พอเข้าหน้าฝนก็อยากเห็นอะไรเขียวๆ สัมผัสกลิ่นฝนและไอหมอก ไปให้ธรรชาติกล่อมความวุ่นวายในหัวให้หมดไป
ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าไปเชียงใหม่คนเดียวดีกว่าช่วงที่เราไปเป็นช่วงเข้าพรรษาพอดีจากตอนแรกกะไปเที่ยวซัก 5-6 วัน
ไปๆมาๆไหลยาวไปเกือบ 10 วัน !!! อยู่จนเบื่อไปเลยทีเดียว แต่ถ้าให้ไปอีกก็ไปนะ ฮ่าๆๆๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/ampassenger/
ทริปนี้เราเดินทางโดยรถไฟด่วนพิเศษที่เป็นขบวนใหม่ เพิ่งจะเคยขึ้นอลังการมากกกก ทั้งขบวนมีแต่ฝรั่งแทบไม่เจอคนไทยเลยแฮะ
สะดวกสบายหลับยาวยันเชียงใหม่
ถึงเชียงใหม่ก็เช้าพอดี ณ ตอนนั้นแพลนเดียวที่มีคือไปบ้านแม่กลางหลวงติดต่อโฮมสเตย์ผ่าน ศูนย์บริการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไว้ นั่นคือแพลนเดียวจริงๆ จะไปไหนต่อ อยู่กี่วัน กลับวันไหน ? บอกตามตรงไม่มีเลยยยยยย ไว้กลางคืนค่อยคิดอีกทีละกัน เป็นอย่างนี้เกือบทุกคืนจนไปๆมาๆวนเวียนอยู่เชียงใหม่ 8 คืนได้ ฮ่าๆๆ
กลับมาที่สถานีรถไฟเราต้องหารถแดงไปคิวรถประตูเชียงใหม่ จนแล้วจนรอดก็ต้องจำยอมค่าโดยสารราคา 50 บาท เพื่อไม่เสียเวลามากไป จากประตูเชียงใหม่เราจะต้องขึ้นรถสองแถวสีเหลืองสาย เชียงใหม่ - จอมทอง ไปลงหน้าวัดพระธาตุศรีจอมทอง ค่าโดยสาร 35 บาท ถึงวันพระธาตุก็เดินเลยมาหน่อยจะเจอคิวรถ จอมทอง - แม่แจ่ม นี่แล่ะที่เราต้องนั่งต่อไปลงที่หมู่บ้านค่าโดยสาร 70 บาทตลอดสาย
นี่แล่ะรถทีเราจะนั่งไปหมู่บ้านแม่กลางหลวง
หลังจากโหนรถมาไม่นานมากก็ถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน อยู่ทางขึ้นดอยอินทนนท์ กม.26 แล้วเดินเข้าหมู่บ้านประมาณ 500 เมตร ก็จะเจอศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มาถึงก็มีชาวบ้านพาไปนั่งร้านกาแฟสมศักดิ์ก่อนเลยสงสัยเห็นเรามาคนเดียวกลัวจะเหงา ฮ่าๆ ร้านกาแฟสมศักดิ์เปรียบเหมือนเป็นศูนย์กลางของที่นี่ที่เวลาใครมาจะต้องมาแวะชิมกาแฟ ทักทายพูกคุยกับพี่เค้า
เราตั้งใจจะไปน้ำตกผาดอกเสี้ยวก่อนพี่สมศักดิ์ก็จัดแจงหาคนนำทางและรถไปส่งจถเดินให้ เนื่องจากตัวน้ำตกต้องอาศัยชาวบ้านนำทางเข้าไปค่าใช้จ่ายเพียง 200 บาทต่อกรุป ก็ถือเป็นการสร้างรายได้ให้ชาวบ้านเนาะ สำหรับการเดินจะเดินไปกลับ เดินขึ้นไปแล้วให้รถไปรับหรือให้รถไปส่งด้านบนแล้วเดินกลับลงมาที่หมู่บ้านก็ได้ ว่าแล้วก็ไปชมน้ำตกกัน
