Sri Lanka


ไปเที่ยวศรีลังกากัน มันจะมหัศจรรย์จริงรึเปล่า



"ศรีลังกามีอะไรเหรอ?"


"ไปแสวงบุญเหรอ?"



ดิฉันอมยิ้มอ่อนให้กับคำถามเหล่านั้น ทุกครั้งที่เอ่ยถึงศรีลังกา ความรู้สึกของคนหลายคน คงจะเชื่อมโยงไปถึงอะไรบางอย่างที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระพุทธศาสนา หรือแม้กระทั่ง มหากาพย์ รามายณะ อันลือเลื่อง

คำบางคำอย่าง " ลังกาวงศ์" "กรุงลงกา" "ซีลอน" "ลังกาทวีป" "เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ" ผุดขึ้นมาเป็นหมอก เลือนๆจางๆ ในความทรงจำของพวกเรา ว่าเคยได้ยินคำเหล่านั้น ในคาบไหนสักคาบ ในห้องเรียน วิชาพระพุทธศาสนา หรือวิชาสังคมศึกษาตอน ม.ปลาย

แต่เกาะขนาดใหญ่ใต้ประเทศอินเดีย และห้อมล้อมด้วยมหาสมุทธแห่งนี้ ก็เนื้อหอมไม่เบาต่อการเป็นจุดมุ่งหมายในการเดินทางของใครหลายๆคน

ไม่ว่าจะเป็น ศาสนิกชน นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว หรือแม้แต่นักเดินทาง Backpacker

จนถึงขนาดที่ ศรีลังกาเอง ก็ขนานนามตัวเอง ว่าเป็น Wonder of Asia (อัศจรรย์ใจแห่งเอเชีย)

แน่นอนว่า ฉายาสุดอัศจรรย์นี้ ไม่ได้มาจากการนั่งเทียนเขียนขึ้นมาเกร๋ๆ

คนตั้งต้องมั่นใจระดับนึงทีเดียว ว่าประเทศนี้มันช่าง Wonder สุดๆ

จากรีวิวของนักเดินทางหลายคน ก็กล่าวถึงว่า ประเทศนี้เป็นเสียงเดียวกันว่า

เดินทางง่าย ราคาไม่แพงมาก แถมยังมีความครบเครื่องในทุกมิติของการท่องเที่ยว

ทั่วทั้งเกาะ เต็มไปด้วย ภูเขาสวยๆให้ปีน ให้ Trek

ทะเลงามๆหาดปังๆให้ไปนอนกลิ้ง ให้ไปโต้คลื่น

วัฒนธรรมสุด Exotic ที่หาดูที่ไหนไม่ได้

แถมยังมีธรรมชาติอันสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ให้ชมนกชมไม้

เรียกได้ว่า นักท่องเที่ยวบางคนขออยู่เป็นปี เพื่อที่จะเที่ยวทั่วทั้งเกาะเลยก็มี



แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉัน ตัดสินใจไปศรีลังกา คือ "พระเขี้ยวแก้ว"

พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า ที่มีเพียงสี่องค์เท่านั้น ตลอดทั่วทั้ง สามพิภพ

และก็มีเพียงสององค์เท่านั้น ที่ประดิษฐานอยู่บนโลกมนุษย์

หนึ่งในนั้น อยู่ที่ศรีลังกา

เป็น Mission ชีวิตดิฉัน ที่ตั้งใจ อยากไปสักการะ พระเขี้ยวแก้ว ให้ได้สักครั้งในชีวิต

ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลว่า การไปสักการะ มันตอบโจทย์อะไรกับชีวิต

แต่รู้แค่ว่า ดิฉัน อยากไป ต้องไปให้ได้ แค่นั้นจริงๆ



เนื่องจากศรีลังกามีหน้า มรสุม สองช่วงของปี

ในกระทู้นี้ จึงมีการเดินทางส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ทางตอนกลาง ค่อนไปทางตะวันออกของศรีลังกา

ผ่านเมืองเหล่านี้

Anuradhapura-Tricomalee-Sigiriya-Kandy-Negombo

ในเวลา 6วัน 5 คืน

โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆ

ผู้ที่อยากลองไปสัมผัสประเทศ wonder แห่งนี้



พร้อมแล้วออกเดินทางไปพร้อมกันเลยค่ะ




แผนการเดินทางของทริปนี้ค่ะ


ใครมีข้อสงสัยสามารถเข้าไปถามได้ที่

https://www.facebook.com/armmiethegypsyprincess/

ขอบคุณค่ะ


บทที่ 0

การเตรียมตัว


.....ก่อนไปศรีลังกาต้องรู้อะไรบ้าง.........



วีซ่า

คนไทยไปศรีลังกาต้องมีวีซ่าค่ะ โดยจะได้วีซ่ามาด้วย 3 วิธี

1.ไปที่สถานฑูตศรีลังกา

เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่มีบัตรเครดิต และอยากให้มีวีซ่าให้อุ่นใจก่อนเดินทาง

มีเวลารอได้ไม่รีบ

ไม่เหมาะกับ คนที่ไม่ชอบอะไรวุ่นวายรุงรัง เตรียมหลักฐานเยอะแยะมากมาย

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. Passport ปัจจุบัน อายุมากกว่า 6 เดือน และฉบับเก่า ตัวจริงพร้อมสำเนา

2. หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน

3. หลักฐานการจองที่พักในศรีลังกา

4. รูปถ่ายพื้นหลังสีขาว 2 นิ้ว 2 รูป ถ่ายไว้ไม่เกินหกเดือนไม่ใส่แว่น

5. สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน

6. นามบัตร ถ้าไม่มี ให้แจ้ง ข้อมูล ชื่อ ที่อยู่ที่ทำงาน เบอร์โทรศัพท์บ้าน เบอร์มือถือ ของคนเดินทาง

(ค่าธรรมเนียมสถานฑูต 1000 บาท ค่าวีซ่าท่องเที่ยว 1200 บาท เวลาอนุมัติ 2 วัน)



2.ทำ E-visa

เหมาะสำหรับ คนที่มีบัตรเครดิต มีเวลาไม่มาก

ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีบัตรเครดิต

ให้เข้าไปทำที่เวปนี้ค่ะ http://www.eta.gov.lk/slvisa/

มันง่ายมาก ทำที่บ้านก็ได้ ให้ตามรีวิวนี้ค่ะ คุณคนนี้เค้าทำไว้ดีมากๆละเอียดอยู่แล้ว

https://shipy-ship.com/2016/08/02/ขั้นตอนการยื่นวีซ่าออน/

(ราคา 30 USD หรือประมาณ 1050 บาท เวลาอนุมัติของตัวดิฉันเองแค่ 3นาที แต่คนอื่นๆไม่เกินวันนึงค่ะ)



2.ทำ Visa on Arrival

นั่นก็คือ บินไปที่สนามบิย แล้วไปซื้อวีซ่าเข้าประเทศเขาโต้งๆเลย

(ค่าวีซ่าคือ 35 USD หรือ 1225 บาท เวลาอนุมัติก็คือเท่าเวลาที่ยืนรอหน้าเค้าเตอร์ทำวีซ่านั่นแหละค่ะ นานไม่นานแล้วแต่เจ้าหน้าที่)



อากาศ

เนื่องจากศรีลังกานั้นมีฤดูมรสุมสองช่วงสลับกันภายในปี

ช่วงเดือนเมษา-กันยายน ลมมรุสมตะวันตกเฉียงใต้ ทางทิศตะวันตก และทิศใต้ ฝนตก ให้เที่ยว เหนือ กับ ตะวันออก

ช่วงตุลา- มีนา ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทางทิศเหนือและตะวันออก ฝนจะตก ให้เที่ยว ใต้ กับ ตะวันตอก

จำง่ายๆอากาศศรีลังกาจะเหมือน ปักษ์ใต้บ้านเรา

เอาไว้วางแผนที่ที่เที่ยวค่ะ



เกี่ยวกับเงิน

ศรีรังกาใช้สกุลเงินรูปีค่ะ คนละรูปีกับที่อินเดีย

1 บาท เท่ากับ 4 LKR

1 USD เท่ากับ 150 LKR

เวลาซื้อของง่ายๆ ก็ให้หาร 4 จะรู้ราคาไทย จะได้ประมาณว่าถูกหรือแพงได้ค่ะ

สถานที่แลกเงินแลกได้ที่อาคารสนามบิน หรือธนาคารในเมืองใหญ่ๆ อย่าง Anuradhapura Colombo หรือ Kandy จะมีสาขาของธนาคารที่รับแลก USD บางธนาคารเท่านั้นที่รับแลกเงินบาทไทย อย่าง Bank of Ceylom

ATM สามารถกดได้ค่ะ จะเสียค่ากดครั้งละประมาณ 100 กว่าบาท (ทั้งนี้ สอบถามธนาคารเจ้าของบัตรก่อนออกเดินทาง)

บัตรเครดิต เท่าที่เคยเห็นร้านต่างๆจะรับของ Mastercard มากกว่า Visa ค่ะ

ภาพธนบัตรและเหรียญของศรีลงกาค่ะ มีความเกร๋ ตรงที่แสดงนาฐศิลป์ของศรีลังกาประเภทต่างๆ ความจริงมีเหรียญ 1 LKR 0.5 LKR กับ 0.25 LKR ด้วยนะคะ แต่หายากค่ะ



เกี่ยวกับการเดินทาง

รถไฟ

ระบบรถไฟของศรีลังกา ราคาถูก ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ

และมีให้เลือก 3 ชั้น

หากอยากประหยัด แนะนำให้เลือกชั้นสอง(พัดลม) เพราะชั้น 1 คือปรับอากาศ แต่ก็ไม่แตกต่างจากชั้นสองเท่าไร

สามารถเข้าไปเชครอบรถไฟ ตารางการเดินรถได้ที่

https://eservices.railway.gov.lk/schedule/homeAction.action?lang=en

ไปไหน ใกล้ไกลมีหมดค่ะ บอกรอบรถเป็นรอบๆเลย

เชครอบรถไฟ แล้วไปซื้อตั๋วที่ สถานีรถได้ค่ะ เอาไว้วางแผนการเดินทาง

จากการเคยนั่ง ดิฉันคิดว่า รถไฟศรีลังกา ตรงเวลาพอควรค่ะ ไม่เลท

หน้าตา เวปเชคตารางรถไฟของศรีลังกาค่ะ



รถประจำทาง

รถประจำทาง หรือรถบัส ครอบคลุมกว่า รถไฟอีกค่ะ ไปได้ทุกที่ทุกเมือง

โดยส่วนตัว นิยมไปที่สถานีขนส่งในแต่ละเมือง ดูป้ายหน้ารถว่าไปเมืองไหน ก็ขึ้นคันนั้น

ไม่ได้มีขายตั๋วก่อนอะไร ขึ้นนั่งก็นั่งได้เลย แล้วจะมีพนักงานเหมือนกระเป๋ารถเมล์ เดินถามว่าจะลงไหน แล้วเก็บเงินเรา

หรือถ้าอยู่ระหว่างเดินทาง ให้มองหาป้ายรถเมล์สีน้ำเงินๆ ที่จะอยู่ตามถนนเส้นใหญ่

เจอป้ายนี้ก็ให้รอรถ ถ้ารถสายที่เราผ่านก็ขึ้น

สรุปง่ายๆคือหลักการเหมือนขึ้นรถเมล์เลยค่ะ

ตารางการเดินรถไม่มีชัดเจนบอกในออนไลน์ สามารถเชคได้ที่สถานี หรือเชคคร่าวๆ ได้ที่นี่ http://www.ntc.gov.lk/Bus_info/time_table.php

หรือต้องการรถแบบสบายหน่อย luxury หรือ super-luxury ก็จองกับบริษัทที่ให้บริการรถประเภทนี้ได้ อันนี้จองอนไลน์ก่อนได้ ยกตัวอย่างให้สักสองที่แล้วกันนะคะ

https://www.busbooking.lk

https://busseat.lk

รูปป้ายรถโดยสารที่บอกค่ะ มีอย่างนี้ทุกถนนเส้นหลัก


กระเป๋ารถเมล์และเครื่องปรินซ์ส่วนตัว



เกี่ยวกับ sim card

การใช้ซิมท้องถิ่นของศรีลังกาเอง เป็นทางเลือกที่ดี เพราะราคาถูก ครอบคลุมทุกพื้นที่ แถมใช้ง่ายมาก

การเดินทางในศรีลังกา เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะมันเอื้อให้เราเดินทางได้เอง ไปได้ทั่วทั้งเกาะแล้ว

ตัวช่วยอย่างดี นั่นก็คือ internet ที่สามารถหาทางจาก google map ตรวจสอบเวลาเปิดปิด หารีวิวร้านใน lonely planet จองที่พักราคาถูกแบบวันต่อวัน

มันช่วยให้ Backpacker สามารถ ยืดหยุ่นแผนการเดินทางของตัวเอง เพื่อหาแผนที่ดีที่สุด และถูกที่สุดได้

หาซื้อไม่ยากค่ะ ลงสนามบินจะเจอเลย มีให้เลือกหลายเครือข่าย

ราคาประมาณเดียวกันหมด

สัญญาณที่ใช้ก็ถือว่าดีค่ะ ในเมืองจะเป็น 4g ออกนอกเมืองหน่อยจะเป็น 3g บางที่ลึกๆจริงขึ้น E ค่ะ

ดิฉันเลือกเจ้านี้ค่ะ เพราะนางขึ้นว่าอันดับหนึ่ง เอาจริงๆ ข้อความนี้มันมีผลกับการโฆษณามากๆ ในฐานะนักท่องเที่ยวที่ไม่มีความรู้อะไรมาก่อน


1300 LKR (325บาท)เท่านั้น ใช้ได้เดือนนึง นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ



ส่วนใครจะ Roamming ก็ได้ค่ะมีหลายเจ้าของไทยให้บริการอยู่



เกี่ยวกับอาหารการกิน

ร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นร้านข้าวแกง ที่สามารถเลือกเแกงต่างๆผสมกันได้ ได้ บ้างก็เป็นแกงไก่ แกงเนื้อ แกงปลา เขียวหวาน และแกงต่อมิอะไร

มีเครื่องเคียง เครื่องเทสให้เลือก หลายอย่าง วิธีการคือไปชี้ๆ ไปนั่งกิน แล้วไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์ค่ะ

จะเอาข้าวเอาแกงอะไรเลือกเลยค่ะ


ได้หน้าตาประมาณนี้ ทั้งหมดนี่ราคา 220 LKR (45บาท รวมโค้ก) อร่อยบ้าง กินไม่ได้บ้าง แล้วแต่แกงค่ะ ส่วนใหญ่รสชาติจะมีกลิ่นเครื่องเทศฉุนๆคล้ายแกงกะหรี่ แต่เอาจริงๆ การได้ลุ้นในทุกคำที่เอาเข้าปาก ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นดี



ร้านอีกแบบจะเป็นร้านอาหารตามสั่ง มีเมนูภาษาอังกฤษให้เลือก ข้อระวังในการสั่งนั่น คืออาหารแต่ละจานนั้นจะมีปริมาณมากจนล้น

อาจจะเป็นเพราะคนศรีลังกาหนึ่งอิ่มอาจจะมากกว่าเราสักหน่อย บางร้านมีให้เลือกสั่งแบบ Half ได้ค่ะ


เมนูที่ให้สั่งมีง่าย อย่าง Chicken fire rice , chicken noodle หรือมีเมนูแบบ Srilankan Dish ในราคา 200-500 LKR (50-125 บาท)

นี่ค่ะหนึ่งจาน ทุกจานจะมีปริมาณมหาศาล ซึ่งปริมาณส่วนใหญ่คือข้าวและแป้ง แม้ดิฉันจะชอบกินข้าวและแป้งอยู่แล้ว แต่ไม่มีมื้อไหนที่ดิฉันกินหมด สาวที่กำลังลดคาร์บอยู่นี่คือฝันร้ายชัดๆ



เกี่ยวกับภาษา

เนื่องจากศรีลังกาประกอบด้วยหลายเชื้อชาติ หลักๆคือชาวสิงหลและชาวทมิฬ ทำให้มีภาษาราชการสองภาษา สังเกตุที่ป้ายต่างๆจะมีสองบรรทัดเสมอ สำหรับสองภาษานั้น

ส่วนนักท่องเที่ยวเราเองส่วนใหญ่ ตามเมืองใหญ่ จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับ สื่อสารรู้เรื่อง


เกี่ยวกับศาสนา

ที่นี่ 70%เป็นชาวพุทธแบบเถรวาทเหมือนบ้านเราค่ะ แต่ทุกที่ ก็จะมีคนศาสนาอื่นอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

ทั้ง มุสลิม ฮินดู หรือ คริสต์

เราจะเพลิดเพลินไปกับการสังเกตุความผสมผสานบนท้องถนน และรู้ได้ทันทีว่าบริเวณที่เราอยู่ นั้นอเป็นชุมชนของพี่น้องศาสนาใด เป็นหลัก

ในการนี้ การทำตัวให้ international ที่สุด กลมกลืนไปกับทุกศาสนาในถานะผู้สังเกตุ น่าจะเหมาะสุดในศรีลังกา


บนรถโดยสารเป็นอะไรที่จะได้ สัมผัส ผู้คนหลากหลายที่สุด ทั้งพุทธ มุสลิม ฮินดู และพี่ฝรั่งรูปหล่อ


เกี่ยวกับห้องน้ำ

ขอบคุณที่ประเทศนี้ คำนึงถึงและให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสะอาดหมดจดของรู 12 (twelve) และเคารพความเชื่อที่ว่า น้ำเท่านั้นที่เอาไว้ชะล้างทุกสิ่งให้สะอาดได้

ขอประกาศว่า ห้องส้วมประเทศนี้ มีที่ฉีดตูดจ้าาาาาา!!!!!


เกี่ยวกับปลั๊กไฟ

ที่นี่ใช้ปลั๊กสามรูกลม แบบอินเดีย ปลั๊กแบนจากไทยเสียบไม่ได้ อย่าลืมซื้อ Universal adaptor ไปด้วยเด้อ



เกี่ยวกับที่พัก

ที่พักแบบ Backpacker นั้นราคาถูกมีให้เลือกทุกเมือง

สามารถจองผ่านเวปใหญ่อย่าง Agoda หรือ Booking.com ได้

อย่าดูที่ราคาถูก ให้ดูประเภทห้องด้วย ครั้งนึงเคยไปนอนห้องที่ถูกมาก แต่เป็นห้องพัดลม และร้อนมาก

อย่าเชื่อจำนวนดาวหรืคะแนนรีวิวมากเกินไป(เชื่อได้ระดับนึง แต่ให้พิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วย)



เพราะทุกโรงแรมที่ไปพัก จะบริการเราเป็นปกติ แต่จะมาดีกับเรา เอามากตอนจะเชคเอาท์

แล้วทุกโรงแรมจะบอกเราเหมือนกันเลยว่า "ช่วยประเมิน 5 ดาวให้เราด้วยนะ"

มีอยู่ที่นึง ยืนคุมเราให้รีวิวให้เค้าก่อน ก่อนที่จะขับรถไปส่งขนส่ง ไม่ได้บังคับให้เรารีวิวให้เค้าห้าดาวนะคะ

แต่ใช้คำว่า ยืนคุม ด้วยสายตาอ้อนวอนกระพริบๆ

เคยมาคิดเหมือนกันค่ะ ว่าที่คะแนนสูงๆ นี่เป็นเพราะ กี่คนที่ถูกยืนคุมให้รีวิวแบบนี้



ตัวอย่างที่พักที่ แคนดี้ค่ะ ตอนจองบอกมีวิวติดหน้าต่าง แต่ได้ห้องปูนทึบก็มี แต่ยอมเพราะราคากดมาตอนนั้นลดพอดี


เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย

นี่ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไปที่เมือง

Airport-Colombo-Anuradhapura-Trincomalee-Sigiriya-Kandy-Negombo-Airport

แผนนี้ไม่ได้เที่ยวโคลอมโบ

และดิฉันไม่ได้จองตั๋วเครื่อบินตอนโปรโมชั่นค่ะ



บทที่ 1


รถไฟศรีลังกา


......เราจะใกล้ชิดคนอื่นได้เท่าไหร่กันนะ........




