สวัสดีค่า พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆทุกท่าน
ช่วงนี้ก็เรียกได้ว่าห่างจากรีวิวไปพักใหญ่ๆเลย ตอนแรกกะจะพักผ่อนสักพักแล้วค่อยเริ่มเดินทางกันใหม่ ความคิดนี้อยู่ในหัวแค่ไม่นานนัก ก็มีเสียงโทรศัพท์จากพี่ชาย ชวนเข้าร่วมโครงการ THE AMAZING JOURNEY BLOGGING CONTEST 12 เมืองต้องห้ามพลาด ซึ่งเป็นกิจกรรมดีๆจาก ททท เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ฟังไม่ทันได้ศัพท์ก็รีบตบปากรับคำทันที ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่า เค้าจะให้ทำอะไร 5555 หลังจากนั้นพอทราบถึงรายละเอียดก็น่าสนใจมากๆ


\\

ถึงเวลาก็จะต้องมีการจับฉลากลุ้นว่าทีมของเราได้ทำจังหวัดไหน และเลขที่ออกก็คือ ………… จ ราชบุรี ค๊าาาา 55555

คือส่วนตัวอิ้มเองเที่ยวราชบุรีบ่อยอยู่แล้ว โดยเฉพาะ อำเภอสวนผึ้ง

แต่ก็ยังไม่เคยไปอำเภออื่นสักที ถามใครก็ยังไม่ค่อยมีใครได้ไปเที่ยวราชบุรี อย่างจริงจัง

สักเท่าไหร่ เอาล่ะสิ ความอยากเที่ยว เอ้ย อยากรู้ เกิดขึ้นมาในฉับพลันทันที

ยิ่งคอนเซป ของเมืองราชบุรี ได้ที่ชื่อว่าเป็น ชุมชนคนอาร์ต ยิ่งทำให้อยากที่จะได้ไปสัมผัส

ว่าที่นี่จะอาร์ตยังไง พอคุยกับพี่ๆเป็นอันลงตัว อิ้มก็ได้รับโจทย์มาเป็น อ.สวนผึ้ง

แล้วตอนนี้ได้ว่าอากาศช่วงนี้กำลังดีฝนตกเบาๆ เย็นสบาย เลยรู้สึกว่าอยากไปพักผ่อน

ใกล้ๆกรุงเทพสักนิด

แล้วถ้าใกล้กรุงเทพ แล้วอากาศดีๆ

คุณจะนึกถึงที่ไหน ???

ต้องที่นี่เลยค่ะ

สวนผึ้งราชบุรี ดินแดนขุนเขาและสายหมอก ตรอกธารและทุ่งหญ้า

จากตอนที่แล้วที่พี่นุ้ยได้พาเราไปเที่ยวชมความอาร์ตในอำเภอ เมือง และ อำเภอดำเนินสะดวก

มาแล้ว ตามรีวิวนี้เลย http://pantip.com/topic/34061719

ตอนที่สองนี้ ราชบุรี เคยไปป่ะ Ep.2 อิ้มจะพาทุกคนไปเที่ยวสวนผึ้ง กันอีกครั้ง

คราวนี้จะเน้นไปที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ร้านกาแฟบรรยากาศอาร์ตๆ และที่สำคัญ

อิ้มจะพาไปชมประเพณีกินข้าวห่อ ซึ่งเป็นประเพณีที่หาชมได้ยากมาก จะอินและฟิน จะอาร์ตแค่ไหน

ตามมาเที่ยวพร้อมๆกันเลยค่า :D

ฝากให้กำลังใจและโหวตทีมของพวกเราได้ที่http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T06

ชมคลิปเปิดตัวสั้นๆ ของทีมเราได้เลยนะคะ



และขอฝากอีกหนึ่งช่องทางในการร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว บ้านหลังเล็กๆอีกหนึ่งหลังของ ps story ด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/psstorytrip

ถึงแม้ว่าถ้าพูดถึงสวนผึ้ง หลายๆคนอาจจะรู้สึกเบื่อๆ แล้ว เพราะ อะไรก็คงจะมีแต่แกะ อัลปาก้า แต่จริงๆแล้วถ้ามาเที่ยวสวนผึ้งจริงๆ นอกจากนั้นก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกมากมาย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ และประเพณีที่สวยงาม วันนี้อิ้มจะพาไปชมส่วนหนึ่งของ สวนผึ้งกันค่ะ


