หากจะพูดถึงความฝันในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศแล้ว

เมืองแถบยุโรป มักจะเป็นความฝันของใครหลายๆ คน เพราะความงดงามที่น่าหลงใหล ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และทางประวัติศาสตร์ ตึกรามบ้านช่องสถาปัตยกรรมที่เลิศล้ำ ด้วยกาลเวลาที่เป็นเครื่องตอกย้ำถึงอายุแดดฝนลมหนาวที่ได้ผ่านพ้นไปหลายศตวรรษ ทำให้เราอยากสัมผัสและซึมซับวัฒนธรรมต่างแดนสักหน และด้วยเหตุนี้เอง ยูโรเปี้ยน (เนียนๆ) ทริป จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความบังเอิญ เพราะจู่ๆ ที่ทำงานก็มาบอกว่า เดี๋ยวเราจะไปจัดงานการประชุมนานาชาติ ณ ประเทศฝรั่งเศสกัน วู้ววววว เป็นความโชคดีที่หาไม่ได้ง่ายๆ เลยจริงๆ


แต่ด้วยเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ทั้งเหตุการณ์ก่อการร้ายต่างๆ รวมไปถึงการปล้นชิงทรัพย์ยังคงขึ้นชื่อ ในฐานะที่เราเป็นนักท่องเที่ยว ควรระมัดระวังชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย


พอที่บ้านรู้ ญาติๆ เพื่อนๆ หลายคนรู้ ว่าเราจะไปยุโรป ต่างเตือนกันมายกใหญ่ว่าให้คอยระวังจะถูกขโมยของ และโดนล้วงกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว เราเลยทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพราะไหนจะเป็นคนตัวเล็กๆ การเดินทางคนเดียว อาจจะทำให้ตกเป็นเป้าหมายแรกของกลุ่มมิจฉาชีพก็เป็นได้ เราเลยเตรียมกระเป๋าใส่เงินที่เอาไว้ในเสื้อโค้ชและสำเนาพาสปอร์ตเก็บไว้ บันทึกเบอร์โทรของสถานทูตไทยในประเทศที่เราเดินทางไป และ บอกตัวเองว่า ตอนไปถึง จะต้องทำตัวให้น่ากลัวกว่าโจร 5555 (เป็นเทคนิคส่วนตัว)


นอกจากนี้ บริษัท Canon Thailand ยังใจดี ให้พาเจ้าตัวเล็ก Canon G7x MARK II ไปบินเป็นเพื่อนเราด้วย ต้องขอบอกก่อนนะคะว่า ภาพทั้งหมดในกระทู้ เราปรับโทนสีเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง


การเดินทางของเราครั้งนี้ นอกจากจะไป เพื่อปฏิบัติหน้าที่ทางการงานแล้ว ช่วงเวลาที่ว่างจากการทำงาน เราเลยสร้างภารกิจพิเศษขึ้นมา นั่นก็คือ บินไปตามหาองค์สันตะปาปาฟรานซิส ประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก องค์ที่ 266 ของคริสตจักร บุคคลสำคัญของโลก ณ นครรัฐวาติกัน และกรุงโรม อิตาลี นั่นเอง บินจากฝรั่งเศส ไปไม่ไกล 2 ชม. เท่านั้นเอง


การเดินทาง ราวกับไม่เคยคาดคิดของเรา ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม 2017 ที่ผ่านมา หลังผ่านการเตรียมตัวยื่นขอวีซ่าเชงเก้น ผ่านศูนย์ TLS โดยขอเข้าประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศแรก และผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่มีคำถามใดๆ จากเจ้าหน้าที่ทั้งสิ้น


ทราบถึงที่มาการเดินทางครั้งนี้แล้ว ไปลุยกันเลยดีกว่า แต่ต้องขอเตือนว่ารูปจะเยอะมากๆ ทั้งเดินเล่นในโรม และก่อนที่จะได้ไปเจอกับ สันตะปาปาฟรานซิส เนื่องจากวันที่เราไปถึงเป็นวันอังคาร องค์สันตะปาปา จะออกพบประชาชนในวันพุธ ฉะนั้น เราไปเดินหลง เอ้ย เดินเล่นด้วยกันก่อนนะคะ ฮ่าาาา แล้วไล่ตามไปเรื่อยๆ เราจะพาทุกคนไปพบองค์สันตะปาปา บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลก แน่นอน



ลุยๆๆ



เราเริ่มออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ประเทศไทย มุ่งหน้าตรงสู่ ประเทศดูไบ ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องแล้วพุ่งตรงไปยังกรุงปารีส ฝรั่งเศส ก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยสายการบิน Emirates


ดูหนังบนเครื่องไปพลางๆ


เนื่องจากทริปนี้มีธุระทางการงานในฝรั่งเศสเป็นหลัก ปารีสจึงเป็นเป้าหมายแรกของเรา เราบินถึงปารีสช่วงเช้า เลยได้มีโอกาสเห็นแสงแรกจากบนเครื่อง หลัง Landing ปุ๊ป จากอุณหภูมิ 30 กว่าองศา ลดเหลือ -4 องศา ก่อนจะเดินเข้าสู่ ตม.สนามบิน Paris-Charles-de-Gaulle ด้วยความหนาวสั่น เพื่อประทับตราคนเข้าเมืองแห่งแรกของการเดินทางสู่ทวีปยุโรปของเรา พร้อมกับ จนท. ตม. กล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” เป็นการต้อนรับเราอย่างอบอุ่น พูดไทยเซอร์ไพร์สฉันใช่ไหม 555


