”คาเมรอล ไฮแลนด์” เป็นดินแดนที่ราบสูงทางภาคเหนือของมาเลเซีย อยู่ในรัฐปาหัง ถูกค้นพบโดยท่านเซอร์ วิลเลียม คาเมรอล (William Cameron) นักสำรวจชาวอังกฤษ เพื่อที่จะหาสถานที่พักตากอากาศที่มีอุณหภูมิใกล้เคียงกับอังกฤษมากที่สุด ในการบุกเบิกขึ้นมานั้น ท่านเซอร์วิลเลียมได้ใช้รถ Land Rover ที่ทนต่อสภาพการเดินทางขึ้นมาบนเขา ณ ปัจจุบันก็ยังคงเห็นรถ Land Rover รุ่นเก่าๆ มีใช้อยู่บนคาเมรอลครับ ด้วยการที่คาเมรอลอยู่บนภูเขา ทำให้ที่นี่มีอากาศค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18 องศาครับ
บนคาเมรอลไฮแลนด์จะแบ่งเป็นชุมชนเมืองสามชั้น ทุกชั้นก็จะมีร้านค้า มีโรงแรม หรือแม้กระทั่งธนาคารในต่างประเทศก็มาเปิดบนเขาแห่งนี้ เขาชั้นแรกเรียกว่า Ringlet ชั้นที่สองเรียกว่า Tanah Rata ส่วนชั้นที่สามเรียกว่า Bringchang ครับ
เส้นทางที่จะขึ้นไปยังคาเมรอลไฮแลนด์ ผมว่าไม่ต่างจากการไปเที่ยวทางภาคเหนือของบ้านเราอย่างแม่ฮ่องสอน เพราะต้องผ่านโค้งแล้วโค้งเล่า เล่นเอาเวียนหัวอยู่เหมือนกัน แนะนำว่าหากใครเมารถ ควรจะหายาแก้เมารถติดตัวไปด้วยนะครับ
ระหว่างเส้นทางที่จะขึ้นมายังคาเมรอลไฮแลนด์ จะผ่าน "น้ำตกอิสกานดา" สามารถแวะลงมาเดินยืดเส้นยืดสายกันได้ครับ
“น้ำตกอีสกันด้า” เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดของเขาคาเมรอล อยู่ติดถนนใหญ่เลยครับ ใครที่จะขึ้นไปเที่ยวบนคาเมรอลก็ต้องเห็นน้ำตกนี้กันทุกคน ถ้าไม่เห็นแปลว่าคงต้องนอนหลับมาตลอดทางอย่างแน่นอน
สถานที่ท่องเที่ยวแรกบนคาเมรอลไฮแลนด์ที่อยากจะแนะนำ นั่นคือ “Big Red Strawberry Farm”
ไร่สตรอว์เบอร์รีที่นี่ไม่ได้มีแค่สตรอว์เบอร์รี่ แต่จะมีสวนผักออร์แกนิกด้วย เปิดให้เข้าชมฟรีครับ สตรอว์เบอร์รีที่นี่จะปลูกในกระถาง และจะอนุญาตให้เฉพาะนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อสตรอว์เบอร์รีเข้าไปเด็ดในโรงเรือนได้เลย แต่ถ้าหากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ซื้อ ก็สามารถชมดูได้แต่เพียงด้านนอกเท่านั้นครับ
แต่ในส่วนของสวนผักออร์แกนิก สามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้ตามอัธยาศัยครับ
จากไร่สตรอว์เบอร์รี ไปต่อที่ Cameron Lavender ครับ
“Cameron Lavender” อยู่ในย่าน Kea Farm เสียค่าเข้าชมด้านในคนละ 10 ริงกิตครับ
เห็นมีป้ายติดไว้ว่า ลาเวนเดอร์จากฮอกไกโด เชียวนะครับ
มีไอศกรีมจากลาเวนเดอร์ให้ลิ้มลองด้วย
ด้านหน้าของสวนมีการปลูกลาเวนเดอร์สลับกับดอกบีโกเนีย แข่งสีสันกันอย่างเผ็ดร้อนระหว่างสีม่วงและสีแดงครับ
มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ เยอะเลยครับ
เดินขึ้นมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางเดิน จะพบกับดอกไม้ที่แข่งกันอวดสีสัน สวยงามมากๆ ครับ
นอกจากลาเวนเดอร์แล้ว ยังมีไม้ดอกอีกหลายพันธุ์มากๆ