ออกจากสนามบิน


เครือง TG แล่นลงสู่สนามบินนานาชาติบันดารานายาเก ของศรีลังกาเวลาประมาณ สักเที่ยงคืนครึ่งของที่นั่น ตอนจองตั๋วดิฉันก็แอบประหวั่นเล็กๆ ว่า ดึกขนาดนั้น ดิฉันจะสามารเอาชีวิตออกจากสนามบินยังไง

เพราะได้ข่าวมาว่า สนามบินบันดารายาเก นั้นถึงจะมีชื่อเล่นว่า colombo international airport แต่เอาจริงๆ ไม่ได้อยู่ใน Colombo แต่อยู่ห่างออกไปทางเหนือกว่า 30 กิโลเมตรไปอีกเมืองนึง ชื่อว่า Negombo (คล้ายๆกับที่สุวรรณภูมิอยู่สมุตรปราการ)

ที่ไม่แน่ใจคือ กว่าจะทำธุระปะปังในสนามบินเสร็จ ก็คงจะราวๆ ประมาณตีสอง แล้วมีระบบรถไฟ หรือรถอะไรไหม พาดิฉันเข้าเมืองหลวงไปได้ เพราะถ้ามีก็จะได้หาโรงแรมแถวสถานีรถไฟนอนพักสักงีบ แต่ถ้าไม่ ก็กะว่าจะโต้รุ่งที่สนามบินไปยันเช้าเลย เล่นเนตที่สนามบินไปเรื่อยๆ พระอาทิตย์ขึ้นปุ๊ป จะได้รีบจับรถบัสเที่ยวแรก เข้าเมืองตามที่เคยอ่านรีวิวมา แล้วค่อยไปอาศัยนอนบนรถไฟเอา

แต่สนามบินบันดารา ตอนตีสองนั้นก็หนาวเอาซะเหลือเกิน ไม่รู้ว่า เปิดแอร์เผื่อหน้าร้อนปีหน้าไปเลยทีเดียวเลยรึเปล่า ดิฉันก็ไม่ได้เตรียมเสื้อหนาวอะไรมา เริ่มนั่งมองประตูทางออกของสนามบิน ว่าข้างนอกนั่นจะมีอะไรรออยู่บ้างนะ ศรีลังกาจะใจดีกับดิฉันรึเปล่า ควรออกไปเลย หรือควรนั่งจับเจ่าอยู่อย่างนี้

เครื่อง TG ลงที่สนามบินราวๆ เที่ยงคืนครึ่งค่ะ ทางเดินสนามบินนานาชาติ บันดารานายาเก คนที่นี่จะทักทายกันว่า Ayubowan หรือ อายุบวร ที่หมายถึง ขอให้มีอายุยืนยาว ซึ่งเป็นการดีที่คนศรีลังกาเจอกันที ก็อวยพรให้ทุกคนมีอายุยืนยาว (เหมือนบ้านเรา สวัสดี เพื่ออวยพรให้คนที่เราเจอ เจอแต่เรื่องดีๆตลอดวัน) บางทีก็น่าสนุกหมือนกันนะคะ ที่เรียนรู้คำทักทาย ทำให้รู้ว่าแต่ละวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับอะไร


พอผ่านทางเดินมา เราจะพบกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ต้อนรับนักเดินทางทุกคน สู่ประเทศแห่งพระพุทธศาสนา หากสังเกตุดีๆที่พระเศียรของพระพุทธรูป จะมีแสงสีแว๊บๆ ทอประกายออกมาเป็นรัศมี สลับสีกัน 6 สี หรือที่ชาวพุทธคุ้นชื่อกันว่า " ฉัพพรรณรังสี" จำชื่อนี้ไว้ให้ดีนะคะ มันมีความหมายต่อศรีลังกาเอามากๆเลย เดี๋ยวดิฉันจะกล่าวในบทต่อๆไป


ขา Chat ขา social ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ที่สยามบินบันดารา เค้ามี wifi free ให้ใช้ กรอกชื่อ และเลข Passport ก็ใช้ได้แล้ว คุณภาพความแรงก็เหมือนของฟรีทั่วไปแหละค่ะ อาจจะดูคลิปหน้ากากนักร้องไม่ลื่นนัก แต่พอเชคอินบอกผู้ชาย ให้หายเป็นห่วงได้อยู่


ที่ตรง Immigration คิวค่อนข้างเร็วนะคะ ไม่เกิน 10 นาที ทุกคนส่วนใหญ่ ทำ E-visa มาเรียบร้อยแล้ว ใครเผื่อเวลาต่อรถ สบายใจได้ค่ะ ไม่เกินครึ่ง ชม.


หน้าที่ของเราคือ อย่าลืมปรินซ์วีซ่าใส่กระดาษให้เค้าดูด้วยค่ะ ถ้าให้ดีคือปรินซ์ใบจองที่พักไปด้วย ของดิฉัน ตม.เค้าไม่ดูทั้งสองใบเลย (อ้าวว) แต่เห็นหลายรีวิว เค้าขอดู เสร็จแล้วเค้าก็จะปรินซ์ใบวีซ่า สติ๊กเกอร์เล็กๆให้เราค่ะ


ผ่าน ตม. มาได้จะเจอร้านแลกเงิน ลองเดินดูแล้ว อัตราเท่ากันค่ะให้เลือกร้านแล้วรู้สึกถูกโฉลกเลย อ้อ Bank of Cylon สามารถแลกเงินบาทไทยได้เจ้าเดียวนะคะเกร๋ซะ!!!!!!!!!!


จุดนั่งรอที่ อาคารผู้โดยสารขาเข้าค่ะ โอ่โถงสบายทีเดียว แต่แอร์หนาวมากค่ะ แม้กระทั่งสาว hot อย่างดิฉัน


ดิฉันยืนมองประตูนี้อยู่นาน ชั่งใจว่า จะออกไปหารถเข้าเมืองเอาดาบหน้า หรือนอนรอให้เช้าดี แต่ข้างในนี่หนาวเหลือเกิน ทั้งข้างในสนามบินนี่ และข้างใจจิตใจอันเหน็บหนาวของดิฉัน ไม่รู้ว่าเหมือนกันนะคะ ว่าออกไปข้างนอกจะจะกับความมืดเคว้งคว้างยาวราตรีหรือเปล่า ปลอดภัยไหม เพราะเคยอ่านมาว่า ที่สนามบินของอินเดียใต้ไม่ว่า อินเดีย เนปาลหรือศรีลังกา ถ้าออกไปพ้นประตูแล้ว เกิดอยากเปลี่ยนใจอยากกลับเข้าข้างในขึ้นมา ตำรวจข้างหน้าจะดุคุณ เหมือนกับพยายามก่ออาชญากรรมเลยทีเดียว
แล้วถ้าเกิดออกไป แล้วหาทางไปไม่ได้ล่ะ นี่ตีสองครึ่งนะ บ้านเมืองตอนดึกสงัดอย่างนั้นเค้าจะเป็นยังไง ดิฉันไม่แน่ใจเลย เกิดโดนจี้ล่ะ เกิดโดนข่มขืนล่ะ
แต่ดิฉันก็คิดถึงเพื่อนคนนึง ถ้ามากับมัน มันก็คงลุยออกไปโดยไม่กลัวอะไร นั่นแหละ ดิฉันเลยตัดสินใจ เดินออกไป
ศรีลังกาข้างนอกจะเป็นยังไง ก็คงไม่น่ากลัวกว่าความกลัวที่เรามโนขึ้นมาเอง


แม้ตอนนั้นเกือบตีสามแล้ว แต่ข้างหน้าก็มีคนมายืนรอรับ ผู้โดยสารกันอย่างคับคั่ง ไม่เงียบเหงาค่ะ



หลังจากที่ตัดภัยอันตรายจากความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในสนามบินมืดๆเวลาดึกสงัดออกไปแล้ว อีกอย่างนึงที่ต้องรับมือ นั่นก็คือความวุ่นวายหน้าสนามบินนั่นแหละค่ะ

ภารกิจของดิฉัน คือหาวิธี เดินทางไปสถานีรถไฟ Colombo ให้ประหยัด ในราคาสมเหตุสมผลมากที่สุด

แน่นอนว่า ทันทีที่ออกจากประตูสนามบิน ดิฉันก็ถูกรุมประหนึ่งศิลปินระดับโลกมาเปิดคอนเสิร์ตที่โคลัมโบ

ทุกคนดูเหมือนจะรู้ทันที ยังกะอ่านใจ ว่าดิฉันหารถอยู่ คำทักทาย จาก Ayubowan ที่ควรจะได้ยินให้ชีวิตมีอายุยืนยาวขึ้นสักปี กลับกลายเป็นคำว่า "Taxi?" ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะมีผู้ชายมาห้อมล้อม ถามดิฉันว่ามาจากไหน บางคนถึงกับกล่าว "หนีห่าว" ใส่ดิฉันอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ถามว่าจะไปไหน บางรายเสนอราคา บอกระยะเวลาให้เสร็จสรรพ บางคนถึงกับยืนฟังอีกคนเสนอราคาแล้วเข้ามาตัดราคากันซึ่งๆหน้า

ดิฉันได้แต่ยิ้มเจื่อน เพราะราคา ที่เขาเสนอมา มัน 3000 LKR ขึ้น ทั้งนั้น ( 750 บาท )

ดิฉันปฏิเสธคนเหล่านั้น อย่างสุภาพ ถ้าใครรุกหนักเข้า ก็จะทำเป็นฟังเค้าไม่รู้เรื่อง พ่นภาษาต่างดาวใส่เค้ารัวๆ แล้วหาจังหวะแทรกตัวออกมา

ด้วยว่า ดิฉันเคยอ่านรีวิวมา ว่ามีรถบัส สาย 187 Negombo-Colombo ราคาแค่ 200 LKR (50บาท)

แต่ปัญหาคือ ตีสามอย่างนี้รถยังจะมีอยู่ไหม หรือต้องรอเช้า ซึ่งการยืนรอตรงนอกอาคารที่มีคนมารุมล้อม และมีไอเสียรถตลอดเวลา นั้นมันไม่สนุกเลย wi-fi สนามบินข้างนอกนี่ก็ไม่ครอบคลุมแล้ว

ดิฉันเดินตามหารถบัส 187 ซะทั่วแต่ก็ไม่มีวี่แวว

ผ่านไปราวชั่วโมง ก็เลยไปถามที่เค้าเตอร์ค่ะ ได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่(สนามบิน) ว่าป้ายรถบัสคือข้ามถนนไปฝั่งโน้นค่ะ รถบัสออกทุกชั่วโมง เวลา ดึกแค่ไหนก็มีค่ะ


ข้ามปุ๊ปเจอเลย เดินหาชั่วโมงนึง สังเวยกับความปากหนักของตัวเองที่ไม่ยอมถามตั้งแต่แรก ซึ่งมันอยู่แค่ข้ามถนนตรงประตูทางออกก็เจอเลย รถที่มาจอดเป็นมินิบัสค่ะ ขาวๆ เหมือนรถตู้ แต่มีป้ายบอกไป colombo ชัดเจน


ถ่ายจากในรถค่ะ Fort คือ Colombo Fort ชุมทางที่มีสถานีรถไฟ และสถานีรถบัสหลัก อยู่ตรงนั้น


สภาพภายในรถค่ะ เอากระเป๋ามากองข้างหน้า แล้วนั่งเลย รถจะแวะรับคนตามป้ายรถต่างๆ ไม่นานคนก็ขึ้นมายืนเต็ม ความแออัด เป็นเรื่องธรรมดาของรถสาธารณะที่นี่



สรุปวิธีการเดินทางออกจากสนามบินไป Colombo Fort

1. Taxi (2000-3500 LKR หรือ 500 -875 บาท)

สบายหน่อยค่ะ ไม่ต้องเบียด 10 นาที ก็ถึง

แต่ต้องลุ้นเอาว่าราคาจะขึ้นตอนหลังรึเปล่า

ให้ดีคือ ตกลงราคาก่อน

2. UBER (ที่ดิฉันกดตอนตีสามวันนั้น คือ 1752 LKR หรือ 438 บาท)

นี่ก็สบาย แถวนั้น มี UBER เยอะเลยค่ะ

ราคาถูกลงมา ตัดบัตรเครดิตได้

ความเร็ว พอๆกับ Taxi 10 นาที ถึงเมือง

แต่ไม่ถูกกฏหมายนัก ไม่เหมาะกับน้องผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว โดยเฉพาะดึกๆค่ะ

3. รถบัส 187 ( 200 LKR หรือ 50 บาท)

ถูกกกกกกมากกกกกกกกกกกก

แต่ข้อเสียคือ รถรับคนไม่อั้น ความใกล้ชิดสาธารณะคือเรื่องปกติ

จดแวะหลายที่

รถออกทุกชั่วโมง แต่กว่าจะถึงอาจใช้เวลา1 ชั่วโมง (ในรอบกลางคืน รอบกลางวัน เห็นเค้าว่า 30 นาทีก็ถึง)

ไม่เหมาะกับคนที่เวลากระชั้น

ดิฉันตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ รถออกตีสาม แต่ตอนนั้นคือมาถึง ราวตีสี่กว่าๆ ที่ Fort สถานีรถบัสอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟค่ะ เนื่องจาก colombo เป็นเมืองติดทะเล เราจะได้กลิ่นหนักๆของเกลือทะเลมาปะทะจมูก และมีเสียงนกทะเล(ส่วนใหญ่เป็นอีกา) บินแผดเสียงกันให้วุ่น อ้อ ระวังมันทิ้งระเบิดด้วยนะคะ ดิฉันโดนมาแล้ว


เป้าหมายของดิฉันคือเมืองหลวงเก่าอย่าง Anuradhapura ใครไม่ชอบรถไฟ รอรถบัส แบบคันนี้ก็ได้ค่ะ


ทางเดินไปสถานีรถไฟ ไม่ไกลค่ะ แต่เสียวสันหลังพิลึก นอกจากจะตื่นเต้นจากการหลบระเบิดของอีกาที่บินบนหัวแล้ว ยังไม่แน่ใจเลยว่า นี่จะมีอะไรโผล่มาจ๊ะเอ๋ระหว่างทางรึเปล่า


พอเริ่มถึงสถานีรถไฟ ร้านขายของก็มา ไฟประดับประดาก็มี


นี่ค่ะ สถานีรถไฟ colombo fort ศูนย์กลางการเดินรถไฟของเมืองนี้ มีรถไฟไปทุกนี้ เหนือ ใต้ ออก


มีตารางใหญ่ๆให้เชค จุดหมายค่ะ เลขท้ายคือชานชะลา ที่ต้องไปขึ้น


ช่องขายตั๋ว ยอมรับว่าแม้จะเป็นเวลาตีสี่ แต่คนก็เยอะและวุ่นวายมาก ดิฉันพยายามหาตั๋วที่ได้นั่ง เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่พอถึงช่องขาย ทำได้แค่บอกชื่อเมือง เลยได้ตั๋วชั้น 2 (พัดลม) มาค่ะ ในราคา 300 LKR( 75 บาท โอ้ถูกมากๆถูกว่าขนมบางห่ออีก)


ภาพบริเวณชานชะลา ภายในสถานีค่ะ รถไฟที่นี่ตรงเวลา ป้ายชานชะลาหมายเลขต่างๆก็ใหญ่ชัดเจนดี เราสามารถเทียบเวลากับตั๋วเรา แล้วไปยืนที่ชานชะลาได้ สวยๆค่ะ ไม่งง


รถไฟของเรามาแล้วค่ะ โอเค ตั๋วชั้นสองที่ได้รับ คือ ขึ้นที่มีเลขสองตรงไหนก็ได้ ขึ้นไวได้นั่ง ขึ้นช้า ก็เจอกับ “ความใกล้ชิดสาธารณะ"ค่ะ


สถาพด้านในขบวนรถค่ะ ดีใจจังที่มีที่นั่ง ฮูเร่



ดิฉันเลือกนั่งติดหน้าต่าง เพียงหวังว่าจะได้ดูศรีลังการะหว่างทาง และจะได้เผลอหลับได้ด้วย เอาน่ะ รถไฟขบวนนี้กว่าจะถึง Anuradhapura ก็ราวๆ 4 ชั่วโมง หยิบหูฟังขึ้นมาฟัง เปิดเพลงที่ชอบดังๆ ทำปากขมุบขมิบลิปซิ้ง หยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาถือไว้เฉยๆ แล้วเพลิดเพลินไปกับชีวิตสองข้างทาง นี่ทริปรถไฟในฝันชัดๆ

แต่เดี๋ยวก่อน!!!!!!!!!!!!

ชีวิตของสาวน้อยในต่างแดนมันไม่ง่ายอย่างนั้นสิคะ ถึงแม้ก่อนขึ้นรถไฟขบวนนี้ ดิฉันได้ถามนักศึกษาวัยรุ่นแถวนั้นว่า ตั๋วของดิฉันขึ้นตู้ไหน

ตั๋วของดิฉันเป็นตั๋วชั้นสอง นักศึกษาคนนั้นเลยบอกว่า "คุณขึ้นตู้ไหนก็ได้ ที่มีเลข 2"

ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีในช่วงที่รถไฟจอด ชาวศรีลังกาผู้รู้งาน ทุกคนกูลีกูจอ เร่งรีบเข้าไปจับจองที่นั่งที่ดีที่สุด

คำว่าที่ที่ดีที่สุดของรถไฟ ศรีลังกาคือ ได้นั่ง


ส่วนที่นั่งปกติ หมายถึง ที่สักที่บนรถไฟที่สองขอของเราจะยืนโดยสารไปตลอดได้

ช่วงเวลาที่สั้นยิ่งกว่า กระพริบตา แค่ดิฉันเผลอถ่ายรูปรถไฟแค่ชั่วชัตเตอร์เดียวเท่านั้น

ไม่ทันไร ตู้ทุกตู้ก็เต็มไปด้วยชาวศรีลังกาที่เข้าไปอัดกันเต็มตู้เรียบร้อย


ดิฉันออกจะปฏิเสธความจริงที่ว่า ตัวเองต้องไปยืนอัดกับคนจำนวนมากขนานนั้น ดิฉันยังไม่พร้อม

จึงได้เดินหาตู้ที่มีเลขสองไปเรื่อยๆ ตู้แล้วตู้เล่า

จนมาเจอตู้สุดท้าย ก็เอะใจว่า ทำไมตู้นี้ว่างนะ แต่เอาน่า ก็น้องคนนั้นบอกเองว่า "คุณขึ้น ตู้ไหนก็ได้ ที่มีเลข 2"

ตู้นี้ก็มีเลขสอง ที่นั่งก็ว่าง ดิฉันง่วงนอนแล้วด้วย


ก็นั่งไปสักพัก จนเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่พนักงานตรวจตั๋วมาขอตรวจ

พนักงานก็บอกกับฉันว่า คุณนั่งที่นั่นไม่ได้ รถไฟที่ดิฉันจองนั้นเป็นตั๋วชั้น 2 ก็จริง

แต่ที่นั่งนี่ มันคือชั้นสองอีกแบบที่จองที่ล่วงหน้า

สุดท้ายดิฉันก็ต้องสละที่นั่งไป

และเขาก็ชี้ไปที่ตู้ข้างหน้า

ที่ของดิฉันก็คือ ต้องไปอัดปลากระป๋องกับชาวศรีลังกาจำนวนมากในตู้ที่ดิฉันเดินผ่านมา

สภาพความหนาแน่นของรถไฟชั้นสองรอบเช้าวันเสาร์ของศรีลังกาค่ะ ใช่ค่ะ ดิฉันต้องเข้าไปอยู่กลางฝูงชนนั้น


ความใกล้ชิดสาธารณะ

หลังจากที่โดนพนักงานไล่ให้ไปรวมในตู้ที่มีคนแน่นอยู่เต็มแล้ว

ดิฉันคงไม่มีทางที่จะมีโอกาสได้นั่งแล้วจริงๆแน่ๆ

เอาล่ะ จาก Colombo ไป Anuradhapura ก็แค่ 4 กว่าๆชั่วโมงเอ๊ง บางทีนี่อาจจะเป็นประสบการณ์การยืนบนรถไฟที่ยาวนานที่สุดในชีวิต

ดิฉันลองมองหาแง่ดีจากเหตุการณ์นี้ ถ้าไม่ได้ยืนบนรถไฟนี่ แล้วหล่อนจะได้ไปยืนที่ไหนอีก

คิดได้ดังนั้น จึงแบกแบคแพคของตัวเอง เดินจากตู้ ชั้นสองที่นั่งจอง เข้าไปหาเงาดำๆของฝูงชนในตู้ชั้นสองธรรมดา ข้างหน้า

"ว้าว มันต้องสนุกแน่ๆเล้ย" ดิฉันพยายามบิลท์ตัวเอง


ดิฉันแทรกตัวเข้าไปยืนในตู้

พยายามทำให้ตัวเองเล็กที่สุด แต่เป้และสัมพาระที่รุงรังของตัวเองก็เป็นปัญหามากในการอยู่ร่วมกับคนอื่น

ด้วยความแน่น และความโคลงเคลงของรถไฟ ดิฉันถูกดันๆ จนหลุดออกไปที่ จุดเชื่อมระหว่างตู้รถไฟ แถวๆกับห้องน้ำ

ที่นั่นมีลมโกรกแรงดี แต่กลิ่นห้องน้ำไม่ดีเอาซะเลย

แถมเวลารถไฟเลี้ยวแรงๆ ก็เสียวที่จะโดนเหวี่ยงออกจากรถอีก

แต่เมื่อรถไฟไปจอดที่สถานีระหว่างทาง

ก็มีผู้โดยสารจำนวนมากขึ้นมาระหว่างทางเดิน ด้วยความที่ดิฉันอยู่หน้าประตู ไม่ช้า ดิฉันก็ถูกดัน ถูกเบียดเข้าไปด้านในตู้รถ


เคยอ่านมาเหมือนกันค่ะ ว่า ระบบโดยสารสารธารณะของศรีลังกา ไม่ว่าจะเป็นรถบัส หรือรถไฟ

ขึ้นชื่อว่า รับคนไม่อั้น ใครอยากขึ้นได้ขึ้น ใครอยากเดินทางได้เดินทาง

รู้ตัวอีกที ดิฉันก็อยู่ท่ามกลางฝูงมหาชนชาวศรีลังกา ที่พร้อมใจยกแขนขึ้นมาจับห่วงรถไฟกันในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว

ดิฉันแอบใช้ปากหายใจแทน เพราะรู้ทันทีว่า สินค้าพวกโรลออนคงไม่ได้รับความนิยม และตีตลาดที่ศรีลังกาไม่ได้


ไม่เพียงแค่กลิ่นเท่านั้น ดิฉันไม่เคยรู้สึกว่าเนื้อหนังมังสาของตัวเอง จะถูกคนอื่นสัมผัสได้มากเท่าวันนั้นมาก่อน

บางช่วงรถไฟมันแน่นมาก จนรู้สึกคล้ายๆ ว่าดิฉันถูกกอดรัดด้วยชาวศรีลังกาทั้งขบวน

และเวลาก็เหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเอามากๆ พอครั้นที่คิดว่า นี่ก็ยืนมานานมากแล้ว

แต่พอยกนาฬิกาขึ้นมาดู มันพึ่งผ่านไปแค่ 30 นาที และรถก็ออกไปห่าง colombo ไปแค่ไม่กี่กิโล

โอ๊ยหน่อ!


