สวัสดีคุณผู้อ่านทุกๆ ท่าน ผมจะแทนตัวเองว่าลิงดำละกันนะครับ คือทริปนี้คงเรียกว่ารีวิวได้ไม่เต็มปาก เรียกว่ามาแชร์ประสบการณ์ดีกว่า เพราะรูปค่อนข้างน้อยไปหน่อย (ฝนตกน่ะครับ) ก่อนอื่นเลย สาเหตุที่ทำให้เกิดทริปนี้ขึ้นมาก็คือ อยากเที่ยวนั่นล่ะ แต่เปิดกระเป๋าเงินขึ้นมาดูมีอยู่แค่สองพันกว่าบาท ที่เที่ยวมันก็ผุดขึ้นมาในหัวเยอะแยะแต่ส่วนใหญ่ก็ใกล้ๆ กรุงเทพทั้งนั้น เราก็ไปเกือบหมดแล้ว เลยลองใช้กูเกิลช่วยหาดู ปรากฏว่ามีรีวิววังเวียงกับปีนังขึ้นมา ยิ้มกริ่มทันที สองพันกว่าๆ ไปต่างประเทศได้เหรอเนี่ย!! สุดท้ายแล้วเลือกที่จะไปวังเวียงครับ เพราะตอนนี้มันเดือนกรกฎาคม เป็นหน้าฝน เลยขอไปอยู่ในที่ชุ่มชื้น สีเขียวๆ ให้สบายหูสบายตาดีกว่า เอาล่ะ เริ่มเดินทางกันดีกว่า ไปปปปป!!!



เรามาเริ่มสตาร์ทกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพง พร้อมกับเพื่อนไปร่วมลำบากอีก 4 ท่าน แน่นอนว่าเราต้องเดินทางไปด้วยขบวนรถไฟฟรีเท่านั้น เป็นรถไฟขบวนที่ 133 กรุงเทพ-หนองคาย (20.45 น. – 08.35 น.) โปรดระวังอาจเป็นแผลกดทับได้ ฮ่าๆๆๆ (อ่อ คือผมต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่นะครับ ใช่โทรศัพท์บ้าง กล้องบ้าง เอาของผู้ร่วมทริปมารวมๆ กันทำรีวิว ถ้าไม่ถูกใจยังไง ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเด้อ)



บรรยากาศบนรถไฟก็อย่างที่เห็นครับ คนน้อย เนื่องจากเป็นวันธรรมดา แต่ลองสังเกตดูดีดีนะครับ มีอะไรแปลกๆ ที่ไม่ใช่หัวมนุษย์ ผ่ามมมมม



คนนี้ล่ะครับ เจ้าของฝ่าเท้าน้อยๆ เมื่อกี้ เป็นหนุ่มต่างชาติเดินทางมาผู้เดียว ไปหนองคายเหมือนกัน



หลังจากคุยกับเพื่อน คุยกับคนแปลกหน้าข้างๆ เสร็จ ก็หลับยาวเลย มาตื่นอีกทีก็ขอนแก่นแล้ว มีแม่ค้าไก่ย่างมาขาย ตัวละ 60 บาท 2 ตัว 100 พวกผม 5 คนก็จัดมา 2 ไม้ ตัวใหญ่มากกก แถมยังแบกไปกินที่วังเวียงด้วย



ประมาณ 9 โมงเช้า พวกเราก็มาถึงสถานีปลายทาง โดยรวมแล้วถือว่าเลทไม่มาก หลังจากนั้นก็เข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว เมื่อเสร็จภารกิจแล้วก็รวมตัวกันเดินไปที่ด่านตรงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เอาจริงๆ ไม่ไกลนะครับ สิบกว่านาทีก็ถึงแล้ว แต่ถ้าไม่อยากเดินก็ขึ้นตุ๊กๆ ไป แล้วแต่สะดวกครับผม



เมื่อเดินถึงแล้วก็ทำเรื่องหลบหนีออกนอกประเทศ ไม่ยากครับ แค่กรอกเอกสารนิดหน่อย แต่อย่าลืมเอาพาสปอร์ตไปนะครับ ไปวังเวียงต้องใช้พาสปอร์ตเท่านั้น กรอกๆๆ แล้วก็ออกโลด



พอพ้นด่านมาเราก็มาซื้อตั๋วข้ามสะพานคนละ 15 บาท ไม่ต้องไปขึ้นรถตุ๊กตุ๊กหรือรถตู้อะไรนะครับ ไปแบบนี้ถูกกว่า แต่ถ้าไปเที่ยวแบบแก๊งค์ใหญ่ก็ลองคำนวณดูอีกทีว่าอันไหนคุ้มกว่ากัน