สวนผึ้ง เป็นจุดหมายปลายทางที่ไปได้ง่ายใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ แค่ 2-3 ชั่วโมงโดยการขับรถ

ก็จะพบกับเมืองเล็กๆ ที่แสนจะโรแมนติก ปัจจุบัน สวนผึ้งมีรีสอร์ทมากมาย ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่

ที่สำคัญ สวยๆทุกที่เลยค่ะ

นอกจากนั้นแต่ละที่ ก็มีดีไซน์และโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแต่ละที่ก็มีศิลปะที่นำมาประยุกต์ใช้

ได้อย่างสวยงาม อ.สวนผึ้ง แห่งนี้ จึงเรียกได้ว่า รวบรวม ความอาร์ต

ในเรื่องสถาปัตยกรรมของรีสอร์ทต่างๆ ไว้อย่างมากมาย

ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า ที่กล่าวมา คือ ความอาร์ต ของที่นี่จริงๆ

เอื้อนเอ่ย วาจามายืดยาวแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางมาเที่ยวแบบอาร์ตๆ กันเลยจ้า

แน่นอน สถานที่ ที่เวลาเรามาสวนผึ้ง แล้วเรียกว่า อาร์ตๆๆๆๆๆๆๆ เจ๋งๆ

ผ่านไปใครมาก็ต้องแวะ ก็เห็นจะเป็นที่นี่เลย

"บ้านหอมเทียน"

บ้านหอมเทียน สถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงยอดฮิต และเรียกว่าเป็นยุคบุกเบิกใน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2547 แหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องหลายคนที่มาเยี่ยมเยือน ด้วยผลงานสร้างสรรค์ศิลปะเทียนกลิ่นหอมในรูปแบบต่างๆ สีสันแปลกตา

และจุดวางเรียงรายตามจุดต่างๆ ทำให้ดูสวยงามและโรแมนติก

ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยว ที่มาชมอย่างมาก

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ภายในครอบครัว ที่ผลิตเทียนภายใต้ แบรนด์ Ratchanikorn Candle ทำให้เป็นที่สนใจของคนพบเห็น ยิ่งเห็นมาก ยิ่งสนใจมาก ทำให้ กิจการเทียนหอมดีมากขึ้น

จนต้องขยายเปิดเป็นกิจการที่ใหญ่ขึ้น อันเป็นจุดเริ่มต้นของบ้านหอมเทียน

และภายในบ้านหอมเทียนนี้ ไม่ได้มีความอาร์ต เฉพาะเทียนหอมเท่านั้น ยังมีศิลปะหลากหลายแขนง ที่รวบรวมไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น

ภาพวาด

การเพ้นท์ลวดลายต่างๆ ลงบนเสื้อ กระเป๋า

หรือใครอยาก ทดลองทำเทียน ที่นี่ก็มีบริการให้ทดลองนะคะ เลือกได้เลยว่าอยากปั้นแบบไหน

มีราคาบอกตามป้าย และก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำและสอนวิธีการทำเทียนอย่างใกล้ชิด

ใช้เวลาแค่ 10-15 นาที เราก็จะได้มีเทียนเป็นของตัวเองแล้ว

จะนำไปตั้งโชว์ที่บ้าน หรือจะให้เป็นของฝาก ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น

เอาที่สบายใจเลยจ้า 5555

ชมวิธีการทำเทียนหอมได้ที่นี่เลยจ้า

นอกจากนั้น ภายในบ้านหอมเทียน ยังมีมุมที่ ตกแต่งด้วยของเก่าสะสมหายาก

ภาชนะสังกะสี ตะเกียงโบราณ ของเล่นเก่า ฯลฯ น่าจะถูกใจสำหรับนักสะสม

หลายๆชิ้น ยิ่งดูยิ่งนึกถึงวันเก่าๆ เลยค่ะ นึกถึงคุณปู่ คุณย่า คุณยาย สมัยนั้นจำได้ว่า แก้ว จาน ช้อน หลากสีนี้ ก็มีทั่วไป ให้ได้เห็น