ดิฉันเริ่มปลงกับกลิ่น และ การถูกเนื้อต้องตัว เริ่มหาท่ายืนที่ทำให้ตัวเองผ่อนคลายในพื้นที่ที่จำกัดตามอรรถภาพ

จากนั้นก็เริ่มสังเกตุ ผู้คนรอบๆตัว

เริ่มเห็นว่า รอบๆตัว ไม่มีใครรู้สึกเป็นทุกข์กับความแออัดใกล้ชิด เท่าดิฉันเลย

ผู้คนมากหน้าหลายตา ชาย หญิง แก่ เด็ก พุทธ ฮินดู อิสลาม

อัดกันอยู่บนตู้รถไฟนั้น ไม่มีการถือตัว ไม่มีใครบ่น ทุกคนทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ราวกับการไปเดินเล่นสวนบ้านคุณย่า

ไม่มีใครมองแรง เวลาที่คนอีกหลายสิบ ขึ้นมาเพิ่มระหว่างสถานี แม้แก้มตัวเองจะแนบกับจั๊กแร้คนข้างๆก็ตาม


แถมยังมีวัฒนธรรมที่น่าชื่นชมอีก ในขบวนรถไฟแน่นๆนั้น

ที่คนที่นั่งอยู่ จะคอยถามคนที่ยืน โดยเฉพาะคนแก่ หรือคนที่หน้าตาดูไม่ไหว ว่าจะมานั่งไหม การสลับเล่นเก้าอี้ดนตรี ก็เกิดขึ้น

พอคนนึงนั่งจนหายเมื่อย เขาก็จะถามคนต่อๆไป ว่ามานั่งไหม ดิฉันเองก็ถูกถามราว สามสี่ครั้ง ตลอดทาง

การขโยก ขเยกของรถไฟ ตลอด 4 ชั่วโมงกว่าๆนั้น ย่อมทำให้มีการกระแทกโดนหัวโดนตัวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีใครแสดงท่าทีรำคาญ หรือหงุดหงิดใส่กันเลย

นึกเล่นๆว่า ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้าแถวบ้าน คงมีใครสักคน ดราม่า ในพันธิปไปแล้ว

แต่นั่นแหละค่ะ

ทุกคนในรถไฟขบวนนั้น ก็อยากถึงที่หมายกันทั้งนั้น

การอดทน และอึดอัด อีกสักนิด แต่มีคนได้ไปด้วยมากขึ้น

อาจจะเป็นคุณสมบัติของ "เพื่อนร่วมทางที่ดี"



ภาพวิวระหว่างทางค่ะ ประเทศนี้มีลมมรสุมสลับกันตลอดปี เลยรุ่มรวยด้วยน้ำที่พอจะปลูกข้าวให้งามได้


ช่วงนึงที่รถไฟแน่นมาก จนดิฉันถูกดันไปอยู่ระหว่างตู้ แต่ก็มีผู้โดยสารบางคนนิยมออกมาเกาะราวเหล็กระหว่างตู้ เพื่อยื่นตัวออกมาสูดอากาศข้างรถไฟ อย่างพี่คนนี้ ตื่นเต้น เสียวตกมากเลยค่ะ


นี่ช่วงที่คนน้อยแล้วนะคะ ถึงพอจะยกแขนขึ้นมาถ่ายรูปได้ เรื่องกลิ่นเหรอคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ มันจะรู้สึกแค่แป๊ปเดียวค่ะ เดี๋ยวจมูกก็ชิน


สิ่งที่หน้าหงุดหงิดใจอีกอย่างนึงในรถไฟแน่นๆก็คือ เหล่าธุรกิจ SME บนรถไฟ ที่พยายามถือของมาขายในทุกๆ 10 นาที มีตั้งแต่ลูกอม น้ำดื่ม อาหาร ขนม ไปจนถึง รับจ้างร้องเพลงเพื่อผ่อนคลายบนรถไฟก็มี นักธุรกิจเหล่านี้ จะถือตะกร้าใหญ่ แทรกตัวเบียดผ่านพวกเรามาระหว่างทางเดิน หน้าที่ของพวกเราคือขยับสะโพกหลบพวกเค้า แม้ว่ามันจะไม่มีที่ให้ขยับแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเค้าก็เก่งค่ะ แคบแค่ไหน พวกเค้าก็จะดันพวกเราไปจนได้ นั่นก็หมายถึง เราจะโดนบีบอัดกับผู้โดยสารข้างๆมากขึ้น และที่ฝันร้ายที่สุดก็คือ หากมีการดีลธุรกิจ ปิดการซื้อขายใกล้ๆเราขึ้นมา พวกเค้าก็จะหยุด แล้วปล่อยให้เราถูกดันอยู่อย่างนั้น จนกว่าการซื้อขายจะแล้วเสร็จ บางทีก็ถามก็ต่อกันอยู่นั่น จนอยากจะหันไปเหมาของให้หมด แล้วแจกคนบนรถไฟไปซะให้รู้แล้วรู้รอด


ภาพเด็กที่โดยสารบนรถไฟค่ะ


ความทรมานอาจจะดูรถไฟแล่นช้า แต่เอาจริงๆ รถไฟถึงที่หมายตรงเวลาเป๊ะ นี่คือที่ชานชะลา สถานี Anuradhapura ค่ะ


ฝูงชนมากมาย กรูกันออกมาที่เมืองนี้ เพราะเป็นเมืองใหญ่ เมืองนึงของศรีลังกา และเป็นเมืองหลวงเก่าด้วย


ดิฉันไหลตามฝูงชนออกไป ตามทางเดิน คนจำนวนมากมาที่เมืองนี้



เช่นเดียวกับคอื่นๆค่ะ Anuradhapura มันดึงดูดฉันบางอย่าง ให้ต้องมาที่นี่ให้ได้




บทที่ 2


Anuradhapura


.....เราจะมีศรัทธาได้แค่ไหน......



ทันทีที่ดิฉันลงจากรถไฟ สิ่งที่คาดไม่ผิดแทบจะทันทีเลยคือ มีชาวศรีลังกาเข้ามาทักทายว่า "หนีห่าววว" และตามด้วย "Taxi?"

ดิฉันยิ้ม และปฏิเสธอย่างสุภาพให้สมกับเป็นทูตสันทวไมตรี และเลือกที่จะ เดินผ่านตัวเมืองไปเองมากกว่า จะได้ถือโอกาสสัมผัสเมืองนี้ให้มากที่สุดด้วย



Anuradhapura เมืองใหญ่ทางภาคเหนือของศรีลังกา อยู่เหนือกรุงโคลัมโบ ขึ้นไปราว 200 กว่ากิโลเมตร เป็นเมืองหลวงเก่าของศรีลังกา เป็นเมืองมรดกโลกของ UNESCO เป็นเมืองที่เป็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย

แต่เหตุผลที่ทำให้ดิฉันดั้นด้นมาถึงเมืองนี้ ในวันอาสาฬหบูชา มีเพียงข้อเดียว

เพราะ Anuradhapura เป็นเมืองที่มีหน่อของต้น พระศรีมหาโพธิ์จากต้น Original ต้นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้สัมโพธิญาณ และแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ จนพระอัญญาโกณฑัญญะ บรรลุธรรม และเกิดเป็นพระสงค์รูปแรกในพระศาสนา และมีพระรัตนไตรครบสามประการ ในวันเพ็ญเดือนแปด อาสาฬห ซึ่งเป็นวันที่ดิฉันเดินทางไปถึงพอดี



หน่อต้นศรีมหาโพธิ์ ก็มีอยู่ทั่วโลก แต่อย่างที่บอก หน่อที่เมืองนี้ อัญเชิญมาจากต้น original และเป็นต้นศรีมหาโพธิ์ที่ยังยืนต้นอายุเก่าแก่ที่สุด

ไม่มีอะไรจะปลุกความ Geek เรื่องพระพุทธศาสนาในตัว ไปมากกว่า การได้มาอยู่ใกล้ต้นศรีมหาโพธิ์ในวันอาสาฬหบูชา เกร๋สุดๆๆ

ภารกิจของดิฉันในเมืองนี้ ก็คือ ไปนั่งสมาธิใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ในวันอาสาฬหบูชา ฮูเร่





ทันทีที่ก้าวเข้าเมือง ก็ต้องประหลาดใจ ที่อาคารบ้านเรือนหลายๆที่ ตกแต่งด้วยธงสีสัสดใส จำเรื่อง รัศมี "ฉัพพรรณรังสี" 6 สีเปล่งประกายรอบเศียรพระพุทธเจ้าได้ไหมคะ ที่ศรีลังกา เขาเอาสีหกสีเหล่านั้นมาทำเป็นธง เรียกว่า "ธงฉัพพรรณรังสี" ซึ่งพัฒนาโดน พุทธสมาคมกรุงโคลอมโบ เพื่อเป็น ธงสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา และก็ได้รับความนิยมเอาไปใช้ในหลายๆประเทศทั่วโลก อย่าง ทิเบต เนปาล ญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่งเราอาจจะเคยเห็นธงแบบนี้ที่วัดพุทธในต่างประเทศ แต่ไม่ต้องแปลกใจค่ะว่า ทำไมที่ไทยไม่เคยเห็น เพราะเราใช้ ธงธรรมจักรสีเหลืองของเรา เป็นสัญลักษณ์ ของพระพุทธศาสนาแทนค่ะ


ที่น่ารักอย่างนึงคือ ที่หน้าวัด จะมีซุ้มแจกน้ำผลไม้ คล้ายๆโรงทานบ้านเรา ใครผ่านไปผ่านมาจะได้รับแจก รถบางคันถูกเรียกให้หยุด เพื่อรับทานน้ำนี้ ทุกคนดูยิ้มแย้มในผลของทานค่ะ ดิฉันก็หิวน้ำพอดี เลยได้รับมาแก้วนึง มันเหมือนน้ำส้มผสมน้ำสัปปะรด ผสมน้ำมะม่วง ผสมดอกไม้หอมๆ ชื่นใจซะ


แล้วเราก็ไปที่วัดพระศรีมหาโพธิ์ กัน ชาวเมือง(ดูเหมือนจะมาจากทั้งเมือง) ใส่ชุดขาวบริสุทธิ์ เข้าไปสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์กันอย่างล้นหลาม เหมือนทุกคนพร้อมใจกันมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เหมือนงานประจำปี เหมือนเทศกาล


ที่ทางเข้าวัดค่ะ ความจริงมีค่าเข้าอย่างที่บอกไปแล้ว แต่วันเทศกาลอย่างนี้ ฟรี!!!!!!!!!ค่ะ เย่ๆ


ก่อนเข้าวัดที่นี่ต้องถอดรองเท้า แยกชายหญิงด้วยนะคะ


ชาวศรีลังกา และชาวพุทธที่มาแสวงบุญ จะนิยม เอาดอกไม้เครื่องหอมจัดมาใส่พานอย่างดี ( หรือซื้อเอาที่หน้าวัดดอกละ 100 LKR(25 บาท ) เพื่อมาสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์อย่างนอบน้อม ดิฉันรู้สึกถึงพลังแห่งความศรัทธาของชาวศรีลังกาที่ไม่แพ้คนที่ไหนเลย


วันที่ใจเจอพี่ๆชาวไทย รวมกลุ่มกันมาแสวงบุญ โดยรวมตัวกันสวดมนต์พร้อมเพรียงกัน เป็นที่น่าชื่นชมต่อคน ศรีลังกาที่มาในวันนั้น แอบเห็นชาวศรีลังกาบางคน นั่งลงและพนมมือตามบทสวดของพี่ๆคนไทยด้วย ดิฉันก็แอบไปนั่งพนมมือเอาบุญเนียนๆกับพี่เค้า แต่ไม่มีใครคุยกับดิฉันหรอกค่ะ พี่ๆคงคิดว่าดิฉันเหมือนคนชาติอื่นมากกว่า 5555


และดิฉันก็เจอมุมสงบมุมนึงที่คนไม่พลุกพล่าน ทำภารกิจ "นังสมาธิที่ต้นศรีมหาโพธิ์ในวันอาสาฬห "ชื่อยาวซะ) ดิฉันจ้องไปที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์เบื้องหน้า จินตนาการระลึกเหตุการณ์ย้อนไปในอดีต ว่าสัก 2600 ที่แล้ว ต้นไม้ต้นนี้ เป็นส่วนไหนของต้นoriginal และรับรู้เหตุการณ์อะไรบ้าง ในคืนนั้น แล้วดิฉันก็ดำดิ่งกำหนดลมหายใจ แบบที่พระอาจารย์เคยสอนดิฉันตอนที่บวชเรียน ใช้เวลาช่วงนึงที่เนิ่นนาน ดื่มด่ำกับความสงบและพลังศรัทธาของชาวศรีลังกาที่อยู่รายรอบ oh mission completed!!!!!!


รอบๆ ต้นศรีมหาโพธิ์จะมีกลุ่มคนหลายคนที่มาพร้อมกับพระสงฆ์ คอยแสดงธรรมและสวดมนต์ พนมมือไปพร้อมๆกัน เป็นบรรยากาศที่รู้สึกมีพลังมากเลยค่ะ


รอบๆวัด ก็เห็นภาพศาสนิกชนแต่งชุดขาว นั่งล้อมวงพนมมือทั่วไปหมด


ภาพการแสดงออกถึงความศรัทธาอย่างเต็มที่ เป็นภาพที่ไม่แปลก พบเห็นทั่วไป สำหรับคนที่นี่


ภายในวัดนั้นเป็นพื้นที่กว้างมากเลยค่ะ มีศาสนิกชนจำนวนมาก(ใช้คำว่า มหาศาลดีกว่า) กระจายไป นั่ง นอน ยืน หรือแม้แต่ อาบน้ำ(จริงๆค่ะ) ทั่วบริเวณวัด แต่ดิฉันก็เริ่มสงสัยว่าเค้าเดินไปไหนกันต่อ จึงเดินตามไป

เดินผ่านมาจะพบการจุดโคมประทีป ซึ่งระหว่างทางก็จะมีเสียงบรรยายธรรมดังกึก้องไปทั่วบริเวณ หลายๆคนพนมมือ

ภาพศาสนิกชน นั่งฟังเทศน์ค่ะ ตอนนั้น่าจะราวๆบ่ายสาม

ดิฉันยังเดินตามฝูงชนชุดขาวไปต่อ จนได้เจอกับเจดีย์ขาวๆ ตั้งตระหง่านอยู่


ระหว่างทาง มีพี่ช้างสวนมาด้วย ว้าวววว EXOTIC สุดๆ ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่ในสมัยพุทธกาล


แล้วก็มาถึงเจดีย์สีขาวตั้งตระหง่าน ตัดกับเมฆฝนอึมครึมด้านหลัง ท้องฟ้าบางช่วงร้องครืนน่าเกรงขาม เหมือนเตือนว่าคนบาปอย่างดิฉัน กำลังจะเข้าไปใน อาณาจักรแห่งพระศาสนาแล้ว ลุยค่ะ


นี่คือเจดีย์ รุวันเวลิ ค่ะ เจดีย์สีขาวบริสุทธิ์สะอาดตาขนาดใหญ่ ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดใน อนุราถหปุระ เป็นเจดีย์รูปทรงระฆังคว่ำ ที่ถือว่าเป็นต้นแบบในการสร้าง พระปฐมเจดีย์ที่ นครปฐมบ้านเรา ตัวเจดีย์สร้างจากหินภูเขาที่ใช้ ช้าง 362 เชือกลากมาถึงที่นี่ รอบๆเจดีย์เลยสร้างรูปช้างเป็นอนุสรณ์ถึงช้างเหล่านั้น และถือว่าเป็นต้นแบบในการสร้างวัดช้างล้อมที่ศรีสัชนาลัย บ้านเราด้วยนะเออ นี่แหละคือเจดีย์แบบ original ของเจดีย์ทั่วโลก ว๊ายๆตายแล้ว ดิฉันขนลุกเลยค่ะ


เช่นเดิม รอบๆเจดีย์มีศาสนิกชนจำนวนมาก มากสักการะในวันสำคัญอย่างนี้


คุณป้ายืนขโมยซีนเพื่อนมากค่ะในรูปนี้


และในวันนั้น มีการเชิญผ้ามาห่มรอบองค์เจดีย์ด้วยค่ะ โดยผู้คนจะเชิญผ้ารอบๆพระเจดีย์แล้ว ส่งขึ้นไปให้พระสงฆ์และอุบาสกด้านบนพันรอบเจดีย์



Esala Full Moon Poya

ที่ศรีลังกา เค้าก็มีวัน อาสาฬหบูชา หรือวันสำคัญทางศาสนา วันอื่นๆ เหมือนประเทศไทยของเราค่ะ

เอาจริงๆ ทุกวันพระจันทร์เต็มดวงของทุกๆเดือน ที่ศรีลังกา เค้าจะเรียกว่า วัน Poya แต่ละเดือนก็มีชื่อเรียกต่างกันไป และมีความหมายเพิ่มเติมเฉพาะให้เริ่ดขึ้น ตามบริบทของประเทศเค้า

ชื่ออย่างเช่น Vesak Poya (วิสาขบูชา) ก็จะรำลึกถึง การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน

Esala Poya (อาสาฬหบูชา) นอกจากจะระลึกถึงปฐมเทศนา(การแสดงธรรมครั้งแรก)ของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังระลึกการเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานครั้งแรกที่ศรีลังกา อีกต่างหาก

วัน Poya เหล่านี้ นอกจากจะมีกิจกรรมทางศาสนาทั่วไปแล้ว ยังมีกิจกรรมเสริมอื่นๆคล้ายๆดับการเฉลิมฉลองประจำปีของชาวพุทธที่นี่อีกด้วย

อย่างที่ Anuradhapura เมืองที่มีความเชื่อมโยงกับต้นศรีมหาโพธิ์ และเคยประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วอยู่นานสองนาน (ก็เค้าเคยเป็นเมืองหลวง)

ตอนกลางคืนจึงมีขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่

ประกอบด้วยขบวนกลองดนตรี นักแสดงนาฏศิลป์ของศรีลังกากว่าร้อยชีวิต คนถือพานพุ่มดอกไม้ ขบวนช้างแห่กว่าสิบเชือก

ซึ่งจัดขึ้นที่ถนนใหญ่ออกมาจากตัววัด ศรีมหาโพธิ์

ประชาชนทั่วทั้งเมืองต่างมานั่งจับจองพื้นที่สองข้างถนนกันตั้งแต่ตะวันยังไม่ตก จนเริ่มแสดงตอนสองทุ่ม ยิงยาวไปจนถึงสี่ทุ่มเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าการมาศรีลังกาที่ตรงกับวันสำคัญทางศาสนา ถือว่า เป็นอะไรที่ เริ่ดในเริ่ดและเริ่ดของในเริ่ดอีกที


หลังการแสดงจบราวๆ สีทุ่มกว่า ในใจตอนนั้นดิฉันก็แอบคิดว่า เมืองพุทธที่ไม่มีเหล้าขาย ไม่มีผับเปิดตอนกลางคืนอย่างนี้

เค้าคงรีบกลับบ้านไปนอนแล้วปิดไฟมืด อีกสักแปปคงจะเงียบสงัดกันทั่วเมือง เหมือนที่เคยเห็นที่หลวงพระบาง

เค้าคงรีบกลับบ้านไปนอนแล้วปิดไฟมืด อีกสักแปปคงจะเงียบสงัดกันทั่วเมือง เหมือนที่เคยเห็นที่หลวงพระบาง

คุณยายคะ เดินไปไหน แถมถือกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วย น่าสงสัย ว่ายายๆจะไปทำอะไร

เหมือนทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปที่เจดีย์สว่างไสวนั่น

เจดีย์รุวันเวลิ ตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบ ว่าแต่เค้าไปทำอะไรกัน

สิ่งที่ดิฉันเห็นในคืนนั้น ทำให้ดิฉันทึ่งไปสามวิ ภาพของทุกคนที่หอบเครืองนอนมานอนกันรอบๆเจดีย์ ถือว่าเป็นอะไรที่ดิฉันไม่เคยเห็น คาดว่าวันสำคัญอย่างนี้ ศาสนิกชน คงตั้งใจมาถืออุโบสถศีล (ศีล8) และนอนที่วัด แบบที่ดิฉันเคยเห็นคุณยายทำสมัยที่ดิฉันเป็นเด็กๆทุกวันพระ

