หลากคนไปทะเลเพราะเบื่อชีวิต หลายคนไปทะเลเบื่อรัก หลายคนไปทะเลเพราะเบื่องาน หลายคนไปทะเลเพราะเบื่อเรียน แต่ผมเชื่อว่าทุกๆคนที่ไปมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันกัน เอาความเบื่อไปโยนทิ้งทะเล รวมถึงการไปของผมในครั้งนี้เช่นกัน.
**ขอออกตัวก่อนเลยว่า กระทู้นี้ผมนำกระทู้เดิมมาทำใหม่อีกครั้ง #ตรัง#เที่ยวตรัง


เมืองพระยารัษฎา ชาวประชาใจกว้าง หมูย่างรสเลิศ ถิ่นกำเนิดยางพารา
เด่นสง่าดอกศรีตรัง ปะการังใต้ทะเล เสน่ห์หาดทรายงาม น้ำตกสวยตระการตา
คำขวัญจังหวัดตรัง ตรังเป็นจังหวัดหัวเมืองอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย ติดทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ชายฝั่งทะเลตะวันตก เป็นจังหวัดที่ทะเลสวย เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการไปพักผ่อน และนี่ก็คือที่ที่จะไปโยนความเบื่อของผม

สำหรับการเดินทาง ผมเน้นวิธีประหยัด ทำทุกทางที่ประหยัดตังค์แม้กระทั่งตั๋วเครื่องบินผมยังจองช่วงโปรโมชันข้ามปี แล้วนั่งนั่งรถไฟฟรีไป กทม.เพื่อขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองเลย ฮ่าๆเพราะผมคิดเสมอว่าจะเดินทางแบบใหนก็ช่าง ขออย่างเดี่ยว ขอให้ได้เที่ยวแบบมีตังค์ติดตัว ประหยัดได้ก็ประหยัดครับ

03/11/58 นั่งรถไฟฟรีถึง กทม รอบนี้ไม่โชคร้ายเท่าไหร่รถไฟไม่แวะเติมน้ำมันบ่อยเหมือนรอบที่ไปเกาะเต่า แต่ถึงกทม.เช้าไปนิด พอถึงก็เที่ยวเล่นต่อ นั่งรถเล่นไปเรื่อยเหมือนเด็กบ้านนอกเข้ากรุง หอบข้าวของเยอะเเยะเต็มไปหม


เนื่องจากไฟท์บินเราช่วงบ่าย พวกเราจึงใช้เวลาอยู่สนามบินนานพอสมควร เนื่องด้วยการจองตั๋วครั้งนี้ ผมนั้นจองผิดฮ่าๆ เลยเสียเวลาไปนิดหน่อยแต่พยายามปลอบใจตัวเองว่า วันแรกถือว่าเที่ยว กทม. ไฟท์บินเรามีสองรอบคือ13.30 ของกลุ่มผู้หญิง กับ 17.30 กลุ่มผู้ชาย การไปเที่ยวในครั้งนี้มีทั้งชายและหญิง เราจึงเสียสละให้ผู้หญิงไปก่อน สุภาพบุรุษมั้ยครับ ฮ่าๆล้อเล่นครับ

ส่วนผุ้ชายนั้นก็นอนเล่นในสนามบินต่อไป........


พอได้เวลาก็โบยบินเลยครับ


ใช้เวลาเดินทางเกือบ สองชั่วโมง พอถึงสนามบิน เจ้าของ Hostel ก็มารับ ลืมบอกไปนะครับ พวกเราพักอยู่กลางเมืองตรัง เป็น Hostel ชื่อนกฮูกเฮ๊าส์ เหตุผลที่พักที่นี่ ถูกและดีครับ 2คืนตกคนละ 380 บาทบอกแล้วไงครับว่าทริปนี้เน้นประหยัด ฮ่าๆ ถึงที่พักก็เก็บข้าวของแล้วออกไปหากินข้าว โชคดีหน่อยที่ที่พักเราใกล้กับตลาดซึ่งคนแถวนั้นเรียกคนเดิน
ผมคิดตลอดว่าการออกเดินทางไปในที่ต่างๆมักจะเจอมิตรภาพใหม่ๆอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ระหว่างที่เรานั่งครอบครองพื้นที่ใต้โรงแรมเป็นสถานที่ดูดดื่มเบียร์อันแสนหวานนั้น ก็มีคนมาขอนั่งด้วยเป็นเพื่อนผู้หญิงชาวต่างชาติ ชื่อฮูด้า มาจากประเทศฮอนแลนด์ พวกเรา6คน ก็ใช้ภาษาอังกฤษเลเวล1คุยกับฮูด้าครับ ฮูด้าฟังเราออกหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่เราฟังฮูด้าเข้าใจก็พอ 5555จากการนั่งคุยกันก็จับใจความได้ว่า ฮูด้าชื่อว่าฮูด้าครับ อายุ23ปี มาไทย3สัปดาห์แล้ว แต่เที่ยวแค่ภาคใต้ ฮูด้าแบ๊คแพ็คคนเดียวมา1ปีเต็มๆแล้ว ฮูด้าบอกว่ามาแบบalone ด้วย แต่ not lonely โหววว เก่งมากเลย แล้วที่อึ้งไปกว่านั้นคือฮูด้าจบป.ตรีตั้งแต่อายุ19แล้ว พวกเราทั้งหมดก็เลยดื่มฉลองให้กับฮูด้า เอ้าาาชนนน!!!!


