สะ บาย ดี " หลวงพระบาง " Part 2 : A New day In Luang Prabang
07 DECEMBER 2016
: แสงเช้าริมแม่น้ำคาน ແມ່ນໍ້າຄານ ຫຼລວງພະບາງ:
วันนี้เราตื่นแต่เช้าเพื่อไปเดินเล่นรับแสงเช้าริมฝั่งแม่น้ำคานกัน ตอนเช้าๆที่หลวงพระบางนั้นเงียบสงบมาก มีเพียงไม่กี่ร้านที่เปิดในตอนเช้าแบบนี้ เรากำลังมองหาร้านกาแฟแนวชิคๆริมแม่น้ำคานดูเพื่อพระอาทิตย์ขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเราจะตื่นเช้าเกินไป..
ฝั่งที่อยู่ด้านขวาเป็นฝั่งแม่น้ำคาน แต่เป็นที่อยู่อาศัยและร้านค้า
มีบางร้านเปิดขายแล้วส่วนใหญ่เป็นร้านค้าบ้านๆของที่นี่ พวก Cafe ยังไม่เย่อะ
เราเดินต่อไปเรื่อยๆเลาะริมทางที่มีแม่น้ำคานทอดยาวไปบรรจบแม่น้ำโขง เช้านี้มีหมอกเย่อะพอสมควร อากาศเย็นสบายเหลือเกิน เราต่างคาดหวังว่าเราจะได้เจอพระอาทิตย์ขึ้น แม้ว่าหมอกเช้านี้จะดูไม่เป็นใจ
บริเวณที่เห็นลิบๆของโค้งแม่น้ำจะไหลเลี้ยวไปบรรจบแม่น้ำโขงอีกที
วิถีชีวิต : ข้าวสวยเอามาตากแดดบนสังกะสี
ในโซนริมแม่น้ำคานจะค่อนข้างเงียบกว่าริมแม่น้ำโขง จากที่เดินหาที่พักริมแม่น้ำโขงเมื่อวาน ดูคึกคักมากทั้งนักท่องเที่ยวและร้านค้า ผิดกับฝั่งแม่น้ำคานเลย เดินเล่นชิวๆสบายใจเลย แถมฝั่งนี้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนหลวงพระบางเป็นอย่างดี และรีสอร์ท ร้านนั่งดื่มชิวๆมักจะอยู่ฝั่งนี้
พระและเณรที่หลวงพระบางจะออกบิณฑบาตรกันแต่เช้ามืด
พอเดินไปสักพักก็ได้เจอคุณลุงใจดีคนหนึ่งบ้านแกเป็นร้านค้าอยู่ฝั่งแม่น้ำคานนี้แหละ แกเปิดร้านขายของชำเล็กๆ เรากะว่าจะเดินไปถามเรื่องซิมมือถือ ว่าทำไมถึงใช้เนทของลาวไม่ได้เขาต้องตั้งค่าอะไรยังงัย 55 (โง่กว่าควายก็เรานี่แหละ 555) ปรากฏว่าลุงแกก็ไม่รู้ ฮาาาา เราเลยขอบใจไปแล้วก็จะเดินผละออกมาเพื่อเดินเล่นถ่ายรูปต่อ แต่แกก็ใจดี๊ ใจดี ไม่ปล่อยเราไปสักที แกพูดเก่งมาก เล่าเรื่องเมืองหลวงพระบาง เล่าประวัตินั่นนี่หลายอย่าง เหมือนทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ที่เล่าจากประสบการณ์สมัยเด็กยั้นวัยของตัวเองตอนนี้ ถ้าเป็นไกด์ทั่วไป ก็อาจจะเล่าตามวิชาการที่เล่าเรียนกันมาหรือตามในแบบฉบับของไกด์มืออาชีพ ฟังไปฟังมาก็เพลินดี..