มุมนี้เรียกว่า ทำเอาฟันผุ ไปหลายซี่เลยนะคะ จำได้คร่าวๆ ว่าเคยซื้อลูกอม ในราคา 4 เม็ดบาท

จนตอนนี้ 3 เม็ด 2 บาท ไปแล้ว

อีกจุดหนึ่งที่ใครๆหลายคนชอบมา ก็คงจะเป็นมุมถ่ายรูปเก๋ๆ และแบล็คกราวน์สวยๆ

ที่เรียกว่าพอถ่ายรูปลงเฟสปุ๊ป เพื่อนๆ เป็นต้องพูดว่า "ที่ไหนอ่ะแกรรร อาร์ตมากๆๆๆ"

นั่งมองวิวไปเพลินๆ ก็เห็นเขากระโจมอยู่ไกลลิบๆ นั่นคือจุดมุ่งหมายของเราในวันพรุ่งนี้ค่ะ

การเดินทางมาเที่ยวช่วงเวลานี้เสาร์อาทิตย์ อาจจะคนเยอะสักนิด ถ้ามาวันธรรมดา

รับรองฟินกว่าแน่ๆค่า

ได้เวลาอำลา บ้านหอมเทียน แต่ทุกๆครั้งที่อิ้มมาสวนผึ้ง ก็ต้องมาแวะที่นี่ทุกครั้ง

ไม่งั้นจะรู้สึกว่ามาไม่ถึง อาจเพราะที่นี่มี เสน่ห์ เป็นที่เดินเล่นพักผ่อนเพลินๆ ชมศิลปะเล็กๆ

เท่านี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ

บ้านหอมเทียน
ประเภท : จำหน่ายเทียนหอม เดินเที่ยวชม ถ่ายรูป ของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ
ที่อยู่ : 210 หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
โทรศัพท์ : 081-8411895 , 085-8457379 , 081-9958144
เปิดบริการ : จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30 น. – 19.00 น. / เสาร์-อาทิตย์ เวลา 8.30 น. – 20.30 น.
ค่าเข้าชม : 50 บาท สามารถนำคูปองเข้าชมไปแลกซื้อเทียนหอมได้ 1 ชิ้น

อ้าววว เดินเที่ยวกันมาเพลินๆ ก็ต้องหิวแล้วใช่ไหมจ้ะ มาเที่ยวสวนผึ้งยังไง ก็ต้องห้ามพลาด

ร้านนี้ "ครัวม่อนไข่" ร้านนี้มีชื่อเสียง เพราะรสชาติอาหารอร่อยถูกปาก อีกทั้งราคาเบาๆ

อิ่มสบายท้องและสบายกระเป๋าด้วยจ้า ปกติสั่งข้าวสวย วันนี้อาร์ตหน่อย สั่งข้าวผัดขมิ้น

อิอิ ไม่เกี่ยวกันเลย


ยำผักกูด ก็อร่อยเคี้ยวเพลิน

ผัดเห็ดไหมจ้ะ

ซด ต้มยำปลาคังน้ำใสกันหน่อย โล่งคอสุดๆ

ตบท้ายด้วย ปลาคังผัดฉ่า รสชาติดุเด็ดเผ็ดมัน

ของคาวครบ ก็ต้องจบด้วยของหวาน มองมายังฝั่งตรงข้ามก็มีร้านกาแฟน่ารักๆ

ชื่อว่า Amante Coffee (อามันเต้ คอฟฟี่)

เนื่องจากยังอิ่มท้องกันอยู่ เลยสั่งแค่เครื่องดื่มเย็นๆมาทาน ชาเขียวเย็นแก้วนี้ อร่อยเชียวค่ะ

จริงๆ ที่ Amante Coffee (อามันเต้ คอฟฟี่) นี้มีสวนกระต่ายด้วย แต่วันที่อิ้มไปปิดปรับปรุง

เลยอดชม ได้แต่เก็บมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ของร้านมาฝากแทนจ้า