ภายหลังจากภารกิจทางการงาน ณ ประเทศฝรั่งเศส ได้สิ้นสุดลง เราเตรียมตัวเช็คอินไฟล์ท เพื่อเดินทางไปต่อที่ประเทศอิตาลี เนื่องจากบินเช้า เราเลยต้องรีบไปสแตนด์บาย และเชคอินไฟล์ทล่วงหน้า ตั้งแต่ตีสาม ตีสี่ ด้วยการนั่งแท็กซี่จากที่พัก Hotel Daval แถว Bastille ไปยังสนามบิน Paris-Charles-de-Gaulle


แต่ทว่าสนามบินยังเงียบอยู่ ไม่ค่อยมีผู้คน เลยเดินสำรวจจนไปเจอ โซน ESPACE BUSINESS อยู่ใกล้ๆ กับ Gate เลย สามารถเชื่อมต่อ Wifi และมีปลั๊กไฟให้ได้ชาร์จแบต IPAD IPHONE และ เตรียมกล้อง Canon G7x MARK II ให้พร้อมตะลุยทริป ถือว่าได้นั่งชิวๆ อยู่ตรงนั้นคนเดียวสักพัก


หันไปเจอตู้หยอดเหรียญเครื่องดื่มร้อนๆ ดีจัง น้ำตาจะไหล เดินทางคนเดียว อากาศหนาวๆ เจอแบบนี้ รู้สึกดีมากๆ เลยเดินไปกดโกโก้ร้อนมากินสักแก้ว แก้วละ 1 ยูโร 2 ยูโร คละๆ กันไป ในฝรั่งเศส เราจะเจอตู้หยอดเหรียญแบบนี้เยอะมาก สะดวกดื่มดีค่ะ


ชาร์จแบตเต็มแล้ว เลยเดินไปนั่งหน้า Gate รอสักพักเจ้าหน้าที่สายการบิน Alitalia ที่ On flights operated by Air France ได้ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง และพาเราบินสู่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ณ สนามบิน Leonardo da Vinci–Fiumicino Airport ด้วยไฟล์ทเช้าสุด Take off เวลา 06.30 เนื่องจากเป็นหน้าหนาว ช่วงเช้าจึงยังมืดอยู่


บนไฟล์ทมีบริการอาหารว่างด้วย สำหรับมื้อเช้า


กำลังกินๆ ง่วงๆ อยู่ หันไปนอกหน้าต่างอีกที นี่เรากำลังบินอยู่บนน่านฟ้าเหนือเทือกเขาแอลป์ที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลน ระหว่างพรมแดนของประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี ความง่วงที่มีอยู่ ณ ตอนนั้นถูกเปลี่ยนเป็นความตื่นตา จนต้องหยิบเจ้า Canon G7x MARK II กล้องคอมแพคตัวเล็กออกมาบันทึกภาพแบบรัวๆ ก่อนที่เครื่องจะบินผ่านไป และนี่คือเหตุผลที่อยากจะเกริ่นถึงเรื่องของการเดินทางที่เราบินจากฝรั่งเศสลงมาสู่อิตาลี เพราะหากบิน Route เดียวกัน และสภาพอากาศปลอดโปร่ง เชื่อว่าช็อตนี้ต้องไม่พลาดแน่นอน อย่าลืมนั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้ายมือนะคะ


หลังจากลงเครื่อง ก็เดินทางต่อด้วยนั่งรถไฟ Trenitalia ของ อิตาลี เพื่อเข้าไปในเมือง ด้วยราคา 8 ยูโร ขอแนะนำว่าทำการบ้านเรื่องการเดินทางมาก่อนจะดีกว่า เพื่อไม่ให้พลาด เพราะบางจุดต้องลงเพื่อเปลี่ยนขบวน เปลี่ยน Platform จัดว่าสนุกที่ได้ใช้ภาษา แม้ว่าจะไม่ได้เก่งอะไร เน้นเอาตัวรอดเป็นยอดดี เราทำการบ้านมาอย่างหนึ่ง คือ จะไม่กางแผนที่ ให้ใครเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวเด็ดขาด อาศัยสังเกตป้าย หรือถาม จนท. ง่ายๆ ทำตัวคล่องแคล่วเข้าไว้ ขอบอกเลยว่า ยุโรปไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด


เราลงรถไฟกันที่ สถานี ROMA SAN PIETRO และเดินลัดเลาะผ่านตามตรอกออกตามซอย แล้วเดินผ่านวาติกันแวบๆ ให้ได้ตื่นตาตื่นใจ และเข้าเช็คอินที่พัก The Wesley Rome จองผ่าน booking.com ที่อยู่ไม่ห่างจากวาติกัน ใกล้กับแม่น้ำไทเบอร์ และอยู่ตรงข้าม Castel Sant' Angelo หรือวิหารแห่งการรู้แจ้ง แอบตามรอยศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน จากภาพยนตร์ Angels & Demons ไปพลางๆ และแน่นอนว่า ราคาไม่แพง ระหว่างเช็คอิน พนง. แจ้งว่ามีค่าภาษีนักท่องเที่ยวเพิ่ม ตกวันละ 3 ยูโร เราก็โอเค แล้วก็รับกุญแจมาเข้าห้อง จัดการอาบน้ำ ปล.ที่นี่ห้องน้ำแชร์นะคะ แต่ไม่แย่เลย สะอาดมากๆ หลังแต่งตัวเสร็จ ก็เตรียมเดินเที่ยวเล่นในกรุงโรมเรียกน้ำย่อยก่อน


