียมไปลุยกันต่อครับจากถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 13 ผมมุ่งหน้าสู่ หอภาพถ่ายล้านนา ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ครับ

หันหลังให้พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ ฝั่งตรงข้ามจะมองเห็นพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา

เดินเลาะไปทางด้านขวาของพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา จะพบหอถ่ายล้านนาอยู่ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ครับ

อาคารไม้สองชั้นทาสีฟ้า เป็นที่ตั้งของหอภาพถ่ายล้านนา ซึ่งอยู่ในการดูแลของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยภาควิชาสื่อศิลปะและการออกแบบ สาขาวิชาศิลปะการถ่ายภาพ ได้จัดตั้งหอภาพถ่ายล้านนา เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บภาพถ่ายโบราณอันทรงคุณค่า รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่ประกอบในภาพถ่ายโบราณ สามารถนำไปใช้เผยแพร่สู่สาธารณชน เป็นแหล่งค้นคว้าและประกอบข้อมูลงานวิจัยในแง่ต่างๆ ที่เน้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการนำข้อมูลต้นทุนทางวัฒนธรรมล้านนาอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาใดเหมือน

พื้นที่ชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน สืบค้นข้อมูลภาพถ่ายที่เผยแพร่ในรูปแบบของภาพถ่าย หนังสือภาพ ตำรา งานวิจัยหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับวิชาการด้านการถ่ายภาพ นอกจากนี้ยังเป็นห้องสมุดดิจิทัลอีกด้วยครับ

ก่อนที่จะขึ้นไปชมที่ชั้น 2 อาจารย์วิถี พานิชพันธ์ ผู้ชำนาญการด้านศิลปวัฒนธรรม โครงการจัดตั้งศูนย์ศิลป์วัฒนธรรมล้านนา (ไต) มหาวิทยาลัยพะเยา รอให้ความรู้กับพวกผมอยู่ อาจารย์เล่าว่า เชียงใหม่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน อีกทั้งยังเคยเป็นราชธานี ศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ด้านของอาณาจักรล้านนา เป็นเส้นทางผ่าน เส้นทางค้าขาย คล้ายๆ กับปั๊มน้ำมัน ผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นไทใหญ่ ไทลื้อ รวมทั้งพวกที่มาจากแดนไกลอย่างจีนฮ่อก็จะมาแวะที่นี่ทำให้เชียงใหม่รับเอาวัฒนธรรมจากต่างถิ่นเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การฟ้อนรำ ที่นี่จึงมีกลิ่นไอของเขมร ลาว จีน อยุธยา หรือแม้กระทั่งราชวังมัณฑะเลย์ จึงทำให้เชียงใหม่มีการผสมผสานหล่อหลอมวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่กลายมาเป็นวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตน อาจารย์กล่าวอย่างภูมิใจว่า ไม่น่าอายเลยที่เชียงใหม่มีมรดกที่ผสมผสานและหลากหลาย จะลงตัวหรือไม่ลงตัวก็ว่ากันอีกทีนึง เหมือนกับเรามีพลอยอยู่เต็มถาด ไม่ได้เป็นแค่แก้วหรือก้อนหิน หยิบอะไรขึ้นมาก็คือพลอย เรียกได้ว่าสิ่งที่เรามี เป็นการรวมข้อดีจากหลายๆ ที่และนำมาผสมให้ดียิ่งขึ้น

สำหรับชั้นสอง เป็นห้องแสดงนิทรรศการ สำหรับเผยแพร่ความรู้และผลงานเชิงวิชาการ ผลงานสร้างสรรค์ในรูปแบบการนำเสนอด้วยนิทรรศการภาพถ่ายทั้งแบบดั้งเดิมและผลงานศิลปะภาพถ่ายร่วมสมัย

สำหรับนิทรรศการ ก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอด ช่วงที่ผมไป ทางหอภาพถ่ายล้านนากำลังจัดนิทรรศการภาพถ่ายของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ครับ ผมเลยได้มีโอกาสเห็นภาพถ่ายของท่านตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงก่อนที่ท่านจะถึงแก่กรรม เจ้ากอแก้วท่านแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นผู้นำเทรนแฟชั่นในสมัยนั้นก็คงไม่ผิดครับ

บ่ายกว่าแล้ว คุณแก้วก๊อแนะนำให้ไปพักผ่อน นั่งกินลม ชมวิว พร้อมจิบชากันที่ริมน้ำปิงครับ เธอพาผมมาที่ “Vieng Joom On Teahouse" ร้านชาเก๋ๆ ที่มี Concept ของตัวเองอย่างชัดเจน ส่วน Concept เฉพาะตัวของทางร้านคืออะไร ผมจะค่อยๆ เล่านะครับ

Vieng Joom On หรือชื่อในภาษาไทยว่า เวียงจูมออน เป็นภาษาเหนือครับ เวียงแปลว่า นคร หรือเมือง ส่วนจูมออนแปลว่า สีชมพู จึงไม่แปลกที่ทางร้านจะตกแต่งออกโทนสีชมพูเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

เมื่อเปิดประตูร้านเข้าไป ด้านหน้าจะเป็นพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชารสต่างๆ ระดับเกรด Premium ประกอบด้วย ชาเบลน (Blended Tea) ซึ่งเป็นชาที่ทางร้านเบลนเอง โดยจะเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านทั้งหมด, ชาดอกไม้, ชาผลไม้, ชาจีน ซึ่งรับมาจากจีนมณฑลต่างๆ ที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับชาประเภทนั้นๆ

เดินถัดไปทางหลังร้าน จะเป็นพื้นที่ในส่วนให้แขกได้มานั่งจิบชา ตกแต่งเน้นโทนสีชมพูเช่นกัน มีพื้นที่ให้เลือกนั่งหลายส่วน มีทั้งแบบมา 2 คน หรือมาเป็นหมู่เพื่อนครับ

แต่ที่เห็นจะสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นบ่อน้ำพุที่อยู่กลางร้านนี่แหล่ะครับ นั่งจิบชาไป ฟังเสียงน้ำไป เคลิบเคลิ้มดีครับ

สำหรับใครที่อยากจะใกล้ชิดแม่น้ำปิงก็มีพื้นที่จัดเตรียมไว้ให้ครับ เป็นพื้นที่แบบเปิดโล่ง ท่ามกลางไม้ใหญ่ ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งครับ

มาดูหน้าตาของว่างยามบ่ายกันบ้างดีกว่าครับ

ก่อนอื่นทางร้านจะเสริฟ Welcome Drink เป็นชา Rooibos Caramel Rouge เป็นชาแดงแอฟริกัน มีส่วนผสม Caramel bits รสชาติหอม กลมกล่อม ได้ความหวานของ Caramel ติดที่ปลายลิ้นครับ

จากนั้นตามมาด้วย High Tea ครับ

ชั้นบนจะเป็น Mini-Tarts กับ Macaron ซึ่ง Macaron ของร้านจะทำในรูปแบบของอิตาเลี่ยนครับ