เถลไถลมาพอสมควรได้เวลา เข้าที่พักกันแล้วค่ะ

วันนี้อิ้มและพี่ๆเข้าพัก ASHCARYA BOUTIQUE RESORT รีสอร์ทสุดชิค บรรยากาศดีมากกก โอบล้อมไปด้วยภูเขา เงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อน เป็นอีกรีสอร์ทนึงที่มีความอาร์ต สูงมาก ภายนอกอาจจะยังไม่อาร์ต แต่ภายใน ตกแต่งได้อาร์ต สมกับเป็นฺ BOUTIQUE RESORT จริงๆ

การเดินทางครั้งนี้ ขอบอกเลยว่ามีสายฝนและสายหมอก อยู่เป็นเพื่อนตลอดทริป ชุ่มชื่นชุ่มช่ำ

มาเที่ยวที่นี่ไม่จำเป็นต้องมาหน้าหนาวนะคะ มาเที่ยวกันหน้าฝนก็ได้อีกบรรยากาศนึง

รับรองสวยไม่แพ้กันเลยค่ะ

มองดูนาฬิกา ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว ความสุขผ่านไปเร็วเสมอ

แต่การเดินทางของเราในวันนี้ยังไม่จบง่ายๆ เวลา บ่าย 3 โมง จุดมุ่งหมายถัดไป

นั่นก็คือ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ของอำเภอสวนผึ้งนั่นก็คือ "จุดชมวิวห้วยคอกหมู"

จุดชมวิวห้วยคอกหมู ตั้งอยู่พื้นที่หมู่ที่ 4 ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

สูงจากระดับน้ำทะเล 867 เมตร ในฤดูแล้งอากาศเย็น ฤดูฝน ฝนตกชุก

ในส่วนของฤดูหนาว อากาศค่อนข้างจะหนาวมาก อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยวัดได้ประมาณ 3 องศาเซลเซียส เส้นทางอาจจะค่อนข้างสมบุกสมบัน กว่า 8 กิโลเมตรที่เป็นถนนลูกรัง

ยิ่งหน้าฝนแบบนี้แล้ว ค่อนข้างอันตราย ไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นไปเองนะคะ

เพราะการเดินทางขึ้นไปนั้นค่อนข้างลำบาก แนะนำให้ไปกับพี่ๆกลุ่มรักษ์เขากระโจมดีกว่า

ซึ่งเราสามารถติดต่อผ่านรีสอร์ทได้เลยค่ะ ส่วนวันนี้เราจะขึ้นจุดชมวิวห้วยคอกหมู

ไปด้วยรถคันนี้นะคะ

เดินทางไม่นานประมาณ 20 นาที เราก็มาถึงแล้วค่ะ

อยู่ด้านบนนี้ สัญญาณโทรศัพท์ มีตรงนี้ที่เดียวนะจ้ะ

เดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร พื้นที่เป็นป่าไผ่ อุดมสมบูรณ์ หน้าฝนช่างชุ่มช่ำเหลือเกินค่ะ

น่าเสียดายที่วันนี้อากาศไม่เป็นใจ ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้ชมพระอาทิตย์ตกจาก

จุดชมวิวห้วยคอกหมูแห่งนี้

ชมวิวห้วยคอกหมู เป็นพื้นที่ชายแดนไทยติดกับประเทศพม่า มีเทือกเขาตะนาวศรีกั้นพรมแดนระหว่างประเทศ ทางทิศตะวันตก โดยติดกับพื้นที่จังหวัดมะริด ประเทศพม่า จุดชมวิวห้วยคอกหมูเป็นพื้นที่ที่เป็นสันเขาตะนาวศรี ที่แหลมยื่นเข้าไปติดกับชายแดนของประเทศพม่า ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2539 พื้นที่ช่องทางห้วยคอกหมู จึงเป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการความรับผิดชอบของตำรวจตะเวนชายแดน 137 ในการเฝ้าตรวจและควบคุม ภูมิประเทศที่สำคัญในช่องทางห้วยคอกหมู เป็นต้นมา


ต่อมาในปี พ.ศ.2549 องค์การบริหารส่วนตำบลตะนาวศรี ได้ร่วมกับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน 137 ได้พัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นแหล่งทัศน์ศึกษา ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์

และอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่สามารถเที่ยวชมมองเห็นภูมิทัศน์และอณาเขตประเทศไทยกับพม่า

ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกในเวลาเช้าและเย็น ได้อย่างสวยงาม

และมีอากาศหนาวเย็นมากในฤดูหนาวสามารถชมทะเลหมอก ได้อย่างงดงามอีกด้วย

หน้าหนาวปีนี้ต้องรีบมาจับจองพื้นที่นะคะ

เป็นอีกจุดที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบล่าทะเลหมอก

ถึงแม้จะไม่มีพระอาทิตย์ให้เห็น ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะข้างบนนี้สวยงามและเงียบสงบ

แถมอากาศก็สดชื่นมากๆเลย

สูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด ก่อนกลับไปที่รีสอร์ทเพื่อทานอาหารเย็นค่ะ

เช้าตื่นตั้งแต่ตีห้า ด้วยความหวังลางๆ ว่าจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น

แต่ก็แอบมีสัญญาณเตือนเบาๆว่า เมื่อคืนฝนทางกระเขากระโจมตกหนักขึ้นไปอาจจะไม่เห็นอะไร แต่พวกเรา TTBN 06 กลัวที่ไหน 55555 เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องขึ้นไปสักหน่อย

ระหว่างการเดินทาง เห็นแสงพระอาทิตย์ไรๆ พอสักพักฝนเทกระหน่ำลงมาเลยจ้า

แน่นอน การเดินทางขึ้นเขากระโจมครั้งนี้ เรายังเดินทางกับพี่ๆกลุ่มรักษ์เขากระโจม

ซึ่งปลอดภัยหายห่วงค่ะ แต่ๆๆๆๆๆ สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ รถของเราก็ติดหล่มซะงั้น

พี่คนขับเล่าว่า บางคนไม่ชิน และประมาท ไม่เชื่อฟัง เวลาขับก็อาจจะเกิดอันตรายได้

ยิ่งช่วงหน้าฝนแบบนี้ ถ้าไม่ชำนาญทาง ไม่แนะนำเลยค่ะ


ตอนนี้เรามาติดหล่ม ตรงบริเวณ ที่เรียกว่าสุดหิน ที่มีชื่อว่า เนิน 800 จากนั้นเราต้องเดินเท้าต่อเพื่อไปให้ถึงเนิน 1000 ค่ะ ถึงแม้ความหวังที่จะชมทะเลหมอกไม่มีแล้ว แต่มาถึงแล้วนี่

ก็ต้องเดินต่อไปสิคะ รออะไร

เมื่อมาถึงก็มีพี่ๆกลุ่มอื่น ที่มาพักตั้งแต่เมื่อคืน ดูรถพี่ๆเค้า เจ๋งมากๆ

เขากระโจม เขากระโจม ที่นี่วัดระดับความสูง 1,045 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ตั้งอยู่ในแนวสุดเขตประเทศไทย ภาคตะวันตก ซึ่งปัจจุบันเขากระโจมจึงกลายเป็นจุดชมทะเลหมอกที่กำลังนิยมมาก เพราะใกล้กรุงเทพฯ เสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ประทับใจนั่นก็คือ หนทางที่สมบุกสมบันยากลำบาก แต่ก็ลุ้นระทึกตลอดเส้นทาง

เขากระโจม ที่มีบางคนเรียกว่า เขาช่องกระโจม นั้น คนพื้นที่เล่า ให้ฟังว่า ชาวกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินบริเวณนี้มาก่อนเรียกชื่อว่า เขาลันดา ซึ่งหมายถึง ภูเขาที่มีที่ราบ

คนไทยรุ่นที่ไปทำเหมืองแร่ดีบุกที่นั่นย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน

เห็นรูปลักษณะของเขาว่าคล้าย กระโจมอินเดียนแดง ก็เลยเปลี่ยนชื่อให้เป็น เขากระโจม

เขากระโจม ห่างจาก อ.สวนผึ้งประมาณ 29 กม. ห่างจาก จ.ราชบุรี ประมาณ 69 กม.

