สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปพักผ่อนกันที่ “Wora Bura Huahin Resort & Spa” หรือที่หลายคนเรียกกันสั้นๆ ว่า “วรบุระ” ซึ่งที่นี่ถือเป็นรีสอร์ทในหัวหินแห่งนึงที่ผมใฝ่ฝันอยากจะเข้าไปลองพักมานานมากๆ แล้ว และในที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริงครับ โดยสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากๆ เกี่ยวกับที่นี่ก็คือ

  • รูปแบบของรีสอร์ทที่มีความสวยงามสไตล์โคโลเนียล ซึ่งเป็นศิลปะตะวันตกที่เข้ามาในประเทศไทยในยุคสมัยของรัชกาลที่ ๕ โดยได้มีการประยุกต์ความเป็นไทยบางส่วนเข้าไปด้วย
  • ห้องพักทั้ง 77 ห้อง มีขนาดใหญ่ ตกแต่งสวยงาม และมีความเก๋ตรงที่ชื่อแต่ละห้องนั้นจะเป็นชื่อจังหวัดของประเทศไทยทั้งหมด (ไม่รวมจังหวัดบึงกาฬ) บวกกับอีกหนึ่งชื่อพิเศษอย่างหัวหิน โดยภายในห้องแต่ละห้องก็จะมีการตกแต่งให้มีกลิ่นไอของจังหวัดนั้นๆ ตามชื่อห้องด้วย
  • รีสอร์ทแห่งนี้มีกลิ่นไอความเป็นไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕-๖ สูงมาก ตั้งแต่โครงสร้างตึกที่มีการเลียนแบบสถาปัตยกรรมของ 3 สถานที่อย่าง พระราชวังมฤคทายวัน, พระราชวังบ้านปืน และพระที่นั่งวิมาณเมฆ รวมไปถึงการตกแต่งต่างๆ และการแต่งกายของพนักงานในรีสอร์ท
  • อาหารอร่อย
  • รีสอร์ทอยู่ติดหาดและทะเล สามารถไปเดินเล่นชิวๆ ตอนไหนก็ได้
  • สระว่ายน้ำมีขนาดใหญ่และสวยงาม
  • สปามีขนาดใหญ่และมีคอร์สให้เราเลือกใช้บริการอย่างมากมาย
  • มีกิจกรรมให้ทำภายในรีสอร์ทมากมายทั้งการแต่งกายด้วยชุดไทยเพื่อถ่ายรูป, การทำ workshop ประจำวัน, การเล่นกับลูกๆ ที่ Kids Club หรือการไปนั่งอ่านหนังสือดีๆ ที่ห้องหนังสือ

พูดถึงจุดเด่นและภาพรวมของวรบุระกันไปแล้ว ทีนี้เราไปเจาะลึกแบบถึงไส้ถึงพุงกันต่อเลยดีกว่า สำหรับใครที่ไม่ค่อยอยากจะอ่านอะไรยาวๆ ผมแนะนำให้ดูรูปผ่านๆ แล้วไปอ่านย่อหน้าสุดท้ายเลยก็ได้ครับ ><


เริ่มกันที่การเดินทางกันก่อนเลย โดยในความคิดผมนั้นผมว่าการเดินทางไปยังวรบุระไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีรถส่วนตัวและไปหัวหินบ่อยๆ โดยหลังจากที่เราขับรถผ่านตลาดหัวหินแล้วก็ให้มุ่งหน้าไปยังทางเขาตะเกียบ และมองหาป้ายชื่อ “ซอยหัวถนน 23” ซึ่งจะอยู่ทางด้านซ้ายมือไว้ให้ดีๆ สำหรับจุดสังเกตง่ายๆ ก็คือซอยนี้จะอยู่ระหว่างตลาด Cicada และตลาด Tamarind เมื่อเราเจอซอยแล้วก็ให้เลี้ยวเข้าซอยขับรถไปตามทางเรื่อยๆ ประมาณ 3-400 เมตร จะเจอป้ายบอกทางให้เราเลี้ยวขวา จากนั้นก็ขับรถต่อไปอีกซักพักก็เจอป้ายโรงแรมสวยๆ พร้อมกับพนักงานในชุดไทยที่คอยยืนต้อนรับอยู่ตามนี้ครับ

หลังจากที่เราเลี้ยวรถผ่านประตูเข้าไป ก็จะเจอกับอาคารสวยๆ สไตล์โคโลเนียล พร้อมกับลานจอดรถที่สามารถจอดรถได้ประมาณ 30 คันแบบนี้ครับ


จอดรถเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาไป Check in ที่ล็อบบี้กันแล้ว ต้องบอกว่าล็อบบี้ของที่นี่นั้นมีกลิ่นไอของสไตล์โคโลเนียลที่ชัดมาก พนักงานเองก็แต่งกายด้วยชุดไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ รวมทั้ง Welcome Drink ก็ยังเป็นน้ำตะไคร้เย็นๆ ที่เสิร์ฟมาในภาชนะที่อยู่ในสมัยเดียวกัน เลยทำให้ทุกอย่างสอดคล้องกันได้อย่างดีเลย

ทีนี้เราไปดูในส่วนของที่พักกันดีกว่า ห้องพักของวรบุระนั้นจะมีทั้งหมด 77 ห้องด้วยกัน แต่ละห้องจะมีชื่อห้องตามจังหวัดของประเทศไทยพร้อมกับอีกหนึ่งชื่อพิเศษอย่างหัวหิน โดยทั้ง 77 ห้อง จะถูกแบ่งออกเป็น 5 ประเภทตามนี้

  1. Deluxe Room ขนาด 44 ตร.ม. จำนวน 48 ห้อง
  2. Grand Deluxe Room ขนาด 50 ตร.ม. จำนวน 24 ห้อง
  3. Suite ขนาด 86 ตร.ม. จำนวน 2 ห้อง
  4. Villa 1 Bedroom ขนาด 115 ตร.ม. จำนวน 2 ห้อง
  5. Villa 2 Bedroom ขนาด 130 ตร.ม. จำนวน 1 ห้อง

สำหรับห้องที่ผมพักนั้นคือห้อง Grand Deluxe Room ที่มีชื่อห้องว่านครปฐมครับ

ภายในห้อง Grand Deluxe Room ที่ผมพักนี่เรียกว่ากว้างขวางและน่าอยู่มากๆ แถมสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีการจัดให้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ TV, เครื่องเล่น DVD, ตู้เย็น, Sofa Bed, โทรศัพท์จนไปถึงแผงควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในห้อง ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมาก เพราะมันจะวางอยู่ข้างๆ หัวเตียงเลย สะดวกสบายในการควบคุมสุดๆ ส่วนที่ระเบียงเองก็กว้างขวางและสามารถมองเห็นวิวสวนสวยๆ ที่ดูแล้วสบายตา


ส่วนใครที่ชอบดูหนังนั้น ทางรีสอร์ทจะมีบริการให้ยืมแผ่นต่างๆ ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และทางวรบุระเองก็มีการอัพเดทหนังต่างๆ ให้ใหม่อยู่เสมอด้วยครับ

สำหรับห้องน้ำนั้นของที่นี่จะเป็น Sexy Bathroom ที่มีขนาดใหญ่มาก โดยเราสามารถเปิดปิดบานเฟี้ยมไม้ขนาดใหญ่เพื่อความเป็นส่วนตัวได้ ภายในห้องน้ำจะมีทั้ง Shower Box, อ่างอาบน้ำ และมีการแยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน ความแรงของ Shower อยู่ในเกณฑ์ดี น้ำแรง อาบสบาย ส่วนที่ข้างๆ ชักโครกก็มีสายฉีดชำระ และโทรศัพท์ติดตั้งมาให้เรียบร้อย


ในเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องน้ำก็มีมาให้ครบครันและเหนือกว่าหลายๆ ที่เลย ไม่ว่าจะเป็นสบู่ก้อน, สบู่เหลว, ยาสระผม, ครีมนวดผม, body lotion, หมวกอาบน้ำ, Cotton Bud จนไปถึงสำลีแผ่น และชุดเย็บปักถักร้อย ถึงแม้ขนาดของขวดที่ใส่จะไม่ใหญ่มากนักแต่ก็เพียงพอสำหรับการพัก 1 คืนสบายๆ ส่วนขนาดของสบู่ก้อนนั้นเรียกว่าเกินพอสำหรับการพัก 2-3 คืนเลย ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดสบู่ก้อนนั้นน่าจะมีส่วนผสมของตะไคร้ เพราะแอบได้กลิ่นอ่อนๆ ของมันตอนที่ผมใช้อาบน้ำครับ

มาต่อกันที่ตู้เสื้อผ้าดีกว่า โดยตู้เสื้อผ้าของที่นี่นั้นจะไม่ใช่ตู้โล่งๆ ธรรมดาๆ เหมือนหลายๆ ที่ แต่ว่าภายในนั้นมีทั้งร่มกันแดด, ร่มสำหรับถ่ายรูป, กระเป๋าใส่ของ, ตู้เซฟ, ไดร์เป่าผม, รองเท้าสำหรับเดินในห้อง, ที่ขัดและที่ใส่รองเท้าหนัง, ชุดคลุมอาบน้ำ, เครื่องชั่งน้ำหนัก และที่สำคัญข้างๆ ตู้ยังมีรองเท้าแตะสำหรับเอาไว้ใส่เดินเล่นนอกห้องได้อีกด้วย เรียกว่าจัดเต็มมาให้ครบทุกอย่างที่เราอยากจะได้เลยทีเดียว