พอมาถึงด่านลาว เราก็ต้องกรอกเอกสารเหมือนเดิม พร้อมทั้งซื้อการ์ดผ่านทาง ถ้าซื้อในเวลาราชการจะแค่คนละ 5 บาท แต่ถ้านอกเวลาราชการก็คนละ 50 บาทครับ ใกล้เคียงกัน ฮ่าๆๆ (เวลาราชการ 08.00 – 16.00 น.) แล้วเรื่องแลกเงิน ผมแลกตรงด่านลาวนี่ล่ะครับ แนะนำให้แลกตรงธนาคารดีกว่า มีพี่คนไทยเขาแนะนำมา เดี๋ยวนี้แบงค์ปลอมของฝั่งลาวก็เริ่มระบาดเหมือนกัน ทริปนี้ผมลงขันกับเพื่อนๆ ร่วมทริป คนละ 1,500 บาท 5 คนก็ 7,500 ได้เงินลาวมาล้านแปดกว่าๆ รวยไหมล่ะ ^^



พอพ้นด่านมาเราต้องเดินทางต่อไปยังตลาดเช้า ซึ่งตรงนี้ภาพถ่ายผมไม่ค่อยมี ผมจะอธิบาย



1. พอออกมาจากด่านลาวให้เดินไปเรื่อยๆ จะเห็นรถเมล์สีขาวเขียว รถคันนั้นจะเข้าไปสู่ตลาดเช้าราคาคนล่ะ 30 บาท แนะนำใช้เงินกีบครับ ถูกกว่า หรืออีกทางนั่งสองแถวไปก็ได้ แต่คุยเรื่องราคาให้ดีก่อน ผมกับเพื่อนๆ เลือกที่จะไปสองแถวเพราะคนละประมาณ 40 บาทเอง เร็วกว่าค่อนข้างเยอะ (เลือกตุ๊กๆหรือสองแถวดีดีนะครับ ราคาอย่าให้เกินนี้ ถ้าเกินก็บอกผมเคยนั่งกันราคาเท่านี้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ไป ฮ่าๆๆๆ)

2. การที่จะไปวังเวียงมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ

2.1 สามารถชึ้นรถตู้จากตลาดเช้าไปวังเวียงได้เลย ราคาอยู่ที่ 70,000 กีบ (ประมาณ 280 บาท) ผมเลือกไปวิธีนี้เพราะไม่ต้องไปหลายต่อ ถ้าใครสนใจวิธีนี้ เอานามบัตรนี้ไปเลย (รูปด้านล่าง) ถ้าขึ้นสองแถวมาจากด่านลาวก็ยื่นรูปนี้ให้พี่คนขับเลย (ในกรณีได้รถตู้ท่าอื่น ใช้มุขเดิม ผมเคยขึ้นราคานี้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร)

2.2 อีกหนึ่งทางเลือกก็คือนั่งรถเมล์ไปขนส่งสายเหนือ ผมไม่ทราบราคาในส่วนนี้ หลังจากถึงขนส่งสายเหนือก็หารถตู้ไปวังเวียงอีกทีหนึ่ง ราคาอยู่ที่ 50,000 กีบ (วิธีนี้สะดวกสำหรับคนที่จะแวะเที่ยวเวียงจันทร์ก่อน เพราะขนส่งสายเหนืออยู่ในตัวเวียงจันทร์)



ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงวังเวียง (ออกจากตลาดเช้าประมาณเที่ยงถึงประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ) รถตู้เขาพาพวกผมมาทิ้งไว้กลางเมือง โรงแรมก็ไม่ได้จอง พวกเราก็เดินหาไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายมาได้ที่ “เรือนพักวังเวียง” ราคาอยู่ที่ 40,000 กีบ/คืน/คน อยู่สองคืนก็คนละ 80,000 กีบ หรือประมาณ 320 บาทเท่านั้นเอง ในส่วนของภายในห้องก็โอเคครับ มีเตียง โต๊ะกระจก ห้องน้ำในตัว wifi แรง ใกล้ผับ ฮ่าๆๆๆๆ แค่ซุกหัวนอน เท่านี้ก็โอแล้ว