เพื่อไม่ให้ทริปนี้ เป็นทริปสาวไทยเดินหลงในอิตาลี 5555555 เราเลยแอบนัดกับ “คนไทยในกรุงโรม” ไว้ท่านหนึ่ง เป็นพี่สาวผู้ใจดี อาสาพาเที่ยว ต้องขอบพระคุณเป็นอย่างสูง เพราะหลังจากใช้ชีวิตอยู่ยุโรปเกือบครึ่งเดือน พี่สาวผู้ใจดี ได้ส่งมอบตำปลาร้าแซบๆ นัวๆ มาเป็น Welcome meal ทำให้วันเดินทางที่เหนื่อยล้าแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน กระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที ใครไปโรมแล้วสนใจตำปลาร้านัวๆ แบบนี้ หลังไมค์มานะคะ หุหุ


หลังจากแซบๆ นัวๆ เพิ่มพลังแล้ว เราก็เตรียมตัวไปเดินกัน โดยเราใช้การเดินเท้าเป็นหลัก เพราะจากที่พักก็อยู่ไม่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในกรุงโรม แต่ก็มีนั่งรถเมล์สาธารณะบ้างเป็นบางครั้ง พอเดินไปไกลๆ ก็นั่งรถเมล์กลับมาบ้าง ไรงี้ ส่วนตัวเป็นคนชอบเดินมากๆ เพราะการเดินทำให้เรามองเห็นสิ่งแวดล้อมได้ชัดเจนกว่า และหยุดที่จะเก็บเรื่องราวของสิ่งต่างๆ ได้ง่ายกว่านั่งรถอีกด้วย ใครชวนไปเดินไหน ไปหมด 5555


โดยจุดแรกที่เราเดินมาถึง ก็คือ Piazza Navona ซึ่งเป็นจัตุรัสแห่งหนึ่งในกรุงโรม ที่เคยเป็นสนามกีฬาโรมันโบราณมาก่อน ปกติจะมีร้านรวง ทั้งร้านอาหาร ร้านค้า งานศิลปะ และนักดนตรี มารวมกันใช้พื้นที่เป็นเสมือนตลาดกลางแจ้ง แต่เนื่องจากวันที่ไปเป็นวันธรรมดา จึงไม่มีตลาด โล่งกันไป เดินสบายไปอีกแบบ นอกจากนี้ ในพื้นที่รอบๆ ยังมีรูปปั้นและน้ำพุอยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินชื่อดังอีกด้วย


หลังจากนั้นก็เดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ไปเรื่อยๆ จนโผล่มาเจอแม่น้ำไทเบอร์อีกครั้ง และฝั่งตรงข้ามก็คือ Palace of Justice, Rome เสมือนเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลสูงสุดของที่นี่


หลังจากนั้นก็เดินวกกลับมา แล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนคิดว่า ขึ้นรถเมล์กันบ้างดีกว่า แหะๆ โดยตั๋วสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำทั่วไป หรือ Kiosk ริมถนน เงื่อนไขคือภายใน 1 ชม. จะไปไหนก็ได้ โดยจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ในราคา 1.50 ยูโร


จนเข้ามาบริเวณใจกลางของเมือง ที่มีผู้คนพลุกพล่านขึ้น ลงจากรถมาปุ๊ป เดินมาทาง Piazza del Campidoglio จัตุรัสที่สวยงามแห่งหนึ่งในโรม เราเดินขึ้นมาตามขั้นบันได ที่อยู่บริเวณหน้าจัตุรัส เป็นขั้นบันไดที่แอบกลัวจะกลิ้งตกลงไปมากๆ 5555 ช่วงนั้น นอนน้อย หน้ามืดง่าย เลยบอกพี่สาวว่าไปๆ ที่อื่น เดี๋ยวจะกลิ้งลงไปซะก่อน


และไปต่อกันที่ Piazza Venezia จัตุรัสเวเนเซีย ด้านหน้าอาคารเป็นอนุสรณ์สถานของพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 สถานที่แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังใหญ่แห่งแรกของโรม ในช่วงยุคเรอเนสซองซ์ และปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงผลงาน งานศิลปะชิ้นสำคัญมากมาย ซึ่งเราไม่ได้เข้าไปนะคะ ไปแบบชะโงกทัวร์เฉยๆ


หลังจากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ โรมันฟอรั่ม ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรม เป็นดั่งศูนย์กลางธุรกิจการค้า ศาสนา และการเมือง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ยังคงมองเห็นถึงความงดงามที่ถูกซ่อนไว้ แม้จะเป็นเพียงซากโบราณสถาน แต่ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งอื่นในโรมเลย


ระหว่างทางแถวโรมั่นฟอรั่ม เจอนักดนตรีมาคอยบรรเลงเพลงให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้รับฟัง เพลิดเพลินกันไป


เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้ายต่างๆ ในย่านที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนพลุกพล่าน เราจึงเห็นรถทหารตามจุดต่างๆ ในเมือง


นักวาดภาพ ระหว่างทางเดินไปโคลอสเซียม


เราเดินมาจนถึงข้างหน้าโคลอสเซียม


สังเกตว่ากำลังมีการก่อสร้างรถไฟใต้ดินบริเวณใกล้ๆ แอบแปลกใจเล็กๆ ว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของโคลอสเซียมรึเปล่า


หลังจากนั้น เราก็นั่งรถเมล์ เพื่อวนไปที่ Trevi Fountain หรือ น้ำพุเทรวี่ เป็นน้ำพุที่ตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง ซึ่งเป็นสะพานส่งน้ำโรมันโบราณ และยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการโยนเหรียญลงไปในน้ำพุ ตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ ที่ใครโยนเหรียญแล้ว จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีก และที่น่าตกใจ คือ ในแต่ละวัน จะมีผู้โยนเหรียญลงไปในน้ำพุเทรวี่ราว 3,000 ยูโร หรือราวๆ แสนกว่าบาทไทย แต่ทั้งนี้ เงินจำนวนดังกล่าว จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาเมือง รวมทั้งช่วยเหลือผู้ยากไร้ต่อไป ปรบมือออออ