ร้านขายของชำของลุงใจดี
ลุงและพวกเราจากที่ยืนคุยกันสักพัก ลุงเลยถามว่ากำลังจะไปไหนต่อ เรากับเพื่อนเลยบอกว่า กะจะเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆจนถึง " วัดเชียงทอง " แล้วจะเข้าไปในวัดเชียงทอง ซึ่งแกก็ใจดีอาสาพาไปอีกต่างหาก เล่าประวัติบ้านเมืองหลวงพระบางไปแล้ว ก็มีบทสนทนาเกิดขึ้นใหม่นั่นคือเล่าประวัติวัดเชียงทอง และดูคุณลุงแกมีความสุขมาก เดินคุยกันไปช้าๆ อากาศเย็นๆ เจอผู้คนใจดี มันช่างเป็นช่วงเวลาดีๆที่ได้เกิดระหว่างทาง..
เดินไปไม่กลอีกอึดใจก็จะถึงวัดเชียงทองแล้ว
ลุงแกเล่าว่ารีสอร์ทริมฝั่งแม่น้ำคานนี้ส่วนมากเป็นของคนไทย แกบอกเป็นคนรวย คนไทยมาจากเชียงใหม่ มาสร้างที่พักไว้หลายหลัง ไม่ใช่ของคนหลวงพระบางจริงๆหรอก (น้ำเสียงแกดูไม่ค่อยชอบใจเท่าไร แห้ะๆ)
แสงสวยๆริมแม่น้ำคานระหว่างทางเดินไปวัดเชียงทอง
: วัดเชียงทองราชะวรวิหาร ความงดงาม คู่เมืองหลวงพระบาง :
“ธรรมมิกสังคมนิยมแห่งสุดท้าย”
" นักเดินทางหลายๆคนต่างกล่าวยกย่องหลวงพระบางไว้ เช่นนั้น เพราะเมืองหลวงพระบาง แห่งสปป.ลาวแม้จะเป็นประเทศสังคมนิยมแต่ว่าคนหลวงพระบางกับดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งพุทธศาสนาอย่างแนบแน่นและมั่นคง " ขออนุญาตยกบทความจาก เว็บ Manager.co.th
วัดเชียงทอง
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2102-2103 ในสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
นับเป็นตัวแทนของศิลปะสกุลช่างล้านช้างที่งดงามและสมบูรณ์
และนับเป็นวัดสำคัญวัดเดียวที่ไม่ถูกเผาทำลายในศึกฮ่อธงดำบุกปล้นเมืองหลวง
พระบาง ใน พ.ศ. 2428
หลังจากคุณลุงพาเรามาถึงวัดเชียงทองแกก็เดินไปคุยกับคนรู้จักรุ่นเดียววัยเดียวกับแกตรงแถวพระตูทางเข้าวัด เรากล่าวขอบใจไปหลายรอบ แกก็ยิ้มแบบคนแก่ใจดีให้พวกเรา...
ชมบรรยากาศและงานสถาปัตยกรรมศิลปะแบบหลวงพระบางแท้ๆของวัดเชียงทองกันต่อ..