น้ำตกชั้นบนสุด
ชาวบ้านที่นำทางให้เรา
มันอลังน่าเล่นน้ำมากเลย
สะพานนี้ถือว่าไฮไลท์ในการถ่ายภาพเลย
มาแม่กลางหลวงแล้วต้องเดินมาน้ำตกผาดอกเสี้ยวด้วยนะ
กลับมาถึงหมู่บ้านเราก็เอากระเป๋าไปเก็บกับบ้านที่เราจะพัก เราเลือกพักแบบโฮมสเตย์กับชาวบ้านเลย ราคา 350 บาทรวมอาหารสองมื้อ พูดคุยกับเจ้าของบ้านซักพักเราก็ออกไปเดินเล่นถ่ายรูปในหมู่บ้านต่อ ชาวบ้านที่นี่ใจดีและเป็นกันเองกับเรามากกก ปลื้มใจจัง
บ้านแม่กลางหลวง คือ หมู่บ้านชาวปกาเกอญอ ตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นดอยอินทนนท์ กม.ที่ 26 หมู่บ้านนี้อาจจะเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในเรื่องของทุ่งนาขั้นบันได และน้ำตกผาดอกเสี้ยว แต่เราว่าสิ่งที่เป็นสเน่ห์ที่แท้จริงของแต่ละที่มันคือวิถีชีวิตของชุมชน ที่เป็นเอกลักษ์ให้คนภายนอกได้สัมผัส และเป็นตัวผลักดันให้ชุมชนเติบโตไปในแนวทางไหน มีไม่มีครั้งที่จะได้สัมผัสโฮมสเตย์แท้ๆ กินอยู่กับชาวบ้านจริงๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิต ได้ล้อมวงสนทนากับชาวบ้านถึงจะฟังออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ก็สัมผัสได้ตลอดเวลาว่าชาวปกาเกอญอที่นี่ใจดีจริงๆ มาสัมผัสกันให้ได้ ดีต่อใจจริงๆ จุดท่องเที่ยวต่อ หลักๆก็จะมี ทุ่งนาขั้นบันไดรอบๆหมู่บ้าน ,, ร้านกาแฟพี่สมศักดิ์,, ร้านกาแฟอุ่มเอิบ ร้านกาแฟวิวทุ่งนาสวยๆอีกด้านนึงของหมู่บ้าน ,, น้ำตกผาดอกเสี้ยว เส้นเดินป่าสั้นๆ 3 กม. ต้องมีชาวบ้านนำทางเข้าไป เดินไม่ยากแต่สวยมากๆ ,, หากสนใจเดินป่าระยะไกลก็ยังมี ดอยหัวเสือ ซึ่งเราตั้งใจว่ามารอบหน้าค่อยมาเดิน
เดินชมทุ่งนาเพลินๆในหมู่บ้าน
พอต้นข้าวโตกว่านี้มันจะต้องสวยมากแน่ๆ
เดินๆไปเรื่อยก็เจอสะพานไม้ไผ่ข้ามไปร้านกาแฟอุ่มเอิบ เจ้าพวกนี้เป็นเจ้าพิ่นประจำหมู่บ้าน
ตกกลางคืนชาวบ้านก็ชวนมานั่งคุย บ้านข้างๆกำลังทำลาบพอดี เลยได้ร่วมวงสนทนากับชาวบ้าน ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ก็อบอุ่นดีทีเดียว
ผ่านไป 1 วันที่บ้านแม่กลางหลวง คืนนี้เราก็นอนคิดว่าพรุ่งนี้จะไปไหนต่อดีหลากหลายสถานที่แล่นเข้ามาในหัว สุดท้ายก็มาสรุปที่ บ้านต้นไม้ เชียงดาว อยากจะไปมาตั้งนานแล้ว งั้นไปซะรอบนี้เลยละกัน วางแผนการเดินทาง ติดต่อที่พักของพรุ่งนี้เสร็จสรรพก็นอนดีกว่า...