04/11/58

การเดินทางในครั้งนี้เราไม่เน้นเที่ยวเยอะ เราเน้นชิมบรรยากาศนานๆ เลยตกลงกันว่า การเช้าเช่ารถยนต์ไว้เป็นยานพาหนะในการเดินทางจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด(ราคาค่าเช่ารถวันละ 1200 ) หากถามว่าแต่ละคนรู้จักทางมั้ยตอบได้เลยว่าหึ คงต้องพึ่งน้องสิริผู้น่ารักอย่างเดียวครับงานนี้


มาตรังไม่กินติ่มซำนี้ถือว่าพลาดมาก เรือนไทยติ่มซำ เป็นร้านที่ขึ้นชื่อของจังหวัดตรังเลยก็ว่าได้ เพื่อนผมคนหนึ่งนี้ตื่นเต้นมาก อย่างกะร้านเขาให้กินฟรี ปลุกเพื่อนตั้งแต่ตีสี่ เอ้ยตั้งแต่เช้ามืดกันเลยทีเดียว แต่ไปกินแล้วไม่ผิดหวังนะครับเพราะอร่อยมาก หากถามว่าแพงมั้ยผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเพราะตอนสั่ง สั่งแบบไม่คิดชีวิต รู้ตัวอีกทีก็เต็มโต๊ะแล้วครับ



น่าตาแต่ละเมนู ก็น่ากินทั้งนั้นน ใครมันจะอดใจไหว




อาหารมาถึงก็ลุยเลยครับ


ลูกค้าเยอะสมคำล่ำลือ


อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อครับเป้าหมายคือท่าเรือปากเม็ง แต่ก่อนอื่นต้องหาปั้มแก๊สครับ นี่ละครับปัญหาแรก ถามคนแถวนั้นก็เหมือนจะสื่อสารรู้เรื่องนะแต่เอาเข้าจริงๆ ไม่รู้เรื่องครับผม พูดเร็วมาก เลยต้องพึ่งสิริผู้น่ารัก แล้วสิริก็พาเราไปทัศนศึกษาสวนยางพาราแห่งหนึ่งซึ่งสิริบอกว่าเป็นสถานที่กำเนิดยางพาราแห่งแรกของประเทศไทย..........หึมๆนี่คือการพูดให้ดูดีนะครับ แต่อันที่จริงแล้วหลงทางครับ นะตอนนี้แทบอยากจะลบสิริออกจากมือถือของทุกคน และที่หนักไปกว่านั้นคือ ไม่รู้ว่าที่ที่อยู่ตอนนั้อคือที่ไหน อยู่ส่วนใหนของจังหวัดตรัง ฮ่าๆจ้าๆใหนๆก็หลงละ ถ่ายรูปเล่นก่อนละกัน




ขับรถวนออกมาสักพักก็เจอปั้มแก๊ส ปัญหาที่สองเริ่มตามมากับตันเต้ของเรา พี่ใหญ่ที่น่าไว้วางใจที่สุดที่ดูจำนวนลิตรเป็นจำนวนราคา จัดไปเบาๆครับเต็มถัง 680 ซึ่งขับไปกลับกระบี่ตรังอีกแปดรอบยังได้เลย... แต่โชคดีที่ทริปนี้เป็นทริปสบาย มีแต่คนง่ายๆเลยไม่มีการโวยวายหรือทำให้สถานการณ์ตรึงเครียด


เติมแก๊สเสร็จก็ขับมาเรื่อยๆจนถึงท่าเรือปากเม็ง ทีแรกก็กะจะไปกับเรือโดยสารใหญ่ๆ แต่รอบดันหมด(นี่แหละครับการติดนิสัยตายเอาดาบหน้าของผมจนลืมวางแผน) ตัดสินใจกันอยู่นานว่าจะไปแบบไหน เลยลงเอยที่เหมาเรือครับราคา 3000 บาท แต่เขาจะพาไปแค่สองเกาะ นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเราครับ เราเลือกไปเกาะกระดานซึ่งเป็นเกาะที่ไกลที่สุด กับเกาะมุขซึ่งเป็นเกาะนางเอกของที่นี่ก็ว่าได้ เพราะมีถ้ำมรกรต ตามที่ผมดูในรีวิว สีของน้ำสวยมว๊ากกกก