“โหง่” หรือช่อฟ้าในบ้านเราทำเป็นรูปเศียรพญานาคชูคออ่อนช้อย
ภายในวัดเชียงทองประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกลักษณ์ ได้แก่ พระอุโบสถ หรือ
ที่ชาวลาว เรียกว่า
“สิม” พระอุโบสถของวัดแห่งนี้มีพระประธาน ที่ชาวลาว
เรียกว่า
“พระองค์หลวง” มีลักษณะขององค์พระเป็นสีทองอร่ามงดงาม
ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ
พระอุโบสถของวัดแห่งนี้มีพระประธาน ที่ชาวลาว
เรียกว่า
“พระองค์หลวง”
ภาษาลาวเรียกว่า "สิม" ก็คือ พระอุโบสถ
รูปทรงของสิมที่อ่อนช้อยโค้งงาม มีหลังคาซ้อน 3 ชั้นลดหลั่นคลุมต่ำ ถือเป็นแบบฉบับของสิมแบบล้านช้าง
ลวดลายประดับกระจกสีรูปต้นทองที่ด้านหลัง "สิม" วัดเชียงทอง
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
วิหารน้อย หรือหอพระพุทธไสยาสน์
ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของพระอุโบสถ
จุดเด่นของวิหารน้อยคือผนังวิหารด้านนอกที่มีสีชมพูเป็นสีพื้น
และใช้กระจกสีตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตกแต่งต่อกันป็นรูปต่าง ๆ
และเรื่องราวที่เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน
ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์
ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ได้เคยถูกนำไปแสดงที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ในปีพ.ศ. 2474 รวมถึงนำไปประดิษฐานไว้ที่เมืองหลวงพระบางเป็นเวลาหลายปี
ก่อนจะนำมาประดิษฐานที่วัดเชียงทองในปีพ.ศ. 2507
วิหารน้อย หรือหอพระพุทธไสยาสน์
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
วิหารพระม่าน หรือ หอพระม่าน
เป็นวิหารที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังพระอุโบสถ
ผนังด้านนอกของวิหารแห่งนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับวิหารน้อย
โดยผนังด้านนอกของวิหารพระม่านจะทาด้วยสีชมพู และประดับตกแต่งด้วยกระจกสี
แสดงถึงภาพวิถีชีวิตของผู้คน สร้างขึ้นในช่วงปีพ.ศ. 2493
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคกึ่งพระพุทธกาล
ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป นามว่า “พระม่าน”
ที่ชาวลาวให้ความเคารพนับถือ เมื่อถึงช่วงเทศกาลปีใหม่
ประชาชนจะเดินทางมาสรงน้ำและสักการะเป็นประจำทุกปี
และชาวลาวยังเชื่อกันว่า หากใครต้องการมีลูก ให้มาบนบานขอลูกกับพระม่าน
เนื่องจากมีชื่อเสียงว่าประสบผลสำเร็จทุกราย
สำหรับบริเวณด้านหลังของวิหารพระม่านเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาศรีสว่างวงศ์
เรียกว่า “พระธาตุศรีสว่างวงศ์”
วิหารพระม่าน หรือ หอพระม่าน
ลายประดับ“ดอกดวง”หรือกระจกสี
ลายประดับดอกดวงนิทานพื้นบ้านและวิถีชีวิตชาวหลวงพระบาง
สำหรับค่าเเข้าชมภายในวัดเชียงทอง
- ค่าเข้าชม คนละ 20,000 กีบ(ประมาณ 80 บาท)
- เปิดเวลาเข้าชม ตั้งแต่เวลา 06.00 - 17.30 น.