อย่าพลาด! เจลาโต้ ที่สุดแสนจะนุ่มละมุน ราคา 2 ยูโรกว่าๆ จากร้าน PLASTIC CERIA ที่อยู่ไม่ไกลจากน้ำพุเทรวี่ มาถึงอิตาลี ต้องไม่ลืมไอศกรีมเจลาโต้ แม้อากาศจะหนาววววว เราก็ต้องทน 5555


ลุยๆ ไปต่อกันที่ Spanish Steps หรือ บันไดสเปน ว่ากันว่าที่นี่เป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป ด้วยขั้นบันได 138 ขั้น ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี ลานด้านหน้าบันไดสเปน กลางลานมีน้ำพุสไตล์บาโรคยุคต้น รูปทรงเรือโบราณ ตั้งโดดเด่นอยู่ เป็นผลงานของประติมากรชื่อดัง ปิเอร์โตร แบร์นินี่


แวะไปชิมขนมสุดโปรดที่เคยพยายามลองทำกินเอง แต่ต้องเทกิน เพราะกินไม่ได้ 5555 อย่าง ทีรามิสุ กล่องละ 4 ยูโร จากร้าน POMPI (ปอมปิ) ร้านขนมชื่อดังในกรุงโรม ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วเมือง ความนุ่มของตัวเลดี้ฟิงเกอร์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยกาแฟและความเนียนของมาสคาโปนชีสสลับเลเยอร์กัน มันช่างเป็นความฟินที่ได้มาลิ้มรสของอร่อยจากดินแดนต้นตำรับ ปกติในไทย เคยไปกินแต่ ร้าน Saffron ตรงถนนพระอาทิตย์ วันนี้ได้มากินของจริงแล้ว เย้ อร่อยด้วย


เดินกันยันเย็นย่ำ จนมาขอแอบนั่งพักกันที่ Piazza del Popolo หรือ จัตุรัสแห่งประชาชน จัตุรัสแห่งนี้ จัดอยู่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิก และยังเป็นสถานที่ที่เคยใช้ประหารชีวิตนักโทษต่อหน้าสาธารณชนในอดีตอีกด้วย ทราบมาว่าสมัยก่อนเคยเป็นพื้นที่ที่รถสามารถวิ่งเข้ามาได้ จนทำให้การจราจรในพื้นที่จัตุรัสแออัดคับแคบ ภายหลังจึงได้ถูกสงวนไว้เฉพาะสำหรับคนเดินเท้าเท่านั้น และแน่นอน มีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลความปลอดภัยเป็นปกติ


สำหรับวันแรก สิ้นสุดลง ปิดท้ายด้วยการนั่งรถเมล์กลับที่พัก เข้าซุปเปอร์หาของกินถูกๆ กลับห้อง นอน ! รอคอยวันรุ่งขึ้น กับภารกิจไปตามติดชีวิตองค์สันตะปาปา


วันที่สอง

เช้าวันรุ่งขึ้น เรามีภารกิจตามติดชีวิตองค์สันตะปาปา ทราบว่าทุกวันพุธ จะมีการออกพบประชาชน เราเลยรีบตื่นนอน เปิดหน้าต่างรับลมหนาว (มาก) เจอถนน ผู้คน และ Castel Sant' Angelo ที่ก็ถือว่าอยู่ภายในพื้นที่ของนครรัฐวาติกัน และซ้ายมือสุดๆ ที่ยังมองไม่เห็นคือใจกลางของนครรัฐวาติกัน นั่นเอง


เดินออกมาจากประตูที่พัก มองซ้ายมองขวา โล่งมาก นี่มันช่วงโลว์ซีซั่น ฤดูหนาวแบบนี้ นักท่องเที่ยวน้อยมากๆ


ช่วงสายๆ อากาศกำลังดี เดินเล่นไปเรื่อยๆ ข้ามสะพานแม่น้ำไทเบอร์ ริมแม่น้ำในแถบยุโรปนี่ดีจังเลย เวลาน้ำลด สามารถลงไปเดินริมน้ำ ที่เป็นถนนริมตลิ่งได้อีกสเตปด้วย


ไปเดินเล่นแถวใจกลางเมืองของวาติกันสักหน่อย ส่วนตัวชอบไฟข้ามถนนสำหรับคนเดินเท้า ที่มีอยู่ทุกที่ ทำให้เดินสบายขึ้น เหมาะกับคนชอบเดินอย่างเราจริงๆ


ที่นี่สินะ “วาติกัน” นครรัฐที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี ที่มีขนาดเล็ก ไม่มีทางออกสู่ท้องทะเล เต็มไปด้วยเรื่องราวปริศนา และความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้มากมาย อันเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้รู้สึกอยากมาค้นหา นอกจากนี้ ยังเป็นสถานที่ประทับของพระสันตะปาปาอีกด้วย เคยเห็นแต่ในทีวี ในอินเตอร์เน็ต วันนี้ได้มาสัมผัสแล้ว


ช่วงเวลาประมาณเก้าโมงเช้า ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ อากาศดี ไม่มีความแออัด ผู้คนไม่พลุกพล่าน มาเดินคนเดียว เลยวานนักท่องเที่ยวชาวจีนถ่ายรูปให้เรา 5555 Xie Xie !! กันไป สักพัก พี่สาวโทรมาบอกว่า วันนี้สันตะปาปาไม่ได้ออกพบประชาชนที่วาติกันนะ (เราก็แบบ อ้าว ไรเนี่ย อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว แต่พี่สาวยังพูดไม่จบ) วันนี้ท่านจะไปทำพิธีทางศาสนา ณ มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง ซึ่งอยู่นอกกรุงวาติกัน ให้เราเดินเล่นไปก่อน เดี๋ยวช่วงบ่ายๆ จะไปรับ เพื่อไปร่วมพิธี !!! เห้ย ดีใจ ไปเดินถ่ายรูปเล่นรอ