นอกจากนี้ยังมีการเวียน เทียนและสวดมนต์ตลอดทั้งคืน ใครใคร่สวดสวด ใครใคร่เดินเวียนก็เดินเลย ตามพลังศรัทธาของแต่ละคน

นอกจากนี้ยังมีการถวายดอกไม้ขนาดใหญ่เพื่อเป็นพุทธบูชา

ดิฉันเลยถือโอกาสเดิน เวียน กล่าวบท... อิติปิโส...สวากขาโต....สุปฏิปันโน บูชาพระรัตนไตรกับเค้าบ้างรอบเจดีย์ แต่อย่าลืมว่าเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างรุวันเวลินั้น กว่าจะเวียนครบรอบนี่เล่นเอาขาล้า สามรอบนี่ ก็รู้สึกเหมือนได้เดินทางไกล เคยไปเวียนเทียนที่ไหนและรู้สึกเหนื่อยไหมคะ ถ้าอยากลอง แนะนำที่นี่ค่ะ

ไม่ได้มีที่เจดีย์ที่เดียวที่ศาสนิกชนไปนอน ดิฉันไปแอบดูที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก็มีคนไปนอนเช่นเดียวกัน ทุ่มเทมากๆ


ไม่เว้นแม้แต่ทางเดิน ว่าแต่ แสงไฟจ้าอย่างนี้ ไม่แยงตาเหรอยาย

ด้วยความที่เดินเวียน อยู่นานสองนาน แถมยังไปดูคนนอนที่นั่นที่นี่อีก รู้ตัวอีกทีก็คือ เที่ยงคืนแล้ว ดิฉันกลัวว่าถ้ากลับโรงแรมตอนมืดๆอย่างนี้ น่ากลัวแน่ ที่กลัวไม่ใช่อาชญากรรมนะคะ กลัวผี!!!! เลยรีบบึ่งจักรยานที่เช่ามาออกจากวัด ผ่านวิวเห็นเจดีย์รุวันเวลิ สีขาวสะอากตระหง่าน คู่กับเจดีย์อภัยคีรีสีอิฐ โดดเด่นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน


ที่ทำให้ดิฉันทึ่งอีกตลบนึงคือ ทันทีที่เข้าเมือง ซึ่งตอนนั้นจะตีหนึ่งแล้ว แต่กลับคึกคักยิ่งกว่าตอนกลางวันซะอีก ร้านรวงขายของ ร้านอาหาร เปิดเต็มไปหมด เหมือนทุกคนเพิ่งกลับจากวัดแล้วออกมาหาข้าวกินอะไรอย่างนั้น สรุปคือ ในวัดคนเข้าไปนอน ข้างนอกคนตื่นเต็มเล้ยยย



สิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้จาก Anuradhapura นั่นก็คือ

“ศรัทธา”

คนเมืองนี้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พวกเขาศรัทธา

ผ่านกิจกรรมต่างๆที่พวกเขาทำในวัน Esala Poya ในวันนี้

ภาพคนกว่าพันคน หอบผ้าเข้ามานอนจำศีลในวัด เป็นสิ่งที่ดิฉันลืมไปนานแล้ว ว่ายังมีขนบเหล่านี้อยู่

แต่มันคือผลของความศรัทธาชัดเจนที่สุดของชาวศรีลังกา

ที่เชื่อมโยงพวกเค้ากับพลังอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า



คนรุ่นใหม่อย่างเราในยุคนี้ อาจให้ค่าของความศรัทธาน้อยลง

จากการตั้งขอสงสัย การเพิกเฉย หรือแม้แต่การดูแคลน

ว่าศรัทธาเป็นอะไรที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล พิสูจน์ไม่ได้

เป็นข้ออ้างสำหรับการเลี่ยงความจริงบางอย่าง

หรือเป็นการฝากความหวังไว้แต่ไม่ยอมลงมือทำ

เป็นพลังของคนโลกเก่า เป็นสิ่งโบราณ


นั่นอาจจะเป็นการตีความที่ผิดไป

เพราะใจความสำคัญของศรัทธา

นั่นคือ



การเอาตัวเองไปมีส่วนร่วมกับอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง

เราอาจจะศรัทธาในวิทยาศาสตร์ก็ได้

หรือเราจะศรัทธาในธรรมชาติก็ได้

นั่นแหละ ก็คือ ศรัทธาแล้ว

ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น

และที่ศรีลังกานี่

เขาก็เลือกที่จะศรัทธาในพระพุทธศาสนา

ก็เท่านั้นเอง




บทที่ 3


Trincomalee


.....เบงกอลสีคราม ทรายสีขาว และชีวิตชาวประมง



วันต่อมา เป้าหมายต่อไปของดิฉันคือ เดินทางไปเมืองชายทะเล เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และในเดือนกรกฏาคมอย่างนี้ ชายหาดที่ไม่รับผลกระทบจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ต้องอยู่ทางเหนือและทางตะวันออกของศรีลังกาเท่านั้น เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า มีอยู่เมืองนึงที่เป็นเหมือนสวรรค์ของนักท่องเที่ยวแบบ Backpacker เรื่องหาดสวย ราคาประหยัด แถมยังได้ไปสัมผัสทะเลสีครามสวยของอ่าวเบงกอล ได้อย่างเต็มที่

โดยส่วนตัวแล้วดิฉันไม่ค่อยชอบทะเลเท่าไหร่ เพราะมันทำให้รู้สึกเหนียวตัว และแสงแดดมันก็ร้ายต่อผิวของดิฉัน เป็นคนประเภทชอบความหนาวและอึมครึมของภูเขามากกว่า แต่ในเวลานั้นดิฉันมีเรื่องราวในใจ ที่ทะเลเท่านั้นอาจจะเยียวยาได้ (เห็นในละครเค้าพูดกัน) และด้วยความที่ยังไม่เคยไปทะเลต่างประเทศเลย ก็เลยอยากลองดูว่า ที่เค้านิยมๆกันนี่ มันจะเหมือนหรือแตกต่างจากทะเลไทย(ที่ตรงนี้ไม่ขอเถียงเรื่องความสวย) มากน้อยแค่ไหนกันเชียว

และเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีชายหาดสวยที่สุดในฝั่งด้านตะวันออกของศรีลังกา ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างพากันกรี๊ดกร๊าดกัน ก็คือ Trincomalee


เริ่มด้วยตอนเช้า นั่งTaxi จากที่พักไปที่ สถานีรถบัสของ Anuradhapura ไป Trincomalee รอบแรกออก 7:50 ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง ค่าโดยสารเพียง 162 LKR(40.5 บาท) กรี๊ดดดแรกคือค่าโดยสารรถสารธารณะที่นี่ถูกมาก กรี๊ดที่สองคือขึ้นที่ต้นทาง ...ได้นั่ง เย่ !!!!


ระหว่างทาง รถโดยสารศรีลังกาก็ยังรักษามาตรฐานเดิมได้ดี นั่นคือ รับคนได้ไม่อั้นไม่ว่าคนจะเต็มเวอร์แค่ไหน ถ้ามีคนอยากขึ้น รถจะจอดให้ คนบนรถจะจัดที่ให้เติมคนได้อย่างอัศจรรย์ wonder มากๆ และราวสามชั่วโมงก็มาถึง Trincomalee ตรงเวลาค่ะ นี่คือท่ารถ ได้ยินเสียงทะเล จากตรงนั้นเลย ไม่ได้เวอร์


Trincomalee เป็นเมืองท่าเรือสำคัญทางตะวันออกของศรีลังกาค่ะ เป็นเมืองที่ชาวทมิฬอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ วัฒนธรรมที่นี่เลยจะมีความฮินดู คล้ายๆตอนใต้ของอินเดีย จะมีวัดฮินดูอยู่เต็มไปหมด แต่ก็มีวัดพุทธ โบถส์คริสต์อยู่บ้างประปราย ที่ท่าเรือ เราจะเห็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ลอยเอื่อยๆอยู่บนน้ำทะเล สีเขียวครามงดงาม ท่าเรือที่นี่ขึ้นชื่อเครื่องความปลอดภัยในการขนสินค้าติดอันดับเลย


ลมทะเลแรงๆจากท่าเรือ มันก็หอมดีเหมือนกันนะคะ


ดิฉันจองที่พักไว้ที่หาด Uppuveli ค่ะ เลยนั่ง Tuk Tuk ไปที่หาด สนนราคา 300 LKR (75บาท) แพงกว่าค่ารถบัสระหว่างเมืองอีก ที่ศรีลังกา ขนส่งสาธารณะถูกมากก็จริง แต่ ถ้าเป็นอะไรที่ส่วนบุคคล จะแพงทีเดียว


เล่าให้ฟังว่า เมือง Trincomalee นี่มีหาดที่ขึ้นชื่ออยู่ 2 หาด 1.คือ Nilaveli หาดที่ขึ้นชื่อว่าสวยมาก ทรายขาวสะอาด ติดอันดับ 1 ของศรีลังกา เป็นที่ตากอากาศยอดนิยมของชาวศรีลังกา และชาวต่างชาติ แต่ด้วยราคาที่พักที่ ก็หรูหราตามไปด้วย เลยอาจจะไม่ค่อยตอบโจทย์ Backpacker เท่าไหร่ 2.คือ หาด Uppuveli ทรายอาจจะไม่ขาวเท่า แต่น้ำทะเลเหมือนกัน มีชาวประมงศรีลังกาอาศัยอยู่ ข้อดีเลยได้เห็นวิถีชีวิต และ นักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่านเท่า หาดคล้ายว่าจะเป็นของเรา มีปลาทะเลสดๆให้กิน(จะกินดิบก็ได้) แถมยังถูกใจกระเป๋าตัง ควักจ่ายได้สบาย ไม่เข็ดหม่านิ้ง


อาห์ แดดตอนบ่าย กับน้ำสีคราม เบงกอลจ๋า ช่วยหอบความคิดภึงข้ามมหาสมุทรไปบอกเค้าที


อย่างที่บอกว่าที่นี่ นับถือฮินดูเป็นส่วนใหญ่ มีเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งที่ศรีลังกา คือเวลาไปหลายๆเมือง เราจะรู้เลยว่า เมืองนี้เป็นเมืองพุทธ เมืองฮินดู หรือเมืองคริสต์ ผู้คนจะมีความแตกต่างชัดเจน แต่เหนือไปกว่านั้น ทุกคนทุกศาสนาก็อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติ


ขอพรเทพสักนิดค่ะ ขอให้เขารักลูกขึ้นแม้เพียงสักนิด อ้อลืมไป พรใดๆในโลก ไม่สามารถบังคับพลังที่ยิ่งใหญ่อย่าความรักได้ งั้นขอให้โลกสงบสุขแล้วกันค่ะ


ภารกิจต่อไปคือไปสำรวจวิถีชาวประมง ที่หมู่บ้านชาวประมงค่ะ แน่ะ นี่คือโบถส์คริสต์นี่หน่า แสดงว่าชาวประมงเป็นชาวคริสต์ผู้ที่หัวใจถูกท้องทะเลเพรียกหา เมืองนี้มีความ complex ขึ้นไปอีก ดิฉันชอบจัง


ที่นี่ ย้อนไปเมื่อปี 2004 ก็ได้รับผลกระทบจาก Tsunami ครั้งใหญ่ครั้งนั้นเช่นเดียวกัน เราจะเห็นป้ายนี้ เต็มไปหมดทั่งหมู่บ้านประมง และทั่วทั้งเมือง


หากใครเคยไปอินเดีย จะคุ้นเคยทีเดียวว่า วัวจะเป็นเหมือนอภิสิทธิชน เดินไปไหน ทำอะไรตามใจก็ได้ เนื่องจาก Trincomalee เป็นเมืองฮินดู เราเคยจะเห็นวัวเดินนวยนาดได้ทั่วไป ไม่ต้องแปลกใจค่ะ


ดิฉันไปเห็นการลากอวนประจำวันของชาวประมงที่นี่พอดี เค้าใช้คนจำนวนมากลาก ส่งเสียงให้สัญญาณกัน มีความแข็งแกร่งบึกบึนทีเดียว


ขณะที่กลุ่มนึงลากอวนอย่างแข็งขัน อีกกลุ่มก็เตรียมอวนอีกชุดออกไปวาง ทำงานเป็นทีมกันอย่างแข็งขันมากๆ


ช่วงเวลาที่ใกล้ดึงขึ้นฝั่ง อวนจะรั้งสุดๆ พี่ชาวประมงถึงกับต้องออกแรงกันมาก รู้ได้จากเสียงตะโกนของชายชาตรีที่ออกแรง ดังสนั่นทั่วหาด ดิฉันเอาใชช่วยพี่เค้าค่ะ ขอให้ได้ปลาเยอะๆ


แต่ผลที่ได้ในวันนี้คอนข้างน่าผิดหวังค่ะ ปลาได้น้อยกว่าที่คิด พี่ๆเค้ายืนจ้องกันอย่างไม่มีใครพูดอะไร ดิฉันจับความรู้สึกได้เพราะ ถ้าได้ตามคาด คงมีสักคนยิ้มและแสดงท่าหายเหนื่อยให้เห็นแล้ว แต่ไม่เป็นไรนะคะคุณพี่ ไม่ใช่ความพยายามทุกครั้ง จะให้ผลที่น่าพอใจ แต่ผลที่น่าพอใจทุกครั้งเกิดจากความพยายาม ( เอ้า ลุกขึ้นปรบมือได้ค่ะ)

หลังเอาใจช่วยพี่ๆประมง ดิฉันก็เพลิดเพลินกับทะเล ถึงแม้ตอนเย็น น้ำทะเลจะไม่คราม หาดจะไม่ขาวแล้ว แต่มีอย่างนึงที่น่าพิศมัย นั่นก็คือความนุ่มของทราย ไม่รู้อะไรรังสรรค์ทรายของที่นี่ แต่รู้ว่ามันดีต่อเท้าดิฉันมาก ดิฉันรู้สึกนิ่มเท้าราวกับมีมือผู้ชายหน้าตาดีขาวตี๋ที่ที่บ้านไม่ค่อยให้ทำงานบ้านมานวดเท้าให้เรา ดิฉันเพลิดเพลินกับการย่ำเท้าทิ้งรอยไปบนทรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลบเกลียวคลื่นที่ซัดเข้ามากลบรอยนั้นอยู่หลายต่อหลายครั้งราวกับเด็กสาวที่พึ่งผ่านความรักครั้งแรกมา ที่ทุกอย่างในชีวิตจะพยายามให้ลืมความรักครั้งนั้น แต่นางก็พยายามรือฟื้นความทรงจำเก่าๆขึ้นมาเองอยู่ดี แม้จะรู้ว่าอีกสักพักมันจะเลือนหายไป

หาด Uppuveli ตอนเย็นค่ะ สงบมาก คนน้อยมาก เหมือนหาดเป็นของเรา(และพี่ๆชาวประมง)


แน่นอนว่า ทะเล ก็ต้องมีงานดีๆ วิ่งผ่านไปผ่านมา (จะดีกว่านี้ถ้าไม่ได้มากับเมีย)

อาทิตย์อัสดง ที่หาดค่ะ เอาจริงๆ การได้มาเดินบนทรายนุ่มๆ ฟังเสียงคลื่น แล้วทบทวนความทรงจำเก่าๆ นั่นก็อาจจะคุ้มแล้วที่ได้มาเยือนที่นี่

ตอนเย็นแนะนำร้านนี้ค่ะ สำหรับอาหารเย็น COCONUT BEACH LODGE อยู่ที่หาดนั่นแหละค่ะ เดินมาได้ ที่นี่จะมี Set สเต็กปลาทะเลสดๆชิ้นใหญ่ เสริฟพร้อมไวน์ ในราคา ไม่เกิน 1000 LKR(250บาท) มีเมนูประจำวันให้เลือกหลายเมนู หรือใครจะสั่งอาหารพื้นเมืองศรีลังกาก็ได้ อาหารตะวันตกก็ได้ ราคาไม่แพงมาก ร้านนี้มี Wifi แล้วก็มียุงทะเลด้วยค่ะ(ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ)


ที่ร้านมีโต๊ะบนชายหาดให้เราดื่มด่ำกับอ่าวเองกอลด้านหน้าไปด้วย ตรงนี้ wifi จะไม่ถึงค่ะ ยุงก็เช่นกัน(ปลอดภัย)


ภาพการดินเนอร์กับอ่าวเบงกอลค่ะ การเที่ยวคนเดียวมันก็เหงาแบบนี้แหละค่ะ แต่แค่คิดว่า เรามีโลกทั้งใบเป็นเพื่อนเราก็หายเหงาแล้ว


เหงาไม่นานก็มีหมาท้องถิ่น มานั่งเป็นเพื่อนค่ะ มันเหมือนจะมาขออาหาร แต่ดิฉันก็บอกมันว่า "นายกินปลาไม่ได้นะ เดี๋ยวก้างติดคอ" ดิฉันพยายามคุยกับมัน แต่มันคงฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องค่ะ ดิฉันก็ฟังมันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ดิฉันขอตั้งชื่อให้มันว่า "เจ้าห่วงคุมกำเนิด"


หลังจากได้บอกลา ห่วงคุมกำเนิด ไปแล้วเพราะ life style ไม่ตรงกัน ดิฉันก็ออกมายืนมองพระจัทนร์ที่ริมหาด เพิ่งผ่านเพ็ญอาสาฬหไป พระจันทร์เลยเต็มดวง ขับหาดทรายให้นวลมะลำเมลืองใต้ผ่าเท้า ดิฉันมองออกไปที่อ่าวเบงกอล พลันคิดถึงตำนาน มหาภารตะ ที่เคยอ่านเล่นตอนเป็นเด็กเนิร์ด ม.ต้น เล่าถึงต้นกำเนิดของอ่าวเบงกอล



ตำนานกำเนิดอ่าวเบงกอล

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้วมากๆ ยังมีเจ้าผู้ครองนครอโธยา ชื่อว่า พระเข้า สคร

พระเจ้าสคร มีโอรส ทั้งหมด 60000 พระองค์ (ใช่ค่ะ หกหมื่นพิมพ์ไม่ผิด)

(ตามตำนานเห็นว่า เกิดจากแม่คนเดียวกัน ที่ตั้งท้องนานมาก คลอดออกมาทีเขียวเป็นก้อนขนาดใหญ่ เอาไปเลี้ยงไว้ในผอบ เลี้ยงด้วยเนย แล้วตัดแบ่งออกเป็นหกหมื่น สรุปว่าเป็นแฝดไข่ใบเดียวกัน แล้วเลี้ยงด้วย เทคโนโลยี โคลนนิ่งนอกมดลูก ตามอ่านได้ที่มหาภารตะค่ะ )

สมัยนั้น กษัตริย์มักจะมีวิธีการแสดงแสนยานุภาพโดยการปล่อยม้าศึกออกไปแบบสุ่มให้ม้าวิ่งตามใจ ผ่านอาณาจักรไหน หากอาณาจักรไหนจับไว้ก็หมายถึงการประกาศศึกสงคราม แต่หากยอมศิโรราบก็ต้องมอบของบรรณาการให้แก่เมืองที่ปล่อยม้า ถือเป็นการยอมตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรเจ้าของม้านั้น

พระเจ้าสคร ณ อโยธยาก็เอากับเค้าบ้าง ปล่อยม้า แถมยังสั่งลูกทั้งหกหมื่นตามม้านั้นไปด้วย

แหมมากันเต็มหกหมื่นขนาดนั้นใครจะกล้า พอม้าผ่านเมืองไหน เค้าก็ยอมศิโรราบกันรัวๆ เรียกได้ว่าอาณาจักรอโยธยาแผ่อำนาจกว้างไกลขยายไปสุดเขตแผ่นดินโลก

แต่โอรสทั้งหกหมื่นนั้น พอนานไปก็หนักข้อ นิสัยไม่ดี แทนที่พออาณาจักรเค้าถวายบรรณาการเสร็จแล้วจะยอมปล่อยตามกฎ

ทั้งหกหมื่นกลับรุกราน ปล้นทรัพย์สิน เข่นฆ่าผู้คน ของอาณาจักรน้อยใหญ่ ตายเป็นเบือ ผู้คนเดือดร้อนกันทั่วหัวระแหง

ไม่ใช่แค่คนที่เอือม แต่เทพอย่างพระแม่ธรณีก็เอือม แปลงร่างไปทูลเหล่าทวยเทพ

จนพระวิษณุแปลงร่างเป็นฤาษี ลงมาบำเพ็ญพรตอยู่ที่เมืองบาดาล

ชั่วขณะนึง อยู่ดีดี ม้าศึกตัวดีก็หายแว๊บไป

งานเข้าหกหมื่นล่ะสิ ไม่มีม้า พิธีก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แผ่นดินอื่นๆใครเค้าจะพากันยอมอโธยาต่อ พระเจ้าสครเลยสั่งลูกว่า ตามม้ากลับมาให้ได้ ไม่งั้นพวกเจ้าทั้งหกหมื่นได้โดนประหารหัวกุดแน่ๆ

คำสั่งพ่อนั้นคงน่ากลัว ทั้งหกหมื่นออกตามหาม้าไปทุกที่ จนสุดแผ่นดินโลก ก็ไม่เจอ

ตรวจสอบดีแล้วว่า ม้าไม่น่าจะอยู่บนโลกแน่ๆ เคยตัดสินใจกันว่า ไหนลองไปหาที่บาดาลซิ

ทั้งหกหมื่นเลยสลัดคราบเจ้าชาย กลายเป็นคนงานเหมือง ขุดดินไปเรื่อยๆเป็นหลุมกว้างขนาดใหญ่