สำหรับ Concept ที่ผมอุบไว้ในตอนแรกนั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ในเวียงจูมออน ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือขนมต่างๆ จะเป็นมังสวิรัติทั้งหมด ที่นี่จะไม่ใช้ส่วนผสมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์เลยครับ คอมังสวิรัติไม่ควรพลาดนะครับ

ส่วนชั้นตรงกลางเป็น Rooibos Tea Mousse เป็น Mousse ชาแดงจากแอฟริกัน (ชา Natural Organic) ขอบอกว่าชิ้นนี้อร่อยมากครับ ผมจัดการคนเดียวไปเกือบหมดชิ้นเลย หวานกลมกล่อม หอมกลิ่นชา ทานแล้วชื่นใจมากๆ ครับ

สำหรับชั้นล่างเป็นผลไม้สดทานคู่กับโฮมเมดแยมสตรอเบอร์รี่ครับ

ตามติดมาด้วย Scone Set ครับ

Scone จะมี 2 แบบ คือแบบ Plain และแบบมีลูกเกด ทานคู่กับ Light Cream, Peanut Butter Cream และ homemade แยมสตรอเบอร์รี่ กับ โฮมเมดแยมลิ้นจี่ โดยช่วงนี้เข้าหน้าลิ้นจี่ก็จะเป็นแยมลิ้นจี่ เห็นว่าช่วงก่อนฤดูมะม่วง ก็จะมีแยมมะม่วงด้วยครับ สำหรับ Set นี้ผมแอบฝืดคอนิดหน่อย แต่เมื่อได้ทานคู่กับชาที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟ ก็ทำให้รู้สึกคล่องคอได้ครับ

สำหรับชาร้าน ผมได้ชิม 2 ชนิดครับ เป็นชา Vieng Joom On กับ Madame Butterfly ชา Vieng Joom On มีส่วนผสมของชาดำ ชาขาว อบเชย (Cinnamon) และพลัม กลิ่นหอมมากๆ ครับ อีกชนิดคือ Madame Butterfly มีส่วนผสมของชาเขียว ดอกทานตะวันและ peach bits อร่อยชุ่มคอทั้ง 2 ชนิดเลยครับ ผมพลาดอย่างยิ่งที่ลืมถ่ายสีของชามาให้ชมครับ

เพื่อนๆ คนไหนที่อยากมีความสุขกับเวลาช่วงบ่ายๆ ผมแนะนำร้านเวียงจูมออนครับ นอกจากจะได้เสพบรรยากาศริมแม่น้ำปิงแล้ว ยังได้เสพรส และความหอมของชา รวมถึงของว่างที่เป็นมังสวิรัติด้วยครับ

หลังจากนั่งพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว คุณแก้วก๊อพาผมไปนวดผ่อนคลายที่ RARINJINDA ครับ

จริงๆ แล้ว ระรินจินดาเป็นทั้งรีสอร์ทและสปา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ริมแม่น้ำปิงครับ แต่ที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้เป็นส่วนของสปาขอบอกว่าสปาที่นี่ครบวงจรจริงๆ ครับ

ภายในตกแต่งได้อย่างร่มรื่นเลยทีเดียวครับ

เริ่มกันที่ Spa Reception ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ให้ลูกค้าได้มาเลือก Package ที่ต้องการจะใช้บริการ รวมถึงเลือกน้ำมัน , Body Mask/Body Scrub ตามที่ลูกค้าเลือกใช้บริการของ Package นั้นๆ

ผมขอเริ่มที่สระวารีบำบัด (Hydro Therapy Pool) เป็นศาสตร์แห่งการบำบัดด้วยสายน้ำ ที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสดชื่นด้วยการนวดด้วยน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 34 องศาเซลเซียสครับ สระแห่งนี้มีทั้งหมด 8 ตำแหน่ง เช่น Bubbling Area เป็นแรงดันอากาศหมุนวนรอบตัว ตำแหน่งนี้จะช่วยกระตุ้นการปรับอุณหภูมิของร่างกาย, Different Jets ช่วยการผ่อนคลายเฉพาะส่วน กระตุ้นการไหลเวียนเลือดได้ดี, Aqua Bed เป็นเตียงนวดพักผ่อนที่เน้นส่วนหลังและขา, Swan Neck เป็นแรงดันน้ำที่เน้นคอ บ่า และศรีษะ ช่วยลดการปวดเมื่อยที่เกิดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี การใช้บริการส่วนนี้ ลูกค้าจะต้องใส่ชุดว่ายน้ำ แต่ไม่ต้องกังวลครับ เพราะระรินจินดาได้เตรียมชุดว่ายน้ำไว้ให้พร้อมแล้ว

ด้านข้างของสระวารีบำบัดจะเป็นบ่อออนเซ็น ประกอบด้วย 3 บ่อ บ่อแรกเป็นบ่อน้ำแร่ร้อน น้ำแร่ที่นี่จะใช้หัวเชื้อ Concentrate จาก Gero Hot Springs จาก Takayama ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บ่อน้ำเเร่ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น โดยได้รับขนานนามว่า “Beauty Hot Springs" ช่วยบำรุงผิวพรรณ บรรเทาอาการปวดเมื่อย ลดความเครียดทั้งร่างกายเเละจิตใจกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานดีขึ้น บ่อนี้มีอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส บ่อที่ 2 เป็นบ่อโซดาสปา บ่อนี้ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต บรรเทาโรคความดันโลหิต ลดอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ รวมถึงขับสิ่งอุดตันและกระตุ้นการขับออกซิเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูสดใส เปล่งประกาย บ่อนี้มีอุณหภูมิประมาณ 36-37 องศาเซลเซียสและบ่อสุดท้ายเป็นบ่อน้ำเย็น ช่วยกระชับผิวพรรณ บ่อนี้อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียสครับ

นอกจากจะมี Hydro Therapy Pool แล้ว ที่นี่ยังมี Hydro Therapy Tub อีกด้วย การบำบัดใน Hydro Therapy Tub เป็นการนวดผ่อนคลายด้วยสายน้ำ ที่จะกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งสี่ด้วยการนวดจากแรงดันอากาศและน้ำ ที่เน้นข้อต่อและกล้ามเนื้อเป็นหลัก ความร้อนจากน้ำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้คลายอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและลดความเครียดทั่วทั้งร่างกาย การนวดในอ่างนี้ยังช่วยให้นอนหลับสบาย คลายอาการปวดข้อต่อและอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อครับ

Splashy Vichy Massage เป็นการนวดด้วยสายน้ำจากฝักบัวพิเศษ (Vichy Shower) ที่จะปล่อยน้ำลงสู่ร่างกายขณะที่นอนบนเบาะนุ่ม จากฝักบัว 8 จุด ให้ความรู้สึกของสายน้ำฝน น้ำที่ปล่อยลงมาจะมีความอุ่นพอดีและสามารถปรับให้เข้ากับผิวของแต่ละคน พร้อมๆ ไปกับการนวดสัมผัสอย่างอ่อนโยน เพื่อปรับกระตุ้นภายในร่างกายให้การไหลเวียนของเลือดและระบบการเผาผลาญพลังงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและอ่อนเยาว์ครับ