หลังจากได้ที่พักและจัดวางสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เปลื้องผ้าอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น สักประมาณ 5 โมงเย็น ก็เริ่มเดินสำรวจรอบๆ ดูธรรมชาติ ดูชาวบ้าน วิถีการเป็นอยู่ เอาจริงๆ ก็คล้ายกับบ้านเรานั่นล่ะครับ ภาษาก็พอเข้าใจ บรรยากาศรอบๆ ถือว่าสดชื่นในระดับหนึ่งเลยทีเดียว



บอกไว้ก่อนเลยว่าที่นี่คุณแทบจะไม่เจอชาวจีนเลย ที่จะเจอก็คือเหล่าหนุ่มสาวเกาหลี แล้วก็ทางยุโรป เน้นว่างานดีทั้งนั้น

ก็ไม่อธิบายอะไรมากครับ มีแต่ภาพบรรยากาศมาให้ชม ชมกันไปเรื่อยๆ ล่ะกัน



ความกรีนที่แท้จริง ดูธรรมชาติ สดชื่นหล๊ายหลาย



หันไปหันมาเจอบอลลูนลอยติ้วๆ อยู่ เอ้า!! อ่านในรีวิวอื่นมา เขาบอกว่าหน้าฝนไม่มีนี่หน่า ไม่เป็นไรถือว่าบุญตา ใครอยากขึ้นก็ได้นะครับ ไม่แพง 80 เอง แต่หน่วยเป็นดอลล่าห์



เส้นทางตรงนี้จะมุ่งไปทาง สมายบีช รีสอร์ท สวยมากและยุงก็มากด้วยเหมือนกัน ใครจะไปนั่งจิบเบียร์ชมพระอาทิตย์ตรงรีสอร์ทนี้ก็ได้ครับ บรรยากาศดี ของไม่แพง เสียดายผมถ่ายภาพมาน้อยในส่วนนี้



หลังจากนั้นก็เดินกลับมาแถวๆ ที่พัก มาเจอขนมสโนไวท์ อ่ะๆๆ งงล่ะสิ ขนมครกไงครับ เพราะต้องมีคนแคะ ผ่ามม!! คู่ล่ะ 1000 กีบ ก็ประมาณ 5 บาท อร่อยดีครับ แต่ไม่ค่อยหอมกะทิเหมือนบ้านเรา



ด้วยความหิวก็ไม่ได้เลือกร้านอาหารอะไรกันมาก ไม่ต้องนั่งหรู เอาอิ่มท้อง สั่งมาหลายๆ อย่าง แล้วก็ผลัดกันชิม มื้อเย็นนี้หมดไปประมาณ 75,000 กีบ ประมาณ 300 บาท ที่ผมชอบที่สุดก็น่าจะเป็นเมนูนี้ “ข้าวเปียก”



เดินไปเดินมาเจอชายสี่หมี่เกี๊ยว เลยเข้าไปลองสักชาม รสชาติเหรอ อืม ออกไปทางเปรี้ยวๆ หน่อยครับ แต่ก็ไม่ได้แย่ ต้องมาลองเอง คงถูกใจสำหรับคนชอบเปรี้ยว ค่าเสียหายอยู่ที่ 15,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)



มาถึงลาวจะพลาดได้ไง จัดไปเบาๆ ราคาไม่แพงอย่างที่คิด พวกผมไม่ได้ดื่มเยอะนะครับ กระป๋องเขาวางไว้ เลยยืมมาถ่าย ฮ่าๆๆๆ ค่าเสียหายประมาณ 80,000 กีบ หรือประมาณ 320 บาท (ถ่ายรูปเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ผมจะโดนปรับไหมเนี่ย) คืนนี้ลาแล้ว ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับผม



อรุณสวัสดิ์ทุกท่าน โปรแกรมวันที่ 2 ของพวกผมคือในช่วงเช้าจะไปดูเขาตักบาตรข้าวเหนียวกัน ประเพณีก็คล้ายคนทางอีสานบ้านเฮานี่เอง ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ก็ลองถามคนแถวนั้นดูก็ได้ หรืออยากจะใส่บาตรด้วย ก็ซื้อข้าวเหนียวแล้วไปนั่งรวมๆ กับลุงๆ ป้าๆ เขานั่นแหล่ะ ชิวๆ



ผมชอบตรงที่ ป้าๆ เขาห่มสไบใส่บารตนี่แหล่ะครับ

เอ้าาา!! เตรียมตัวรับบุญ เอ้ย!! รับพร



เสร็จภารกิจใส่บาตรแล้ว ก็ไปหาอะไรทานครับ หมดไปอีก 72,000 กีบ หรือประมาณ 290 บาท เหมือนเดิมครับ สั่งหลายๆ อย่าง แล้วผลัดกันชิม ถ้าหากคิดว่าพวกผมไม่อิ่ม คิดผิดครับ อิ่มกันระเนระนาด เอาลงมารูปเดียว อย่าด่าผมนะ ผมไม่อยากให้คุณๆ เปลือง 3G