และปิดท้ายกันที่ของตกแต่งประจำห้องซึ่งจะเป็นสิ่งที่ใช้แสดงถึงความเป็นจังหวัดนั้นๆ โดยแต่ละห้องจะมีของไม่เหมือนกัน อย่างห้องผมจังหวัดนครปฐมก็จะเป็นภาพวาดของพระปฐมเจเดีย์ และเรื่องราวต่างๆ ในจังหวัด รวมไปถึงโมเดลแม่ไม้มวยไทย ส่วนห้องอื่นๆ ก็จะของหรือสัตว์ที่เกี่ยวกับจังหวัดนั้นครับ

หมายเหตุ : สำหรับของต่างๆ ที่อยู่ภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อาบน้ำ, ขนม, สบู่ หรือของอื่นๆ หากเราประทับใจ เราสามารถติดต่อกับทางวรบุระเพื่อสามารถซื้อกลับบ้านได้หมดเลยนะครับ

ตอนนี้ผมก็พาทุกคนสำรวจห้อง Grand Deluxe ที่ผมพักจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ทีนี้เราแว้บไปดูห้องประเภทอื่นๆ กันบ้างดีกว่า เผื่อใครสนใจจะไปพักที่นี่จะได้มีข้อมูลกัน


เริ่มจากห้องแรกห้อง Deluxe ครับ ที่มีขนาด 44 ตร.ม. ครับ ห้องนี้ดูเผินๆ แล้วแทบจะคล้ายคลึงกับห้อง Grand Deluxe ที่ผมพักอยู่เลย จะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ลวดลายบนผนังจะไม่มีการฉลุลาย และพื้นที่ในห้องจะเล็กกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็เลยทำให้ Sofa Bed นั้นหายไป ส่วนพื้นที่ระเบียงกับห้องน้ำนั้นเท่ากันเลย โดยสำหรับคนที่พักอยู่บริเวณชั้น 1 ระเบียงจะเป็นแบบ open ที่เราสามารถเดินเข้าไปในสวนของโรงแรมได้เลยนะครับ


หมายเหตุ : ทั้งห้อง Deluxe และ Grand Deluxe นั้น จะมีให้เลือกทั้ง Single Bed และ Double Bed โดยขนาดเตียงของห้อง Double Bed นั้นถือว่าเป็นเตียงที่ใหญ่มากและนอนสบายกว่าหลายๆ ที่เลยครับ

มาต่อกันที่ห้อง Suite ที่มีขนาดห้องกว้างถึง 86 ตร.ม. หรือเรียกว่าเกือบเท่าห้อง Deluxe 2 ห้องเลย ภายในห้อง Suite นั้นจะแบ่งเป็นโซนห้องนั่งเล่นและโซนห้องนอนโดยมีห้องน้ำขนาดใหญ่มากที่สามารถเชื่อมถึงกันได้ รวมไปถึงระเบียงภายนอกห้องที่เชื่อมยาวต่อกันด้วยเหมือนกัน เรียกว่านั่งชิว นอนชิวสบายสุดๆ


โดยรวมๆ แล้วต้องบอกว่าผมประทับใจห้องนี้มาก เพราะขนาดห้องที่ใหญ่ ระเบียงกว้าง วิวสวย ห้องน้ำใหญ่สุดๆ แถมภายในห้องยังมีอุปกรณ์ต่างๆ เหนือกว่าห้อง Deluxe และ Grand Deluxe อยู่พอควรเลยครับ บอกเลยว่าถ้าใครไม่ติดขัดเรื่องงบประมาณนี่น่าจัดห้องนี้ไว้พักผ่อนเลย ><



มาต่อกันที่ห้อง 2 ประเภทสุดท้ายกันดีกว่า นั่นก็คือห้อง Villa 1 Bedroom และห้อง Villa 2 Bedroom โดยห้องแบบ 1 Bedroom นั้นจะมีแค่ 2 หลังเท่านั้น ได้แก่ ห้องภูเก็ตและเชียงใหม่ ส่วนห้องแบบ 2 Bedroom นั้น จะมีแค่หลังเดียวคือห้องกรุงเทพ ซึ่งวันที่ผมไปนั้นผมได้มีโอกาสเข้าไปชมห้องภูเก็ตเพียงห้องเดียวนะครับ