และ ห่างจากพม่า 1.9 กม. เขากระโจมจึงเป็น สถานที่แห่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

เพราะเป็นยอดเขาสูงสุดในเทือกเขาตะนาวศรี คือจุดชมวิวเขากระโจม

ซึ่ง สามารถ มองเห็นทั้งประเทศไทยและประเทศพม่า มีไม้ป่านานาชาติ อากาศเย็นสบาย

อุณหภูมิหนาวเย็นทั้งปี เหมาะ สำหรับนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบธรรมชาติป่าเขาและรักการผจญภัย

ที่เขากระโจมยังเป็นจุดชมทะเลหมอกและ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกที่สวยงามของสวนผึ้ง

ในช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงที่จะเกิดทะเลหมอกมากที่สุด ระยะทางจากตีนเขาถึงยอดเขา

เป็นระยะทาง 10 กม. การขึ้นไปที่เขากระโจม ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อขึ้นเท่านั้น

เนื่องจากว่าเส้นทางขึ้นเขากระโจม นั้นสูงชันและ สมบุกสมบัน

บางช่วงยังต้องลุยน้ำที่สูงถึงครึ่งคันรถ หรือหากไม่มีรถขับเคลื่อน 4 ล้อ

สามารถนำรถไปจอดยังปากทางขึ้นเขากระโจม และใช้บริการรถจากกลุ่มผู้ให้บริการรถ 4X4

"กลุ่มรักษ์เขากระโจม" ในราคาเหมาคัน ขึ้นลง 1,500 บาท หรือค้างคืนคันละ 2,500 บาท

อยู่ไปนานๆ เห็นทีว่าฝนจะไม่มีแววหยุด ได้เวลาเดินทางกลับแล้วค่ะ เอาไว้มีโอกาสจะแวะมาใหม่

แต่มีป้าคนนึงบอกว่า มาตั้งแต่เมื่อวันก่อน เมื่อวานตอนเช้าทะเลหมอกสวยมากเลยลูก

เอิ่มๆๆ ได้แต่แอบน้อยใจ ทำไม๊ ทำไม โชคไม่ดีเลยชั้น หลังจากลงรถมาแล้ว

หันหลับไปทางที่เราได้ฝ่าฟันมา ได้แต่พึมพำ กับพี่ๆ ว่า นั่นคือถนนใช่ไหม 55555

หลังจากชมวิวทิวทัศน์บนยอดเขากระโจมแล้ว ระหว่างทาง ยังสามารถแวะชม "น้ำตกผาแดง" เดินเท้าเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก่อนจะพบกับสายน้ำตกขนาดกลางไหลผ่านหน้าผาหินสีแดง อันเป็นที่มาของชื่อ "น้ำตกผาแดง" ท่ามกลาง ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น หากมาในช่วงหน้าฝนจะมีทากต้องเตรียมอุปกรณ์กันทากมาให้พร้อมนะจ้ะ แต่อิ้มไม่แวะเข้าไป เพราะฝนตกแรง

และระหว่างทางลง จะมี "เนินมหัศจรรย์ " เมื่อจอดรถยนต์ตรงเนินมหัศจรรย์ รถยนต์จะค่อยๆ ไหลขึ้นเนินเอง โดยที่ไม่ต้องติดเครื่องยนต์หรือใส่เกียร์เดินหน้าเลย ซึ่งพอเราถึงเนินมหัศจรรย์นี้จะมีป้ายบอกไว้ แต่อิ้มไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ เพราะฝนตกแรงมาก ระหว่างทางกลับรีสอร์ท

ก็ได้มาเห็นหมอกสวยๆ จางๆ บรรยากาศดีมากกกกกกก ใส่ ก ล้านตัว

บรรยากาศดี๊ดี ที่ใกล้กรุงแค่เอื้อม

กลับมาที่รีสอร์ทเพื่อเติมพลัง อีกนิดค่ะ

ใกล้ๆเที่ยง พวกเราแวะทานขนม ที่ร้านต้นขนมหวานสะพานกาแฟ

ร้านต้นขนมหวานสะพานกาแฟ แห่งนี้บรรยากาศดี ตกแต่งน่ารัก มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะเชียว

ได้มุมนั่ง ก็ สั่งกาแฟมาทานสักหน่อยดีกว่าค่ะ

เค้กช็อกโกแลต เพิ่มความหวานให้ร่างกาย


หรือจะรับเป็น บลูชีสพายดีคะ

เสร็จจากบ้านต้นขนมหวาน ก็อดไม่ได้ที่จะแวะ Scenery ก็นี่มันไฮไลต์ของสวนผึ้งอีกจุดนึง

ถ้าใครไม่เคยมาจะหาว่าไม่อาร์ตไม่รู้ด้วยนะ

ขับรถมาอีกหน่อย สวนผึ้งก็มีตลาดน้ำเหมือนกันนะจ้ะ ที่นี่มีชื่อว่า "ตลาดน้ำเวเนโต้"

ตลาดน้ำเวเนโต้แห่งนี้ มีการจำลองบรรยากาศอันแสนโรแมนติกของ Venice

ที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่กว่า 20 ไร่อยู่ในพื้นที่ ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแนวกรีซ

แบบ Santorini ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "ราชินีแห่งเมดิเตอร์เรเนียน"

ด้วยความโดดเด่นของตัวอาคารสีขาวสะอาดตา ตัดกับสีน้ำเงินสด

เรียกว่ามีเอกลักษณ์และรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ใครมาที่นี่ก็อดหลงรักไปได้ไม่น้อยเลยนะคะ


เสร็จจากเวเนโต้แล้ว ก่อนกลับ อิ้มได้มีโอกาสชมการแสดงและชมประเพณี ที่มีมาช้านาน

และเป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งคนทั่วไปอาจจะยังไม่ค่อยรู้

ซึ่งสวนผึ้งเอง ก็มีชาวกะเหรี่ยง อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหมู่บ้านกันเลยทีเดียวค่ะ จริงๆมาสวนผึ้ง เพราะอยากชมประเพณีนี้โดยเฉพาะเลย

เทศกาลนี้ก็คือ ประเพณีกินข้าวห่อ หรือ อั้งหมี่ถ่อง สวนผึ้ง ราชบุรี นั่นเองค่ะ

มาถึงก็พบน้องๆ ชาวกะเหรี่ยงจากบ้านบ่อหวี ต้อนรับและกล่าวทักทาย ว่าสวัสดี

เป็นภาษากะเหรี่ยง ฟังแล้วรู้สึกถึงความสดใสและไร้เดียงสา ของเด็กๆกลุ่มนี้จริงๆ

วันนี้เราจะได้ชมการแสดง รำสานเสื่อ ซึ่งเป็นการละเล่นของเด็กๆ ก่อนเข้าสู่พิธีการด้วยค่ะ

การละเล่นนี้ จะแสดงออกถึงความสามัคคี โดยเด็กจะรำโดยใช้เชือกเป็นสีธงชาติ

รำและสานให้เป็นเส้นเดียวกัน

ระหว่างการแสดง นอกจากความสวยงาม เรายังได้รับรอยยิ้มซึ่งแสดงออกถึงความสนุกสนาน

การแสดงชุดนี้ ต้องใช้ความสามัคคีเป็นอย่างมาก เพราะไม่งั้น จะสานเป็นเส้นเดียวกันไม่ได้เลย

จบการแสดงชุดแรกไปแล้ว ชมชุดที่สองต่อค่ะ ชุดนี้เรียกว่า รำกะเหรี่ยงกระทบไม้

ฝึกฝนกันมาอย่างดี ไม่มีใครพลาดเลยค่า



จบการแสดงด้วยการมอบหัวใจเล็กๆให้ผู้ชม หันมองรอบข้าง

สร้างรอยยิ้มให้ผู้คนได้เป็นอย่างมาก

เสร็จจากชมการแสดง เตรียมตัวเข้าสู่ประเพณีค่ะ
ประเพณีกินข้าวห่อ หรือ อั้งหมี่ถ่อง สวนผึ้ง ราชบุรี "ประเพณีกินข้าวห่อ"

หลายๆท่านคงไม่ค่อยจะได้ยินประเพณีนี้สักเท่าไหร่ จริงๆแล้วประเพณีกินข้าวห่อ หรือ อั้งหมี่ถ่อง นี้ เป็นพิธีสู่ขวัญจัดขึ้นในช่วงเดือนเก้าเป็นประเพณีที่มีมาช้านาน ของชาวกะเหรี่ยง