แต่ไม่มีวี่แววว่าจะเจอม้า เลยขุดลึกไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ

เทพทุกคนก็ตระหนกว่าหลุมใหญ่ขนาดนั้น โลกต้องเสียสมดุลแน่ๆ

ทันทีที่ขุดลงไป ทะลุปุ๊ไปที่บาดาล ก็เจอม้าตัวดียืนเล็มหญ้าอย่างชิลๆ กับ ฤาษีท่านนึง

เจ้าชายโกรธมาก เลยด่าฤาษีเสียๆหายๆ หาว่าฤาษีขโมยม้า หน้าไม่อาย

ฤาษีก็นิ่งๆเท่ห์ๆไม่ตอบโต้ใด ทำแค่ลืมตาขึ้นมาจากการบำเพ็ญพรต

ทันทีที่ลืมดา ไฟกรตร้อน ลุกโหมออกมาจากตาฤาษี เผาร่างทั้งหกหมื่นเป็นจุล เพียงแค่พริบตาเดียว

ทั้งหกหมื่นเหลือแต่กองขี้เถ้านอนก้นอยู่ที่ใต้หลุมลึกนั่น แต่วิญญาณบาปทั้งหกหมื่นนั้นไม่ได้ไปผุดไปเกิด เพราะความชั่วที่ได้กระทำมา


พระเจาสครก็เสียใจมาก ทูลถามเทพว่าทำยังไงถึงจะชำระวิญญาณลูกๆของตนได้

เทพก็บอกว่า ให้พระเจ้าสครบำเพ็ญเพียร เพื่อเชิญพระแม่คงคาลงมาจากสวรรค์ ชำระวิญญาณบาปให้บริสุทธิ์ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น

ได้ยินอย่างนั้นพระเจ้าสครก็สละราชสมบัติบำเพ็ญพรตจนสิ้นอายุขัย แต่พระแม่ก็ไม่เสด็จลงมา

ผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า กษัตริย์อโยธยาก็ช่วยกันบำเพ็ญ เพื่อเชิญพระแม่ธรณีลงมา

จนรุ่นนึง พระแม่ก็ยอทลงมา

ไหลผ่านที่ต่างๆ ออกเป็นแม่น้ำสายต่างๆ(ไปอ่านที่ตำนานพระแม่คงคาอีกที)

สุดท้ายก็ไหลลงไปในหลุมที่ทั้งหกหมื่นขุดไว้

ชำระวิญญาณทั้งหกหมื่นให้บริสุทธิ์

น้ำจากพระแม่คงคานั้นกลายเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่(ในหลุม)เรียกว่า มหาสาคร หรืออ่าวเบงกอล นั่นเอง


ว้าว ดิฉันยืนมองตำนานที่ดิฉันอ่านมาตอนเด็กๆ ให้เห็นกับตา

เราไม่รู้หรอกนะคะ ว่าสมัยก่อนโน้น เรื่องจริงๆเป็นยังไง

ตำนานต่างๆอาจจะมาจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เชื่อถือได้ระดับสูง

หรืออาจจะเป็นแค่หนังสือนิยายขายดีระดับ Best seller ในยุคนั้น ที่ดังระเบิดพอๆกับ Harry Potter ในยุคนี้


จะอะไรก็แล้วแต่

การที่เราเกิดมาในยุคหลังหน้าที่ของเราคงไม่ใช่การไปค้นหาว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง

การได้สนุกกับความเชื่อมโยงกันของตำนานกับสถานที่ต่างๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

และที่ศรีลังกา ก็มีตำนานต่างๆให้สนุกตามที่ต่างๆอีกเยอะทีเดียว


ไม่นานความสนใจเกี่ยวกับเบงกอลของดิฉันก็ถูกดึงกลับมาที่โลกความเป็นจริง ด้วยเสียงหงิงๆข้างๆ

ห่วงคุมกำเนิด คงพอมีหวังว่าจะได้กินอะไรจากดิฉัน เลยตามดิฉันมาที่ชายหาด

ดิฉันลูบมันห้วห่วงอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะค้นเจอเศษบิสกิตที่ซื้อติดกระเป๋าขึ้นมากินบนรถไฟเมื่อวานเหลืออยู่สองสามแผ่น

ดิฉันแบ่งให้มันกิน มันคาบแทบจะทันที แล้วกระดิกหางอย่างร่าเริงรุนแรงเหมือนก้นจะพัง

ดิฉันเดินกลับที่พักตามชายหาด แต่มันก็ยังเดินตาม

"จะเดินไปส่งเหรอ"

สุดท้าย ดิฉันและห่วงคุมกำเนิดก็เดินย่ำไปบนหาดทรายนุ่มๆที่สะท้อนแสงจันทร์เต็มดวงนวลผ่องมลำเมลือง

ทิ้งพระแม่คงคา และเจ้าชายทั้งหกหมื่นไว้เบื้องหลัง



โลมาและเกลียวคลื่น

กิจกรรมที่ hot อีกอย่างนึงที่ทุกคนต้องมาทำ ที่ Trincomalee นั่นก็คือ

Whale watching หรือการนั่งเรือออกไปดูวาฬกันค่ะ

สามารถติดต่อถามจากที่พักของเราได้

พอดีที่พักของดิฉันเค้ามีฝรั่งอยากออกไปดูพอดี เลยได้หารในราคา 3500 LKR(ุ875บาท)

ได้ยินว่ามีเรือของกองทัพเรือศรีลังกาเหมือนกันนะคะ แต่ต้องจอง ราคา 5000LKR (1250 บาท) จะไปได้ไกลกว่า โอกาศเห็นวาฬได้มากกว่าค่ะ



แต่บอกไว้ก่อนนะคะ ว่าโอกาสออกไปแล้วไม่เจออะไรก็มีสูง ไม่ใช่ทุกคนจะได้เห็น

มันแล้วแต่ว่าคุณวาฬ คุณโลมาเค้าว่างหรือไปรับอีเว้นท์ที่อื่น

บางคนไปลอยเท้งเต้งสามชั่วโมง ได้เห็นแต่เพื่อนให้อาหารปลาก็มี(อ้วก)

ดิฉันนี่ อธิษฐาน เลยค่ะ เพราะอยากเห็นวาฬสักครั้ง



เค้านัดดิฉันตอนตีห้าค่ะ ฟ้าเริ่มสางแล้ว ดิฉันกับฝรั่งหน้าตายังไม่ตื่นอีกสองคน(เชื่อว่าฟันก็ยังไม่แปรง) เดินเลาะไปตามชายหาด


ชายหาดตอนเช้าก็อุ่นๆดีนะคะ


มาถึงก็รวมกลุ่มกับ ป้าอีกคนที่มาพร้อมลูก เราได้รับแจกชูชีพ เผื่อเราตกน้ำ ภารกิจแรกคือเราช่วยกันเข็นเรือลงจากหาดค่ะ การพึ่งตื่นแล้วมาออกกำลังกายหนักๆนี่ มันเหมือนร่างกายยังไม่พร้อมเลย


เรือมุ่งออกสู่ เบงกอลค่ะ พระอาทิตย์กำลังขึ้น


คนเรือ พาเราออกไปไกลเหมือนกันนะคะ ด้านหลังลิบๆจะเห็นรูปปั้นพระศิวะ จากวัดในเมือง Trincomalee ค่ะ เห็นภาพนิ่งๆอย่างนี้ แต่พี่คนเรือพาเราผ่าทุกคลื่นค่ะ เรือกระเด้ง จนดิฉันนึกว่าไส้กับไต กระแตกกันจนป่นหมดแล้ว ไม่เคยจะเมาเรือ แต่ ดิฉันก็ว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรก


มาไกลถึงแท่นเจาะก๊าซ ไม่เจอวาฬ ให้มันรู้ไป มาเซ่ลูกเพ่ ออกมานะเธอ นะเธอ เพราะฉันคิดถึงเธอ นี่นา นี่นาาาา


ผ่านไปนาน จนพระอาทิตย์ขึ้น แยงหัวเหม่งฝรั่ง ทุกคนในเรือมองไปรอบๆ แต่ก็เห็นแต่ อ่าวเบงกอล นี่วาฬไปซ่อนอยู่ไหนนะ


สุดท้ายผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เรือเราก็ไปจอดข้างๆ เรือของกรุปอื่น เครื่องเรือดับสนิท เราลอยกันอย่างสงบ บนผืนน้ำที่โครงเครง ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากน้ำทะเล พวกเราสองลำ ผลัดกันมองตาปริบๆ


คนเรือ โทรศัพท์ถามเพื่อน คาดว่า น่าจะหาเบาะแสของวาฬ

เสียงเค้าดูไม่ตื่นเต้นเลย ดิฉันเดาว่า วันนี้วาฬท่านคงไปงานอีเวนท์ของชาวเงือกใต้ทะเล ไม่ว่างมา ทักทายแขกบ้านแขกเมือง

จนสุดท้ายเรืออีกลำก็แยกกลับไป

ดิฉันก็เข้าใจสถานการณ์นะคะ ว่า เรือกำลังจะหมด 3 ชั่วโมงที่เราจ้างมาแล้ว

ถ้าพี่เค้ากลับ ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ก็รู้สึกแห้วนิดๆ อยากให้พี่เค้าขับเรือออกไปอีกสักที่สองที่

แม้จะไม่มีความหวัง แต่ก็ยังจะดึงดัน

เหมือนรู้ทั้งรู้ว่าเค้าไม่รัก แต่ก็ยังทำดีกับเค้า เพียงหวังว่าสักวัน ความพยายามของเรา จะทำให้เค้าหันมามองบ้าง

แต่เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้

ให้วาฬขึ้นมา ก็เช่นกัน


ดิฉันเอามือวักน้ำ เล่นขณะที่เรือลอยนิ่งๆ หลับตา พยายามส่งกระแสจิต ลงไปที่ใต้สมุทธ

เรียกปลาวาฬด้วยภาษาไทย ภาษาอังกฤษ

แต่น้ำก็นิ่งสนิท ไม่หือไม่อือ ไม่แน่คุณวาฬอาจจะฟังจิตชั้นไม่รู้เรื่อง


ระหว่างนั้นเอง พี่คนเรือก็ติดเครื่องเรือกลับ

แล่นมาได้สักพัก จู่ๆ พี่เค้าก็หันเรือไปอีกทาง ไม่เข้าฝั่ง เหมือนพี่เค้าเห็นอะไร

คลื่นสีน้ำเงินของน้ำทะเล ที่เคลื่อนขึ้นลง ดูเหมือนจะมี อะบางอย่างแทรกขึ้น ไม่ตรงจังหวะ

มันเหมือนคลื่นเล็ก ที่แทรกตัวระหว่างคลื่นใหญ่

เมื่อมองเข้าไป ดิฉันก็เห็น รูปทรงอะไรบางอย่างแหวกคลื่นขึ้นมาผลุบๆโผล่ๆ นั่นมันคลีบนี่น่า

และนั่น ก็คือโลมา


ไม่ใช่แค่เพียงตัวเดียว

โลมาฝูงใหญ่ แหวกว่าย ล้อเล่นไปกับเรือ

เหมือนพวกมันกำลังวิ่งแข่งกลับเรือซะอย่างนั้น

สัตว์ขี้เล่นพวกนี้ ว่ายผลุบโผล่ทั้งสองข้างเรือ เหมือนไม่อยากให้พวกเรากลับ



ดิฉันถ่ายรูปไม่ทันเลยถ่ายมาเป็นคลิปค่ะ อย่าลืมกด HD นะคะ สังเกตุไปที่คลื่นค่ะ ยิ่งตอนหลังๆ ออกมาเยอะเชียว



อย่างน้อยดิฉันก็ได้เจอกับโลมา

3500 ของดิฉันก็ไม่เสียเปล่านัก


เหมือนว่า

แทนที่เราจะไปไล่ตามคนในฝันของเรา

กลับมารักคนที่อยู่กับเรา มีเวลาให้เราดีกว่าเนอะ


เอ๊ะเกี่ยวกันไหมนะ




บทที่ 4


Sigiriya


........ปีนขึ้นไปฟังเสียงสิงห์คำราม.............



ดิฉันออกจาก Trincomalee โดยนั่งงรถรอบ 10:00 มุ่งหน้าสู่ Sigiriya เมืองมรดกโลกอีกที่นึง ที่เป็นเหมือนจุดหมายปลายทางของทุกคนที่ไปศรีลังกา รูปของเมืองนี้ถูกเอาขึ้นในเวปทุกเวปที่มีคำว่า Sri Lanka แม้จะเที่ยวแบบอินดี้แค่ไหน ไหนๆก็แวะมาแถวนี้แล้ว ก็ขอไปดูอะไรที่เค้าชี้ชวนให้ไปดูหน่อยละกัน เหมือนไปเที่ยวบ้านเพื่อน แล้วแม่เพื่อนทำอาหารเอาไว้ต้อนรับเรา เราก็ต้องไปกินจริงไหมคะ



Sigiriya หรือ Lion rock หรือ หินราชสีห์ อยู่ในจังหวัดมาตะเล แถวๆเมือง Dambulla อยู่ในภาคกลางของศรีลังกา

เพราะฉะนั้นเราต้องนั่งรถไปลงที่ Dambulla แล้วนั่งรถ tuk tuk ต่อเข้าไปในเมืองอีกทีนึง

วิธีเดินทางออกจา Trincomalee ก็ง่ายๆ เพราะมีรถออกไป Colombo และ Kandy ออกทุกชั่วโมงอยู่แล้ว รถเหล่านี้ผ่าน Dumbulla อยู่แล้วค่ะ



นี่ตั๋วรถจาก Trincomalee ไป Dumbulla ค่ะ ลืมบอกไป การต่ายค่ารถบัสที่นี่จะมีเหมือนกระเป๋ารถเมล์ เก็บเงินเรา พอจ่ายเค้าจะ กดเครื่องจึ๊กๆ ปรินซ์ใบเสร็จนี่ให้เราเลย ทันสมัย น่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้


ระหว่างทาง จะหยุดตามป้ายรับผู้โดยสารตลอดทาง(อย่าลืมความ wonder ในการรับผู้โดยสารได้ไม่อั้นของรถสาธารณะที่นี่) ถ้าหลงๆ หาป้ายรถแบบนี้ จะมีรถผ่านค่ะ เรียกว่า จะไปไหนในศรีลังกา ก็ค่อนข้างง่าย เพราะระบบรถบัสเค้าครอบคลุมดีทีเดียว


บางป้ายมี สปอนเซอร์สร้างให้ด้วย เกร๋มากๆ


ดิฉันเผลอหลับไปค่ะ รู้ตัวอีกทีเลย Dumbulla มาป้ายนึงมาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้


แต่ระหว่างทางก็เจอ ซุ้มขาย LOTTO ของศรีลังกาค่ะ ที่นี่รางวัลจะออกทุกวัน สามารถซื้อได้ใบละ 20 LKR(5บาท) ก็มีโอกาศได้เป็นเศรษฐีในต่างแดน ขนเงินกลับประเทศมาซื้อสามีกี่คนก็ได้ แต่ย้ำว่าว่า "มีโอกาส" นะคะ แค่มี "โอกาส"


บังเอิญสถานที่ดิฉันหลงไป เป็นเขตชนบทค่ะ ทำให้คนแถวนี้จะฟังภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แค่คนที่นั่นก็น่ารักนะคะ พยายามยิ้มให้เรา และเรียกทุกคนแถวบ้านมาพยายามคุยกับดิฉัน สุดท้ายแล้วก็ไม่เข้าใจกันอยู่ดี แต่ก็รู้สึกดีค่ะ เพราะอย่างน้อยเค้าก็เป็นมิตรและพยายามช่วย


ที่นี่ที่ไหน ดิฉันเดินไปตามถนนเรื่อยๆ วิวข้างทางก็สวยดี นี่สินะภาคกลางของศรีลังกา ที่ราบกว่างใหญ่ สลับไปด้วย ภูเขาเตี้ยๆราบๆ ที่เกิดจากหินภูเขาไฟสมัยบรรพกาล ที่สงบหลายล้านปี และผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนเหลือเป็นภูเขาเตี้ยๆเหล่านี้


สุดท้ายดิฉันก็โบกตุ๊กๆได้ค่ะ เอาจริงๆพี่เค้าพึ่งรับลูกมาจากโรงเรียนด้วยซ้ำ แต่แถวนั้นไม่มีตุ๊กๆเลยสักคัน พี่เค้าเลยไปส่งดิฉันที่ sigiriya ก่อนทั้งที่มีเด็กประถมผูกเปียนั้งกับดิฉันข้างๆ น้องคงเซ็งนิดนึงที่ต้องไปส่งนักท่องเที่ยวห่างจากบ้านไปกว่า 40 กิโล แทนที่จะได้รีบกลับบ้านไปช่วยแม่ล้างจาน สนนราคาไป sigiriya คือ 1000 LKR(250 บาท) ราคานี้โอเค รีวิวมาก็เท่านี้ค่ะ


พอถึงเมือง Sigiriyaสักตอนบ่ายโมง สถานที่ดิฉันจะไปในวันนี้ไม่ใช่ หินราชสีห์ซะทีเดียว เพราะได้ข่าวว่า มีภูเขาอีกลูกนึงที่อยู่ข้างๆกัน แต่ถูกกว่า มี treking ด้วย เราไปที่นั่นกันก่อน ละกัน ที่นั่นชื่อว่า Pidurangala


ทางไป Pidurangala นั้นอยู่หลุบเข้าไปในป่า เอาจริงๆบริเวณเมือง sigiriya นั้นเหมือนเป็นเมืองโบราณที่ไม่ค่อยมีอาคารบ้านเรือนมากนัก แถมบางส่วนนั้นเป็นป่าซะส่วนใหญ่ ทางไปค่อนข้างวังเวง และดูวังเวงพิกล แถมยังมีป้ายให้ระวังช้างป่าให้เห็นเป็นระยะ ไม่ได้โม้นะคะ เรื่องจริง pidurangala จะห่างจาก ตัวเมืองไปประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถเช่าจักรยานปั่นไปได้ค่ะ


ปั่นผ่านป่า จนมาถึงบริเวณหน้าวัด Pidurangala ก็ถือว่ามาถูกที่แล้ว ดูสิ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมีเลย นี่สวรรค์สำหรับ Backpacker ชัดๆ


เห็นหิน Pidurangala อยู่ลิบๆ นั่นแหละค่ะที่เราจะปีขึ้นไป


บริเวณหน้าวัดค่ะ


เข้าไปกันๆ จะมีป้ายให้ถอดรองเท้า แต่เราไม่ได้เข้าวัด เราจะปีนขึ้นหิน ฉะนั้นใส่เข้าไปได้ค่ะ


ซื้อตั๋วที่ office ด้านขวา ราคาคนละ 500 LKR ( 125 บาท) ที่นี่ไม่ได้ดูแลจากส่วนกลาง เป็นวัดดูแลเอง เงินค่าเข้าเลยเข้าวัด เลยทำให้ที่นี่ราคาไม่แพงมาก เค้าบอกว่าเงินค่าเข้าถือว่าเป็นเงินบริจาค เป็นเงินทำบุญ ฉะนั้นเราจะยกมือขึ้นสาธุ และแผ่ส่วนบุญด้วยก็ได้ ไม่ผิดอะไร


ทางขึ้นค่ะ ในสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ ในทุกๆที่ของศรีลังกา จะเจอสิ่งที่เรียกว่า "ไกด์ตามติด" เหมือนวิญญาณตามติด พอเราซื้อตั๋วเสร็จปุ๊ปจะมีคนมาตามตัดทันที ทักทายว่าเรามาจากไหน อธิบายโน่นนี่ แนะนำอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าเผลอไปคุยกับเค้าเชียวค่ะ รีบสลัดให้หลุด เพราะดิฉันได้รับบทเรียนอันเจ็บแสบจากคนพวกนี้ ที่จะเล่าให้ฟังในบทถัดไป แต่ไกด์เหล่านี้ เอาเป็นว่าพวกเราคงไม่ได้ใช้ประโยขน์ค่ะ ทางเดิน Pidurangala ไม่ยาก แถมไกด์พวกนี้ ไม่ใช่ไกด์จริงค่ะ หลอกเอาเงินคนมานักต่อนัก ในรีวิวต่างชาติเค้าแนะนำวิธี ให้เงินไปสักร้อยสองร้อย แต่ดิฉันไม่แนะนำค่ะ วิธีที่ดีที่สุดคือ ทำหน้าเหวี่ยงให้สุด และทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องค่ะ พ่นภาษาแปลกๆใส่เค้า แล้วเค้าจะไปเอง (อย่าไปชวนคุยเชียว)


ทางเดินช่วงแรกจะเป็นบันไดค่ะ ขึ้นไปไม่รู้จบ ไม่ยาก ไม่เหนื่อยมาก แต่ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้ดีทีเดียว อากาศร้อนมาก ขวดน้ำคือสิ่งจำเป็นมากๆค่ะ ไม่มีน้ำขายในวัดนะคะ ควรซื้อเตรียมไปเอง


ไต่ขึ้นไป รูปอาจจะดูไม่ชัน แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าชันมากๆค่ะ