เอาล่ะ ภารกิจต่อไป Blue Lagoon นั่นเอง แล้วเราจะไปยังไงล่ะ พวกผมใช่วิธีเช่ามอเตอร์ไซต์ครับผม คนลาวเรียกว่ารถจักรมั้ง ที่พักที่ผมอยู่เขามีบริการให้เช่า พวกผมมี 5 คน เช่าไปสองคัน คันละ 50,000 กีบ (200 บาท) แล้วก็ขี่ไปเติมน้ำมันอีกคันละ 15,000 กีบ (60 บาท)



และนี่คือลายแทงสู่บลูลากูนนนนน ขอได้จากที่พักเลยครับ เขาจะอธิบายคร่าวๆ ว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง เด่นๆ ก็คือ บลูลากูนบ่อ 1 , บลูลากูนบ่อ 3 และถ้ำจัง ไม่รอช้า ไปโลดดดด



ข้ามสะพานแรก เสียค่าธรรมเนียมคันละ 10,000 กีบ ต้องเก็บไว้ให้ดีนะครับ ถ้าขากลับเขาตรวจแล้วเราไม่มีเสียอีกจ้า



ระยะทางไปบลูลากูนบ่อที่ 1 ประมาณ 7-10 กิโลเมตร ขับไปไม่ต้องกลัวหลงนะครับ ไปไม่ถูกก็ตามรถท่องเที่ยวคันอื่น วิวสองข้างทางระหว่างขาไปนี่ก็คุ้มแล้ว สวยมากจริงๆ ขับไปจอดไป ฝนมาครึ้มๆ ฟินไปสิครับ



ขอตัดมาตอนถึงบ่อที่ 1 เลยนะครับ เสียค่าเข้าอีกคันล่ะ 10,000 กีบ เอารถจอดเสร็จสรรพ พร้อมนึกภาพน้ำสีฟ้าๆ ที่อยู่ในหัว เรามาถึงแล้วหรือนี่ มันคงสวยมาก ฮัลโหลลลล Blue Lagoon มันเปลี่ยนเป็น Brown Lagoon เสียแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ หัวเราะหนักมาก (เนื่องจากเป็นหน้าฝน น้ำมักจะเป็นสีน้ำตาล เป็นเรื่องปกติ และเราเผื่อใจมากึ่งหนึ่งแล้ว) แต่ไม่เป็นไรครับ มีอย่างอื่น ขาวๆ ให้ดูคุ้ม



ภายในบริเวณบ่อที่ 1 ยังมีถ้ำปูคำให้ขึ้นไปเยี่ยมชม และไหว้พระอีก ขอบอกเลยว่าถ้ามาแล้วต้องขึ้นไป ข้างในสวยมากครับ อันนี้เรื่องจริง ดูภาพเองล่ะกัน



ลงมาจากถ้ำปูคำเสร็จ พวกผมก็พร้อมเดินทางไปที่บ่อ 3 ในส่วนของ บ่อ 3 เป็นที่ให้กระโดดน้ำ ห้อยโหน ทานอาหาร ค่อนข้างโอเคไม่ได้สวยเว่อร์วังอะไร แต่ในระว่างทางไปนั้น คุณลองเปลี่ยนมาสนใจที่ทิวทัศน์ข้างทาง การเป็นอยู่ของชาวบ้าน ผมชอบมากเลยครับ ผมขี่รถไป ระหว่างทางก็ทักทายเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่ พวกเขาก็ทักตอบ พร้อมยิ้มให้แบบไมตรี ไม่ใช่เฉพาะเด็กผู้ใหญ่ก็เช่นกัน พวกเขาเป็นมิตรกับทุกคนจริง มันอิ่มตรงนี้ล่ะครับ อ่อ ในส่วนของบ่อสามผมไม่ได้ถ่ายอะไรเลย เพราะฝนเทลงมา สมาชิกทุกคนต้องเก็บกล้องและโทรศัพท์เอาไว้ เหลือเพียงภาพสองข้างทาง กับเด็กๆ ให้ได้ดูกัน ไปชมกันเลย