ตื่นเช้ามาก็ขอเก็บวิวทุ่งนาอีกซักรอบก่อนไป
ทุ่งนายามเช้า
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่หมู่บ้านสงบๆ อยากสัมผัสวิถีชีวิตชาวเขาเราแนะนำที่นี่เลยมีทั้งน้ำตก นาขั้นบันได และชาวบ้านที่ใจดี น่ารักสุดๆ
ได้เวลาโบกมือลาหมู่บ้านแม่กลางหลวง
ว่าแล้วเราก็เดินทางต่อไปบ้านแม่แมะ เชียงดาวกันดีกว่า ต่อเม้นล่างละกันนะ
ออกจากหมู่บ้านก็นั่งรถสายเดิมกลับเข้ามาในเชียงใหม่เพื่อต่อรถไป บ้านต้นไม้
สำหรับการเดินทางไป บ้านต้นไม้ จากเชียงใหม่ ขึ้นรถสายเชียงใหม่ - ท่าตอน ไปลงที่เซเว่น แม่นะ 40 บาท แล้วนัดกับทางบ้านต้นไม้ให้ออกมารับซึ่งต้องเหมารถไปกลับในราคา 600 บาท แต่วิวที่เราจะได้เห็นระว่างทางเราก็ว่าคุ้มมากเลยนะ
บ้านต้นไม้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านแม่แมะ ต.แม่นะ อ.เชียงดาว เป็นหมู่บ้านในป่ามีลำธารไหลผ่าน ที่นี่ถือว่าใกล้ชิดธรรมชาติและมีความสงบเหมาะต่อการพักผ่อนมากๆ ชาวบ้านที่นี่อยู่กับธรรมชาติได้เป็นอย่างดีๆไม่มีการตัดไม้ จึงเห็นได้ว่าแถวนี้มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ
ถึงแล้วบ้านต้นไม้
ค่าที่พัก : 750 ต่อคน รวมอาหารสองมื้อ แต่ถ้าถ้าไม่เอาอาหารก็จะคิดราคาเป็นหลัง
เราโชคดีมากเหลือห้องสุดท้ายพอดีแถมเป็นบ้านบนต้นไม้จริงๆด้วยแล่ะ
นี่ไงบนต้นไม้จริงๆ มีพัดลม มีห้องน้ำในตัว
มาดูบรรยากาศของที่นี่กันเถอะ มันน่ามานอนเล่นซักเดือนจริงๆ
ถ้านอนเล่นเบื่อๆก็เดินลงไปนั่งเล่นที่ลำธารด้านล่างได้ ไปแช่น้ำเย็นๆ
ที่หมู่บ้านแม่แมะยังมีเส้นเทรลสั้นๆเดินป่าเข้าไปน้ำตกแบบไปเช้าเย็นกลับได้อีกด้วย สามารถติดต่อกลับที่พักได้เลยค่าคนนำทาง 300 บาท
ไว้เด๋วมาต่ออีกที Zzzzz มาๆๆต่อกันที่หมู่บ้านยามเช้าดีกว่า ตื่นมาอากาศดีมากกก
ถ้าพักหลังที่เป็นบ้านต้นไม้โผล่ออกมาากหน้าต่างจะเจอแบบนี้เลย
ไปเดินดูบรรยากาศยามเช้ากัน ค่อนข้างเงียบเชียบ บางทีก็จะเจอเด็กๆกำลังจะไปโรงเรียนกัน
ใครที่ได้มาเยือนหมู่บ้านแม่แมะแห่งนี้รับรองว่าต้งติดใจทั้งความสงบของหมู่บ้าน ความใจดีของผู้คน และอากาศดีๆที่นี่ จะมาพักผ่อนนอนเฉยๆหรือเข้าไปเดินป่าก็ได้หมด ยิ่งเราเป็นคนที่ชอบหมู่บ้านท่ามกลางธรรมชาติที่ยังรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมได้ดี ยิ่งติดใจไปใหญ่ไว้จะต้องมาอีกให้ได้เลย บ้านแม่แมะ เชียงดาว