พอพ้นบันได ก็จะเข้าสู่ทางเดินช่วงที่สอง ตรงนี้ ต้องมีสตินิดนึง ให้เดินตามทางที่ไม่ค่อยมีใบไม้ค่ะ บางช่วง อาจจะหลงได้ ให้ใช้สันชาตญาณค่ะ ไม่ยากมาก ดูแป๊ปเดียวก็รู้ว่าทางไหนควรจะเดิน ก็เหมือนเลือกคบแฟนนั่นแหละค่ะ กับคนนี้มีทางไปต่อได้ กับคนนี้พาลงเหวแน่ๆ ใช้หลักเดียวกันเป๊ะ


พอขึ้นสูงอากาศก็เริ่มเย็นขึ้น ไม้ก็จะครึ้มขึ้น


อ้าว สัตว์ป่า นี่นา ตั้งชื่อว่าอะไรดี "เจ้ายาเม็ดฟองฟู่" ดีกว่า น่ารักดี

ระหว่างทางจะมี พระนอน Pidurangala ค่ะ องค์พระยาว 12.5 เมตร ถือว่าครั้งนึง พระนอนที่นี่เคยเป็นพระนอนที่สร้างด้วยอิฐ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ตอนนี้เสียแชมป์ให้ที่อื่นไปแล้ว) ตัวองค์ถูกทำลาย จากพวกล่าสมบัติเมื่อปี 1960 ตอนนี้บูรณะขึ้นใหม่แล้ว

วิวที่พระนอนค่ะ สวยไม่เบา ลมแรงก็ไม่เบาด้วย


เคยจุดพระนอนไป ต้องปีนป่ายนิดนึง ไม่ใช่ทางเดินธรรมดาแล้ว ฉะนั้นรองเท้าต้องดีค่ะ ใส่อะไรสบายสุดที่พอปีนได้ ให้ใส่อันนั้นค่ะ ไม่ยาก สบายๆ เหมือนเดินเล่นสวนส้มคุณย่า


ระว่างทางจะเจอพระมาทำทางอยู่บ้าง เพื่ออำนวยความสะดวกให้เราค่ะ อุบาสิกาทั้งหลายอย่าเผลอไปโดนตัวท่านนะคะ

หินบางจุดมีความชัน ปีนขึ้นไป ฮึบๆ จะถึง view point แล้ว


อ่าห์ถึง view point แล้ว เริ่ดจริง ทันที่ที่ขึ้นไปลมก็พัดหวือใส่เราแรงมาก เพราะข้างบนไม่มีอะไรกั้นเลยค่ะ และ Pidurangala ก็อยู่ใจกลางที่ราบกว้างใหญ่ฉะนั้น ลมแรงสุด


จากที่นี่เราจะมองเห็นหิน Sigiriya เห็นผุ้คนขวักไขว่ เห็นวิวพาโนรามาแบบ 360 องศาของที่ราบกว่างใหญ่ โอ้ มันคุ้มากๆค่ะ เรียกว่า ที่นี่คุ้มที่สุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้

มันว้าวมากจนดิฉันเป็นบ้าถ่ายรูป ถ่ายวิดิโอซ้ำอยู่อย่างนั้น ลมแรงๆข้างบนนี่ ทำให้ลือความร้อนตอนบ่ายสามไปปลิดทิ้ง ดิฉันเพลิดเพลินกับการเดินไปทั่วหินก่อนนั้น เพื่อมองวิวที่ไกลสุดลูกหูลูกตาได้ไม่รู้เบื่อ รู้สึก wonder มากๆ ที่ได้ขึ้นมาที่นี่ ทำไมนักท่องเที่ยวไม่นิยมมาที่นี่กันนะ ในเมื่อมันออกจะว้าวขนาดนี้

ตอนแรกดิฉันว่าจะใช้เวลาไม่เกินชั่วโมงนึงที่จะอยู่ที่นี่ (รวมขึ้นลงไปกลับแล้วด้วย) แต่เอาเข้าจริงๆ ดิฉันก็นั่งอยู่อย่างนั้น จนขออยู่ดูพระอาทิตย์ตกบนนั้นด้วยดีกว่า แล้วดิฉันก็ใช้เวลา สามชั่วโมงบนหินนั่นเหมือนคนโดนของ นั่งมองวิวที่ไกลสุดลูกหูลูกตา มองเมฆไหลจากจุดนึงไปจุดนึง มองคนตัวเล็กเท่ามดที่ค่อยๆไต่ขึ้นหินราชสีห์ลูกไกลๆนั่น มองควันลอยผุย ออกจากบ้านเรือนชาวบ้านที่กำลังทำกับข้าวเย็น มองรถสีนั้นสีนี้วิ่งบึ่งไปตามท้องถนนสีลูกรัง มองป่าไม้สีเขียวที่กว้างใหญ่ที่ขึ้นเป็นปื้นสีเขียวแน่นๆทั่วทั้งบริเวณ มองดวงอาทิตย์ผู้เหนื่อยอ่อน ค่อยๆโยนตัวลงหาขอบฟ้าทีละน้อย ท้องฟ้าฉาบสีเหลืองส้มเพื่อบอกลาดวงอาทิตย์กับภารกิจหนึ่งวันของเขา

แล้วดิฉันก็รอคอยจนพระอาทิตย์ตก พร้อมกับคนจำนวนมากที่สุดของวันนั้นที่มาดูพระอาทิตย์ตกพร้อมกัน แต่นับจำนวนแล้ว ถึงมากที่สุดยังไง ก็ไม่เกิน 20 คน มันช่างสวยงาม สงบ และเรียบง่าย จริงๆ

สภาพวัดตอนกลางคืนค่ะ


เคว้งคว้างในความมืด

หลังจากดูพระอาทิตย์ตก ความมืดก็เข้าปกคลุม Pidurangala ทันที ทุกคนพยายามทยอยลงมาจากหินกัน แต่ทางเดินตอนนั้นก็มืดมาก ดิฉันเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือ เพื่อส่องดูทางลงมาจนถึงหน้าวัด มีคนเดินตามดิฉันลงมาราวๆ สามถึงสี่คน

ตอนนั้นเองที่ดิฉันเริ่มสังเกตุรอบๆตัว ที่ว่าในวัดมืดแล้ว ข้างนอกวัดยิ่งมืดยิ่งกว่า เรือหายแล้ว(เป็นคำสบถค่ะแต่พันธิปจะเซ็นเซอร์ถ้าพิมพ์คำนั้น) มัวแต่ดูพระอาทิตย์ตก ไม่ได้คิดเผื่อตอนกลับไว้เลย นี่ลืมเอาไฟฉายมาด้วย ตายแล้ววววววววววววววว ยิ่งกว่าตายซะอีก อย่าลืมป่าสุดวังเวง ที่มีป้ายระวังช้างป่านั่นอีก โอ๊ยเรือหาย ของจริง รีบเลยค่ะรีบ

ดิฉันรีบวิ่งไปที่จักรยาน เพื่อพยายามปลดล๊อคกุญแจที่ล็อคจักรยานไว้ ระหว่างนั้น รถตุ๊กๆคันแล้วคันเล่า ก็รับนักท่องเที่ยวของตัวเอง แล่นตะบึงออกไปอย่างช้าๆ ดิฉันอยากจะขับจักรยานวิ่งตามรถตุ๊กๆเหล่านั้นให้ทัน เพื่อใช้แสงไฟของพวกเขานำทาง แต่แม่กุณแจเจ้ากรรมก็ไขไม่ออกสักที ใครผลิตกุญแจรุ่นนี้นะ ดิฉันอยากจะเอาไข่เน่าไปปาทีโรงงาน ออกสักที ออกสิจ๊ะ

ตุ๊กๆจากสามคัน แล่นออกไปเรื่อยๆ จนเหลือคันสุดท้ายที่นักท่องเที่ยว กำลังเดินลงมาจากประตูวัด คันนี้แหละคือความหวัง ถ้าดิฉันไขทัน อาจจะปั่นจักรยาไปดักแล้วขอไปพร้อมกับเค้าได้ เสียบเข้าไปแล้ว ทำไมไม่ออก ซักทีนะ เอาไหนเสียบใหม่ซิ ....

...แกร๊ง.....

เสียงแกร๊งเบาๆ ของลูกกุญแจกระทบกับซี่ล้อจักรยาน แล้วหล่นหายลงไปพื้นดินที่มืดมิด พอๆกับแสงสว่างแห่งความหวังที่ดับวูบ พร้อมกับตุ๊กๆคันสุดท้าย ที่เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ

ยังไม่พอ จักรยานสองคันสุดท้ายก็ปั่นตีคู่ออกไปจากวัด จักรยานเหล่านั้นมีไฟหน้า ทำไมนะ ทำไมจักรยานเราไม่มี


ดิฉันเอาไฟมือถือส่องพื้นแล้วควานหาลูกกุญแจอย่างสิ้นหวัง

ในตอนนั้นดิฉันเป็นคนสุดท้ายที่อยู่หน้าวัดแล้ว แสงสว่างนอกจากมือถือของดิฉันแล้ว ก็มีไฟของวัด พอพ้นจากนั้น มองไปเห็นแต่ความมืดมิดอนัตกาล ครอบคลุมหนักไปทั่วทั้งบริเวณ เมืองนี้ไม่คิดจะลงทุนไฟถนนสักหน่อยหรือยังไงกันนะ ดิฉันคิด

ในที่สุดก็เจอลูกกุญแจเจ้ากรรม คราวนี้แทงใส่แม่กุญแจปุ๊ปก็ปลดล็อคออกปั๊ป ( ทีเมื่อกี้ไม่รู้จักไขได้ ปัดโถ่)

ดิฉันได้ทีก็วางเอามือถือที่ตระกร้าหน้ารถ ให้แสงไฟส่องทาง แต่ไฟดวงน้อยของมือถือ มีหรือจะสู้พลังความมืดที่ยิ่งใหญ่ได้


ตอนนั้นดิฉันมองเห็นทางแค่ใต้ตระกร้าหน้ารถเท่านั้น ไม่เกินระยะหนึ่งเมตรเลย

ดิฉันเอาใจแข็งเข้าสู้ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน รีบปั่นจักรออกไปให้พ้นจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด

มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องปั่นจักรยานอย่างเร็ว บนทางลูกรังขรุขระนั่น

รถจักรยานกระดอนหลายครั้ง ตอนที่เจอหินก้อนใหญ่ระหว่างทาง และทุกครั้งที่กระดอนมือถือของดิฉันก็จะเด้งขึ้นมา ทำให้ทัศนิวิสัยหายวูบไปเป็นระยะ

ดิฉันไม่มีทางเลือก ได้แต่ปั่นต่อไป ปั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ความคิดในตอนนั้นมีแต่ความกลัว ช้างป่าเอย เสือเอย หมีเอย งูเอย ผีเอย มนุษย์ต่างดาวเอย ผุดขึ้นมาในความคิดเต็มไปหมด

แต่สิ่งที่ดิฉันกลัวที่สุดคือความมืด


ครั้งหนึ่งเคยเข้าถ้ำไปกับเพื่อนสองคนที่ลาวเหนือ ครั้งนั้นเองที่มันทำให้ดิฉันรู้ว่าตัวเองทนกับความมืดไม่ได้

เมื่อมืดถึงระดับนึง ดิฉันจะรู้สึกอึดอัด รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองดิฉันอยู่ภายใต้ความมืดนั้น เริ่มได้ยินเสียงกระซิบที่รู้ว่าไม่มีใครพูดออกมาจากความมืด รู้สึกอึดอัดเหมือนผนังถ้ำรอบๆบีบอัดเข้ามาหาตัวจนหายใจลำบาก

ในทริปนั้นลงเลยด้วยการที่ดิฉันเกาะไหล่เพื่อนไว้ตลอดทางเข้าถ้ำ แล้วก็วิงวอนให้มันพาดิฉันออกไปจากที่นั่นเสียที

นั่นแหละค่ะ ความมืดระดับเดียวกัน แตกต่างกันตรงที่ คืนนั้นดิฉันไม่มีใครพาออกจากที่นั่น นอกจากตัวดิฉันเองคนเดียว


ดิฉันปั่นเร็วจนไม่รู้ว่าข้างล่าง คือขาคนหรือมอเตอร์พัดลม

ความมืดรอบเหมือนจะค่อยๆบีบรัดจนดิฉันหายใจลำบาก

ความดิดในหัว กำลังทำร้ายดิฉันด้วยการสร้างภาพว่ามีดวงตาของนักล่านับสิบกำลังซุ่มมองอยู่

ภาพของสิ่งมีชีวิตต่างมิติกำลังวิ่งไล่มาทางด้านหลัง เสียงแมลงและค้างคาวรวมถึงเสียงเลี้อยของอสรพิษกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ทั้งหมดดิฉันรู้ว่ามันคือจินตนาการไปเองล้วนๆ แต่มันก็ทำให้ดิฉันขนลุกซู่


ทันใดนั้นเอง จักรยานที่แล่นเต็มความเร็ว ก็กระแทกเข้ากับหินก้อนหนึ่งเข้าอย่างจัง รถจักรยานลอยหวือกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มือถือที่ตระกร้าหน้ารถลอยขึ้นและพลิกกลับอีกด้านจนแสงไฟส่องขึ้นฟ้า ดิฉันกำเบรกอย่างแรงเพื่อกันจักรยานล้ม ใช้เท้าสองข้างลากพื้นทรงตัวและเบรคให้จักรยานหยุด

หัวใจดิฉันเต้นรัวมากด้วยความตื่นเต้น ไม่ช้าความกลัวก็คลืบคลานเข้ามา

ไม่ไหวแล้ว ป่านี่ไม่มีทีท่าที่จะพ้นได้เลย เราต้องตายอยู่ที่นี่แน่ๆ

สุดท้ายแล้วดิฉันก็ตะโกนออกไปในความมืดนั้น

"HELPPPPPPPPPPP!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

ดิฉันไม่คาดหวังว่าจะได้ยินอะไรตอบกลับมา แต่ถึงตอบกลับมาก็น่ากลัวอยู่ดี

เลยจัดมือถือให้เข้าที่ แล้วเริ่มปั่นอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียง "กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆ "

เสียงกริ่งจักรยานนี่น่า


ดิฉันรีบปั่นไปข้างหน้า ด้วยแสงแห่งความหวังที่ลุกโชน

ห่างไปราว 300 เมตร จักรยานสองคันสุดท้ายที่ปั่นออกมาจากวัด ก็หยุดรอดิฉัน อยู่กลางป่าที่น่าวังแวงนั่น

ทันทีที่ดิฉันไปถึงพวกเขาคนผู้หญิงถามทันทีว่า "คุณเป็นอะไรรึเปล่า พวกเราได้ยินเสียงตะโกน"

"ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่กลัว ขอกลับกับพวกคุณได้ไหม"

แล้วจักรยานสามคันก็ปั่นทะลุป่าวังเวงนั้นไปด้วยกัน สองคันมีไฟ ส่วนอีกคันยู่ตรงกลางและปันตามไปอย่างช้าๆ

ความกลัวความมืดของดิฉันหายไปทันที


ทั้งสองคนชวนดิฉันคุย จนได้ความว่า

คนผู้ชายชื่อ อองตวน คนผู้หญิงชื่อ อะไรซักอย่างฟังเสียงยากๆ คล้ายๆกับคำว่า แครอรีน

ทั้งคู่เป็นสามีภรรยาชาวฝรั่งเศส

และที่พักของเค้าก็อยู่ทางเดียวกับดิฉันพอดี พวกเข้าเลยอาสาไปส่งให้ถึงที่พักของดิฉัน

ดิฉันกล่าวขอบคุณพวกเค้า พวกเค้ายังแนะนำดิฉันอีกว่า ในเมืองนี้ตอนกลางคืนคือมืดมืดปิดตาย คุณไม่ควรออกมาไหนคนเดียว หรือถ้าออกก็ควรเอาไฟฉายคาดหัวมาด้วย

ดิฉันกล่าวขอบคุณพวกเค้า

แล้วบอกพวกเค้าว่า

"พวกคุณคือแสงสว่างของชีวิตฉัน"

คำสุดท้ายทำให้พวกเขาหัวเราะอยู่นาน ก่อนจะปั่นจักรยานจากไปในความมืด



ภาพ sigiriya ตอน 20:00 ค่ะ นี่ในเมืองนะคะ

พอถึงโรงแรมก็เจอป้าย พร้อมกับไฟฉายค่ะ อยากจะตีอกชกลมตัวเองจริง ปัดโถ่ !!!!!




Sigiriya



เนื่องจากเมื่อคืนเมืองดับสงบไปตั้งแต่ สองสามทุ่ม ดิฉันจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ แล้วลุกขึ้นมาตื่นตั้งแต่ตีสี่ ให้ความรู้สึก Life Style แบบยุคที่ไม่มีทีวี ที่กลางคืนมาเมื่อไร ก็กลับเข้าไปนอนพักผ่อน ดิฉันเองก็ลืมไปแล้วว่าเข้านอนก่อนเที่ยงคืนมานานเท่าไรแล้ว

จึงตั้งใจไปที่หินราชสีห์ก่อนตั้งแต่ตอนที่เปิด เค้าว่าแสงตอนเช้าจะสวย และถ้ารีบไป นักท่องเที่ยวจะไม่มาก เวลาเปิดปิดของหินราชสีห์คือ 07:00-18:00 ค่ะ ไหนๆก็ตื่นเช้าแล้ว

อาหารเช้าแบบ Sri-Lanka ค่ะ จะมีข้าว แกงเคียงอีกสามอย่าง ลองเอามาคลุกข้าวทีละอย่างก็อร่อยดีเหมือนกัน ร้าน ใน Sigiriya ที่แนะนำคือ Pradeep Resturant อยู่ตรงถนนหลักของเมือง ตรงที่มีร้านเยอะๆน่ะแหละค่ะ หาไม่ยาก ร้านนี้ไม่แพง ทำอาหาร Sri Lanka ได้อร่อย แถมยังมีของหวานให้เลือกหลายอย่างด้วย อย่างจานนี้ 260 LKR(65บาท)


ปั่นจักรยานไปที่ทางเข้าค่ะ


ถ้าหาไม่เจอไม่เป็น ไร มันมีทางเข้าหลายทาง ให้มองหาป้ายชี้ค่ะ หาไม่ยากเลย


ทางเข้าคงความเป็เมืองเก่าเอาไว้อย่างมาก ถนนก็ยังไม่ลาดยาง คาดว่า เป็นข้อตกลงเรื่องอนุรักษ์กับ UNESCO เพราะถนนนอื่นๆของเมืองลาดยางสวยสง่ามีราศี


พอเข้ามาถึง เขต Sigiriya จะเริ่มเห็น คูน้ำรอบๆ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต


จุดซื้อตั๋ว เข้า Sigiriya นั้นจะอยู่ออกมาทางด้านหน้า ห่างจากทางเข้าประมาณ สัก 100 เมตร


ราคาค่าเข้า 4620 LKR (1155บาท) ราคาเด็ก 6-12 จะถูกกว่าครึ่งนึง แพงงมากกกกกกกกกกกกกค่ะ แพงที่สุดในค่าเข้าประเทศนี้ก็ว่าได้ แพงแบบโอ๊ย ตอนแรกจะทิ้งที่นี่ไปแล้ว นี่ถ้าเข้าห้าครั้งได้ตั๋วเครื่องบินกลับเลยนะ เอาเป็นว่า กระทู้นี้ ทำให้เพื่อนๆพิจารณาแล้วกันค่ะ ว่าเวลาไปศรีลังกาจะไปที่นี่รึเปล่า ที่บอกว่าไปบ้านเพื่อนแล้วแม่ทำกับข้าวให้กิน เราจะยังกินไหมถ้ารู้ว่าแม่เพื่อนขอเก็บตังค์ค่าข้าวแพงขนาดนี้


ซื้อตั๋วเสร็จจะได้ตั๋วหน้าตาประมาณนี้ อย่าทำหาย เพราะมีจุด เชคตั๋วสามจุดค่ะ ใครไปกับเด็กบอกน้องเก็บไว้ดีดีด้วยค่ะ


แล้วเราก็ผ่านประตูทางเข้าเข้าไป

เข้ามาก็จะเพลินเพลินไปกับซากของป้อมปราการเก่า สองข้างทาง สนุกกับจินตนาการว่าจุดนี้สมัยก่อนเค้าเอาไว้ทำอะไร



นั่นแหล่ะค่ะ หินราชสีห์ หรือ Sigiriya ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง เป็นหินภูเขาไฟโบราณ เหมือนกับ Pidurangala ที่สูงกว่า 200 เมตร สร้างโดย พระกัสสัปปะ กษัตริย์ศรีลังกาสมัยนั้น เมื่อสักปี คศ.477 เพื่อเป็นเมืองหลวงใหม่ของพระองค์ ความเก๋อยู่ที่ พระองค์เลือกสร้างพระราชวังลอยฟ้าไว้ข้างบนหินก้อนนั้น อย่างใหญ่โตอลังการ เดี๋ยวเราจะปีนขึ้นไปดูพระราชวังข้างบนกันค่ะ

เรื่มเดินขั้นไปค่ะ เห็นป้ายเหลืองตรงนั้นไหมคะ ที่นี่มีรังผึ้งอยู่ทั่วไปค่ะ ดังนั้นถ้าเห็นป้ายนี้ พยายามอย่าเข้าใกล้ไปใต้ต้นไม้ หรือไปโดนต้นอะไรเข้า เดี๋ยวผึ้งจะแห่มาต่อยเอาหน้าบวม


บันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ยังจำเรื่องพวก " ไกด์ตามติด" ได้ไหมคะ สถานที่เที่ยวยอดนิยมอย่างนี้ แน่นอนว่าพวกเค้ามาครบทีมกันเต็มที่เลย เราจะเจอคนที่เดินเข้ามาคุยกับเรา หรือประกบเราเล่าประวัติและชี้โน่นนี่ให้ฟัง ที่ล้ำไปกว่านั้น ระหว่างที่เราเดินขึ้นบันได จะมือมือยื่นมาช่วงจะเรา มาพยุงเรา โอ้อะไรจะมีจิตอาสาปานนั้น แต่ไม่ค่ะ พอเราชวนคุยเท่านั้น ก็ตามติดเรา ไม่ให้เราได้ผุดได้เกิด ดิฉันเห็นฝรั่งและคนญี่ปุ่นผู้หญิงหลายคนทีเดียว ที่ด่า และร้องขึ้นมาตอนไกด์เหล่านี้ไปจับตัว หรือโดนมือ เตือนไว้ให้ระัวงนะคะ ยังยืนยันเทคนิคเดิม คือ ทำหน้าเหวี่ยง ไม่ต้องไปตอบว่ามาจากประเทสอะไร แล้วทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องหรือพูดภาษาต่างดาวใส่ ได้ผลค่ะ คอนเฟิร์ม

ฮู้ววว สูงเหมือนกันนะหวาดเสียว ว่าแต่คนสัมยก่อนเข้าขึ้นไปทางไหนกัน

ทางเดินที่เราเห็นข้างหินเมื่อครู่ค่ะ ลมแรง คนกลัวความสูงมีเสียวค่ะ ขนาดดิฉันชอบปีนต้นไม้เล่นตอนเด็กๆ ยังเสียวหัวหน่าวเลย

จุด Check point จุดที่ สองก่อนขึ้นบันไดเวียน อย่าลืมเก็บบัตรไว้ดีดีนะคะ


บันไดเวียนค่ะ ขึ้นได้ทีละคน คนเยอะก็ต้องต่อแถวขึ้นทีละคน อ้อ ตรงนี้ ระวังคนเนียนแทรกคิวด้วยนะคะ นักท่องเที่ยวบางคนก็ต้องยอมรับว่าน่าตบค่ะ (ไม่ขอเหมารวมประเทศ มันเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล)

เลยจากจุดนี้ เค้าห้ามถ่ายภาพหรือเอามือถือขึ้นมาค่ะ เพราะ จะเป็นจุดที่ มีภาพเขียนสี อยู่ที่ผนัง ภาพเป็นรูปผู้หญิง 500 นาง มีสีสันสดใส ใครอยากเห็นภาพ สามาถค้นหาใน google คำว่า "Sigiriya painting"


จุดต่อไปคือ ส่วนที่เรียกว่า Mirror Wall สมัยก่อนนั้น กำแพงตรงนี้จะก่ออิฐ แล้วฉาบด้วยผูนสีขาวอย่างดี ขัดจนเงา เอาไว้ให้กษัตริย์ทอดพระเนตร องค์เอง ยามเสด็จผ่านบริเวณนี้ แต่ผ่านมาถึงสมัยนี้ กำแพงกลายเป็นสีน้ำตาล แถมยังมีลายมือเขียนชื่อตัวเอง อวดภรรยา อวดสามี เต็มไปหมด ดีที่ยังไม่เห็นภาษาไทย อย่าทำเลยนะคะ อายเค้า

นี่ค่ะป้ายระวังผึ้งแบบชัดๆ


ที่จุดนี้ เราจะเห็นวิว สวยๆของทางเข้าจากมุมสูงค่ะ ว้าว ยิ่งใหญ่เหมือนกันนะ


และนี่อาจะจเป็นจุดไฮไลท์ค่ะ The Lion Gate ทางเข้าพระราชวังลอยฟ้า ตรงนี้นักท่องเที่ยวจะเยอะมากทีเดียว ทุกคนอยากจะถ่ายรูปกับอุ้งเท้า แล้วทำท่าแมวเหมียวหง่าวกันทั้งนั้น


ตรงนี้เราจะเห็นยอด Pidurangala ที่เราไปเมื่อวาน ดูสิไม่มีคนเลย


ปีนบันไดขึ้นไปบนพระราชวังลอยฟ้าค่ะ สูงทีเดียว


อูยยยย สูงและเสียวมากค่ะ แต่วิวก็สวยดี ตอนนี้ลมพัดแรงเอามากๆ จนเจ็บหนังหัว ไม่แนะนำเอาหมวกหรือผ้าโผกหัวมาค่ะ ลมแรงสุดๆ ทากันแดด และใส่แว่นเอาน่าจะดีกว่า

ขึ้นมาจะเป็นส่วนของพระราชวังลอยฟ้าค่ะ ยิ่งใหญ่ทีเดียว มีส่วนของซากอาคาร บ่อน้ำ สวนต่างๆ ให้เดินเที่ยวดูไม่รู้จบ

ที่สำคัญที่นี่ จะเห็นวิวพาโนรามาของ ที่ราบและภูเขารอบๆ สวยงามทีเดียว เข้าใจแล้วว่าทำไมพระองค์เลือกสร้างวังที่นี่คิดภาพคนสมัยก่อน อาศัยอยู่ที่นี่ น่าจะฟินเอามากๆ และได้เห็นไปรอบๆ ทุกทิศทาง เหมือนประหนึ่งว่า โลกทั้งใบหมุนรอบตัวเรา รู้สึกยิ่งใหญ่ไม่เบาเลย

พอเดินจนครบต่อไปก็ลงค่ะ ทางลงค่อนข้างจะ หวาดเสียวกว่า เพราะอยู่ริมด้านนอก

มีส่วนพระราชวังเก่าประปรายรายทาง

ลงมาเห็นบันไดที่เราขึ้นไปลิบๆ

สูงเหมือนกันค่ะ



ตอนลงเค้าจะให้คนที่ลงมาออกอีกทางนึงค่ะ ที่เป็น Parking lot ไม่ให้เดินสวนออกทางเดิม ก็ว่าอยู่ขามาไม่เห็นมีใครเดินสวนออกมาเลย เดินตามป้ายทางไปที่จอดรถเรื่อยๆ ก็จะออกมาเอง ตรงนั้นมีร้านขายของมากมาย เรียกว่าเป็นกุศโลบายให้นักท่องเที่ยวซื้อของที่ระลึก

ใครเหมาตุ๊กๆมา เค้าจะรู้งานไปรอจอดรับ อยู่ตรงนั้นเลย แต่หากใครเช่าจักรยานมาอย่างดิฉัน ก็จะลำบากนิดนึง เพราะที่จอดรถอยู่ห่างจากทางเข้ามาก เดินลำบาก เดินกลับไปทางเดินก็จะโดนเจ้าหน้าที่ไล่ให้กลับมาที่จอดรถ

ซึ่งตรงนี้ที่นี่เค้าไม่ได้คิดเผื่อนักท่องเที่ยวที่มาเองเลย ตรงนี้ดิฉันขอหักคะแนนความพอใจ

ทางเลือกเดียวคือต้องนั่งตุ๊กๆ กลับไปที่หน้าประตูเพื่อเอาจักรยาน

โดนกินไป 300 LKR (75บาท) ซึ่งเราไม่ควรต้องมาเสียตรงนี้เพิ่มด้วยซ้ำ

ร้องเรียนได้ที่ใครดี



เสร็จแล้วค่ะ Sigiriya เมืองเล็กๆ ที่ทุกคนใช้ชีวิตกันแค่ตอนกลางวัน มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆมากมาย

แถมยังให้ความรู้สึกเก่าแก่ โบราณแบบที่หาที่ไหนไม่ได้อีก

สำหรับตัวดิฉันแนะนำให้มานะคะ ยังไงซะ มันก็เป็นจุดที่ ต้องมากินอาหารที่แม่เตรียมไว้ให้ค่ะ

ถึงแม้ว่าค่าอาหารจารนี้ของแม่มันแพง จนลืมรสอร่อยไปซักหน่อย

แต่ดิฉันก็รู้สึกดีนะคะ ที่จำได้ว่าเคยได้กินอาหารจานนี้แล้ว



ดิฉันจ้าง Taxi ออกจากเมืองเล็กนี้ ด้วยราคา 1000 LKR(250 บาท)เท่าเดิม

เพื่อไป Dumbulla เมืองใหญ่ที่มีท่ารถ (มีรถบัสจาก Sigiriya เข้า Dumbulla ออกทุกชั่วโมงนะคะ ราคาถูก ป้ายรถ อยู่เลยทางเข้า Sigiriya ไปบนเนินหาไม่ยาก ถูกหน่อย แต่จะช้าค่ะ)

ต่อรถไปยังจุดหมายสุดท้าย เมืองที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจมาศรีลังกา

Kandy

เมืองแห่งพระเขี้ยวแก้ว




บทที่ 5


Kandy


......พระเขี้ยวแก้ว และ คนลวง......



ศรีลังกานั้นดีอย่างนึง ที่ทางทุกเส้นเชื่อมกันหมดทั่วทั้งเกาะ จะไปไหนมาไหน สะดวกสบาย ไม่หลง (ถ้าไม่งงจริงๆ) ตอนเช้าจะปีนหินราชสีห์ที่ Sigiriya คิดจะไปต่อที่ Kandy ก็ขึ้นรถบัสต่อไปได้เลย ไม่ยากไม่เย็น

ถ้าถามถึงระบบอะไรที่ครอบคุลมประชากรในประเทศมากที่สุด สำหรับบ้านเราอาจจะเป็น การสาธารณสุข

แต่สำหรับศรีลังกา มันคือการคมนาคม ประชากรทุกระดับเข้าถึงการเดินทางได้ในราคาถูก

ดิฉันเดินทางออกจาก Dumbulla ไป Kandy กว่า 3 ชม. ด้วยราคาเพียง 200 LKR(50 บาท ) เท่านั้น

ภาพรัสบัสจาก Dumbulla ไป Kandy ค่ะ เย่ๆ ได้นั่งด้วย ไม่ช้าไม่นานรถคันนี้ก็จะเต็มจนแน่น ดิฉันเริ่มชินกับ"ความใกล้ชิดสาธารณะ"ไปซะแล้ว จริงๆก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ เวลาคนเบียดๆกัน นี่ดิฉันอาจจะเริ่มกลายเป็นคนศรีลังกาจริงๆแล้วก็ได้ (น่าจะเป็นผลข้างเคียงของการกินแกงกะหรี่)


เมือง Dumbulla จากหน้าต่างค่ะ เมืองในศรีลังกาส่วนใหญ่ค่อนข้างเจริญทีเดียว อาจจะเป็นเพราะการคมนาคมที่มีราคาถูก การเดินทางการขนของ สินค้า จึงพัดพาความเจริญไปทั่วทั้งเกาะ


เคยเห็นนักศึกษาเปิดหมวกเพื่อไปออกค่ายตามที่ต่างๆ ในบ้านเราไหมคะ ที่ศรีลังกาก็เหมือนกัน แต่พวดเค้าจะใช้วิธี ขึ้นไปบนรถเมล์ที่จอดอยู่ แล้วกล่าวอธิบายโครงการของพวกเค้าหน้ารถให้ทุกคนฟังเลยทีเดียว จากนั้นก็เดินขอเงินบริจาค ดูแล้วไม่ใช่พวกหลอกค่ะ น้องเค้ามีรูปมี เอกสารประกอบอย่างดี แถมพูดอังกฤษขอบริจาคร่องปรื๋อ ได้ความว่าจะไปทำกิจกรรมให้โรงเรียนในชนบท น่าสนับสนุนค่ะ เพราะดิฉันเองสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เป็นเด็กค่ายเก่ามาก่อน เงินบาทสองบาทของเรา สามารถเอาไปทำประโยชน์อะไรให้ชุมชนจริงๆ


เลยออกมาจาก เมืองเล็กน้อย Dumbullaจะมี มรดกโลกของ UNESCO อีกที่ 1 คือที่ THe Golden Temple ซึ่งประกอบด้วระบบถ้ำจำนวนมาก และภายในถ้ำจะมีวัด ซึ่งมี พระพุทธรูป ภาพเขียนฝาผนัง ที่วิจิตร ตระการตา เอามากๆ เสียดายที่ถ่ายมาได้แค่ ขณะรถผ่านเท่านั้น เพราะเวลาการท่องเที่ยวทริปนี้ มีกำจัด เลยแข็งใจ ตัด Dumbulla ออกไป ถ้าเพื่อนๆไป อย่าลืมกลับมาเล่าให้ฟังด้วยนะคะ


ถ้ำอันวิจิตรอยู่ภายหินก้อนนั้นค่ะ น่าจะอลังการทีเดียว


ระหว่างทาง ก็มีวัดฮินดูสลับให้เห็นกับวัดพุทธ แสดงถึงความกลมกลืนทางศาสนาที่แตกต่าง แต่อยู่ร่วมกันได้ (ไม่เห็นจะต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องศาสนาเลย มีวิตมีอะไรต้องทำหนุกๆอีกตั้งเยอะ )


ช่วงต้นๆยังเป็นทาง ยังเจอเจอเป็นที่ราบกับ ภูเขาบ้างประปราย


ต๊าย ใครดลใจให้สร้าง ทีเร๊กซ์เขี้ยวแหลมไว้ในสนามเด็กเล่น เด็กไม่กลัวร้องไห้จ้าหรอกเรอะพ่อคู๊ณ อย่าว่าแต่เด็กเลย ดิฉันเจอตอนกลางคืนดิฉันก็วิ่ง


เริ่มเขียวมากขึ้น


ระหว่างทางเรจะพบผู้คนมากมาย ยิ่งแสดงถึงความผสมผสานในศรีลังกามากขึ้น ดิฉันเริ่มแยกพวกเค้าว่านับถือศาสนาอะไรด้วยการสังเกตุง่ายๆ ชาวมุสลิมจะใส่ผ้าคลุมศรีษะ ชาวฮินดูจะใส่ส่าหรี ชาวพุทธกับชาวคริสต์จะใส่ชุดธรรมดา นี่แค่ผู้หญิงนะคะ ผู้ชายดูกลมกลืนไปหมด ถึงแม้จะแตกต่างยังไงทุกคนก็เดินไปมาบนถนนเส้นเดียวกัน


ความน่ารักระหว่างทางอีกอย่างคือ นักเรียนที่นี่จะใส่ชุดขาวล้วน ขาวตั้งแต่เสื้อยันรองเท้า ดิฉันเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์ซักผ้าขาวของที่นี่จะขายดีมาก ว่าแต่ น้องมีปัญหาเรื่อง คราบคอเหลือง กับคราบจั๊กแร้เหลืองบ้างรึเปล่า พี่อยากขอเคล็ดลับการซักจากคุณแม่น้อง คือพี่ใส่เสื้อขาวทีไร มีปัญหานี้ทุกทีเลย พี่เลยไม่มีความมั่นใจ


พอเริ่มเข้าใกล้ Kandy จะเริ่มเห็นความเจริญ และท้องฟ้าสีฟ้าสวย (อันนี้ไม่เกี่ยว)


หนูรูก โถๆๆๆ การเรียนหนังสือทั้งวัน และการจราจรอันติดขัด ทำให้หนูเหนื่อยมากเลยสินะ โปรดสังเกตน้องตรงกลางรูป ขณะที่เราอยู่ปี 2017 ท่านอนน้องเค้าล้ำไปปี 3017 แล้ว


แม้จะรถติดแต่รถก็ถึงตรงเวลาเป๊ะ เราถึง Kandy ก็เจอความวุ่นวายที่สถานีรถทันที สถานีรถ Kandy จะอยู่ข้างสถานีรถไฟค่ะ มันอึดอัดและเฉอะแฉะสักหน่อย รถราเต็มไปหมด แถมยังแออัดอีกด้วย


เมื่อดิฉันไปถึง Kandy ที่แรกที่จะไปคือ Y.M.B.A สถานที่นี้เป็นอาคารเล็กๆ อยู่ใกล้กับทะเลสาบ Kandy ที่พิเศษก็คือ มีการจัดแสดงโชว์การรำพื้นเมืองศรีลังกา ทุกเย็น เป็นกิจกรรมที่แนะนำให้ทำในช่วงเย็นๆค่ะ


ที่นี่อยู่บนเนินเขาแลต้องเดินขึ้นไปนิดนึง ที่นี่แม้จะเป็นที่เที่ยวเล็กๆ แต่ก็มีพวก "ไกด์ตามติด" เหมือนเดิมค่ะ มาตามสเตปเดิม จะ say Hello ใส่เราก่อน (ในกรณีดิฉันเป็น หนีห่าว) แล้วบอกว่าจะพาไป Y.M.B.A ( เดี๋ยว นี่ดิฉันเข้าประตูมาแล้วนะ) อยากได้คนพาเดินดูรอบๆไหม(เดี๋ยวนี่ดิฉันมานั่งดูโชว์ จะให้เดินดูอะไร ซอกตึกกับขอบเวทีเหรอ) มีคนมาเที่ยวน kandy รียัง (ไม่ล่ะขอบใจจ่ะ) คุณมาจากไหน(เมื่อกี้ทักหนีห่าวนี่ ดิฉันมาจากจีนก็ได้) ไม่ใช่จีนเหรอ ญี่ปุ่น (ผิด) เกาหลี (ผิด) มาเลเซีย( ผิด) สิงคโปร์ (ผิด ใกล้ละ) ฟิลิปปินส์ (ไม่ใช่ ใกล้ตรงไหน เอาอย่างนี้ ถ้าทายถูกดิฉันจะจ้างให้คุณพาเที่ยวพรุ่งนี้) ไทยแลนด์ ไทยแลนด์ แน่เลย (คุณยืนยันคำตอบไหม) ยืนยัน (ผิด!!!!!) อ่าว (ดิฉันมาจาก นาคพิภพ เจ้าแม่นาคีรู้จักไหม แต้วน่ะ ไม่รู้จักเหรอ งั้นก็เลิกุย่งกับฉันสักที ฉันอยากอยู่คนเดียว) วิธีนี้ได้ผลค่ะ ทำหน้าเหวี่ยงๆหน่อยประกอบ


ด้านในจะมีอาคารที่มีห้องแสดงอยู่ เดินเข้าไปเลย


ที่ขายตั๋วค่ะ มาถึงตรงนี้ "ไกด์ตามติด" จะใช้วิธีใหม่ คือตอนที่ดิฉันซื้อตั๋ว ไกด์จะเดินไปบอกคนขายตัว ประมาณว่า ดิฉันมากับเค้า เค้าพามา คนขายตั๋วต้องแบ่งเปอร์เซ็นให้เขา ดิฉันเลยแหวขึ้นมาทันทีเลยว่า " ดิฉันมาคนเดียว ไม่ได้มากับเขา" ไกด์ตามติด หันมามองหน้าดิฉันอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินออกไป นี่ดิฉันจะโดนดักตีหัวตอนกลับไหม แต่นั่นแหละนี่คือความไม่ถูกต้อง นี่ฉันทำเพื่อการท้องเที่ยวที่ดีสำหรับทุกคนอยู่ นี่เห็นแต่ศรีลังกานะคะ


ตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยวราคา 1000 LKR ค่ะ(250บาท )


เหมือนเป็นโรงละครเล็กๆ แต่ค่อนข้างมีฝรั่งเยอะทีเดียว ที่น่าหงุดหงิดคือ พวกที่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายตอนแสดงน่ะค่ะ มีป้าคนนึงนั่งหน้า แต่ยกกล้องขึ้นมาตลอดสงสารคนนั่งหลังป้าเหมือนกัน ดิฉันกลัวจุดนี้เหมือนกัน เลยมานั่งแถวหลังสุด ไม่บังใคร แล้วเค้าอนุญาติให้ยืนด้านหลังได้ค่ะ ถ้าจะถ่ายรูป


มีคำอธิบายโชว์เป็นภาษาต่างๆค่ะ ไม่มีภาษาไทย คนไทยอาจจะต้องไปเยอะกว่านี้ เค้าถึงอาจจะมี


การแสดงมีหลายชุดเปิดด้วยกลองแล้วเปลี่ยนโชว์ไปเรื่อยๆ ตอนแรกนึกว่าน่าเบื่อชัวร์ แต่บอกไว้ก่อนว่า ช่วงกลางๆโชว์มีจุดพีค ที่ต้องกรี๊ด กรี๊ดจนยกกล้องเอาขึ้นมาถ่ายไม่ทัน การแสดงส่วนใหญ่เป็นศิลปะการแสดงจากภูมิภาคต่างๆของศรีลังกาค่ะ


จบโชว์แล้วพระอาทิตย์ จะตกพอดี มีการโชว์ลุยไฟ ด้วยนะคะ ทุกคนจะออกมาดูข้างนอกค่ะ เพราะเดี๋ยวอาคารไฟไหม้


ภาพทะเลสาบ Kandy ค่ะ อยู่กลางใจเมือง หาง่าย หลงทางก็กลับมาเริ่มต้นที่ทะเลสาบก่อน ว่าแต่ นกสองตัวนั้นคุยอะไรกัน