เพราะชาวกะเหรี่ยง ถือว่าเดือนเก้าเป็นเดือนไม่ดี บรรดาวิญญาณชั่วร้ายจะออกหากิน

และเชื่อว่าวิญญาณเหล่านั้นจะกิน
" ขวัญ "

ซึ่งทำให้เจ็บป่วยหรืออาจถึงแก่ชีวิตได้ ชาวกระเหรี่ยงจึงจัดประเพณีนี้ขึ้นมาเพื่อสู่ขวัญ

"ประเพณีกินข้าวห่อ" นี้นิยมจัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนเก้า แต่ถ้าบางหมู่บ้านไม่สะดวก

ก็เปลี่ยนเป็นวันอื่นก็ได้ในเดือนเก้า ในพิธีจะมีการ " ต้มข้าวห่อ"

เลี้ยง ข้าวห่อคือ ข้าวเหนียวห่อเป็นกรวย แล้วนำมาต้มให้สุกคล้ายขนมจ้าง

สมัยก่อนเวลารับประทานใช้จิ้มน้ำผึ้ง ปัจจุบันใช้จิ้มมะพร้าวขูด

ในวันต้มข้าวห่อนี้จะมีพิธีสู่ขวัญด้วย เริ่มด้วยการเคาะไม้เป่าแคน เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน จากนั้นผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวจะใช้เชือกแดงผูกข้อมือให้ลูกหลานเพื่อความเป็นสิริมงคล

เด็กๆ ดูจะตื่นเต้นกับประเพณีนี้มากกว่าใคร

เห็นไหมคะว่านี่คือประเพณีอีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจ น่าอนุรักษ์เอาไว้ ใน อ.เล็กๆแห่งนี้

ซึ่งประเพณีที่เราเห็น หาไม่ได้แล้วจากในเมือง

ซึ่งชนเผ่านี้ยังยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมและรักษาสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

และประเพณีนี้ก็เปรียบเสมือนการได้กลับมาพบปะกับญาติๆ ซึ่งถ้าใครออกไปทำงานที่อื่น

ก็จะใช้ช่วงเวลานี้กลับมาเติมเต็มความสุขให้ครอบครัว

เก็บเกี่ยวความสุขจนล้นหัวใจแล้ว ขากลับพูดเลยว่ามองเห็นร้านกาแฟร้านนี้

ก็อดที่จะแวะลงไปถ่ายรูปไม่ได้ ร้านนี้มีชื่อว่า moai coffee จ้า

เติมพลังก่อนกลับ

ทิ้งท้ายไว้กับบรรยากาศภายใน ซึ่ง อาร์ตมากๆๆๆๆ

ก่อนรีวิวนี้จะจบลง ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนมาถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์

ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกแชร์ เป็นกำลังใจที่ดีในการทำรีวิวมากเลยค่ะ

ถ้าชอบก็ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยค่ะ

อัพเดทเรื่องกิน เช็คอินเรื่องเที่ยว ได้ที่นี่ psstory เรื่องราวดีๆในการเดินทาง

และถ้าชอบรีวิวของเราฝากโหวตและให้กำลังใจพวกเราได้ที่ http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T06

และสุดท้ายท้ายสุด ขอขอบคุณ ททท ที่จัดโครงการ

THE AMAZING JOURNEY BLOGGING CONTEST 12 เมืองต้องห้ามพลาด

ขอบคุณสปอนเซอร์หลักในโครงการนี้ทุกท่าน

ซึ่งโครงการนี้ทาง ททท. เป็นผู้คัดเลือก 12 ทีม เพื่อเดินทางไปยัง 12 เมืองต้องห้าม…พลาด
ได้แก่ ลำปาง น่าน เลย บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ ตราด จันทบุรี สมุทรสงคราม ราชบุรี ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช

และเตรียมตัวพบกับรีวิวชุมชนคนอาร์ต อีกหนึ่งเส้นทางสุดท้าย ของราชบุรี เร็วๆนี้ค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะค๊าา สวัสดีค่ะ

psstory

 วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.12 น.

ความคิดเห็น