ไว้เจอกันใหม่นะบ้านต้นไม้
ออกจากบ้านต้นไม้คุณลุงที่พักก็ขับรถออกมาส่งอีกเช่นเคยระหว่างทางก็คุยกับแกไปเรื่อย ชมวิวข้างทางไปบ้าง บางช่วงก็จะเห็นยอดดอยหลวงเชียงดาวโผล่ออกมาให้เห็น อลังการสุดๆไปเลย ออกจากนี่เรากะว่าจะไปพักในเชียงใหม่ซักคืนสองคืน เข้าไปแวะหาเพื่อนเดินเล่นในเมืองก่อนค่อยคิดอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ ว่าแล้วก็เปิด agoda หาที่พักแปป มาคนเดียวคงไม่พ้นโฮสเทล ฮ่าๆๆ แล้วก็ไปเจอโฮสเทลเก๋ที่นึง ดีงามมากเลยแล่ะ เด๋วไปดูกันว่าคือที่ไหนแล้วเป็นยังไง
คุณลุงก็มาส่งฝั่งตรงข้ามเซเว่นเดิมเพื่อรอรถโดยสารเข้าเชียงใหม่สายเดิม เชียงใหม่-ฝาง-ท่าตอน 40 บาทเช่นเคยนั่งๆไปซักพักก็กลับมาถึงขนส่งช้างเผือก ซึ่งโฮสเทลที่เราจะไปอยู่นิมมานซอย 15 เอาล่ะสิไปไงดีน้อ รถแดงดีมั้ย หรือ จะเดินดี เชค google map 3 km กว่าๆแน่ะ สายเดินป่าอย่างเราก็ต้องเลือกเดินสิ ฮ่าๆๆ เดินเล่นเพลินๆไปละก็มาถึงโฮสเทลสุดเก๋ของเรา นั่นก็คือ...
บ้านเมฆโฮสเทล
โฮสเทลที่นี่จะไม่ใช่เตียงสองชั้นแบบที่เราเคยเห็นตามโฮสเทลแต่จะเป็นเตียงเดี่ยวกั้นห้องเป็นล็อกๆอารมณ์เหมือนบ้านในญี่ปุ่นเลยแล่ะ ไม่เคยไปญี่ปุ่นหรอก เดาๆเอา แฮร่ๆ เก๋มากๆส่วนตัวดี ห้องน้ำรวม แยกชาย-หญิง มี wifi ให้ใช้ ราคาต่อคืน 350 บาทเอง เดินเที่ยวนิมมานได้สบายเลย
ทางเข้าโฮสเทล
ชั้นล่างจะเป็นที่งนั่งเล่น ห้องนอนจะชั้น 2 กับ 3
ภายในห้องนอนก็จะเป็นแบบนี้ มีปลั๊กไฟให้ใช้ในห้อง
เข้าป่าขึ้นเขามา 2 วันก็ขอพักในเมืองสบายๆแวะทักทายเพื่อนที่นี่สังสรรค์นิดหน่อย
ซึ่งอีกวันเป็นวันอาสาฬหบูชาพอดีเราก็เลยกะว่าจะไปเวียนเทียนคนเดียวซะหน่อย .... เหงาน่าดูเลย เที่ยวคนเดียวมาเยอะแต่นี่ครั้งแรกที่จะไปเวียนเทียนคนเดียว เหอๆๆ ซึ่งวัดใกล้ๆที่เราสามารถเดินไปได้คือ วัดสวนดอกพระอารามหลวง สวยทีเดียว
วัดสวนดอกช่วงฟ้ายังพอเป็นใจ