เช้าวันนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่ได้ชมและใกล้ชิดวัดที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อย่างวัดเชียงทองและเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางสมัยล้านช้างอย่างแท้จริง หลังจากที่เราได้ชมวัดเชียงทองนานพอสมควร ก็เริ่มหิวข้าวเช้าจึงเดินวนไปถึงฝั่งที่เป็นแม่น้ำโขงเพื่อหาข้าวเช้าทานกัน
: ร้านประชานิยม ร้านกาแฟคู่แท้เมือง ຫຼລວງພະບາງ:
เช้าวันนี้ตั้งใจเหมือนเดิมว่าจะมาฝากท้องที่ร้านประชานิยมเหมือนเช่นเมื่อวานที่มาถึงหลวงพระบางตอนเช้ามืด แต่วันนี้มาด้วยอารมณ์แจ่มใสเบิกบาน นอนเต็มอิ่ม เดินชมแสงเช้า เที่ยววัดเชียงทอง และได้มากินร้านยอดนิมยมของคนที่นี่และนักท่องเที่ยวนักรีวิวต่างๆ
บริเวณหน้าร้านกาแฟประชานิยม
เมนูสุดฟินของเรา หนีไม่พ้น ข้าวต้มและชานมเย็นกินกับปาท้องโก๋ทอดร้อนๆ ร้านกาแฟเล็กๆแต่มีเสน่ห์มาก เหมือนเป็นสภากาแฟยามเช้าของคนเก่าคนแก่ที่นี่ เสพบรรยากาศไปพร้อมๆกัน
สภากาแฟร้านประชานิยม
เป้าหมายต่อไปคือไปเที่ยวน้ำตกตาดกวางสี บอกตรงๆเลยว่ามาหาที่เที่ยวเอาที่นี่เลย ไม่ได้เตรียมตัวหรือทำการบ้านมาก่อนว่ามาถึงหลวงพระบางเราจะวางแผนเที่ยวที่ไหนดี แค่รู้ว่ามาชิวๆ มาพักผ่อน ไม่เน้นเที่ยวตามจุดต่างๆที่ยาวเป็นลิสท์หางเว่า
หลังจากกินอิ่มก็เดินเล่นมาแถวตลาดพวกขายเสื้อผ้า มือถือสินค้าอิเล็คทอนิคต่างๆแถวริมแม่น้ำคาน ซึ่งน่าจะเปิดร้านกันแล้ว เพราะปัญหาที่เจอคือตอนนี้ยังใช้ Internet จากซิมลาวผ่านมือถือไม่ได้เลย จะอัพเดทอะไรต้องรอให้เพื่อนเปิดWIFI จากมือถือให้ตลอด ฮ่าๆ
แต่แล้วในที่สุดก็เจอคนใจดีที่สามารถทำให้เราเล่นเนทได้ ก็คือน้องๆที่ร้านขายมือถือ น้องเขาเอาไปตั้งค่าอะไรไม่รู้บอกว่าพี่สาวต้องตั้งค่าแบบนี้ บลาๆ สรุปแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ซิมของลาว แต่อยู่ที่คนใช้ที่ไม่รู้เรื่องเอง 555 (อายจัง)
ได้เวลาเช่ามอเตอร์ไซท์เดินทางไปน้ำตกตาดกวางสีแล้ว
ความสนุกอยู่ที่เพื่อนขับไม่แข็งและเราขับไม่เป็น 555 แล้วไม่รู้ว่าเส้นทางที่ขึ้นเขาไปนั้นจะสูงชันเกินความสามารถของพวกเราหรือไม่ เรื่องไกลเรื่องหลงทางไม่กลัวเลย เพราะถ้าชอบการเดินทางเรื่องไกลและหลง ย่อมไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเราเลย...
ค่อยๆขับไปเดี่ยวก็ถึง แม้จะไกลอยู่พอสมควร เส้นทางไม่ชันมาก พอให้ขับขึ้นเนินลงเนินได้สบายๆ ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้าน วัดต่างๆ
: น้ำตกตาดกวางสี น้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง :
น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากหลวงพระบางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 32 กิโลเมตร เรามาถึงบริเวณหน้าทางเข้าน้ำตกตาดกวางสีก็บ่ายโมงกว่าแล้ว จะมีร้านค้าขายทั้งของกิน ของที่ระลึกและรวมทั้งจุดขายตั๋วก่อนจะเข้าไปเที่ยวยังน้ำตกได้
- เสียค่าเข้าชม คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
- โดยจะเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เวลา 06.00 – 17.30 น.