Foot Massage การนวดเท้า เป็นศาสตร์การนวดแบบโบราณช่วยให้ออกซิเจนไหลเวียนได้ดีขึ้น ผ่อนคลายและเบาอาการปวดต่างๆ ครับ

Elements of life เป็นการบำบัดด้วยวิธีใหม่ โดยใช้พลังธรรมชาติ ผสมผสานการนวดและบำบัดด้วยเสียงโดยธาตุทั้ง 4 เริ่มจากการนอนบนเตียงทรายควอซต์ที่อุ่น (ดิน+ไฟ) เพื่อขจัดอาการปวดตามข้อ และอาการปวดของกล้ามเนื้อต่างๆ พร้อมกับเสียงเคาะอันเพราะพลิ้ว (ลม) จากขันโลหะแบบทิเบต จะช่วยผ่อนคลาย โดยการสั่นสะเทือนเบาๆ ของคลื่นเสียง ต่อด้วยการนวดแบบผสมผสานกันระหว่างนวดไทยและนวดสวีดิช โดยเน้นที่บริเวณหลังและขา และปิดท้ายด้วยน้ำกุหลาบ เย็นเฉียบ (น้ำ) เพื่อกระตุ้นและสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายและจิตใจครับ

Classical Thai Massage การนวดแผนไทย ช่วยบรรเทาอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเอ็นและข้อต่อ อีกทั้งช่วยในการคืนความสมดุลให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีการใช้ลูกประคบที่ช่วยในการบรรเทาความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตด้วยครับ

ชั้นบนสุดจะเป็นส่วนของ villa มีทั้งหมด 6 หลัง Villa แต่ละหลังสำหรับการทำTreatment ต่างๆ แบบ Day Spa เท่านั้นครับ

เริ่มจากห้องนี้ Spa Treatment Room เป็นห้องที่ใช้ในการนวดน้ำมัน นวดหินร้อน และ Package ต่างที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ ด้านข้างของห้อง Spa Treatment Room ยังมี Rain Shower แบบ outdoor และ Jacuzzi ที่สามารถแช่น้ำไป ชมวิวมุมสูงของแม่น้ำปิงได้ด้วยครับ

Shirodhara Treatment เป็นการบำบัดด้วยเทคนิคชิโรดาราสมัยใหม่ของการบำบัดแบบอายุรเวช ระรินจินดาจะอุ่นน้ำมันหอมให้ได้ความร้อนที่พอเหมาะและปล่อยให้ไหลลงอย่างต่อเนื่องไปที่หน้าผากเพื่อเพิ่มพลังสดชื่น พร้อมๆ กับการนวดศรีษะและไหล่แบบเฉพาะตัวเพื่อปรับสมดุลทางกายและจิต สร้างความกระปรี้กระเปร่าและรักษาสุขภาพด้านเทคนิคการนวดแบบผ่อนคลาย การนวดแบบชิโรดาราจะชำระล้าง บำรุงและสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์กล้ามเนื้อในระดับชั้นต่างๆ สามารถเสริมสร้างพลังงานของกล้ามเนื้อ สร้างการไหลเวียน คลายความตึงเครียดและช่วยขับพิษออกจากร่างกายด้านข้างของห้อง Shirodhara Treatment ยังมีห้อง Steam และ Jacuzzi ที่สามารถแช่น้ำไป ชมวิวมุมสูงของแม่น้ำปิงได้ด้วยครับ

สำหรับในครั้งนี้ ผมได้ลองใช้บริการในส่วนของ Foot Massage กระบวนการจะเริ่มตั้งแต่พนักงานจะค่อยชำระล้างเท้าด้วยความอ่อนโยน ผมรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ จากนั้นจะมานอนที่เตียงนวด พนักงานจะนำถุงสมุนไพรที่มีความอุ่นมาวางไว้ที่ต้นคอ เพิ่มความสบายให้กับร่างกายเข้าไปอีก จากนั้นพนักงานจะเริ่มนวดที่เท้า ไล่ขึ้นมาที่น่อง จากนั้นก็.... ผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วครับ มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่นวดเสร็จแล้ว เพราะพนักงานปลุกครับ

หลังเสร็จสิ้นการทำ Package Spa แล้ว ทางระรินจินดาจะเตรียมชาร้อน พร้อมข้าวเหนียวมะม่วงไว้ให้กับลูกค้าด้วยครับ เรียกได้ว่ามาที่นี่ สบายทั้งตัว แถมยังอิ่มทั้งท้องอีกด้วยครับ

มาเชียงใหม่ทั้งที ถ้าไม่มาทานอาหารเหนือก็เหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่ มื้อนี้คุณแก้วก๊อเลยพาผมมาที่ ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ ที่นี่นอกจากจะบริการขันโตกดินเนอร์แล้ว ยังมีการแสดงฟ้อนรำล้านนาให้ชมกันอีกด้วย ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2514 จวบถึงวันนี้ก็นานกว่า 40 ปีแล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นต้นตำรับขันโตกดินเนอร์แห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่เลยครับ

การออกแบบอาคารภายในศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ ได้นำเอาเอกลักษณ์ของเรือนกาแล และเรือนแพ เรือนพื้นถิ่นล้านนามาเป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบ ใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง และมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินขอ ตามแบบโบราณทั้งสิ้น

ขันโตกเป็นภาชนะสำหรับวางสำรับอาหารของชาวเหนือที่ทำด้วยไม้หรือหวาย มีลักษณะกลมเหมือนถาด มีเชิง สูงประมาณ 1 ฟุต ในสมัยก่อนชาวเหนือนิยมทานอาหารกับพื้น เวลาจะทาน แม่ครัวก็จะนำกับข้าวมาวางไว้บนโตก แล้วนั่งทานกันบนพื้นถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวเหนือที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา แต่ปัจจุบันผมไม่ค่อยเห็นชาวเหนือทานข้าวแบบขันโตกกันสักเท่าไรแล้ว แต่จะเห็นการทานขันโตกในงานพิธีหรือรับรองแขกผู้มาเยือนซะมากกว่าครับ

มาดูอาหารบนโตกกันบ้างดีกว่า ว่ามีเมนูอะไรบ้าง

เริ่มที่ แกงฮังเล แกงพื้นเมืองเหนือ ที่รับอิทธิพลมาจากพม่า เป็นแกงที่ใช้เนื้อหมูและหมูสามชั้น รสชาติจะออกหวาน เค็ม มีกลิ่นของเครื่องเทศนิดๆ ครับ

ผัดผัก เป็นกะหล่ำปลีหั่น แล้วมาผัดกับน้ำมันหอย รสชาติกำลังดีครับ

น้ำพริกหนุ่ม รสชาติถือว่าพอได้ครับ แต่ไม่ค่อยเผ็ดเท่าที่ควร โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนทานเผ็ด ตัวน้ำพริกค่อนข้างข้นจากพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียม ทานคู่กับแคบหมู เข้ากันดีครับ

น้ำพริกอ่อง เน้นๆ ด้วยมะเขือเทศ รสชาติกำลังดี ทานกับผักลวกก็เข้ากันดีครับ

ไก่ทอดมาแบบเป็นชิ้นใหญ่ แต่ไม่มีน้ำจิ้มนะครับ ทานคู่กับข้าวเหนียวและน้ำพริก ก็เข้ากันได้ดีครับ