ผ่านไปสองวันแบบไม่ค่อยได้ทำไรเท่าไหร่ นอนเล่นเพลินๆอยู่ที่โฮสเทลก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ ไปไหนดีล่พ กลับวันไหนดีน้อ? เชคตั๋วรถไฟกลับลพบุรีแล้วเต็มไปอีกหลายวันเลยก็เลยทำให้ทริปเราเลื่อนไปอีก 5 คืนแน่ะกว่าจะได้กลับ ว่าแล้วก็หาที่ที่รถโดยสารถึงไปไม่ยากก่อนดีกว่า หาไปหามาก็ไปบังเอิญเจอกับฟาร์มสเตย์บ้านดินใน อ.แม่ริม "อยู่ดินกินดีฟาร์มสเตย์" บรรยากาศดีเลยทีเดียว ไม่ไกลจากตัวเมืองด้วยเช้ามาเลยรีบโทรหาพี่เจ้าของที่พัก ติดต่อกันเรียบร้อยให้นั่งรถมาลงที่แม่ริมพลาซ่า เดี๋ยวจะออกไปรับ โอ้วใจดีจังว่าแล้วก็เดินทางดีกว่า เราเดินทางโดยรถสองแถวเหลืองอีกเช่นเคย สายเชียงใหม่ - แม่ริม ขึ้นที่ขนส่งช้างเผือก ราคา 10 กว่าบาทจำไม่ได้ละ ฮ่าๆๆ ไปลงที่แม่ริมพลาซ่า ก็เจอกับพี่ต้องเจ้าของที่พักมารอรับอยู่แล้ว พี่ต้องอัธยาศัยดี และใจดีกับเรามากเห็นเรามาคนเดียวก็เลยชวนกินข้าวเย็นด้วยซะเลย สำหรับบรรยากาศที่ "อยู่ดินกินดีฟาร์มสเตย์" ก็จะเป็นสไตล์ฟาร์มสเตย์ มีไร่นาแปลงผัก เลี้ยงไก่ไข่ ท่ามกลางธรรมชาติ เราว่าบรรยากาศดีมากๆและยิ่งเจอกับเจ้าของที่ใจดีแล้วอีก มีความสุขสุดๆเลยล่ะ
นี่แล่ะ "อยู่ดินกินดีฟาร์มสเตย์"
นี่แล่ะบ้านที่เราจะพักอยู่หลังในสุดเลย ราคา 600 บาม รวมอาหารเช้า ถ้าช่วงไฮซีซันก็จะอีกราคานึง
ไปดูบรรยากาศในฟาร์มสเตย์กัน
คืนนั้นเราก็ได้ร่วมวงทานอาหารกับพี่ต้น พี่ต้องเจ้าของที่พัก พี่ทั้งสองใจดีกับเรามากนอกจากทำกับข้าวให้กินแล้วยังชวนคุยเล่าเรื่องการเดินทางของพี่เค้าให้ฟังทั้งเรื่องเดินป่าที่เราชอบอยู่แล้วด้วย อีกทั้งยังติดต่อร้านเช่ามอไซต์ในแม่ริมให้อีกเผื่อพรุ่งนี้เราอยากไปไหนคืนนั้นเราก็แพลนๆว่าไปม่อนแจ่มละกันใกล้ๆ นี่เป็นอีกคืนที่เราไม่ได้รู้สึกเหงากับการเดินทางคนเดียวเลย มันเป็นมื้อเย็นที่อบอุ่นเลยทีเดียวที่ได้พูดคุยกับนักเดินทางรุ่นพี่แบบนี้ มันเป็นความบังเอิญที่ดีงามสุดๆ search เจอที่พักนี้ตอนเช้า ตอนเย็นก็มาโผล่ร่วมโต๊ะกับพี่เจ้าของที่พัก ฮ่าๆๆ แผนไม่มีคิดอีกทีตอนนั่งรถ concept เรา ฟังพี่ต้นเล่าเรื่องจนเพลินก็ได้เวลากลับที่พักเข้านอนนน
เช้าตื่นมาแผนเปลี่ยน!! จากเดิมจะไปม่อนแจ่มเราก็นึกขึ้นมาได้ว่าอยากไปไร่ชาลุงเดชมาตั้งนานแล้วนี่นาเลยลองจับ GPS ดูไม่ไกลมากด้วย 40 กว่ากิโลว่าแล้วก็เปลี่ยนไปที่นี่ดีกว่าาา ฮ่าๆๆ เปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลาจริงๆเรา
วิวเช้าๆที่ฟาร์มสเตย์
แล้วก็ถึงเวลาร่ำลากับพี่ต้นและพี่ต้อง เพื่อเดินทางต่อ
สำหรับ "อยู่ดินกินดีฟาร์มสเตย์" ตั้งอยู่ที่ บ้านแม่ใน ต.แม่แรม อ.แม่ริม มาตาม GPS โลดถ้าคนเอารถมา
ได้เวลาไปแว้นแล้วววสำหรับเป้าหมายต่อไปคือ ไร่ชาลุงเดช แห่งเมืองก๋าย อ.แม่แตง หรือม่อนเงาะนั่นเอง ที่นี่นอกจากที่พักวิวป่าเขาไรชาก็ยังมี โครงการหลวงม่อนเงาะ ที่สามารถมากางเต๊นท์หรือพักบ้านพักได้อีกด้วย
การเดินทางจาก อ.แม่ริม ขับไปทาง อ.แม่แตงแล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกแม่มาลัย ทางไปปาย ขับไปเรื่อยๆจนผ่านเซเว่นที่เขียนว่า เซเว่นสุดท้ายก่อนขึ้นปาย ทางเข้าหมู่บ้านจะอยู่ขวามือตรงข้ามวัดสบเปิงขับขึ้นเขาไปอีกสิบกว่าโลก็จะถึง เมืองก๋าย ชื่อแสนเก๋ของเรา
วิวระหว่างทางก่อนถึงทางขึ้นไปหมู่บ้าน จริงช่วงทางขึ้นหมู่บ้านบรรยากาศดีมากเลยนะแต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา
ถึงแล้วเมืองก๋ายเราแวะขึ้นไปถ่ายรูปที่โครงการหลวงม่องเงาะซักแปปก่อนไปไร่ชาลุงเดช
เราว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านสงบๆกลางขุนเขาที่เหมาะแก่การไปใช่ชีวิต slow life ให้ธรรมชาติกล่อมความวุ่นวายในสมองให้สงบลงดีทีเดียวเลยแล่ะ
ถึงแล้ววว ไร่ชาลุงเดช
ซึ่งที่นี่จะมีบ้านพักไม่เยอะแล้วก็จะเป็นที่กางเต๊นท์เราว่าถือว่าดีทีเดียว เอาของเข้าที่พักแล้วก็ดูวิวถ่ายรูปดีกว่า
หน้าต่างที่ห้องพักโผล่ออกมาแล้วเจองี้เลย
ใบชาทอดกรอบอร่อยเลยทีเดียว ครัวที่นี่ทำอาหารอร่อยมากและมีเมนูเกียวกับชาเยอะแยะเลย
หลังจากพูดคุยกับลุงเดชเราก็ได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับชาขาวและชา อัสสัม ชาสายพันธุ์ไทยของบ้านเราเอง เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าบ้านเราก็มีชาสายพันธุ์ไทยของเราเองด้วย
แล้วช่วงเย็นๆฝนก็เทหลงมา เราเลยล้มเลิกแผนขึ้นยอดดอยม่อนเงาะดีกว่านั่งเล่นอยู่ที่นี่ดีกว่า
หลังฝนตกก็เลยได้เห็นหมอกอลังการแบบนี้