พี่ผมตีเนียนครับ


เรือของคุณลุงเป็นเรือหางยาวครับ เป็นกันเองดี ตื่นเต้นอีกตามเคย ใส่เสื้อชูชีพเสร็จก็สลับกันถ่ายรูป ลืมแดดร้อนๆไปเลย ท้องฟ้าสีครามน้ำทะเลสีเงิน นี่สิครับทะเลใต้





บรรยากาศระหว่างเรือแล่นผ่า


พร้อมแล้วก็มุ่งหน้าสู่เกาะมุขเลยครับ


พอมาถึงเกาะมุข ซึ่งเป็นถ่ำมรกรต ต้องว่ายน้ำลอยเข้าไปในถ้ำระยะทาง 80 เมตร ไปกลับ 160 แต่ๆๆๆๆๆๆๆคลื่นแรงมากครับถ้าเทียบกลับบนฝั่งผมคิดว่าใช้ผลังงานเท่ากับเดิน 3 กิโล บวกกับต้องคอยดึงเพื่อนอีกสามคน เพราะที่ไปนั้น ว่ายน้ำเป็นแค่สามคน



แล้วเราก้เข้าไปถึงปากถ้ำกลุ่มเราเป็นกลุ่มคนไทย 25 % ของเกาะก็ว่าได้ ทรายนิ่มมากและสวยมากครับ แต่เสียดายไม่ได้เอากล้องเข้าไป เพราะไม่มีเคสกันน้ำ
นี่คือทางเข้าถ้ำนะครับ




หลังจากที่เราใช้พลังงานหมดไปกับเกาะมุข สภาพแต่ละคนนึกว่าไปออกรบมา ขึ้นเรือมาไม่พูดไม่จากันเลยที่เดียว


จากนั้นเราก็นั่งเรือต่อ ไปเกาะกระดาน พูดได้เลยว่าเกาะนี้สวยมาก เงียบสงบ พอถึงเราก็หาที่นั่งริมชายหาด ก็นั่งพักผ่อนกินข้าวกัน


พอเริ่มมีเรี่ยวแรงแล้วก็เริ่มทำกิจกรรมหลักกัน นั่นคือการถ่ายรูป ต่อไปคือรูปรัวๆกันเลยนะครั














เวลาของความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแป๊ปเดียวผ่านไปเกือบสามชั่วโมง จึงได้เวลานั่งเรือกลับฝั่ง ตอนนั้นพายุมาก็ครับ แต่โชคดีหน่อยที่มาทางพัทลุง ซึ่งเป็นคนละทางกับที่พวกเราจะกลับ แอบน่ากลัวอยู่นะครับท้องฟ้านี้มืดมากคิดในใจ เกือบได้นอนบนเกาะซ๊แล้ววววววววว


ระหว่างนั่งเรือกลับ ต่างคนต่างอยู่ในมุมของตัวเอง นั่งฟังเพลงชมวิวแสดงมิวสิควิดิโอบ้าง นั่งแชร์รูปบ้าง นั่งหลับบ้าง แตกต่างกันไป


พอถึงฝั่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกพอดี ณ ท่าเรือปากเม็ง บอกเลยว่าสวยมาก นี่ละครับเหตุผลที่เช่ารถ เพราะเราสามารถไปใหน นานเท่าไหร่ก็ได้


เลยคหาอะไรสักอย่างมานั่งกินริมทะเลรอดูพระอาทิตย์ตก ก็เลยไปซื้อเครื่องดื่มนิดหน่อยคนละขวดสองขวดสามขวดสี่ขวด และไก่ทอด ซื้อส้มตำ(ธรรมดาแหละครับมาจากอีสานคิดอาหารไม่ออกก็ส้มตำอย่างเดียว) พระอาทิตย์กำลังตกพอดีเลยครับ ก็เหมือนเดิมครับสลับกันถ่ายรูป นั่งซึมซับบรรยากาศจนกระทั่งมืด เลยขึ้นรถกลับที่พัก







พอทุกคนอาบน้ำเสร็จแล้วก็มานั่งที่มุมนั่งเล่นของโรงแรมอีกตามเคย เพื่อนก็นั่งคุยกัน นั่งแชร์รูปจากกล้องกัน แล้วก็ช่วยกันเลือกว่าจะอัพรูปไหนก่อนดี คือทริปนี้รูปเป็นแสน!! ตั้งแต่อยู่กรุงเทพแล้ว ไล่มาตั้งแต่หัวลำโพง ขึ้นBTS ที่ดอนเมือง บลาๆๆๆ จนถึงนะตอนนี้เมมโทรศัพท์เต็มเพราะโหลดเอารูปจากกล้องนี่แหล่ะครับ โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ทริปนี้เป็นพวกบ้ากล้องทั้งชายและหญิงมารวมกัน เวลาถ่ายรูปนานๆหรือหลายช็อตๆจะไม่มีคนบ่นให้กันในขณะเดียวกันก็ไม่มีคนห้ามฮ่าๆ