ลักษณะคร่าวๆ ของห้อง Villa ทั้ง 3 หลังคือจะเป็นอาคารแยกออกมาต่างหาก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร และจะอยู่ใกล้กับทะเลมาก โดยเฉพาะห้องเชียงใหม่ที่เรียกว่าตำแหน่งที่ตั้งดีมาก อยู่ติดกับหาดและทะเลเลย ภายในห้อง Villa ทั้ง 3 หลังนั้นจะมีการแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนตั้งแต่ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, ห้องแต่งตัว จนไปถึงห้องน้ำ โดยเฉพาะห้องน้ำนั้นมีทั้งห้องน้ำ indoor และ outdoor นอกจากนี้ยังมีสวนและบริเวณนั่งเล่นที่มีอ่างจากุชชี่ขนาดใหญ่ให้เราลงไปนอนแช่เล่นอีกด้วย ดังนั้นบอกเลยว่าห้องประเภทนี้เป็นอะไรที่ดีงามมากๆ โดยเฉพาะคู่รักที่มาฮันนีมูนหรือมาเติมความหวานให้กัน


หมายเหตุ : โดยส่วนตัวผมคิดว่าบริเวณสวนและอ่างจากุชชี่ของห้องภูเก็ตและเชียงใหม่นั้น ขาดความเป็นส่วนตัวไปนิดนะครับ เพราะจะมีมุมที่คนภายนอกสามารถแอบมองเห็นได้อย่างไม่ลำบากนัก หากทางวรบุระสามารถแก้ไข และทำให้มีความเป็นส่วนตัวได้มากกว่านี้อีกนิดจะเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ



ตอนนี้เราก็ดูในส่วนของห้องพักกันไปครบหมดแล้ว ทีนี้เราไปดูส่วนต่างๆที่น่าสนใจของทางรีสอร์ทกันต่อดีกว่า โดยผมจะขอเริ่มจากสระว่ายน้ำและสปาก่อนนะครับ


สระว่ายน้ำของที่นี่นั้นจะอยู่บริเวณกลางรีสอร์ท มีขนาดใหญ่ หลายระดับความลึก ดูแล้วน่าเล่นมาก ที่สำคัญระยะทางจากสระว่ายน้ำไปยังทะเลก็ใกล้นิดเดียวทำให้หลายๆ คนสามารถที่จะเปลี่ยนบรรยากาศในการเล่นน้ำได้อย่างสบายๆ


ต่อกันที่สปาซึ่งเป็นจุดเด่นมากๆ อีกอย่างหนึ่งของรีสอร์ทแห่งนี้ โดยตำแหน่งของสปาจะอยู่บริเวณใกล้ๆ กับ Lobby และมีถึง 2 ชั้นด้วยกัน เรียกว่าใหญ่และมีหลายห้องสุดๆ ซึ่งโดยปกติแล้วเค้าจะแบ่งชั้นบนให้เป็นของผู้ชาย ส่วนชั้นล่างเป็นของผู้หญิง แต่ในบางกรณีเราก็สามารถที่จะปิดห้องเป็น Private ได้ครับ


สำหรับบริการสปาของวรบุระนั้นจะมีหลายคอร์สมากตั้งแต่ อบไอน้ำ (Stream), ซาวน่า, จากุชชี่, ขัดผิว, นวดน้ำมัน, นวดไทย, นวดประคบ และอื่นๆ อีกมากมาย ใครสนใจจะใช้บริการก็ลองติดต่อดูนะครับ เค้าจะเปิดบริการตั้งแต่ 10.00 น. – 20.00 น. โดยเราควรสำรองการใช้บริการล่วงหน้าอย่างน้อยซัก 3 ชั่วโมงครับ

นอกจากสระว่ายน้ำกับสปาแล้ว ที่วรบุระยังมีสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เราไปไล่ดูกันทีละเรื่องกันเลยนะครับ เริ่มจากห้องฟิตเนส (Fitness) โดยห้องนี้จะอยู่ข้างๆ กับสปาเลย ขนาดห้องกลางๆ แต่เครื่องเล่นต่างๆ ใหม่และยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ส่วนเวลาในการเปิดบริการนั่นก็คือ 7.00 น. -21.00 น.

ต่อมาก็คือ Kids Club หรือที่เล่นสำหรับเด็กๆ ห้องนี้จะอยู่บริเวณชั้นล่างโดยมีทางลงอยู่แถวๆ Spa กับ Fitness ครับ ขนาดห้องค่อนข้างเล็กนิดนึง ส่วนเวลาเปิดบริการก็คือ 9.00 น. – 17.00 น.