แคบหมูมาแบบชิ้นพอดีคำ ของโปรดผมเลย อร่อยทั้งแบบทานเปล่าๆ หรือจะจิ้มน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่องก็อร่อยครับ

หมี่กรอบ ทั้งกรอบ ทั้งหวาน อีกหนึ่งเมนูที่ผมทานอย่างเพลิดเพลิน

กระบองทอด (ฟักทองทอด) ด้วยความกรอบและความหวานของฟักทอง ทำให้ผมเพลิดเพลินกับเมนูนี้เช่นกัน

รสชาติของอาหารโดยรวมอาจจะไม่จี๊ดจ๊าดสำหรับคนไทยมากนัก เพราะอาหารบางเมนูถูกดัดแปลงรสชาติให้เหมาะกับชาวต่างชาติ อาหารทุกอย่างเติมได้ไม่อั้น หมดเมื่อไรจะมีพนักงานมาคอยเติมให้อยู่ตลอดครับ สำหรับข้าว มีให้เลือกทั้งข้าวเหนียวและข้าวสวย ใครชอบแบบไหนเลือกทานได้ตามใจครับ เมื่ออิ่มจากมื้อค่ำแล้ว ทางศูนย์ฯ จะเสริฟข้าวแต๋น และผลไม้สดตามฤดูกาลตบท้ายครับ

ระหว่างทานอาหาร จะมีการแสดงฟ้อนรำล้านนาซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของล้านนา ที่แสดงออกถึงลักษณะนิสัยความอ่อนน้อม และละมุนละไมในการดำเนินชีวิตภายใต้ความเชื่อความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา สำหรับการแสดงจะมีหมุนเวียนสลับกันไปครับ

ฟ้อนดาบ เป็นการแสดงศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ป้องกันตัว แสดงชั้นเชิงของการต่อสู้รวมกับท่าฟ้อนที่สวยงาม ผมนั่งอยู่ติดหน้าเวที เวลานักแสดงควงดาบที ก็หวาดเสียวทีครับ

ฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนที่เลียนแบบมาจากการทอผ้าไหมของชาวบ้านครับ

ระบำไก่ เป็นระบำจากละครเรื่องพระลอตามไก่ เป็นการร่ายรำของบริวารของไก่แก้ว พระราชชายาได้ทรงคิดท่ารำขึ้นเนื่องในโอกาสฉลองกู่ของเจ้านายเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2452 ที่ท่านทรงนำมารวบรวมไว้ที่วัดสวนดอก

ฟ้อนเทียน ใช้ฟ้อนในเวลากลางคืน ไม่สวมเล็บ แต่ถือเทียนสองข้างประกอบการฟ้อน พระราชชายาฯ ได้ทรงปรับปรุงขึ้นจากการฟ้อนเล็บเพื่อจะฟ้อนรับเสด็จรัชกาลที่ 7 ในคราวเสด็จประพาสเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.2469 ครับ

ทานไป ชมการแสดงไป มันได้กลิ่นไอความเป็นเหนือจริงๆ ครับ สำหรับการแสดงสุดท้ายจะเป็นการรำวงมาตรฐาน นางรำจะมาเชิญแขกให้ไปร่วมรำวงบนเวทีด้วย

มาเชียงใหม่แล้ว หากอยากมาสัมผัสบรรยากาศล้านนาขนานแท้ ลิ้มรสอาหารขันโตกและชมการแสดงล้านนาแบบดั้งเดิม ลองมาที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ซิครับ แล้วคุณจะได้รับอรรถรสความเป็นล้านนาทุกอย่าง ที่นี่เปิดให้บริการทุกคืน ตั้งแต่ 19.00 – 21.30 น. การเดินทางก็สะดวกเพราะอยู่ในตัวเมือง ที่สำคัญอยู่ติดถนนคนเดินวัวลายด้วยครับ

อิ่มหนำแล้ว ผมตรงดิ่งกลับเข้าที่พักที่ศิริปันนา คืนนี้หลับยาวยันเช้าเลยครับ

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอน 05.45 น. จริงๆ แล้วผมยังอยากจะนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มบนเตียงนอนนุ่มๆ อยู่เลยครับ แต่มานอนนึกดู "เรามาเที่ยวนี่นา ไม่ได้มานอน" จากนั้นก็กัดฟันลุกออกจากเตียงเพื่อเตรียมไปสูดอากาศยามเช้า รีบล้างหน้าแปรงฟัน แล้วไปเดินเก็บบรรยากาศรอบๆ ศิริปันนาครับ

หากแขกท่านในสนใจจะใส่บาตรพระตอนเช้า สามารถติดต่อกับทางโรงแรมล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมของใส่บาตร ซึ่งพระจะมาบิณฑบาตรบริเวณด้านหน้าของเฮือนศิลป์สล่าครับ

หลังจากเดินเก็บบรรยากาศเรียบร้อยแล้วก็กลับมาอาบน้ำ เตรียมไปทานอาหารเช้าครับ

ห้องอาหารที่นี่มีชื่อว่า สลีบันยัน เป็นห้องอาหารในบรรยากาศล้านนา เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. ห้องอาหารนี้ให้บริการทั้งอาหารพื้นเมือง และอาหารนานาชาติครับ นอกจากนี้ยังมีบาร์น้ำที่ให้บริการเครื่องดื่มรสเลิศ ค็อกเทล ไวน์ และเครื่องดื่มสมุนไพรพื้นเมืองด้วย ภายในห้องอาหารสลีบันยัน จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศ และส่วนที่รับลมธรรมชาติครับ ที่เตะตาผมมากๆ เห็นจะเป็นลวดลายกระเบื้องที่เลียนแบบลายกระเบื้องโบราณ มันทำให้ห้องอาหารดูมีเสน่ห์มากๆ ในสายตาผมครับ

บรรยากาศภายในห้องปรับอากาศครับ

ไลน์ Buffet ในวันที่ผมไปใช้บริการครับ มีอาหารนานาชนิดให้เลือกมากมายครับ

มุมข้าวต้ม

มุมสลัด

มุมอาหารญี่ปุ่นและ Cold cut

มุมขนมปังต่างๆ ครับ

ผลไม้ตามฤดูกาล

น้ำผลไม้ รวมถึง ซีเรียลต่างๆ ครับ

มุมนี้เชฟปรุงกันใหม่ๆ เป็นมุมเกี่ยวกับเมนูไข่ทั้งหมดครับ

มุมนี้ก็เป็นมุมก๋วยเตี๋ยว ปรุงกันใหม่ๆ เลยครับ

ทำเลที่ตั้งของศิริปันนา ถือว่าอยู่ในทำเลที่ดีเลยทีเดียวครับ ห่างจากสนามบินเชียงใหม่เพียง 6 กม. ห่างจากสถานีรถไฟเชียงใหม่เพียง 1 กม. จากโรงแรมสามารถเดินเท้าไปเที่ยวเชียงใหม่ไนท์บาร์ซาร์ด้วยเวลาประมาณ 10 นาที หรือจะไปเดินหาซื้อของฝากที่ตลาดวโรรสก็สะดวก ด้วยเวลาประมาณ 10 นาทีเช่นกันครับ แต่ถ้าหากว่าไม่อยากเดิน ทางโรงแรมมีรถรับ-ส่ง ซึ่งจะให้บริการตามเวลาที่กำหนดครับ