เยอบีราก็หลายสีมากๆ
ถ่ายรูปกันจนเพลินเลยครับ
บริเวณทางออกจะมีร้านขายของที่ระลึกด้วย มีทั้งครีมทาผิว น้ำหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ ตุ๊กตาสตรอว์เบอร์รี แยมสตรอว์เบอร์รี ราคาไม่แพงมากครับ
หากขึ้นมาเที่ยวบนคาเมรอลแล้วมีเวลา แนะนำให้แวะชมสวนลาเวนเดอร์แห่งนี้นะครับ ถ้าใครชอบดอกไม้ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ไปต่อที่ “Cactus Point” ครับ
ที่นี่เข้าชมฟรีครับ
กระบองเพชรหลากหลายสายพันธุ์ สามารถหาชมได้ที่นี่ครับ มีทั้งต้นเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงใหญ่ประมาณหม้อหุงข้าวกันเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดหากได้ขึ้นมาเที่ยวบนคาเมรอลไฮแลนท์ครับ
Cactus Point จะคล้ายๆ กับซุปเปอร์มาเก็ตต้นไม้ครับ หากพอใจต้นไหนสามารถซื้อหากลับไปปลูกที่บ้านได้ บอกเลยว่าราคาไม่แพงเลย นี่ถ้าอยู่เมืองไทยผมคงซื้อกลับไปปลูกที่บ้านอยู่หลายต้นเลยทีเดียว
นอกจากกระบองเพชรแล้ว ยังมีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์จำหน่ายอีกด้วยครับ
ใกล้ๆ กับ Cactus Point เป็นตลาดพื้นเมืองครับ
บรรยากาศภายในตลาดค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว มีต้นไม้มาวางจำหน่ายด้วย
ถั่งเช่า ก็มีจำหน่ายด้วย
ดอกไม้สดๆ
สตรอว์เบอร์รี ก็หาซื้อได้จากตลาดสด ตกกิโลกรัมละ 30 ริงกิตครับ แต่ก่อนจะซื้อลองเดินถามดูหลายๆ ร้านนะครับ เพราะแต่ละร้านราคาไม่เท่ากันครับ
สำหรับไร่ชาบนคาเมรอลไฮแลนด์ จะมี 2 ไร่ครับ ไร่แรกคือ BOH
“ไร่ชา BOH” เป็นไร่ชาที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดบนคาเมรอลไฮแลนด์ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น The World’s Biggest Green Carpet ครับ ชาที่นำมาปลูกเป็นการนำชาพันธุ์ดีจากอินเดียเข้ามาปลูกครับ
เสียดายที่ไร่ชา BOH ปิดทุกวันจันทร์ และวันที่ผมไปก็เป็นวันจันทร์พอดี พยายามขออนุญาตยามที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าเพื่อจะขอเข้าไปชมบรรยากาศด้านในแต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต เลยถ่ายภาพได้แต่เพียงด้านหน้าของไร่ชา BOH เท่านั้น นี่ขนาดด้านหน้ายังสวยขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าด้านในจะสวยขนาดไหน ไร่ชา BOH ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ต้องขับรถเข้ามาตามถนนสายเล็กๆ เข้าไปไกลพอสมควร เส้นทางค่อนข้างแคบครับ
ไร่ชาอีก 1 ไร่ คือ “Bharat Tea Plantations” ครับ
ไร่ชาที่นี่สวยไม่เป็นรอง BOH เลยครับ มองเห็นแบบเต็มๆ ตาเหมือนกัน ลักษณะการปลูกจะไม่เหมือนการปลูกชาบ้านเรา ซึ่งบ้านเราจะปลูกคล้ายๆ กับขั้นบันได แต่ไร่ชาที่คาเมรอลจะปลูกแนวตั้งตามแนวความสูงของพื้นที่ครับ