หลังจากภาพนี้ ฝนก็เริ่มเทมาอย่างหนัก ลุยน้ำ ถอดรองเท้าเดิน มันส์ดีครับ ได้อรรถรสอีกแบบ ถ้าใครไปหน้าฝนก็เตรียมเสื้อกันฝนอะไรให้ดีนะครับ ส่วนพวกผมเตรียมไปครบ แต่เอาไปห่อกล้อง ฮ่าๆๆๆ เพราะที่กันน้ำของกล้อง อยู่โรงแรม



พวกผมออกจากบ่อ 3 ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ขากลับก็ลุยโคลน ลุยอะไรกันมา เพราะกลับอีกคนละเส้นทาง ค่อนข้างอ้อม ถ้ำจังก็อดไป เขาปิดสี่โมงเย็น เลยตัดสินใจกลับที่พักอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวไปกินข้าว



พอดีว่าเพื่อนในทริปอยากแลกเงิน เพื่อที่จะเอาไปซื้อของขวัญของฝากต่างๆ นาๆ พวกเราก็หาไปเรื่อย จนมาเจอที่นี่ล่ะครับ "โรงพิมวังเวียง" เรทดีสุดล่ะ เจ้าของร้านใจดี มีสามีเป็นคนไทย แถมลูกสาวก็สวย ฮ่าๆๆ อย่าด่าผมนะ คุยไปคุยมาถูกคอกันครับ จนสุดท้ายเราก็ซื้อตั๋วรถไปเวียงจันทร์ที่นี่ ในราคาคนละ 40,000 กีบ หรือประมาณ 200 บาท ตอนเช้าจะมีคนมารับหน้าที่พักไปส่งที่รถทัวร์ (ยิงยาวถึงเวียงจันทร์เลย ไม่แวะรับข้างทาง มีจอดพักกลางทางให้เข้าห้องน้ำ 20 นาที)



มีเพื่อนสมาชิกเอ่ยขึ้นมาว่าอยากกินจิ้มจุ่ม ก็เอาเลย มาลองกินจิ้มจุ่มลาวดู สั่งไปสองชุด หมูกับทะเล เสียหายไป 120,000 กีบ หรือประมาณ 480 บาท ค่ำน้ำอีกนิดหน่อย (ในภาพทะเลยังไม่มาเด้อ) หลายคนคงคิดว่าทำไมแต่ล่ะมื้อพวกเรากินน้อย ไม่ได้น้อยนะครับ อิ่มกันทุกมื้อ



จบจากจิ้มจุ่ม ซื้อเบอร์เกอร์กับแซนด์วิชโรยชีสหนา มาอีกอย่างล่ะชุด เสียหายไป 60,000 กีบ หรือประมาณ 240 บาท จุกกันเลย



เมื่อทานมื้อเย็นอิ่มกันแล้ว เราไม่ควรไปนอน มันไม่ดีต่อสุขภาพ เราควรหากิจกรรมทำกันดีกว่า แนะนำไปเต้นแอโรบิค ที่นี่!! ข้างล่างนี้!!



*** ซากุระบาร์ และ วิว่าผับ ***

- ซากุระบาร์ Free Drink 20.00 - 21.00 น.

- วิว่าผับ Free Drink 22.00 - 23.00 น. (เจ้าของเป็นคนไทย)

ไม่มีการเสียค่าเปิดโต๊ะแต่อย่างใด



หมายเหตุ : รีวิวนี้อาจจะมีเยาวชมเข้ามาอ่าน จึงไม่สามารถเผยแพร่สื่อและรูปต่างๆ เกี่ยวกับสถานที่ทั้งสองนี้ (แต่งานดีนะ) เด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ ผ่ามมม!!



ไม่รีวิวอะไรมาก พวกผมวนเวียนอยู่สองที่นี้ยังตี 1 ครับ ไม่ต้องพูดก็เข้าใจ นั่งดูฝรั่งกับเกาหลีอย่างเดียว ฮ่าๆๆ อ่อ อธิบายก่อนนะครับ การที่เราไปสถานที่พวกนี้ พวกเราไม่ได้ไปดื่มของมึนเมาอะไรมากมาย เราไปเพื่อรู้ เพื่อศึกษา การเที่ยวคือการได้เห็นอะไรสิ่งใหม่ๆ สั่งสมให้เป็นประสบการณ์ โอเค๊ เข้าใจตรงกันนะ