ถึงแม้ศิริปันนาจะอยู่ท่ามกลางชุมชนเมือง แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศด้านในแล้ว ทำให้ผมละทิ้งความวุ่นวายของสังคมเมืองที่อยู่โดยรอบออกไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากบรรยากาศที่นี่จะสงบ เป็นส่วนตัวแล้ว การบริการของที่นี่ก็ยังเน้นคุณภาพแบบล้านนา พนักงานแต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใส มี Service mind มากๆ ครับ

หลังอาหารเช้า ผมคงต้องโบกมืออำลาศิริปันนาแล้วครับ และคิดว่าถ้าหากมาเชียงใหม่ครั้งหน้า คงไม่ลืมที่จะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน

หลังจาก Check out ที่ศิริปันนาเรียบร้อยแล้ว คุณแก้วก๊อก็พาผมไปเรียนรู้วัฒนธรรมล้านนาที่ โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ครับ

ปัจจุบันความเจริญทางเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวเชียงใหม่ภูมิปัญญาท้องถิ่นถูกละเลยจนน่าเป็นห่วง ขาดการสืบทอดจากผู้รู้และพ่อครูแม่ครู คนส่วนใหญ่จึงหลงใหลไปกับวัฒนธรรมภายนอกและไม่ได้มีการสืบทอดความรู้จากภูมิปัญญาของพ่อครูแม่ครูเหล่านั้นเลย จนราวต้นปี 2540 องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ กลุ่มศิลปวัฒนธรรม และอีกหลายหน่วยงานจึงได้ร่วมปรึกษาหารือตกลงใจร่วมกันว่าควรประสานงานกับคนทุกกลุ่มให้เข้ามาร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยร่วมกันจัดงาน “สืบสานล้านนา" ในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี ติดต่อกันมาเป็นเวลา 5 ปี หวังว่าจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นที่อยู่พื้นฐานวัฒนธรรม ภูมิปัญญาของท้องถิ่นร่วมกันในอนาคต แต่ก็ยังไม่สามารถก่อให้เกิดการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ให้มีความต่อเนื่องและมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความหลากหลายได้ พระเดชพระคุณเจ้าหลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์แห่งวัดเจดีย์หลวง ได้ให้แนวคิดว่า “การจะสืบสานวัฒนธรรมภูมิปัญญาล้านนาให้เกิดผลนั้น การจัดงานสืบสานล้านนาเพียงปีละครั้ง ๆ ละ 4 วัน ไม่สามารถทำให้เกิดผลได้จริง ต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าทุกลมหายใจเลย จึงจะเป็นจริง" คณะกรรมการจัดงานสืบสานล้านนาจึงมีความเห็นร่วมกันว่าจะต้องทำโครงการที่จะให้เกิดการสืบสานภูมิปัญญาพื้นบ้านล้านนาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง “โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา" ขึ้นในปี 2543 ครับ

หลักสูตรที่เปิดสอนจะเกี่ยวกับภูมิปัญญาของชาวเหนือ เช่น การทำตุง ภาษาล้านนา ดนตรีพื้นเมือง จักสาน ฟ้อนพื้นเมือง วาดรูปล้านนา ของเล่นเด็ก การทอผ้า ดุนลายโลหะ แกะสลัก การทำขนมพื้นเมือง และอีกหลากหลายเลยครับ

อาจารย์วิศิษฐ์ สิทธิคง อาจารย์พิเศษโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา กล่าวแนะนำถึงตุงที่จะผมจะเรียนในวันนี้ว่าเป็นตุงไส้หมู เพราะลักษณะของตุงจะมีลักษณะเส้นๆ คล้ายไส้ เด็กๆ ในสมัยนี้จะมองตุงไส้หมูคล้ายกับแมงกะพรุน แต่สมัยก่อนคนภาคเหนือจะไม่เคยไปทะเล ไม่เคยเห็นแมงกะพรุน เห็นแต่ไส้หมู จึงเรียกตุงนี้ว่าตุงไส้หมูมาโดยตลอด แต่บางพื้นที่จะเรียกตุงพญายอ ตุงไส้หมูจะใช้ในโอกาสปีใหม่เมือง คือช่วงสงกรานต์ (15 เมษายน) โดยจะเอาไปปักที่เจดีย์ทรายคู่กับตุง 12 ราศี เชื่อว่าเป็นพุทธบูชา ใช้บูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ ตุงไส้หมูมีความหมายทางบวก ตุงมีหลายประเภท ใช้ในงานมงคล อวมงคล ต้องเลือกใช้ให้ถูกชนิด

ขั้นตอนการทำตุงก็ไม่ยากครับ พับกระดาษไปมา ตัดไปตัดมา มือใหม่หัดทำตุง ใช้เวลาทำประมาณ 10 นาทีก็เสร็จครับ ส่วนตุงจะออกมาสวยหรือไม่สวย ขึ้นอยู่กับการเลือกสีของกระดาษและเทคนิคการตัดของแต่ละคน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ หากเพื่อนๆ มีเวลา ลองแวะมาหาประสบการณ์ดีๆ แบบนี้กันที่โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนาดูนะครับ

โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา อยู่ที่ถนนรัตนโกสินทร์ หลังโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยครับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา

เที่ยงอีกแว้ววว มื้อเที่ยงนี้คุณแก้วก๊อพาผมไปเปลี่ยนบรรยากาศของรสชาติอาหาร เธอกลัวผมจะเบื่อกับอาหารพื้นเมือง มื้อนี้เธอเลยพาผมไปทานอาหารญี่ปุ่นที่ร้าน TENGOKU-YAKI CHIANGMAI ครับ

ใครมาเที่ยวเชียงใหม่แล้วอยากเปลี่ยนรสชาติ จากอาหารเมืองเหนือมาสัมผัสกับอาหารญี่ปุ่น หรือผู้ที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ ผมขอแนะนำร้าน Tengoku ครับ จริงๆ แล้ว Tengoku มีอยู่ 2 สาขา สาขาแรกอยู่ที่ซอยวัดบวกครกหลวง หน้าโรงแรมดาราเทวี ในปี 2558 เปิดให้บริการมาขึ้นเป็นปีที่ 7 แล้ว ที่สำคัญ ที่นี่ได้รับรางวัล Thailand Best Restaurant จาก Thailand's Tatler ติดต่อกันมาถึง 6 ปี ส่วนสาขาที่ 2 ซึ่งผมจะแนะนำในวันนี้ เป็นสาขาน้องใหม่ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2558 นี่เอง นั่นก็คือ Tengoku –Yaki ตั้งอยู่ย่านนิมมานเหมินทร์ ซอย 5 ครับ

ด้วยเนื้อที่กว่า 250 ตารางวา Tengoku – Yaki ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วนครับ