บริเวณขายตั๋วหน้าทางเข้าน้ำตกตาดกวางสี
เมื่อเข้าไปแล้วภายในบริเวณน้ำตกตาดกวางสีจะแบ่งเป็น 2 โซน คือโซนด้านหน้าจะเป็น ศูนย์อนุรักษ์หมี
ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมหมีจากการช่วยเหลือจากการค้าสัตว์ป่าในสถานที่ต่าง ๆ
ในประเทศลาว ซึ่งค่าเข้าชมส่วนหนึ่งก็นำมาอนุรักษ์บำรุงหมี
ไปตอนนั้นพวกมันเอาแต่นอน 55 หรือมันเบื่อหน้าคนกันแน่
ศูนย์อนุรักษ์หมี
ภายในศูนย์อนุรักษ์หมีจะมีนิทรรศการเกี่ยวกับหมีทั่วโลกให้ศึกษา และมีหมีที่ได้รับการดูแลฟื้นฟูอยู่หลายตัวป้ายด้านหน้า บอกชื่อ “หมี” แต่ละตัว พร้อมเรื่องราวที่น่าสนใจและสอดแทรกพฤติกรรม เพื่อได้รู้จักกับสัตว์ชนิดนี้มากขึ้น
นักท่องเที่ยวสามารถบริจาคเงิน เพื่อสนับสนุนการทำงานของศูนย์อนุรักษ์หมีแห่งนี้ได้ รวมถึงยังมีจุดจำหน่ายของที่ระลึกเพื่อนำรายได้สมทบกองทุนเพื่อช่วยเหลือเจ้าหมีต่างๆอีกด้วย
คนเรานี่ก็แปลกของกินมีมากมาย ไม่อยากตายอยากอายุยืน ดันไปเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น แค่อุ้งตีน แค่ดีหมี ต่างมโนว่ามันสรรพคุณครอบจักรวาล.....มันออกจะน่ารัก
ภายในทางที่เชื่อมระหว่างศูนย์อนุรักษ์หมีกับน้ำตกตาดกวางสีนั้นเป็นทางศึกษาธรรมชาติที่มีพันธุ์ไม้ต่างๆมากมาย มีน้ำตกแต่ละชั้นเล็กๆไหลทอดยาวลงมา เสียงน้ำตกและความชื้นของที่นี่ ทำให้อากาศข้างนอกกับในที่นี่แตกต่างกันเลย เย็นสดชื่นจริงๆ
มีน้ำตกชั้นเล็กชั้นน้อยระหว่างทางให้ได้ชม
น้ำสีฟ้าใสมาก แถมเย็นมากด้วย
เดินมาถึงจุดที่ทำให้ตะลึงจังงังในความยิ่งใหญ่และสวยงามของธรรมชาติคือจุดที่เจอน้ำตกตาดกวางสีแบบหลายชั้น น้ำไหลอะลังการงานสร้าง บรรยายไม่ถูกรู้แต่ว่า ปกติไม่ค่อยชอบเที่ยวน้ำตก แต่น้ำตกตาดกวางสีทำเอายืนมองตะลึงไปพักนึงเลย มองหินแต่ละชั้น มองน้ำตกที่ไหลแรง ละอองฟองของน้ำตก ฟุ้งไปหมด ยิ่งบริเวณสะพานที่เชื่อมอีกฝั่งนั้น แทบยกกล้องมาถ่ายรูปไม่ได้ ละอองน้ำแรงมาก ถ้ามาหน้าฝนอาจจะไม่เห็นน้ำสวยใสเป็นสีเขียวมรกตแบบนี้ ที่จริงสีน้ำตกนั้นสวยกว่าในภาพมากกกกก
โชคดีที่แสงบ่ายส่องพาดผ่าน ผ่านชั้นน้ำตกพอดี มาถูกที่ ถูกเวลาจะได้ความสวยงามเป็นรางวัลของการเดินทางเสมอ....
นักท่องเที่ยวบนสะพานเย่อะมาก
ถ่ายย้อนไปจากบนสะพานตรงบรเวณที่เดินมาจากทางเข้า
น้ำตกตาดกวางสี มีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร เป็นน้ำตกหินปูน น้ำในน้ำตกจึงมีสีเขียวมรกต
นอกจากตัวน้ำตกอันสวยงามอลังการงานสร้างนี้แล้ว ยังมีเส้นทางเดินขึ้นเขาไปยังจุดต้นน้ำของน้ำตกแห่งนี้อีกด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าเส้นทางระยะสั้นๆนั้นจะชันเอาเรื่องก็ตาม ดินที่เราย่ำเดินป่ายปีนขึ้นไปนั้นก็ลื่นไถลเป็นอย่างมาก มาน้ำตกนี่กะว่ามาเดินดูความสวยชิวๆ ที่ไหนได้เหงื่อแตกจนได้กว่าจะปีนขึ้นไปได้ 555
ป้ะ!!! ไปปีนป่ายยยกัน...