ซูมชัดๆ และที่นี่ก็คือ มหาวิหารนักบุญเปโตร หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่าเซนต์ปีเตอร์สบาซิลิกา (Saint Peter's Basilica) เป็นมหาวิหารเอกหนึ่งในสี่แห่งในกรุงโรม นครรัฐวาติกัน (ส่วนอีกสามมหาวิหาร คือ มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน มหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเร และมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง) และวันนี้ เราจะได้ไปเยือน มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง ที่อยู่ห่างออกไปจากนครรัฐวาติกัน เพื่อไปร่วมพิธีทางศาสนาและพบองค์สันตะปาปากัน


ระหว่างรอพี่สาวผู้ใจดี ในการนำทริป เราเลยเดินเล่นไปรอบๆ จัตุรัส และไปเจอกับแผ่นหินอ่อนบนพื้น เหมือนเป็นหมุดธาตุลม ตามทิศต่างๆ เหมือนในหนัง ฉากที่ศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน กำลังตามปริศนา เพื่อช่วยคาร์ดินัลจากคนร้าย ใน Angels & Demons นั่นเอง


ภาษาโรมัน บนจารึกบริเวณฐานของเสา ใจกลางจัตุรัส ฉากหนึ่งจากในหนัง ตอนศาสตราจารย์มาพบ พระคาร์ดินัล โดนตีตรา อิลลูมินาติ


เดินออกมาจากจัตุรัสทางทิศตะวันตก มีเจ้าหน้าที่อยู่หลายนาย ซึ่งทราบมาว่าก่อนหน้านี้ได้มีการขู่วางระเบิดในพื้นที่หลายแห่งในกรุงโรม และเหตุนี้เอง เจ้าหน้าที่จึงเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ พื้นที่พิเศษๆ เช่นนี้



เดินลัดเลาะไปตามกำแพงวาติกัน เอาหน้าไปถู เอาหลังไปพิง เพราะไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ 555


เจอก๊อกน้ำข้างกำแพงด้วย อ่านไม่ออกอีกตะหากว่าหมายถึงอะไร แต่ดื่มได้นะ เห็นมีคนแวะมาดื่ม


เดินเล่นชมเมืองไปเรื่อยๆ


ก่อนจะกลับเข้ามาจัตุรัสอีกครั้ง เพื่อมาหาทหารสวิส ผู้ที่เป็นชาวสวิส และได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี และเป็นคาทอลิกที่ดี มีหอกโบราณเป็นอาวุธประดับเกียรติ ทำหน้าที่เป็นองครักษ์อารักขาความปลอดภัยให้กับองค์สันตะปาปา ช่วงนี้หน้าหนาวเลยมีชุดคลุมสีดำทับชุดข้างในให้ได้อบอุ่น


ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ซื้อโปสการ์ด เพื่อส่งกลับไปหาที่บ้านสักสองใบละกัน ว่ากันว่า นครรัฐวาติกัน มีระบบไปรษณีย์เป็นของตัวเอง รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ เหมือนกับประเทศทั่วไป และบนแสตมป์ก็มีองค์สันตะปาปาฟรานซิสติดอยู่ด้วย


สัญลักษณ์บนผนังอาคารในบริเวณจัตุรัส แฝงด้วยความหมายทางศาสนจักร


ช่วงสายๆ ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาบริเวณจัตุรัสมากขึ้น


เห็นป้าย ทางเดินวาติกันมิวเซียม เลยเดินๆ ตามเขาไป แต่ไม่ได้เข้าไปหรอกนะคะ


ระหว่างทางเดินก็ไปเจอเหมือนบานประตูใหญ่ๆ มีสัญลักษณ์ประจำชาติและตราแผ่นดินประทับอยู่


ระหว่างทางเดิน มีก๊อกน้ำสาธารณะไว้ให้ดื่มอีกแล้ว เดินไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูเข้ามิวเซียม


เนื่องจากเป็นคนชอบเดินเล่นเอาซะมากๆ เรายังได้นำพาตัวเองเดินหลง ออกไปเรื่อยๆ ให้เหนื่อยเล่นๆ ปัดโถ่เอ้ย สนุกจริงๆ 5555 หลงจนแบตไอแพด ไอโฟนหมด หันไปอีกที โน่นนน วาติกันอยู่โน่นนน


หลงมาจนเจอรถไฟใต้ดิน จุดนัดพบกับพี่สาว เจอตู้ชาร์จไฟฟ้าริมถนน นี่คงเอาไว้ชาร์จรถสินะ


ยืนรอสักพัก ก็มีรถมารับ เป็นครอบครัวของแฟนพี่สาว ทราบมาว่าพ่อปู่ของพี่สาว เคยเป็นเจ้าหน้าที่และคอยดูแลองค์สันตะปาปาในอดีตช่วงที่ยังไม่เกษียณอายุมาก่อน และแม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเดิมแล้ว แต่ในเรื่องของการเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ ทั้งทางพ่อปู่ รวมถึงครอบครัว ยังคงได้รับสิทธิ์เสมือนตอนที่ยังเป็นเจ้าหน้าที่ของวาติกันอยู่ โอ้ว ช่างเป็นความบังเอิญอะไรเยี่ยงนี้