ส่วนแรกเป็นร้าน Pickles ให้บริการ corned beef แบบนิวยอร์ก แตงดอง pickles เบคอน ซี่โครงแบบบาร์บีคิว ลิ้นวัว พาสตามี่ แฮมเบอร์เกอร์ อาหารทั้งหมดจะเป็นสไตล์นิวยอร์กครับ

ส่วนที่สองเป็นร้าน Tengoku+Yaki ให้บริการทั้งแบบ Buffet ท่านละ 555 บาท net (รวมน้ำชาเขียว) มีทั้งเนื้อเซอร์ลอยจากนิวซีแลนด์ หมูคุโรบุตะ หอยเชลล์ ปลาแซลมอน ปลาหมึก กุ้ง ลิ้นวัว ตับวัว ตับหมู เบคอนรมควัน สลัด กิมจิญี่ปุ่น หรือ จะสั่ง a la carte ก็ได้ ร้านนี้ให้บริการแบบปิ้งย่างครับ

ส่วนที่สามเป็นร้าน Tengoku de cuisine ให้บริการทั้งแบบ Buffet ราคาท่านละ 800 บาท net (ไม่รวมเครื่องดื่ม) หรือจะสั่ง a la carte ก็ได้ ร้านนี้ให้บริการประเภท Sushi และ Sashimi ครับ

ด้านในตกแต่งร้านได้น่านั่งเลยทีเดียว พื้นที่ส่วนนี้จะมี 2 ชั้น ชั้นล่างเปิดให้บริการทั่วไป ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวครับ

ชั้นที่ 2 สามารถรองรับลูกค้าได้ 12 คน เหมาะกับการมาประชุมงาน คุยธุรกิจ หรือมาสังสรรค์กันคณะใหญ่ครับ

และส่วนสี่เป็นร้านไวน์ House Of Wine พื้นที่ส่วนนี้ให้บริการสำหรับผู้ชื่นชอบไวน์ ที่มีให้เลือกหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก

สำหรับวันนี้ผมจะมาแนะนำในส่วนของร้าน Tengoku de cuisine ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารประเภท Sushi และ Sashimi โดยจะขอเริ่มที่ Sashimi ครับ

Sashimi Set นี้ประกอบไปด้วย ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาบะดอง หนวดปลาหมึก และหอยปีกนก บอกเลยว่า ปลาแซลมอน และปลาทูน่า หั่นชิ้นใหญ่มาก ผมแอบทราบมาว่า ที่ทางร้านหั่นชิ้นใหญ่แบบนี้เพื่ออยากให้ลูกค้าเห็นว่าปลาที่ร้านเนื้อแน่นและสัมผัสว่าปลาที่นำมาเสิร์ฟนั้นสดจริงๆเรียกได้ว่าขนาดเต็มปากเต็มคำกันเลยทีเดียว รับรู้ถึงความหวานของเนื้อปลาสดได้เต็มๆ ครับ

สลัดสาหร่ายย่าง (NoriSalad) ทางร้านจะใช้ผักกาดแก้ว ซึ่งมีขายอยู่ในเชียงใหม่ตลอดทั้งปี นำมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นให้ได้ขนาดพอดีคำ จากนั้นนำมาฉีดด้วยน้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่นสูตรพิเศษของทางร้าน สำหรับการฉีดน้ำสลัดเป็นเทคนิคที่จะไม่ทำให้ผักช้ำจากการคลุกผักสลัดครับ ด้านบนของผักกาดแก้วที่ฉีดน้ำสลัดเรียบร้อยแล้วจะโรยด้วยสาหร่ายย่างและงาขาวคั่ว ทางร้านจะนำสาหร่ายไปอังบนกระทะไฟเพื่อให้สาหร่ายกรอบ เวลาทานก็ไม่ต้องคลุกมากนัก เพราะถ้าคลุกมากไปสาหร่ายจะไม่กรอบ จานนี้จะเสิร์ฟคู่กับมะนาว สำหรับผู้ที่ต้องการความจี๊ดจ๊าดครับ

ซูซิหน้าครีบปลาตาเดียวย่าง (Engawa Sushi) ทางร้านจะใช้เฉพาะส่วนครีบ แล้วนำมาทาด้วยซอสส่วนผสมของทางร้าน จากนั้นนำมา burn ด้วยไฟ แต่งหน้าด้วยวาซาบิหมักโชยุ รสชาติหวานด้วยความสดของครีบปลาตาเดียว นุ่มละลายในปากจริงๆ ครับ

มะเขือม่วงราดซอสมิโสะ (Natsudeng Kaku) ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง signature dish ของร้านครับ โดยปกติแล้วมะเขือม่วงรสชาติจะออกจืดๆ เฝื่อนๆ หน่อย แต่ที่นี่จะนำมะเขือม่วงจากโครงการหลวงมาหั่นเป็นชิ้น หนาประมาณ 1 นิ้ว แล้วนำมาบากให้เป็นตารางสี่เหลี่ยม จากนั้นนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัดในกระทะทองเหลือง พอมะเขือม่วงสุกได้ที่ก็จะนำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน จากนั้นนำมาราดซอส ซอสที่นำมาราดทำจากมิโสะ เต้าหู้ยี้ญี่ปุ่น เคี่ยวกับโชยุ ใส่น้ำตาลมะพร้าวอีกนิดหน่อย สูตรเฉพาะของทางร้าน จากนั้นโรยด้วยงาขาวคั่วอีกเล็กน้อย รสชาติของมะเขือม่วงเมื่อราดซอสแล้วจะออกหวานอมเค็ม กลมกล่อม อร่อย แถมมะเขือม่วงยังนุ่มและไม่อมน้ำมันอีกต่างหาก เมนูนี้สมเป็น Signature ของทางร้านจริงๆ ครับ

ข้าวปั้นหน้าเนื้อย่าง (Gyu Aburi Sushi) ทางร้านใช้เนื้อออสเตรเลียริบอาย นำมาสไลด์บางๆ แล้วนำมา burn จากนั้นนำมาทาซอสซึ่งหน้าตาคล้ายแจ่วมาก ทางร้านตั้งใจจะทำให้รสชาติออกมาคล้ายแต่ไม่เหมือนแจ่ว แต่แท้จริงแล้ว ซอสที่เห็นทำมาจากวัตถุดิบจากญี่ปุ่น เช่น น้ำพริกเผาญี่ปุ่น โชยุ และพริกป่นญี่ปุ่นซึ่งจะเผ็ดน้อยกว่า แต่ความกลมกล่อมจะคล้ายน้ำจิ้มแจ่วบ้านเราแต่รสชาติอ่อนกว่าครับ