ตัดภาพมาตอนขึ้นรถเลยละกันครับ ไม่อธิบายช่วงเช้า ฮ่าๆๆๆ ตั๋วรถที่พวกผมขึ้น ออกประมาณ 10 โมงเช้า สักประมาณ 9.45 น. ก็จะมีรถเล็กๆ มารับหน้าที่พักไปยังรถทัวร์ คือคันนี้ครับ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งถึงตัวเวียงจันทร์



พอถึงตัวเวียงจันทร์ ด้วยความมึน ที่รถเขามาปล่อยลงตรงไหนไม่รู้ แล้วจะไปประตูชัย เดินถามทางไปเรื่อย จนแล้วจนรอดก็ไม่ถึงเสียที สรุปเหมาตุ๊กตุ๊กไปในราคา 100,000 กีบ (400 บาท) โดยไปสองที่คือ ประตูชัย และพระธาตุหลวง ดังภาพ



เปลี่ยนที่ๆ



พระธาตุหลวง



สาวงามทั้งสอง แช๊ะๆ ท่าโพสท์เธอแซ่บมากกก ฮ่าๆๆ



หลังจากนั้นพวกผมก็ให้ลุงคนขับไปส่งที่ตลาดเช้า เพื่อจะหารถไปด่านลาว พอถึงตลาดเช้าก็ได้ตุ๊กตุ๊กไป คนละ 40 บาท (รถเมล์ 30 บาท แต่ช้า) เมื่อถึงด่านลาวแล้ว ก็ทำเรื่องเช่นเคยครับ กรอกใบขาออก ซื้อการ์ดผ่านทาง (ขากลับนี่คนล่ะ 50 บาท เพราะมานอกเวลาราชการครับผม ฮ่าๆๆ) พอพ้นด่านมาแล้วก็ซื้อตั๋วข้ามสะพานอีกคนละ 20 บาท ถึงด่านไทยก็ทำเรื่องออก จบทริปครับ อ่อ ลืมบอกไป รถไฟฟรีขากลับ ขบวนที่ 134 หนองคาย -

กรุงเทพ จะออกเวลา 18.35 น. ของทุกวัน ไปให้ทันกันนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน อาจจะเขียนไม่ดี ไม่ละเอียดเท่าที่ควรก็ขออภัยด้วยนะครับ ติชมได้ตลอด ขอบคุณครับ (สรุปค่าใช้จ่ายด้านล่างนะครับ)



วันที่ 1 :

- ค่ารถไฟไปหนองคาย - ฟรี

- ค่าผ่านด่านไทยและลาวขาไปคนละ 20 บาท

- ค่ารถข้ามสะพานคนละ 15 บาท

- ค่ารถตุ๊กๆ ไปตลาดเช้าคนละ 40 บาท

- ค่ารถต็จากตลาดเช้าไปวังเวียงคนละ 280 บาท

- ค่าที่พัก 2 คืน เฉลี่ยคนละ 320 บาท

........รวมวันที่ 1 = 675 บาท


วันที่ 2 :

- ค่าเช่ารถทั้งหมด 400 บาท เฉลี่ย 5 คน ตกคนละ 80 บาท

- ค่าน้ำมัน 2 คันทั้งหมด 120 บาท เฉลี่ย 5 คน ตกคนละ 24 บาท

- ค่าตั๋วผ่านทางทุกที่รวม 240 บาท เฉลี่ย 5 คน ตกคนละ 48 บาท

........รวมวันที่ 2 = 152 บาท



วันที่ 3 :

- ค่ารถทัวร์กลับเวียงจันทร์คนละ 160 บาท

- ค่ารถตุ๊กๆ ชมสถานที่ท่องเที่ยว คนละ 80 บาท

- ค่ารถตุ๊กๆ ไปยังด่านลาว คนละ 40 บาท

- ค่าผ่านด่านลาวคนละ 50 บาท

- ค่ารถข้ามสะพานมิตรภาพ คนละ 20 บาท

........รวมวันที่ = 350 บาท



*** รวมทั้งหมด 3 วัน เฉลี่ยคนล่ะ 1,177 หรือประมาณ 1,200 บาท ***

ในสรุปรวมค่าใช้จ่ายนี้ คุณอาจจะไม่เห็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากรายจ่ายพวกนี้มันสามารถยืดหยุ่นกันได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ละกลุ่ม แต่ถ้าสำหรับกลุ่มผมได้สอบถามและเก็บข้อมูลของทุกคนในทริป เฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่คนละ 2,200 บาท เมื่อรวมค่าอาหารแล้ว (เริ่มนับจากกรุงเทพ) ขอบคุณครับ

ความคิดเห็น