ซึ่งเอาตามความจริงแล้ว ไม่คิดว่าจะได้เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเลยนะคะ กะว่าได้มาพบองค์สันตะปาปาที่ออกมาพบประชาชนหน้าใจกลางจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ นี่ก็บุญแล้ว 5555 นี่ได้เข้าไปอยู่ในพิธีด้วย ทำให้ภารกิจในวันนี้ กลายเป็นภารกิจพิเศษไปในทันที


ตรอกซอกซอยต่างๆ ของเมือง ระหว่างทางไปมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง


และนี่คือ มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง ห่างออกไปจากนครรัฐวาติกันพอสมควร ที่ที่เราจะมาร่วมพิธี และได้มีโอกาสเข้าพบ องค์สันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก


ต้องขอบคุณคุณพ่อปู่และคุณแม่ย่าของพี่สาว ที่ทำให้การเดินทาง เพื่อไปร่วมพิธีทางศาสนาครั้งนี้ เราได้รับสิทธิพิเศษ ทั้งในส่วนของบัตรเชิญ ที่หากเป็นคนทั่วไปอาจจะต้องซื้อบัตร เพื่อเข้าร่วมพิธีเองด้วยซ้ำ แถมยังดูแลเราเสมือนเป็นญาติอีกคนนึงด้วย ใจดีมากๆ


นักบวช และชาวคาทอลิก บุคคลทั่วไป ได้มารวมตัวกัน เพื่อรอที่จะได้เข้าไปในมหาวิหาร แน่นเลย


เนื่องจากรอนานพอสมควร เลยออกมาหาอะไรกินใกล้ๆ ก่อน เช่น นก เอ้ย! ไม่ใช่ 555 มาแวะแมคโดนัลด์ สาขา ROMA SAN PAOLO ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิหาร และ นี่ก็เป็นวิวจากชั้น 2 ส่วน open air จุดรับแดดของร้าน


แอบส่องเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพื้นที่รอบๆ มหาวิหารซะหน่อย


เผลอแปปเดียว รถที่องค์สันตะปาปาใช้เสด็จมา ก็ได้มาถึงมหาวิหารแล้ว พร้อมด้วยทหารสวิสจำนวนมาก เราเลยรีบเดินกลับไปต่อแถว เพราะคงจะใกล้เวลาเปิดประตูเต็มที


สื่อต่างๆ ก็มาพร้อม


แอร๊ยยย นี่หมา หรือ หมี


ความงดงามจากภายนอกของมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังศพของนักบุญเปาโล


บริเวณทางเดินเข้า เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสแกนทรัพย์สินของผู้ที่เข้าร่วมพิธีด้วย เป็นการรักษาความปลอดภัยระดับหนึ่ง


เข้าสู่ประตูของมหาวิหารแล้ว


คุณปู่หันมาส่งสัญญาณ บอกให้เดินไวๆ จะพาไปนั่งข้างหน้า 5555


รูปปั้นของนักบุญเปาโล บริเวณลานสนาม หน้าประตูทางเข้ามหาวิหาร


สวิสการ์ด มาคอยคุ้มกันบริเวณหน้าประตู ช่วงระหว่างเดินเป็นการ Snapshot ไวๆ Canon G7x MARK II ก็สามารถทำได้ดีจริงๆ


เข้ามาภายในมหาวิหารเป็นกลุ่มแรก โล่งมาก เลือกที่นั่งได้เลย จริงๆ แล้ว บัตรที่เราได้มาเป็นบัตรธรรมดา จะเริ่มนั่งได้ตั้งแต่แถวที่ 15 เป็นต้นไป และถูกกำหนดสิทธิ์ไว้เพียงเท่านั้น แต่ทว่าพอไปถึงตั๋วได้ถูกอัพเกรดเป็นที่นั่งพิเศษสี่แถวหน้าแบบชิดติดขอบพิธี รองจากที่นั่งของเหล่าผู้บริหารท้องถิ่น เพราะความใจดีของคุณพ่อปู่ นั่นเอง น้ำตาจะไหล ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

มาชมความงามของมหาวิหาร และความหล่อของทหารสวิสไปพลางๆ ระหว่างรอองค์สันตะปาปา ก่อนละกัน


มีหนังสือ บทสวด และบทเพลง แจกด้วย แต่อ่านไม่ออกเลย ภาษาอิตาลีล้วนๆ ใครอยากได้ ทักมาหลังไมค์ได้นะคะ พกกลับมา 2 เล่ม


รูปวาดของเหล่าสมเด็จพระสันตะปาปาตั้งแต่องค์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ถูกประดับอยู่บนผนังของมหาวิหาร


ส่วนองค์ที่ไฟส่องสว่าง คือ องค์ปัจจุบัน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ที่ 266 ของศาสนาจักรโรมันคาทอลิก องค์ที่เราจะได้พบในวันนี้นั่นเอง


ระหว่างรอ ก็มีเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ มา Test ระบบ ซ้อมทำพิธี มีการเตรียมการต่างๆ ก่อนพิธีจะเริ่มขึ้น


เริ่มมีผู้คนทยอยเข้ามาเรื่อยๆ จนที่นั่งเต็มเกือบหมดแล้ว


ช่วงเวลาที่เรารอคอย ทุกคนต่างพร้อมใจกันกับยืนเพื่อรอรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และ เนื่องจากเราเป็นคนเตี้ย เอ้ยตัวเล็ก เราเลยคิดว่ามายืนเกาะริมรั้วชิดติดขอบน่าจะดีกว่า


กล้องพร้อม!!!


ทุกคน ไม้เซลฟี่ มือถือ กล้องพร้อม!!!