เนื้อวัวดิบกับน้ำจิ้มปงซึ (Beef Tataki) เมนูนี้ปรับปรุงสูตรมาจากญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นจะทานเนื้อม้าดิบ แต่ในเมืองไทยคงจะหาซื้อม้าดิบยากและคนไทยไม่นิยมทานเนื้อม้า ทางร้านเลยใช้เนื้อออสเตรเลียริบอาย จะหั่นเป็นเส้นยาวๆ หนาประมาณ 2 นิ้ว แล้วนำเนื้อไปย่างด้วยไฟแรงแบบสะดุ้งไฟแค่พอให้ผิวนอกเปลี่ยนสี ถ้าหากไม่นำเนื้อมาย่าง เวลาหั่นเนื้อ น้ำเลือดจะออกมาละลาย เมื่อย่างเสร็จจะนำไปแช่แข็ง เวลาเสิร์ฟจะนำมาสไลด์ เนื้อจะมีสีสดโดยไม่มีเลือดตลอดเวลา ด้านล่างรองด้วยหอมใหญ่ ซึ่งจะซอยเป็นเส้นบางๆ ก่อนที่จะเสิร์ฟทางร้านจะนำหอมใหญ่ซอยแช่น้ำเย็นจัด เพื่อลดกลิ่นไอ ที่อาจทำให้เกิดอาการเคืองตา ส่วนด้านบนของเนื้อสไลด์จะมีกระเทียมบดที่ขูดละเอียด วิธีทานคือนำกระเทียมลงไปตีในน้ำจิ้มปงซึ แล้วนำเนื้อและหอมใหญ่ที่อยู่ด้านล่างลงไปแช่ในน้ำจิ้มปงซึให้ฉ่ำ น้ำจิ้มปงซึผสมมาจากโชยุ น้ำส้มสายชู มิริน และน้ำตาลนิดหน่อย น้ำส้มสายชูและมิรินจะทำให้เนื้อสุก หากแช่เนื้อลงในน้ำจิ้มประมาณ 5 นาที เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเลย แต่ส่วนใหญ่นิยมแช่ให้ฉ่ำแล้วทานจะอร่อยกว่าครับ

เนื้อฮากาตะวากิว (Hakata Wagyu) เกรด A3 นำมาย่างโดยที่ไม่ต้องปรุงรสอะไรเลย จากนั้นนำมาวางบนเกลือจากภูเขาหิมาลัย ด้วยความร้อนของเนื้อจะดูดซับความเค็มของเกลือเข้าไปในเนื้อ ซึ่งรสชาติจะเค็มพอดีไม่เค็มเหมือนเกลือทั่วไป เวลาทานให้ใช้ตะเกียบพลิกเนื้อก่อนเพื่อให้เนื้อดูดความเค็มของเกลือครบทุกด้าน เมนูนี้ ขอบอกว่าฟินมากครับ เนื้อนุ่ม เค็มกำลังดี ผมเองเลิกทานเนื้อมานานแล้ว พอเห็นเมนูนี้เลยต้องขอลองสักชิ้น แต่เมื่อชิมแล้วถึงกับเบรคไม่อยู่เลยครับ เมนูนี้อยู่ใน a la carte ไม่รวมใน buffet นะครับ

ป๋าปึกส์ เจ้าของร้าน เล่าว่าร้านอาหารที่ญี่ปุ่นแทบทุกร้านจะสั่งปลามาจากตลาดปลาซึคิจิทั้งหมด ปลาดิบจะอร่อยไม่อร่อยอยู่ที่การจิ้มโชยุ แต่ละร้านจึงมีสูตรโชยุของใครของมัน ความอร่อยหรือไม่อร่อยจึงขึ้นอยู่ที่โชยุ ดังนั้นทางร้านจึงอาศัย concept ของญี่ปุ่นในการปรุงรสโชยุเอง โดยทางร้านจะสั่งถั่วเหลืองสำหรับทำโชยุที่หมักมาเป็นปี๊บจากญี่ปุ่น นำมาต้มและปรุงรสเองครับ

สำหรับวาซาบิของที่นี่ ทางร้านจะสั่งซื้อวาซาบิที่ล้างแล้วสับทั้งเปลือก ทั้งราก ทั้งลำต้น และบรรจุในซองสูญญากาศมาจากญี่ปุ่น ป๋าปึกส์เล่าว่าราคาของหัววาซาบิแพงกว่าวาซาบิธรรมดาเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว จากนั้นทางร้านจะนำมาหมักกับโชยุและเกลือ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 2 วัน ลักษณะแบบนี้ที่ญี่ปุ่นจะเรียกว่า วาซาบิดอง จริงๆ แล้วก็คือ Pure วาซาบินั่นเอง(Tengoku Wasabi) แต่ว่ารสชาติจะนุ่มกว่าเพราะว่ามันได้ถูกหมักจากโชยุ ทำให้ทานง่ายขึ้น เวลาทานก็ไม่ต้องผสมโชยุอีก ทางร้านจึงแนะนำว่าเวลาทานให้เอาเนื้อปลาจิ้มโชยุก่อน แล้วนำวาซาบิวางข้างบน รสชาติจะกลมกล่อมกว่าวาซาบิที่นำมาขูด สำหรับ Tengoku Wasabiไม่รวมอยู่ใน Buffet หากใครต้องการสัมผัสความเป็นวาซาบิสูตรเด็ดของทางร้าน สามารถสั่งเพิ่มได้ในราคา 50 บาทครับ

จุดเด่นของ Tengoku นั้น Buffet จะเป็นแบบ a la carte Buffet คือลูกค้าสั่ง แล้วทางร้านจะทำแล้วนำไปเสิร์ฟ เพราะทางร้านเชื่อว่าปลาดิบหากนำมาแร่ แล้วตากลมเกิน 15 นาที จะทำให้คุณภาพเสื่อมลง ส่งผลให้รสชาติเปลี่ยนไปทันที ไม่ว่าจะเป็นปลาดิบหรือซูชิก็ตาม ดังนั้นปลาดิบที่นำมาวางบนไลน์บุฟเฟต์ คุณภาพของปลาจะสู้แบบหั่นสดไม่ได้, เมนูอาหารหลากหลายให้ลูกค้าได้เลือกถึง 40 เมนู, มีโชยุและวาซาบิดอง สูตรของทางร้านเอง จึงทำให้มีรสชาติที่แตกต่างไปจากร้านอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ และที่สำคัญ ถึงที่นี่จะจำกัดเวลาในการทาน 2 ชั่วโมง แต่เมื่อครบกำหนดเวลา ทางร้านจะไม่ไล่ลูกค้า หากลูกค้านั่งทานติดลมและไม่มีการต่อโต๊ะเพิ่มครับ เชฟที่นี่เป็นเชฟอาหารญี่ปุ่นมากว่า 30 ปี จึงไม่แปลกใจเลยที่ทุกเมนูจะอร่อยเต็มคำจริงๆ ครับ อ้อ Buffet จะไม่รวมปลาฮามาจิ โอทาโร่ หอยเม่น แต่ถ้าอยากทานสามารถสั่งทานแบบ a la carte ได้นะครับ ถึงแม้ว่าราคา buffet อาจจะดูดุไปสักเล็กน้อย แต่ผมว่า รสชาติและคุณภาพคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปอย่างแน่นอนครับ

ร้าน Tengoku –Yaki นิมมานเหมินทร์ ซอย 5 เปิดขายเป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกเวลา 11.00 - 14.00 น.และอีกช่วงเวลา 17.30 - 22.30 น. ครับ

หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารญี่ปุ่นกันแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ Thinkpark เพื่อจะไปนั่งรถรางชมเมืองเชียงใหม่ครับ