ส่วนห้องตรงข้ามของ Kids Club นั่นก็คือห้องสมุด (Library) หรืออีกชื่อที่ใช้เรียกก็คือ Business Center โดยภายในห้องนี้จะมีหนังสือให้อ่านมากมาย รวมทั้งคอมพิวเตอร์ให้เราใช้งานได้ด้วย โดยรวมๆ แล้วผมชอบหน้าตาและ Lay out ของห้องนี้นะครับ ผมว่าเค้าออกแบบมาได้ลงตัวดี โดยเฉพาะกระจกบานใหญ่ที่ใช้เปิดรับแสงจากภายนอกรวมทั้งยังทำให้ห้องดูกว้างขึ้น และสามารถมองเห็นวิวภายนอกห้องได้ด้วย


สำหรับห้องนี้จะเปิดบริการตั้งแต่ 10.00 น. จนถึง 19.00 น. ครับ


ปิดท้ายกันด้วย 3 กิจกรรมในรีสอร์ทที่ผมประทับใจมากนั่นก็คือการใส่บาตร, การทำ workshop ประจำวัน และการเดินถ่ายรูปในรีสอร์ทด้วยชุดไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕


ใครที่สนใจทั้ง 3 กิจกรรมนี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ lobby ได้เลยครับ แต่โดยคร่าวๆ คือ ทุกวันอาทิตย์เวลา 7.00 น. จะมีพระมาบิณฑบาตที่หน้าห้องอาหารรักษ์ทะเล โดยเราสามารถซื้อชุดสังฆทานที่ทางวรบุระจัดไว้เรียบร้อยแล้วได้ในราคา 159 บาท/ชุด

ส่วนการทำ Workshop ประจำวันนั้น จะเริ่มกิจกรรมในช่วงเวลา 15.00 น. ของทุกวัน โดยเราสามารถสำรองการเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ล็อบบี้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งกิจกรรมในแต่ละวันนั้นจะแตกต่างกันออกไปมีทั้งทำขนมไทย, จัดดอกไม้, ทำสบู่, ทำบุหงา หรือพับผ้าเช็ดตัวเป็นรูปร่างต่างๆ ซึ่งวันที่ผมไปนั้นเป็นวันอาทิตย์ซึ่งตรงกับกิจกรรมการสอนพับผ้าเช็ดตัวเป็นรูปต่างๆ และแน่นอนว่าเพียงแค่เริ่มกิจกรรมนี้ได้ไม่นานผู้ชายชาตินักรบอย่างผมก็ขอบายในการทำกิจกรรมนี้ และส่งภรรยาผมเข้าร่วมกิจกรรมแต่เพียงผู้เดียวครับ T_____T


หมายเหตุ : ระยะเวลาในการทำกิจกรรมในแต่ละวันจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของแต่ละกิจกรรมและจำนวนคนที่เข้าร่วม ซึ่งโดยปกติแล้วทางรีสอร์ทจะรับคนเข้าร่วมกิจกรรมไม่เกิน 10 คนต่อวัน และใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

และตอนนี้ก็มาถึงกิจกรรมสุดท้ายแล้วนั่นก็คือการใส่ชุดไทยเพื่อถ่ายรูปภายในรีสอร์ท โดยเราสามารถยืมชุดไทยได้ฟรีที่ล็อบบี้ ซึ่งจะมีช่วงเวลาที่เปิดให้ยืมตามนี้ครับ

ช่วงเช้า : 7.00 น. – 10.00 น.

ช่วงเย็น : 13.00 น. -16.00 น.

สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องนุ่งโจงกระเบนไม่เป็นนั้นก็ไม่ต้องกังวลหรือตกใจไปนะครับ เพราะเราสามารถให้ทางพนักงานมาช่วยใส่ให้ได้ พนักงานแต่ละคนเค้าเชี่ยวชาญและยินดีช่วยเหลือมากๆ

ส่วนใครที่ไม่อยากเปลี่ยนชุดไทย หรือไปไม่ตรงกับเวลาที่เค้าเปิดให้บริการยืมชุดก็ไม่ต้องเสียใจไปนะครับ เพราะภายในรีสอร์ทยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ อยู่เต็มไปหมดเลยทั้งที่สวน สระว่ายน้ำ หรือแม้กระทั่งที่ทะเล โดยในช่วงเช้าๆ นั้นพื้นที่หาดจะเยอะมาก แต่ในช่วงเวลาเย็นๆ น้ำทะเลจะขึ้นสูงจนแทบไม่เหลือหาดให้เดิน ยังไงใครจะไปเล่นน้ำที่ทะเลก็ดูเวลาและระดับน้ำให้ดีๆ นะครับ