05/11/58

เช้าอันสดใสเบิกบานด้วยเสียงเพลงแฮมทาโร่ ทีแรกผมก็ตกใจนึกว่าลูกเจ้าของโรงแรมเปิด ที่ไหนได้ เพื่อนผมเปิดครับหึมๆ คือกลุ่มผู้หญิงกลับรอบเช้า พวกผมกลับบ่ายเขาจึงก่อกวนให้พวกผมตื่นด้วย แต่ไม่เป็นผลครับ พวกผมสามารถหลับต่อได้ โดยลืมสนใจไปเลยว่าเพื่อนกลับออกไปตอนไหน เนื่องจากพวกผมกลับรอบบ่ายจึงมีเวลามาก เลยเดินเล่นกันในเมืองตรัง แต่ถามว่าจะไปไหนก็ไม่รู้อีกตามเคยรู้แค่ว่าเดินไปเรื่อยๆ นี่ละครับ Unknow trip เขาว่ากันว่าถ้ามาเมืองที่เก่าแก่ต้องอย่าลืมกินโอเลี้ยงหรือเก๊กฮวยของเมืองนั้น ผมก็ไม่รอช้าละครับ มาตรังครั้งนี้ หมดโอเลี้ยงไปสามสี่แก้ว ร้านนี้อยู่แถวๆหน้าสถานีตำรวจนะครับ อร่อยมากครับ ป้าคนขายเป็นกันเอง


นี่คืออีกหนึ่งเอกลักษ์ของ จ.ตรังที่เห็นรูปที่ใหน ก็ต้องรู้เลยว่า จ.ตรัง



จากนั้นก็เดินต่อเพื่อหารถไปสนามบิน ด้วยความที่ไม่รู้ว่าขนส่งอยู่ตรงไหน จึงได้แวะร้านนึง ชื่อร้านส.ทวีทรัพย์ เพื่อถามทางจะไปนั่งรถ ซึ่งเจ้าของร้านใจดีมากครับ โทรตามรถให้พวกผมเลย ณ ตอนนั้นดีใจมาก ผมต้องขอขอบคุณอีกครั้งนะครับบบบ คนตรังน้ำใจงามจริงๆ นี่สิประเทศไทย


รถหัวกบ รถที่พบเห็นเยอะมากในจ.ตรัง ถ้าแถวบ้านผมคงเป็นสามล้อเครื่องฮ่าๆ


ถึงสนามบินตรังก็นั่งจิบกาแฟรอเวลาสักพักก็ขึ้นเครื่อง เมื่อถึงเวลาก็ต้องโบกมือบ๊ายๆบายตรังตรังไทยแลนด์


ใช้เวลาเกือบๆสองชั่วโมงก็ถึงกทม.ได้เวลาแยกย้ายกัน ผมต้องนั่งเครื่องต่อไปอุดรธานีอีก ส่วนเพื่อนอีกสองคนขับรถกลับขอนแก่น ทุกคนในทิปกลับสู่โลกของความเป็นจริง ไปทำหน้าที่ตัวเอง ไปเรียน ไปทำงาน ส่วนผมก็กลับไปทำงาน ไปใช้ชีวิตตามปกติครับ แน่นอนครับกลับไปสภาพแวดล้อมเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแปลกตาไปจากเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือความคิดผมครับ ผมรู้สึกว่าโลกของผมกว้างขึ้นทุกครั้งที่ออกเดินทาง เหมือนกลับมาแล้วมุมมอง ทัศนคติเราเปลี่ยนไปจากเดิม สำหรับผมแล้วการได้ก้าวออกไปยังสถานที่ใหม่ๆเป็นการให้ของขวัญตัวเอง บางคนอาจคิดว่ามันไร้สาระ สิ้นเปลือง แต่ผมมองว่าเกิดมาครั้งนึงควรใช้ชีวิตบนโลกให้คุ้มค่าครับ ทำไปเถอะครับอะไรที่เราสบายใจและคนอื่นไม่เดือดร้อน สำหรับทริปนี้ก็ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ


ขอบคุณมากที่อ่านทุกบรรทัดของผม

ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปของผมทั้งห้าคน

ขอบคุณทุกคำติชม

ขอบคุณที่ดูรูปผม ขอบคุณครับ


เที่ยวจนวันลาหมด

 วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.26 น.

ความคิดเห็น