ด้านบนจะมีร้านขายชาและเบเกอรี่ให้นั่งทานไปชมบรรยากาศไร่ชาไป มันได้อารมณ์สุดๆ ครับ
คาเมรอลไฮแลนด์เป็นเมืองเกษตรกรรมปลอดสารพิษเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศและส่งออกขายยังต่างประเทศ ประกอบกับสภาพอากาศที่เย็นตลอดทั้งปี คนที่นี่จึงนิยมทานอะไรร้อนๆ เมื่อพูดถึงอาหารร้อนๆ ที่เกี่ยวกับผัก คงต้องนึกถึง ”สุกี้สตรีมโบท” หรือสุกี้หม้อไฟซึ่งค่ำนี้ผมจะได้ลิ้มลองครับ
ไกด์แนะนำร้าน “Restoran Ferm Nyonya”ครับ ลักษณะของสุกี้สตรีมโบทก็จะคล้ายๆ กับสุกี้บ้านเราเลย มีน้ำจิ้ม กระเทียม พริก แต่น้ำจิ้มของที่นี่จะข้นกว่า ผักสดและกรอบมากๆ ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ มีทั้งไก่ ลูกชิ้นปลา ฟองเต้าหู้ รวมถึงมีกุ้งและปลาหมึกด้วยครับ ได้ทานอะไรร้อนๆ ในบรรยากาศเย็นๆ มันช่วยคลายหนาวไปได้เยอะเลยครับ
ตบท้ายด้วย โรตีและชาชักกันต่อ ชาชักมีทั้งแบบร้อนและเย็น ส่วนเมนูโรตีก็มีหลายอย่าง ผมเลือกลองโรตีทิชชู ซึ่งทำออกมาได้บางและกรอบมาก อร่อยเชียวแหละ สนนราคาชิ้นละ 1.5 ริงกิตเอง ส่วนโรตีใส่นม (โรตีซู่ซู่) ค่อนข้างหวานเนื่องจากใส่นมข้นเยอะมาก สนนราคา 3 ริงกิต ก็ถือว่าไม่ผิดหวัง ชอบโรตีทิชชูครับ
พูดเรื่องเที่ยว เรื่องกินกันไปแล้ว มาดูที่พักกันบ้างครับ ผมเข้าพักที่ “Heritage Hotel Cameron” ครับ
สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนต่างๆ บนคาเมรอลไฮแลนด์มีลักษณะสไตล์ทิวดอร์ บ้านสไตล์ทิวดอร์เดิมจะทำจากโครงไม้สนหรือไม้โอ๊ค ภายนอกถูกทาด้วยสีขาว แต่ปัจจุบันมีการนำสีโอ๊คมาทาเพื่อให้มีลวดลายแทนการใช้โครงไม้สน ดูคลาสสิคดีจัง ไม่ใช่เพียงแต่บ้านเท่านั้น ตามโรงแรมต่างๆ ก็นำสไตล์ทิวดอร์เข้ามาใช้ในการตกแต่งด้วยเหมือนกัน
อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตู้ เตียง ทำจากไม้ เลยทำให้ห้องพักอาจจะดูเก่าไปสักนิดแต่พื้นที่ใช้สอยในห้องค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ภายในโรงแรมไม่มีเครื่องปรับอากาศนะครับ แต่จะมีพัดลมเพดานให้ นี่ขนาดไม่มีเครื่องปรับอากาศ ผมยังต้องพึ่งผ้าห่มเลยครับ อากาศค่อนข้างเย็นเลยทีเดียว โรงแรมนี้ไม่มี Free wifi ให้ใช้ในห้องนะครับ แต่จะมีให้ใช้บริเวณ Lobby ครับ
ห้องพักแต่ละห้องจะมีระเบียงให้ออกมายืนชมวิวด้วย ผมเองก็ไม่พลาดที่จะออกมายืนชมวิวกันแต่เช้า มองเห็นสายหมอกบางๆ รวมถึงแสงสีทองที่สาดส่องลงมา สวยงามมากๆ ครับ
ในส่วนของห้องอาหารเช้า ที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00 น. ครับ แล้วแขกก็มาใช้บริการตั้งแต่ 06.00 น. กันอย่างคับคั่ง ไลน์อาหารเช้ามีเยอะพอสมควรครับ
คาเมรอลไฮแลนด์ เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่น่าสนใจ สำหรับคนที่คิดจะมาเที่ยวที่มาเลเซียครับ
ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.57 น.