ทันทีที่รู้ว่าขบวนได้เคลื่อนเข้าสู่มหาวิหาร เราหยิบ Canon G7x MARK II เปลี่ยนโหมดจากภาพนิ่ง มาเป็นโหมดภาพเคลื่อนไหว ขอเก็บบันทึกภาพบุคคลสำคัญของโลก โดยปกติทั่วไปเราไม่สามารถเข้าพบได้ง่ายๆ และใกล้แบบนี้ บวกกับเสียงบรรยากาศสดๆ แอบทึ่งกับกล้องตัวจิ๋วตัวนี้ ที่สามารถเป็นตัวช่วยบันทึกความทรงจำได้อย่างคมชัด ทั้งภาพและเสียง แบบยาวๆ ไม่ได้ตัดต่อใดๆ ทั้งสิ้น อยากให้เพื่อนๆ ได้รู้สึกเหมือนได้อยู่ในมหาวิหารไปพร้อมๆ กัน


นาทีที่ 1:10 คงเป็นวินาทีที่ใกล้สุดๆ ที่สมเด็จพระสันตะปาปา ได้มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าของเรา โดยที่ไม่ต้องซูมกล้องแต่อย่างใด (เป็นภาพที่แคปจากวีดีโอ)


ขบวนเสด็จประกอบด้วย ตำแหน่งสำคัญต่างๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องทางศาสนจักร และปิดท้ายด้วยทหารสวิสผู้พิทักษ์อารักขา (เป็นภาพที่แคปจากวีดีโอ)


หลังจากนั้นได้ไม่นาน พิธีก็เริ่มต้นขึ้น เสียงประสานของบทเพลง บทสวด คำกล่าวขององค์สันตะปาปา และการสลับกันขึ้นมากล่าวบนโพเดียมของตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ (ซึ่งฟังไม่ออก) บวกกับความงดงามทางสถาปัตยกรรมที่แฝงด้วยความหมายและสัญลักษณ์ของศาสนจักร ทำให้ชาวพุทธอย่างเรารู้สึกขนลุกได้เหมือนกัน


หลังผ่านไป เกือบ 2 ชม. การประกอบพิธีเสร็จสิ้นลง องค์สันตะปาปา ได้เดินพูดคุยกับผู้มาร่วมพิธี ก่อนจะเดินออกไปยังนอกมหาวิหารทางเดิม


ผู้คนที่ศรัทธาในองค์สันตะปาปา ต่างตะโกนสรรเสริญ PAPA Francis ให้ได้ยินเป็นระยะๆ


ออกมาด้านนอกตัวอาคาร ผู้คนต่างพากันเซลฟี่หนักมาก อันเนื่องมาจากความปลาบปลื้มที่ได้มาร่วมพิธีในครั้งนี้


ขอบคุณคุณปู่ คุณย่าและพี่สาวอีกครั้ง ที่เป็นส่วนสำคัญ ทำให้ภารกิจของการเดินทางครั้งนี้ พิเศษสุดๆ และสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เต็มไปด้วยความปลื้มปิติ


หลายคน อาจจะมา อิตาลี หรือนครรัฐวาติกัน เพื่อเข้าชมมิวเซียม แต่เรามาเพื่อทำภารกิจพบองค์สันตะปาปา นับว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ไปอีกแบบ แม้จะเป็นชาวพุทธ แต่ก็ถือว่าการได้เข้าพบบุคคลที่เป็นเสมือนผู้นำทางศาสนาของโลก บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากพอสมควร หรือจริงๆ แล้ว เราอาจจะต้องพูดอีกหนึ่งประโยค ... "ขอบคุณพระเจ้า"


เช้าวันสุดท้าย

การเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุดลง เช้านี้ยังคงตื่นและมองออกมาพบมุมเดิม เพิ่มเติมคือวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศอิตาลี และวาติกัน ภาพนี้ถ่ายจากห้องครัวของที่พักก่อน check out


หลัง check out ห้องพัก เราพร้อมหอบกระเป๋า เดินกลับไปทางนครรัฐวาติกันอีกครั้ง เพื่อเสพบรรยากาศเท่าที่จะทำได้ เดินออกจากที่พักแต่เช้า 7 โมง ไฟบางส่วนของเมืองยังไม่ถูกปิด ก่อนจะหันกลับมาถ่ายรูปประตูที่พักไว้เป็นที่ระลึก


ความเงียบสงบในยามเช้าบวกกับความหนาว และความเหงาที่ไม่มีผู้คน เมืองที่เคยมีคนพลุกพล่านอย่างโรม ได้กลายเป็นเมืองโทนสีเย็นๆ ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ที่พักของเราอยู่ติดถนนเลย ตึกสีขาวครีมขวาสุดนี่เอง


ก่อนเดินข้ามแม่น้ำไทเบอร์จากหน้าที่พัก เป็นครั้งสุดท้าย


และหันกลับไปมองที่พัก เป็นการบอกลา ไม่อยากกลับเลยแฮะ


เดินทางสู่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์อีกครั้ง


ช่วงเช้า ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง พื้นที่ใจกลางจัตุรัส โล่งกว่าปกติ แทบไม่มีคนเลย อาจเพราะยังเช้าเกินไป


ทราบว่ามหาวิหารนักบุญเปโตร เปิดให้เข้าชมฟรี และสามารถเข้าชมได้แล้ว คิดว่ายังพอมีเวลาเหลือ เราเลยหอบกระเป๋าเข้าชม ทิ้งทวนก่อนกลับ


ความงดงามของภายในมหาวิหาร


บางส่วนยังมีนักบวชกำลังทำพิธีกรรม และนักท่องเที่ยวยังสามารถเข้าร่วมพิธีได้


งานประติกรรมการแกะสลักหินอ่อนที่น่าทึ่ง ทำให้หินที่ว่าแข็ง เกิดเป็นริ้วพลิ้วสวยคล้ายกับว่าเป็นผ้าบางๆ จับจีบง่ายๆ