สูงชันแค่ไหนถามใจเธอดู บางช่วงก็จะมีเป็นขั้นบันไดให้หายเหนื่อยบ้าง
เมื่อถึงด้านบนสุด จะเป็นบ่อต้นน้ำของน้ำตก มีทั้งบ่อตื้น บ่อลึก ซึ่งเราก็ไม่ได้ลงเล่น เดินข้ามสะพานไม้ไผ่สานไปตามทางข้ามบ่อน้ำตก บนนี้จะเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวฝรั่งเป็นอย่างมาก เตรียมพร้อมกับการมาเล่นน้ำตกเลยทีเดียว
นอกจากด้านบนของน้ำตกจะมีบ่อน้ำตกเล่นแล้ว เส้นทางตามรูปยังชี้ไปยังอีกจุดซึ่งเป็นถ้ำ ร้านอาหาร ชี้ไปให้เราเดินไปอีก 3 กิโลเมตร ดูจากเวลาแล้วคงไม่ทันแน่ เพราะตอนนั้นก็เริ่มเย็นแล้ว กลัวขับมอเตอร์ไซด์กลางคืนแล้วจะอันตราย เลยไม่เดินเท้าไปต่อ เลือกจะลงไปยังด้านล่างเพื่อเดินทางกลับกัน
ทางเดินขาลงจะอยู่อีกด้าน แถมทำทางลงอย่างดีอีกต่างหาก ผิดกับทางขึ้นเลย แต่ต้องระมัดระวังในการเดินลงหน่อยนะ เพราะทางมันลื่นแม้จะเป็นทางที่ทำด้วยไม้ ซึ่งเหมือนต้องเดินผ่านม่านละอองน้ำตกเล็กๆก็ตาม เรียกได้ว่าทางขาลงเปียกนิดๆหน่อยๆแน่นอน
เส้นทางขาลงจากยอดน้ำตก
ออกมาข้างนอกร้อนตับแลบทันที ดื่มน้ำเย็นๆสักหน่อย
ขากลับเราขับมอเตอร์ไซด์ มายังเส้นทางเดิม ด้วยความระมัดระวัง เพราะเริ่มมีรถสวนไปมาพอสมควรในช่วงเย็นๆ ฟ้าสวยๆได้บรรยากาศดีจัง
ขากลับก่อนเข้าเมืองหลวงพระบาง แวะขับมาข้ามสะพานที่ข้ามแม่น้ำคานเสียหน่อย เดี่ยวจะมาไม่ครบ ฮ้าๆ แต่กว่าจะหาทางเข้าเมืองได้นี่ขับหลงไปมาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง พอมาเส้นทางไม่คุ้นก็พากันหลงทางเลยทีเดียว
หลังจากตระเวณขับรถเที่ยวกันแล้ว ท้องก็ร้องหิวข้าวเย็นแล้ว แต่ใจมันเรียกร้องแต่ส้มตำหลวงพระบาง ยังงัยก็เติมพลังให้ได้ เรามานั่งกินส้มตำข้างทางกัน รสชาติแซ้บหลาย แถมราคาถูกกว่ากินในร้านแรกที่ไปกินในวันแรก
ส้มตำหลวงพระบางพลาดไม่ได้ ขอแซ้บๆเติมพลังในช่วงเย็น
: ชมพระอาทิตย์ตกที่ วัดพระธาตุพูสี :
เมื่อมาถึงหลวงพระบางแล้ว ถ้าไม่ได้ขึ้นพระธาตุพูสีแล้วถือว่ามาไม่ถึง พระธาตุพูสีเป็นสถานที่นักท่องเที่ยวชอบขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกดินกันเป็นจำนวนมาก ย้ำว่าจำนวนมากกกกกกกเลย เราว่าเรารีบกินแล้วรีบขึ้นมาบนนี้กะว่าต้องมีที่ว่างสำหรับเราบ้าง แต่ที่ไหนได้คนแน่นแต่หัววัน มีคนจำนวนมากมารอเพื่อจะได้มุมที่สวยที่สุดในยามพระอาทิตย์อัสดงทิ้งตัวลงแม่น้ำโขง
การจะขึ้นไปยังพระธาตุพูสีได้นั้นต้องเดินขึ้นบันไดเป็นขั้นๆ รวมกันแล้วก็ประมาณ 328 ขั้น ซึ่งวัดกำลังขาเป็นอย่างมาก เมื่อไปถึงด้านบน เราสามารถมองเห็นเมืองหลวงพระบาง แม่น้ำโขงและแม่น้ำคานได้ 360 องศา
- ค่าเข้าชม 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
มัวแต่กินส้มตำอยู่ ขึ้นมาถึงบนพระธาตุก็แสงเย็นกำลังลาลับแล้ว รีบมุดหาที่ๆสามารถถ่ายรูปได้ โดยเสียดายมากที่แทบไม่ได้ถ่ายตัวพระธาตุเลย พอจะถ่ายก็มืดแล้ว เลยได้แต่แสงเย็นกลับมา...