เป็นยังไงครับ มาถึงตรงนี้หลายๆ คนน่าจะเริ่มเมื่อยหรือล้ากันแล้วใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวผมพาทุกคนไปเติมพลังด้วยอาหารอร่อยๆ กันดีกว่า เริ่มจากมื้อเย็นริมทะเลที่ห้องอาหารรักษ์ทะเล ซึ่งเป็นห้องอาหารที่อยู่ติดกับทะเลแล้วกันนะครับ บรรยากาศโดยรวมของห้องอาหารแห่งนี้ดีมาก โดยเฉพาะช่วงเย็นๆ ก่อนพระอาทิตย์จะตก โดยทางห้องอาหารจะมีโต๊ะบริการทั้งแบบ indoor และ outdoor และเปิดบริการตั้งแต่ 11.00 น. จนถึง 23.00 น. เลยครับ



สำหรับอาหารที่ผมได้ทานในมื้อนั้นก็ได้แก่

  • ปลากะพงโบราณ 250 บาท
  • หมูย่างจิ้มแจ่ว 280 บาท
  • ผัดไทยทะเล 250 บาท
  • เย็นตาโฟเครื่องกรอบ 380 บาท
  • กุ้งซอสมะขาม 450 บาท
  • น้ำส้มสด141 บาท
  • น้ำมะนาวโซดา 141 บาท

โดยราคาอาหารดังกล่าวเป็นราคาสุทธิที่รวม Vat และ Service Charge เรียบร้อยแล้ว สำหรับในเรื่องหน้าตาและรสชาติของอาหารนั้นผมว่าอาหารแทบทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ดีเลยนะครับ ปลากะพงสดและตัวโต ทอดมาได้ดีโดยที่ผิวปลาตึงๆ แต่เนื้อยังนุ่มอยู่ เมื่อรวมกับน้ำยำรสจัดจ้านที่ราดมาก็ยิ่งทำให้อาหารจานนี้อร่อย แซ่บ ถูกปากถูกใจมากครับ


ส่วนเมนูอื่นๆ ก็น่าประทับใจไม่แพ้กันตั้งแต่หมูย่างจิ้มแจ่ว ที่หมูนุ่มและน้ำจิ้มแซ่บมาก (สำหรับใครที่ชอบทานเนื้อ ทางวรบุระแจ้งว่าเนื้อย่างจิ้มแจ่วอร่อยเด็ดยิ่งกว่าหมูอีกครับ) ส่วนผัดไททะเลนั้นก็จานใหญ่มาก แถมให้เนื้อมาเยอะเลยทั้งปลาหมึก, หอย, กุ้ง มาเต็มๆ และนอกจากจะมาเยอะแล้ว ยังสด เนื้อเด้งดีด้วย เส้นผัดไทก็ผัดมาได้นุ่มดี มีกุ้งแห้งตัวโตๆ โรยมาอย่างเยอะ สรุปเลยว่าสำหรับใครที่ต้องหารทานอาหารจานเดียวอิ่มๆ สามารถสั่งจานนี้มาทานจานเดียวได้เลย อิ่มอร่อยชัวร์!!

มาดูกันที่เย็นตาโฟเครื่องกรอบซึ่งเป็นเมนูที่ผมคิดว่าแปลกที่สุดในมื้อนี้ดีกว่า เมนูนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นและมีโอกาสได้ชิม และต้องบอกว่ารสชาติดีมากๆ ครับ โดยในการทานนั้นเราต้องตักน้ำซุปเย็นตาโฟที่ร้อนๆ แล้วราดลงไปบนเครื่องทอดที่เค้าเตรียมมาให้ในอีกจาน ซึ่งก็จะมีทั้งกุ้ง, หอย, ปูอัด และผักต่างๆ บอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ แต่อร่อยลงตัวมากๆ ครับ


ส่วนเมนูกุ้งซอสมะขามนั้นต้องบอกว่าเป็นจานที่ผมประทับใจน้อยสุดเลยครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะผมถ่ายรูปนานไปจนทำให้อาหารจานนี้เลยช่วงเวลาที่อร่อยที่สุดไปหรือเปล่า T_T

จบจากอาหารค่ำอันแสนอร่อยแล้วทีนี้เราก็มาพูดถึงอาหารเช้าซึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายในการรีวิวครั้งนี้ดีกว่า โดยอาหารเช้าของวรบุระจะให้บริการที่ห้องจุลมงกุฏ และเปิดบริการตั้งแต่เวลา 6.30 น. จนถึง 10.30 น. นะครับ