คุณอุษา เกษศรี เจ้าหน้าที่ประสานงานเขียวชมเมือง โดย เขียว สวย หอม เล่าให้ฟังว่า เขียว สวย หอม เป็นองค์กรอิสระที่ทำงานเกี่ยวกับการดูแลต้นไม้ใหญ่และเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เมือง เป็นโครงการน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2558 เป็นโครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ประวัติศาสตร์เมือง โดยจะพาชมเมืองตามสถานที่ต่างๆ และบอกเล่าประวัติของเมืองไปด้วย โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของกลุ่มองค์กร 4 องค์กรหลักคือ เทศบาล ดูแลในส่วนของพื้นที่, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, คุณตัน ภาสกรนที เอื้อเฟื้อเรื่องรถ และ เขียว สวย หอม คอยบริหารจัดการ วางแผนเส้นทางที่จะนำเสนอเรื่องราวต่างๆ

รถเขียวชมเมือง จะให้บริการทุกวัน วันละ 2 รอบ คือรอบ 09.00-10.30 น. ช่วงนี้นอกจากจะนั่งรถเขียวชมเมืองแล้ว ยังมีการเดินดูเมือง เยี่ยมชมวัดเชียงมั่น, หอพระยาเม็งราย, วัดดวงดี จนถึงวัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ เส้นทางนี้จะผ่านซอกซอยแคบๆ และชุมชนให้ได้สัมผัส โดยคิดค่าบริการคนละ 80 บาท และรอบบ่าย 13.00-14.00 น. เป็นการนั่งรถชมเมืองอย่างเดียว ค่าบริการคนละ 50 บาทครับ

ระหว่างที่นั่งชมก็จะมีวิทยากรอาสา คอยให้ความรู้ไปด้วย วิทยากรก็มาจากหลายเครือข่าย ที่ทำงานตามที่ตนสนใจ เช่น เขียวสวยหอม จะเน้นไปในเรื่องการดูแลต้นไม้ใหญ่กับพื้นที่สีเขียว, กลุ่มน้องรักล้านนาจะให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์, กลุ่มคนไกลบ้านให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ชุมชน รายได้ที่ได้จากการท่องเที่ยวครั้งนี้จะสมทบทุนเพื่อการดูแลต้นไม้ใหญ่และการพัฒนาพื้นที่สีเขียวเมืองเชียงใหม่ครับ

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถไปขึ้นรถรางชมเมืองได้ที่สี่แยกรินคำ บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้านข้างของ Thinkpark นะครับ เงินที่เราจ่ายไป นอกจากจะได้ความรู้ ความเพลิดเพลินกลับมาแล้ว คุณยังเป็นส่วนร่วมในการทำประโยชน์โดยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเชียงใหม่ด้วยนะครับ ติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมนี้ได้ที่ FB : เขียวชมเมือง by เขียว สวย หอม

เพื่อให้ได้บรรยากาศในการเที่ยวชมเมืองแบบหลากหลายรสชาติ ผมเลยขอลงรถเขียวชมเมืองบริเวณประตูท่าแพ เพื่อต่อรถแดงไปยังกาดดอกไม้ครับ

จากกาดดอกไม้ ผมมีโอกาสได้ลองปั่นสามล้อถีบด้วยครับ ด้วยการที่ผมเป็นคนตัวสูงใหญ่ เลยทำให้ถีบสามล้อได้ไม่ค่อยถนัดนัก เวลานั่งตรงคนถีบ เข่าจะไปชนกับแฮนด์ของรถสามล้อตลอดเวลา แถมเบรกที่มือก็ไม่สามารถใช้ได้ แต่ต้องใช้เบรกที่เท้า ซึ่งเบรกจะติดตั้งอยู่ใกล้ๆ จานโซ่ ด้วยความไม่ชำนาญ เวลาจะเบรกรถทีต้องก้มหน้าเพื่อมองเบรกทีครับ

ผมเองรู้สึกสงสารผู้โดยสารของผมเป็นอย่างมากครับ ทั้งคุณแก้วก๊อ ทั้งคุณปุ๊กกี้ เธอคงนั่งลุ้นตัวโก่งไปตลอดเวลา ผมแอบเห็นคุณแก้วก๊อยกมือพนมขอพรก่อนที่ผมจะออกรถด้วย ส่วนคุณปุ๊กกี้นั่นเหรอ เธอกรี๊ดๆๆๆ ตลอดเส้นทางเลยครับ

ดูแล้วท่าจะไม่รุ่ง เลยขอเป็นผู้โดยสารดีกว่าครับ

รถสามล้อพาขี่ชมเมืองมาเรื่อยๆ จนถึงตลาดวโรรส จากนั้นผมเดินตัดมายังตลาดม้งตรอกเล่าโจ้วครับ.

ตรอกเล่าโจ้ว เป็นย่านการค้าสำคัญและแหล่งชอปปิ้งของคนทำงานฝีมือ สินค้าเด่นๆ เห็นจะเป็นผ้าทอพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นผ้าฝ้าย ผ้าไหมแบบธรรมดา ผ้าใยกัญชง แต่สิ่งที่น่าสนใจของตรอกเล่าโจ้วผมว่าน่าจะอยู่ที่กาดม้งมากกว่าครับ บริเวณกาดม้งจะมีสินค้าของชาวเขา ที่ทำมาจากผ้าทอ ผ้าปัก ฝีมือชาวเขาวางจำหน่ายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กระโปรง รองเท้า พวงกุญแจ กระเป๋า ตุ้มหู รวมถึงเครื่องประดับอีกมากมาย ถือเป็นแหล่งซื้อของฝากกลับไปฝากคนทางบ้านได้ด้วยครับ

ผมมาปิดทริปที่พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเตรียมเดินเล่นและซื้อของก่อนกลับบ้านที่ถนนคนเดินครับ เมื่อได้เวลาอันสมควรก็เดินทางต่อไปยังสนามบินเชียงใหม่ครับ

ขากลับ ผมใช้บริการของนกแอร์เช่นเดียวกับขามา ใช้เวลาจากสนามบินเชียงใหม่ถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นอันจบทริปอย่างประทับใจครับ

ทริปนี้ถือว่าเป็นอีก 1 ทริปที่ผมได้ประสบการณ์ดีๆ กลับมาหลายอย่าง ได้เรียนรู้ถึงประวัติความเป็นมา รวมถึงวัฒนธรรมของล้านนา ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งชุดพื้นเมือง การปั่นสามล้อถีบ การทำตุง ซึ่งผมคงหาโอกาสทำได้ยากในชีวิตประจำวัน ผมว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้ผมรู้จักความเป็นล้านนามากยิ่งขึ้น ถ้าหากเพื่อนคนใดอยากจะเรียนรู้ความเป็นล้านนาให้มากขึ้นเหมือนผม ลองมาเที่ยวตามโปรแกรมของผมดูนะครับ แล้วคุณจะรู้จักล้านนาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนครับ

สามารถติดตามรับชมทริป กินหรู อยู่สบาย แบบสไตล์เจ้านายเมืองเหนือ ทางนี้อีกทางนะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.46 น.

ความคิดเห็น