กลับออกมา ก็ยังไม่เจอผู้ใด เจอแต่นก ยืนหดคออยู่ ขอถ่ายรูปใกล้ๆ ก็ไม่บินหนี คงจะหนาว


และทหารสวิส ที่ยังคงยืนประจำเวรท่ามกลางความหนาว


แวะส่งโปสการ์ดที่ซื้อจากเมื่อวานก่อน เขียน แปะ และส่งในตู้ไปรษณีย์วาติกัน


ระหว่างเดินทางออกจากนครรัฐวาติกัน ยังคงเจอทหารสวิสประจำการตามประตูทางเข้าออกต่างๆ


เดินมุดใต้ถนน ไปยังอีกฝั่ง โดยไม่ต้องเดินข้ามถนน เพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานีเดิม สถานี ROME SAN PIETRO


หันกลับไปมองยอดโดมของมหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งเป็นมหาวิหารเอกของนครรัฐ โดยสถาปนิกผู้ออกแบบคือ ไมเคิลแองเจโล ได้สรรค์สร้างความงดงามขึ้นมา เป็นการบอกลาส่งท้าย


เจอโบสถ์แห่งนี้ระหว่างทาง ดูเก่าและสวยไปอีกแบบ ไปค้นหาประวัติ ทราบว่าคล้ายกับเป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระคาร์ดินัล และยังมีภาพจิตรกรรมอยู่ภายในด้วย เสียดายที่เวลามีจำกัด ไม่ได้เข้าไปชม รีบกลับไปขึ้นรถไฟและขึ้นเครื่องน่ะค่ะ


ระหว่างทางก็มีหลงเล็กน้อย แม้จะพยายามเปิด GPS เลยถามเจ้าถิ่นที่เดินผ่านมา เหมือนจะเป็นนักเรียน เจ้าถิ่นขอนำทางเองเลย เพราะต้องไปสถานีรถไฟเหมือนกัน ต้องขอบคุณมากๆ ใครบอกยุโรปน่ากลัว นี่มันใจดีชัดๆ ว่าแต่น้องเดินเร็วจัง เอ๊ะ หรือว่าเราแก่แล้ว หรือว่าน้องเค้ากลัวเราวะ 5555


ถึงแล้วสถานีต้นทางของเรา ไปซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ ราคา 8 ยูโร เหมือนเดิม เพื่อจะกลับไปยังสนามบิน แต่ต้องยืนตาม Platform ให้ถูกด้วย ไม่งั้นไปคนละทางเลย อย่าทำเป็นเล่น 5555


แวะเปลี่ยนขบวนที่สถานีเดิม คือสถานี ROMA TRASTEVERE ใช้เวลาเดินทางรวมๆ ประมาณครึ่ง ชม.


หลังจากเปลี่ยนขบวนก็ขึ้นมานั่งชิว กินขนม ชมวิวระหว่างทางบนชั้น 2 ของรถไฟ ไปพลางๆ


แล้วก็ถึงสนามบิน FCO (Leonardo da Vinci–Fiumicino Airport)


และเตรียมเดินทางกลับสู่ฝรั่งเศส ซึ่งปลายทางของเราคือเมืองลียง เดินทางโดยสายการบิน Easyjet


ระหว่างทางบินกลับฝรั่งเศส ยังคงมองเห็นหิมะปกคลุมขาวโพลนจากนอกหน้าต่าง


ก่อนจะลงสู่ภาคพื้นลียง (LYS) ฝรั่งเศส เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวนครรัฐวาติกัน และกรุงโรม ประเทศอิตาลี นับเป็นทริปเปิดประสบการณ์การเดินทางในต่างประเทศครั้งแรกของเรา พร้อมกับกล้อง Canon G7x MARKII ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนเพื่อนร่วมเดินทาง บันทึกภาพความทรงจำได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะเป็นมุมที่ยากจะจับภาพ แต่ความไวของความเป็น Powershot ทำให้เราได้ภาพสวย แม้จะมีเวลาเตรียมกล้องไม่มาก กดเปิดปุ๊ป ถ่ายได้ปั๊ป ชับไวสุดๆ พกพาสะดวก


วันนี้เราได้ไปพิสูจน์แล้วว่า อิตาลี ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ด้วยปัจจัยทั้งช่วง Low season อากาศหนาวจัด ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน การมีสติตลอดการเดินทาง ทำตัวให้กลมกลืน ทำการบ้านในเรื่องของการเดินทาง ส่อง Google Street View ไว้ล่วงหน้า และการระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ใครอยากได้ทริคการเดินทางช่วงไหน ทักมาหลังไมค์ได้เลย กันเองๆ

ท้ายสุด ต้องขอขอบคุณที่ทำงาน ที่เป็นส่วนสำคัญทำให้เกิดการเดินทางในครั้งนี้ และ Canon Thailand สำหรับการเอื้อเฟื้อกล้องถ่ายรูป Canon G7x MARK II กล้องคอมแพคตัวจิ๋วแต่คุณภาพ Pro มาให้เราได้พาไปบินไกลถึงยุโรป และยังได้เดินทาง ไปพิชิตภารกิจตามติดชีวิต “องค์สันตะปาปา” กับวินาทีที่ใกล้ที่สุด ณ กรุงโรม อิตาลี

เย้ !! รีวิวจบแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ

ทั้งนี้ หากการรีวิวมีส่วนไหนขาดตกบกพร่อง และผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย และสามารถแนะนำติชมเข้ามาได้เลยนะคะ

www.facebook.com/TravelSocialism - สังคมนิยมเดินทางฯ

อย่าอยู่บ้าน

 วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.11 น.

ความคิดเห็น