ลักษณะของห้องอาหารจุลมงกุฎนั้นจะเป็นห้องอาหารที่มีความจุประมาณ 120 คน แบ่งเป็น indoor 90 คน และ outdoor 30 คน ซึ่งเมื่อเทียบขนาดของห้องอาหารกับจำนวนห้องพักทั้ง 77 ห้องแล้วก็ถือว่าสามารถรองรับแขกส่วนใหญ่ได้อย่างสบายๆ เลย ส่วนในเรื่องของไลน์อาหารนั้นก็ถือว่าเป็นไลน์ที่มีปริมาณอาหารให้เลือกอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางเยอะ เพราะมีให้เลือกทั้ง Egg Station, เบคอน, แฮม, กราแตงมันฝรั่ง, ผัดหมี่ซั่ว, หมูกระจก, ไส้กรอกเบคอน, สลัด, ข้าวต้มหมู, ซุปกระดูกหมูอ่อน, เบเกอรี่, โยเกิร์ต, ผลไม้ และอาหารไทยอย่างไข่ลูกเขย, มัสมั่นไก่ แล้วก็สตูหมู


รสชาติอาหารโดยรวมๆ นั้นอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก โดยอาหารที่ผมกับภรรยาประทับใจที่สุดก็คือเบคอน, กราแตงมันฝรั่ง และไส้กรอกพันเบคอนครับ นานๆ จะเจอโรงแรมหรือที่พักที่มีไส้กรอกพันเบคอนให้ทาน มันเป็นอะไรที่ประทับใจและดีงามมาก ><


สำหรับคุณภาพของอาหารอื่นๆ ที่น่าสนใจก็ได้แก่สลัดที่มีความสดของผักที่ดี และมีทอปปิ้งอย่างแห้ว, ขนมปังกรอบ และเบคอนบิทให้เลือกใส่ด้วย ส่วนพวกเบเกอรี่นั้นก็มีให้เลือกมากมายทั้งคาวหวาน ไม่ว่าจะเป็นครัวซอง, เดนิช, ซอฟท์โรล, เค้กกล้วยหอม, เค้กกาแฟ หรือจะเป็นขนมไทยๆ อย่างอาลัวและวุ้นกรอบ ที่ดูสีสันภายนอกแล้วแอบน่ากลัวนิดๆ แต่เมื่อได้ชิมแล้วก็พบว่ารสชาติกำลังดีไม่หวานจนเกินไป

และอาหารอีก 3 อย่างที่ผมว่าน่าสนใจก็ได้แก่ โยเกิร์ต, เครื่องดื่มและผลไม้สดครับ โดยโยเกิร์ตนั้นมีให้เราเลือกทั้งแบบธรรมดา, วุ้นมะพร้าว, สตรอเบอร์รี่แล้วก็แบบ Mouselli ส่วนท็อปปิ้งที่ให้ใส่นั้นก็มีทั้งคอร์นเฟลก, โกโก้ครั้นช์, ข้าวโอ้ต, ลูกเกด, มะละกออบแห้ง, มะม่วงอบแห้ง, แครอทอบแห้ง แล้วก็เรซินแบน เรียกว่าสายโยเกิร์ตที่ชอบใส่ท็อปปิ้งเยอะๆ น่าจะประทับใจ


สำหรับเครื่องดื่มในไลน์อาหารเช้าของวันที่ผมไปนั้นจะมีน้ำส้ม, น้ำลิ้นจี่, น้ำฝรั่ง, นม แล้วก็ชากับกาแฟนะครับ คุณภาพของน้ำผลไม้ต่างๆ นั้นดีเลย ส่วนผลไม้สดที่มีให้ทานก็หลากหลายดี จัดมาเต็มๆ ทั้งกล้วย, แอปเปิ้ล, มะละกอ, ส้ม, แตงโม, แคนตาลูปแล้วก็แก้วมังกร


และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์จากที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปพักที่ Wora Bura Huahin Resort & Spa ในระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2560 สุดท้ายนี้เพื่อความเข้าใจง่ายๆ ผมขอสรุปการรีวิวออกมาเป็นเรื่องๆ ตามนี้นะครับ

การออกแบบ : เป็นเรื่องที่ผมชอบมากๆ ครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมกับภรรยาเป็นคนชอบศิลปะสไตล์นี้อยู่แล้ว เวลาเห็นสิ่งก่อสร้างหรือสถาปัตยกรรมอะไรที่เป็นสไตล์โคโลเนียลจะชอบมากๆ และต้องพยายามหาโอกาสไปให้ได้ นอกจากนี้ที่วรบุระเองยังมีการออกแบบและประยุกต์ออกมาได้อย่างลงตัวมาก ซึ่งก็ทำให้ได้คะแนนจากผมในข้อนี้ไปเต็มๆ เลยครับ

ความสะอาด : จากการที่ผมเดินตระเวนถ่ายรูปไปมาทั่วจะแทบทั้งรีสอร์ทก็พบว่าไม่มีส่วนไหนที่เห็นแล้วรู้สึกขัดตาครับ สะอาดสะอ้านทั้งบริเวณส่วนกลางและภายในห้องเลย