ขอทางหนูหน่อย ขอหนูถ่ายบ้าง T-T
ช่วงระหว่างที่แทรกตัวไปไม่ได้ เพรามีแต่ฝรั่งตัวใหญ่ๆบังมิดหมด ได้แต่ชูกล้องแล้วเปิดหน้อจอถ่ายเอา เราก็เลยเก็บบรรยากาศของเมืองหลวงพระบางที่เห็นจากวิวมุมสูงของพระธาตพูสีนี้ไปพลางๆก่อน เห็นคนแล้วปวดใจ ฉานนนเข้าไปไม่ถึงงงงง 5555....
วิวข้างบนจะเห็นทั้งแม่น้ำโขง แม่น้ำคาน สะพานข้ามแม่น้ำคาน สนามบินหลวงพระบาง รวมทั้งถนนในเมืองหลวงพระบาง วัดเก่าแก่มากมายและวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่ที่นี่
ในที่สุดก็สามารถแทรกตัวไปเรื่อยๆจนได้อยู่แถวหน้า 555 แต่เปล่าหรอก เขาถ่ายกันจนฉ้ำใจหมดแล้ว เขาก็เริ่มทะยอยลงกันไป เราเลยได้พื้นที่นี้มาครอบครอง แต่มันสวยจริงๆก็ตอนท้องฟ้าเป็นสี Twilight ....แบบนี้แหล่ะ
หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดก็มาแทนที่ เราเดินลงทางเดิม ผ่านบันได 328 ขั้น แต่ขาลงสบายมาก ไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้น ลงมาก็เจอ "ตลาดมืด " พอดี
นั่งชิวเป็นเวลานานพอสมควรเราเลยเปลี่ยนร้านไปนั่งกินของหวาน เดินผ่านมาก่อนจะถึงร้านนี้เห็นว่าคนไม่ค่อยเย่อะแล้วก็น่านั่งดี เรื่องกินนี่ถึงไหนถึงกันพอๆกับเรื่องเที่ยวเลย 555 (สายแดกของจริง)
ก่อนกลับเข้าที่พักขอแวะร้านเบอเกอรี่หน่อย
หลังจากเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ กินอิ่มหนังตาหย่อนและมีภารกิจตื่นเช้ามาตักบาตรข้าวเหนียวในรุ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะตักรบาตรแล้ว ก็เป็นสุดท้ายที่เรากับเพื่อน ต้องแยกกันไปคนละทาง นั่นคือเพื่อนบินกลับไทยก่อน ส่วนเราเลือกเดินทางไปต่อ ที่เมืองงอยคนเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าเส้นทางอันโดดเดี่ยวข้างหน้าจะเจออะไร รู้แค่ว่ายังไม่อยากกลับไทย กลับไปทำงาน ตอนนั้นอยากอยู่คนเดียวในที่ๆไม่มีคนรู้จัก...
ติดตามได้ใน Alone เดี่ยวเที่ยวเมืองงอย....
😺 แมวพเนจร 🌿
วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.51 น.