ตกเย็นกินข้าวเสร็จเราก็ได้นั่งคุยกับลุงเดชและพี่สาวนักเดินทางอีกสองคน "ลุงว่าเท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ลุงไม่อยากทำเยอะ ตอนนี้ลุงก็มีความสุขแล้ว" ประโยคนึงจากลุงเดชที่เราได้คุยกัน ได้คุยกับลุงแล้วเราก็ปลื้มใจกับแนวคิดการดำเนินชีวิตและยึดมั่นวิถีทำกินของตัวเองแบบนี้ การเดินทางครั้งนี้มันก็เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้เพราะเราไม่มีแพลนการเดินทาง โชคชะตาทำให้ได้มาเจอลุงเดชผู้แสนใจดี ได้ฟังเรื่องราวที่มาที่ไปของลุงและไร่ชาแห่งนี้ เราได้แต่หวังไว้ว่าเมืองก๋ายแห่งนี้จะยังเป็นหมู่บ้านแสนสงบที่น่าอยู่แบบนี้ตลอดไป หลังจากคุยกันดึกดื่นก็ถึงเวลาเข้านอนแล้วสิ คืนนี้คืนที่เท่าไหร่แล้วเนี่ยลืมไปเลย ฮ่าๆๆ
ตอนกลางคืนฝนตกเกือบตลอด ตื่นเช้ามาก็เลยได้เห็นหมอกแบบนี้แล่ะ
หมอกขาวๆกับป่าเขียวๆมันสดชื่นจริงๆ
ได้เวลาโบกมือลาแล้วสิ
ว่าแล้วก็ถึงเวลาโบกมือลาคุณลุงและพี่สาวทั้งสอง นี่เป็นอีกหนึ่งที่ที่เราจะต้องกลับมาให้ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะธรรมชาติ แต่เพราะผู้คนที่นี่ที่ทำให้เราอยากกลับมาอีกครั้ง ถ้ามีโอกาสไม่พลาดแน่นอน ไร่ชาลุงเดช แห่งเมืองก๋าย
การเดินทางของเราก็เกือบจะจบละเหลือแค่รอรถไฟอีกสองวันแต่ก็ไม่กะว่าจะไปเที่ยวไหนแล้ว กะแค่ไปนอนเล่นในตัวเมืองที่โฮสเทลเดิม เดินเล่นหาไรกินแค่นี้แล่ะ พักผ่อนจริงๆ
พอเดินทางนานๆแบบไม่มีแพลนมักจะตื่นมาด้วยคำถามว่า วันนี้วันอะไร? กลับวันไหน? ทำไรต่อ? คนเที่ยวไม่กี่วันอาจไม่รู้สึก ลองเที่ยวแบบไม่มีแพลนหลายๆวันดูสิเดี๋ยวรู้เลย ฮ่าๆๆๆ
เดินทางคนเดียวก็สนุกดีน้า เจอคนเยอะแยะ ได้เพื่อนใหม่ๆเยอะแยะเลย ไม่เหงาหรอกก
อ้อ สำหรับคนอยากเที่ยวในตัวเมืองเราแนะนำให้ลองไปพิพิธภัณฑ์ดู เราแนะนำที่นึง พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา อยู่ตรงข้ามอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้านะ ทริปนี้ไปละ เขียนมายาวเกินไปละ ฮ่าๆๆๆ
ฝากรีวิวอื่นๆไว้ด้วยน้า https://www.facebook.com/ampassenger/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หมู่เกาะสุรินทร์ https://pantip.com/topic/36450022
โมโกจู https://pantip.com/topic/35901804
สังขละ https://pantip.com/topic/34873904
หลีเป๊ะ https://pantip.com/topic/33751471
I'm Passenger
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.13 น.