สิ่งอำนวยความสะดวก : มีมาให้ครบๆ และเรียกว่าเหนือกว่าหลายๆ ที่เลยทั้งภายในห้องและนอกห้อง โดยการที่ภายในห้องมีเครื่องเล่น DVD พร้อมให้ยืมแผ่นหนังฟรี, มีแผงควบคุมปรับไฟที่แสนสะดวกสบาย, มีอ่างอาบน้ำและ Shower Box, มีร่ม เครื่องชั่งน้ำหนักกับอื่นๆ อีกมากมาย ก็ทำให้ได้คะแนนในส่วนนี้ไปมากแล้ว และเมื่อนำไปรวมกับสิ่งต่างๆ ภายนอกห้องทั้งสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ, สระว่ายน้ำ, สปา, Fitness, Kids Club, ห้องสมุด, กิจกรรม Workshop และการเปิดบริการให้ยืมชุดไทยเพื่อถ่ายรูปภายในรีสอร์ทฟรี ก็ยิ่งทำให้คะแนนในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว อ้อ......ในส่วนเรื่องสัญญาณ wifi นั้น ก็ถือว่าดีเช่นกันครับ ความเร็วอยู่ในเกณฑ์ดี ความเสถียรนั้นดีมาก แทบไม่มีการหลุดเลย ที่สำคัญในการเข้าพัก 1 ห้อง เรายังสามารถต่อสัญญาณ wifi ได้ถึง 4 เครื่องเลยครับ

ความสะดวกในการเดินทาง : สำหรับที่พักที่อยู่ในหัวหินนั้นผมจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กันอยู่แล้วว่าคนส่วนมากที่จะไปพักก็คงจะมีรถส่วนตัวเป็นหลักอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนักหากที่พักจะอยู่เลยออกมาทางด้านนอกเมืองหน่อย โดยผมจะให้ความสำคัญกับความชัดเจนของป้าย, ขนาดของซอย, ความสงบและเรื่องของที่จอดรถมากกว่า ซึ่งวรบุระเองก็สอบผ่านในหัวข้อเหล่านี้ครับ

การนอนหลับพักผ่อน : หลับสบายดีครับ แม้เตียงและหมอนจะไม่นุ่มมากเหมือนกับหลายๆ ที่แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบทำให้นอนไม่หลับแต่อย่างใด ส่วนเรื่องความเย็นของแอร์ ความแรงของน้ำก็อยู่ในเกณฑ์ดีครับ


การบริการของพนักงาน : ข้อนี้เป็นอีกข้อที่ทางวรบุระทำคะแนนได้ดีครับ พนักงานส่วนใหญ่อัธยาศัยดี บริการดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสและพยายามเข้ามาช่วยเหลือเสมอๆ

อาหารเช้า : ปริมาณอาหารในไลน์นั้นอยู่ในเกณฑ์ปานกลางค่อนไปทางเยอะ และอาหารหลายๆ อย่างถือว่าแปลกและน่าสนใจกว่าไลน์อาหารหลายๆ ที่ ส่วนในเรื่องของรสชาตินั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจนถึงดีมาก

สรุป : Wora Bura Huahin Resort & Spa เป็นหนึ่งในรีสอร์ทที่ผมจะนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ หากผมต้องการไปพักผ่อนที่หัวหินและไม่ได้ซีเรียสเรื่องการต้องพักใกล้ๆ กับตลาดหรือในเมือง และด้วยจุดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล, ความอร่อยของอาหาร, การบริการที่ดีของพนักงาน และกิจกรรมต่างๆ ภายในรีสอร์ทที่น่าสนใจ น่าจะทำให้ที่พักแห่งนี้เป็นที่ถูกใจของหลายๆ คน โดยเฉพาะชาวต่างชาติ, คู่รักที่ต้องการมาเติมความหวาน, ครอบครัวที่ต้องการมาพักผ่อนในช่วงวันหยุด, กลุ่มคนที่อยากมาดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ โดยที่ไม่ต้องปวดหัวกับกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ รวมไปถึงกลุ่มคนที่ชอบถ่ายรูปและอยากจะได้ภาพ Profile เก๋ๆ สวยๆ ไปเปลี่ยนใหม่ครับ ส่วนกลุ่มคนที่น่าจะไม่เหมาะไม่ถูกใจกับที่พักแห่งนี้ก็น่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการที่พักแบบชิคๆ ดูสนุกสนาน มี Activities แบบสนุกสุดเหวี่ยง รวมไปถึงกลุ่มคนที่ต้องการพี่พักราคาประหยัดครับ

ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ.

ภรรยาหา สามีใช้

 วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.14 น.

ความคิดเห็น