วัดพระเขี้ยวแก้ว

และสถานที่ต่อไปคือ วัดพระเขี้ยวแก้ว อยู่ห่างจาก Y.M.B.A ไม่กี่อึดใจ เดินข้ามทะเลสาบไป หาไม่ยากค่ะ เอามือปิดตาแล้วหมุนตัวสองสามรอบ เปิดตา ยังหาเจอเลยค่ะว่าตรงไหน คือวัดพระเขี้ยวแก้ว พระที่นี่นี่คือยอดมงกุฏของเมือง Kandy ยอดมงกุฏของศรีลังกา



พระเขี้ยวแก้ว

เขี้ยวฟันคนเรามีแค่ 4 ซี่ ฟันเขี้ยวถือว่าเป็นฟันที่ค่อนข้างใหญ่ และโดดเด่นที่สุดในช่องปาก มันต้องแสงเงาก่อนเพื่อนเวลาเรายิ้ม และทำให้รูปหน้าของเราสมบูรณ์ได้สัดส่วนไม่หลุบเข้าไป มันยังแข็งแรงพอไว้สำหรับฉีกกระชากเนื้อออกจากกระดูก ฤทธิ์เดชของฟันเขี้ยวนั้นถูกทิ้งมรดกเอาไว้จากบรรพบุรุษสัตว์นักล่า ที่วิ่งไล่ล่าเหยื่อกลางทุ่งกว้าง เพียงขบเดียว คมเขี้ยวที่แข็งแรงก็ปลิดชีวิตของเหยื่อให้แดดิ้น ถึงแม้พวกเราชาวมนุษย์จะไม่ต้องออกไปล่าอะไรในทุ่งอีกแล้ว แต่วิฒนาการยังทิ้งมรดกความน่าเกรงขามไว้ให้ฟันเขี้ยวทั้งสี่ซี่

เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า พระองค์เองก็มีพระทนต์สี่ซี่เช่นเดียวกัน แถมตามพระไตรปิฏก ลักษณะงามของมหาบุรุษทั้ง 32 ประการ ระบุข้อนึงไว้ว่า " เขี้ยวพระทนต์ทั้งสี่งามบริสุทธิ์" โดยหลังเสด็งปรินิพพาน พระเขี้ยวแก้วถือเป็นหนึ่งในพระบรมสารีริกธาตุ ที่เป็นองค์เต็มทั้งชิ้น อยู่ในสภาพปกติ ไม่แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ และพระเขี้ยวแก้วทั้งสี่ชิ้น ก็กระจายออกไปในที่ต่างๆ ทั้ง3 โลก

พระเขี้ยวบนขวา (13) พระอินทร์อันเชิญขึ้นไปประดิษฐานที่ เจดีย์จุฬามณี สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พระเขี้ยวบนซ้าย (23) ตอนนี้อยู่ที่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

พระเขี้ยวล่างซ้าย(33) อยู่ที่นาคพิภพ

พระเขี้ยวล้างขวา (43) อยู่ที่วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือชื่อเต็มคือ วัดศรีทัลฒามัลลิกาววิหาร (Sri Dalada Maligawa or the Temple of the Sacred Tooth Relic) ที่เมือง Kandy ศรีลังกานี่เอง

ด้วยความหลงใหลและทึกทักเอาส่วนตัว ว่าเพราะเขี้ยวแก้วต้องมีพลานุภาพ ประทานฤทธิเดช อำนาจ และความแข็งแกร่งใ้กับจิตใจที่อ่อนแอปวกเปียกของดิฉันได้ (ย้ำว่าคิดเอาเองนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณ) การไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ที่ถือว่า rare item มีเพียงไม่กี่ชิ้นในโลกนี้ (และโลกอื่น) ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดให้ดิฉันออกเดินทางมาที่นี่

ภารกิจของดิฉัน จึงตั้งใจว่าจะตามสักการะพระเขี้ยวแก้วให้ครบทั้งสี่องค์ จึงร่างทริป "ตามรีวิวการสักการะพระเขี้ยวแก้วทั้งสี่"

โดยเริ่มจากองค์ที่เดินทางไปหาง่ายที่สุดก่อน (ศรีลังกาขอวีซ่าง่าย แถมตั๋วก็ถูกกว่าจีน 555)

จากนั้นก็ติดตาม ไปสักการะองค์อื่นๆ ที่จีน

แล้วหมั่นทำบุญทำทาน เชื่อในผลของทาน แล้วอธิษฐานว่าขอไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อ่จะได้ไปที่เจดีย์จุฬามณี (อันนี้ต้องระวังไม่ทำบาปด้วย)

และขั้นตอนสุดท้าย เป็นนางฟ้าสักพักจนอยู่ตัว ก็ขอลาพักร้อนมาจุติก่อน โดยอาจจะซื้อแพคเกจ มาเกิดเป็นนาคก่อน (น่าจะใช้บุญแพงอยู่) แล้วก็สักการะ ที่นาคพิภพ (ทางไปน่าจะยากสุด เพราะได้ข่าวว่าทางไปเป็นพิษกับมนุษย์ แล้วการไปเกิดเป็นนาคยากกว่าเป็นเทวดา เอาจริงๆก็ยากพอๆกัน)

เท่านี้ก็ครบสี่องค์ นี่แหละค่ะแผนทริประยะยาวของดิฉัน

รู้นะคะว่า หนทางมันไกลแล้วก็มีอุปสรรคมากกมาย แต่ถ้าไม่ออกเริ่มเดินก้าวแรก เราจะไปถึงได้ยังไง ใช่ไหมคะ

และก้าวแรกของดิฉันคือ ที่ Kandy นี่แหละค่ะ



บรรยากาศ วัดตอนสนธยา ช่างมลังเมลือง นี่แหละค่ะ ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว หนึ่งในสองชิ้น บนโลกมนุษย์


มืดนิดหน่อยนะคะ ป้ายบอกว่า เวลาเปิดให้นมัสการพระเขี้ยวแก้วมีสามช่วงเวลา 05:30- 07:00 ตอนเช้า 09:30-11:00 ตอนเพล และ 18:30-19:30 ตอนเย็นค่ะ


ข่าวดีสำหรับชาวไทย ประเทศไทยและเมียนมาร์ เป็นประเทศพุทธแบบเถรวาท เหมือนกับศรีลังกา พวกเราจึงได้ลดพิเศษ แต่ก็ยังแพงอยู่ดี 1000 LKR(250บาท) แต่เอาน่า อย่างน้อยก็ได้ลดนะคะ ไม่มีอะไรที่จะกั้นดิฉันจากพระเขี้ยววแก้วได้ แม้แต่เงิน 250 บาท



พ่ายแพ้

ด้วยความปิติในใจที่จะได้ไหว้พระเขี้ยวแก้ว และเสียงสวดเสียงกลองก็ดังกระหึ่มออกมาขากวัด ตายแล้วนี่ดิฉันสายแล้วสินะ ต้องรีบแล้วล่ะ

ด้วยอารมณ์รีบๆ จึงอยากจะเข้าไปให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่าข้างในคนเยอะมากน้อยแค่ไหน ถ้าเข้าไปไม่ทันแล้วไม่ได้ไหว้ขึ้นมาล่ะ

ดิฉันเริ่มวิ่งไปที่ช่องซื้อตั๋วเร็วที่สุด รู้ว่าต้องถอดรองเท้าเลยถอดออกก่อนเรียบร้อย

ระหว่างนั้นเอง เหมือนเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เดินออกมาจากช่องขายตั๋ว ทักทายดิฉันอย่างร่าเริง

"คุณมาจากประเทศไหน"

ในตอนนั้นดิฉันเชื่อสนิทใจว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ เพราะชุดที่ใส่ดูภูมิฐาน แถมยังเหมือนกับคนในช่องขายตั๋วเป๊ะ

ระบบการระวังตัว "ไกด์ตามติด"เลยถูกปิด ระบบ"มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส"ก็ถูกเปิด

ตัวแทนประเทศ ผู้แบกเอาความงดงามอย่างไทยมาผูกมิตรกับคนทั่วโลก ชื่อเสียงของประเทศถูกแบกไว้บนบ่าของดิฉัน และดิฉันจะทำให้ดีที่สุด

ทันทีที่เค้าถาม ดิฉันไม่พลาดโอกาส ที่จะพูด "ไอ คัม ฟรอม ไทยแลนด์!!!! "แถมขึ้นเสียงสูงแบบมิสแกรน)

เค้าเลยว่า "โอ้ดี เรามีส่วนลดให้คนไทยด้วย ประเทศเราเหมือนกัน คุณเป็นคนพุทธใช่ไหม"

"ใช่ค่ะ"

เจ้าหน้าที่คนนั้นจัดการซื้อตั๋วให้ดิฉันเสร็จสรรพ แถมยังหยิบรองเท้าจากมือดิฉันไปเก็บไว้ให้ที่ฝากรองเท้าอย่างอ่อนโยน

โอ้ คนศรีลังกาใจดีจัง ดิฉันคิด

"'วันนี้นักท่องเที่ยวน้อย งั้นผมจะพาคุณเดินชมรอบๆดีไหม"

เอ๊ะเริ่มแหม่งๆ สัญญาณเตือนภัยในหัว ของดิฉัน (((อย่าไปกับเค้าเชียว)))

"เอ่อ ไม่ดีกว่า ดิฉันรีบ ดิฉันต้องรีบไปไหว้พระเขี้ยวแก้ว"

"'งั้นดีเลย ผมจะพาไปทางลัด" (((((((มันโกหก))))))))

"แล้วงานของคุณล่ะคะ"

"เอ่อตอนเย็นคนน้อย ผมไม่มีหน้าที่ ที่นี่แล้ว ไม่ต้องห่วงผมเป็นเจ้าหน้าที่" เขาชี้ไปที่เสื้อของเขา ส่วนดิฉันมองรอบๆ นักท่องเที่ยวก็มาซื้อตั๋วเรื่อยๆ ฝรั่งก็เยอะ แล้วทำไมเค้ามาดูแลดิฉันคนเดียว ((((มันโกหกไงนังโง่))))

"ใบเสร็จคุณอยู่กับผม มันต้องใช้ผ่านประตู ตามผมมา" ตายจริงพอดิฉันจ่ายเงินค่าตั๋ว เค้ายืนที่หน้าเค้าเตอร์แล้วรับใบเสร็จนั้นมาจากคนขายตั๋วนี่ ดิฉันไม่ได้ทันคิด มันเกิดขึ้นเร็วมาก

เค้าเดินนำดิฉันไปที่ประตู ใบเสร็จของดิฉันอยู่ที่เค้า ดิฉันต้องตามไปแบบไม่มีทางเลือก เอาน่าเข้าประตูได้ค่อยสลัดเค้าทิ้งละกัน

"ไม่ต้องห่วงผมเป็นเจ้าหน้าที่" (((( แกมันพวกไกด์ตามติด คอยดูนะแม่จะหนี แต่ต้องเอาใบเสร็จนั่นผ่านเข้าประตูมาก่อน)))))

ดิฉันเดินตามเค้าจนเค้ายื่นใบเสร็จ เปลี่ยนเป็น CD แผ่นเล็กๆที่ทุกคนจะได้รับแจกจากคนเชคตั๋ว เมื่อผ่านเข้าประตู

แต่การจะสลัดไกด์นี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย คนในวัดเยอะ มันจำเป็นต้องเข้าแถวตามหลังคนอื่นๆ เพื่อจะได้ไหว้สักการะ

อีต่าไกด์นี่ตามดิฉันทุกย่างก้าว แถมพ่นคำอธิบายภาษาอังกฤษสำเนียงแย่ๆ ที่เร็วจนเหมือนพูดให้เสร็จๆ

แถมยังเร่งดิฉันให้เดินต่อ ไปทางโน้นทางนี้

ดิฉันรู้สึกอึดอัดมาก และพยายามทำหน้าเหวี่ยงใส่ แต่ไม่ได้ผล เจ้าไกด์คนนี้ยังพ่นคำอธิบายที่ฟังไม่รู้เรื่องใส่ดิฉันตลอดเวลา

ไม่ใช่แค่ดิฉันรำคาญ แต่คนข้างๆดิฉันก็รำคาญเหมือนกัน

ที่น่าเกลียดที่สุด อีตานี่ พยายามแทรกคิวแถวที่เข้สคิวไหว้พระเขี้ยวแก้ว แล้วเรียกดิฉันไปตรงนั้น

ดิฉันอายมาก ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าดิฉันมากับเค้า ไม่เค้าต่างหากที่พยายามทำให้ทุกคนในวัดเข้าใจว่าดิฉันเป็นลูกทัวร์ของเขา

ดิฉันพยายามหนีไปจุดนั้นจุดนี้ แต่เค้าก็พยายามเดินมาพ่นคำอธิบายโน่นนี่ใส่ และเร่งให้ดิฉันเดินไปจุดนั้นจุดนี้

ทำยังไงดิฉันถึงจะสลัดเค้าหลุดดีนะ

แต่คนในวัดเยอะ ถ้าไม่เข้าคิวตอนนี้ ดิฉันไม่ได้ไหว้พระเขี้ยวแก้วแน่

ด้านล่างของโถงวัดค่ะ ระหว่างที่เปิดให้สักการะ จะมีคนคอยประโคมดนตรี เสียงดังทั่ววัดเลยค่ะ ตรงนี้ดิฉันถ่ายไม่ค่อยสวยนะคะ เพราะมีคนคอยเร่งให้ดิฉันเดินไปตรงนั้นตรงนี้ตลอดเวลา


ขึ้นไปชั้นสองค่ะ จะมีแถวรอไหว้พระเขี้ยวแก้วอยู่ คนศรีลังกาส่วนใหญ่เตรียมดอกไม้ใส่ภาชนะมา ส่วนใหญ่เป็นดอกบัวที่เด็ดกลีบมาจัดเรียอย่างสวยงาม บางคนนำเงิน นำของมีค่ามาถวาย แล้วแต่ศรัทธา ผู้เข้าสักการะจะเข้าไปกราบไหว้ทีละคน ยืนต่อหน้าพระเขี้ยวแก้วผ่านช่องเล็กๆ แต่ละคนมีเวลาถวายของและกราบไหว้คนละไม่เกินห้าวินาที และตรงช่องเล็กๆนั้นเค้าห้ามถ่ายรูป

ภาพภายในวันตอนเย็นค่ะ ถึงจะดูคนน้อยแต่คิวยาวลงไป ถึงชั้นสอง

จะมีบางคนเท่านั้น ที่ถูกกั้นให้อยู่ข้างหน้าช่องของพระเขี้ยวแก้ว ถึงเวลาที่ทุกคนไหว้เสร็จ คนกลุ่มนี้ก็จะได้เข้าไปไหว้พระเขี้ยวแก้วแบบ exclusive ในห้องนั้น อีต่าไกด์ปลอมของดิฉันบอกว่า คนพวกนี้ต้องจองกันข้ามปีเลยทีเดียว แถมต้องเสียเงินจองมาก ขอเงินจากดิฉัน 10000LKR แล้วเค้าจะลัดคิวให้ดิฉันพรุ่งนี้เช้า เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่ แน่นอนว่าเค้าโกหกหน้าไม่อาย จริงๆแล้วบุคคลเหล่านี้ ต้องทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อีกษรมาให้ทางวัด ว่ามาในนามอะไร มีจุดประสงค์อะไร แล้ววัดจะจัดคิวให้ตามความเหมาะสม (อันนี้ดิฉันถามคนที่นั่งสมาธิอยู่แถวนั้นมา)



ไม่ทนอีกต่อไป

ในที่สุดดิฉันก็ขอออกมาทีหลังที่ข้างนอกวัด ตรงนั้นมีอาคารไม้งดงามอยู่ ตอนนั้นใจดิฉันไม่สงบเอาเสียเลย เต็มไปด้วยความรำคาญ ความรังเกียจเมื่อรู้ว่า ความอึดอัด เมื่อรู้ว่าคนที่คอยเดินข้างๆดิฉันเนี่ย คอยจ้องจะเอาผลประโยชน์จากดิฉันอยู่

ในที่สุดดิฉันก็ทนไม่ได้

คำลวงต่างๆที่เขาหลอกดิฉัน มันไม่ทำให้จิตใจในวัดพระเขี้ยวแก้วของดิฉันสงบขึ้นเลย

ดิฉันคงไมมีความสุขต่อไปแน่ๆ ถ้าเค้าคอยตามดิฉันอยู่อย่างนี้

และดิฉันก็ผิดเอง ที่ถลำลึก มาเนิ่นนาน ยอมปล่อยให้เค้าตาม ทั้งๆที่ควรจะเอ่ยปากไล่ตะเพิดเขาไปตั้งแต่ต้น เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ

ความปากหนัก และไม่ทันคนของดิฉัน ทำให้ดิฉันต้องยอมรับว่ามันคือสิ่งที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบ

และดิฉันทนอยู่กับหมอนี่ไม่ได้อีกสักวินาทีเดียวแล้ว

"ปล่อยดิฉันอยู่คนเดียวได้ไหม ฉันชอบเที่ยวคนเดียว" ฉันเอ่ยขึ้นอย่างหมดหวัง

"ได้ งั้นคุณจ่ายค่าไกด์ผมมา" ((((นั่นไงดีออก ไม่ได้ขอให้มาเป็นให้ด้วยซ้ำ แล้วที่พูดๆมา ไม่ได้อยากฟังเลยสักนิด ไม่รู้ว่าถูกไหมด้วย))

"ไหนว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่ไง" ((((ไม่มีทาง เดี๋ยวคอยดูมันแผลงฤทธิ์นะ))))

"ใครบอกคุณ ผมทำงานให้คุณ คุณก็ต้องจ่ายผมสิ อย่ามาโกง" (((หนอย ใช้คำว่าโกงกับฉัน อยากจะเอามือฟาดปากในวัด แต่มันเริ่มเสียงแข็งแล้ว เอาไงดี สู้ต่อก่อน))))

"แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นไกด์ คุณบอกเองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ แล้วฉันก็ไม่ต้องการไกด์ด้วยซ้ำ" ((ไม่มีทาง ดูหน้ามัน มันไม่ยอมรับหรอก แล้วมันจะแกล้งโกรธนะ คอยดู))))

"ถ้าไม่ให้ผมไม่ไป" (((มันทำหน้าโกรธจริง หน้าแบบนี้จะบีบคอฉันรึเปล่า เอาล่ะ ถามมันว่าเท่าไหร่ มันจะได้ไปพ้นๆ )))

"งั้นเท่าไหร่"

"3500 (875) " ((((นี่มันเงินก้อนสุดท้ายของดิฉันที่ศรีลังกา ทั้งเนื้อทั้งตัวดิฉันเหลือแค่ 4000 เพื่อเป็นค่ากินค่าอยูวันสุดท้ายที่ศรีลังกา แถมยังเป็นค่าเดินทางไปสนามบินอีก บ้าไปแล้วนี่มันปล้นกันชัดๆ))))

"แพงไป คุณแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังแค่ไม่ถึง ครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ฉันให้คุณได้แค่ 1000"

"อะไรกัน ผมทำงานให้คุณ คุณอย่าโกง คุณเป็นคนพุทธนะ และนี่ในวัด คุณไม่กลัวบาปเหรอ ถือว่าทำทานให้ผมเถอะนะ เงินจากงานผมผมจะได้ไปจุนเจอครอบครัว คุณจะได้ไปสวรรค์" ((((หนอย ว่าฉันจะบาป แล้วนี่คือไม่บาปเลยเนอะ)))))

ดิฉันพยายามเดินหนี แต่ไม่ทันเค้าเดินดักข้างหน้าฉันด้วยความรวดเร็ว

เขาถลึงตาใส่ฉันเหมือนกำลังจะคุกคาม

ดิฉันอยากให้มันจบ ฉันรู้สึกเกลียดเขาจนไม่อยากจะทนอยู่กับเขาได้อีกสักวินาที

ดิฉันควักเงินก้อนสุดท้ายของดิฉันให้กับเขา

เงินก้อนที่ดิฉันจัดสรรอย่างดี นั่นเท่ากับว่า มื้อเย็น มื้อเช้า มื้อเที่ยง ค่าของฝาก ค่าโปสการ์ดจะไม่มีอีกต่อไป

เขารับเงินจากฉัน แล้วก็รีบเดินออกไปเร็ว

ด้วยความโกรธจนตัวสั่น จึงเผลอสาปเงินนั้นไป ว่า ขอจงนำความวิบัติมาสู้ผู้ที่ได้มันมาด้วยวิธีที่ไม่บริสุทธิ์

แม้จะอยู่ในวัด อยู่ใกล้พระเขี้ยวแก้วอันศักดิ์สิทธิ์

แต่จิตใจของดิฉันดำมืด ยิ่งกว่าอยู่ในนรกโลกันต์

ห้ามไม่ได้ที่จะคิดว่า พระเขี้ยวแก้ว ไม่ควรมาอยู่ในประเทศที่มีคนแบบนี้เลย

เอาจริงๆไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยซ้ำ เอาไปอยู่สวรรค์กับนาคพิภพให้หมด ในเมื่อมนุษย์ยังเอาเปรียบคนอื่น หลอกลวง เห็นแก่ตัว

การมีอยู่ของพระเขี้ยวแก้ว ยิ่งจะทำให้มนุษย์เอาเปรียบกันมากขึ้น

ความขุ่นมัวในจิตใจ แผ่ซ่านออกมาเป็นโทสะ เผารุมอยู่ในอกของดิฉัน

ความโกรธเป็นไฟพวยพุ่งลามเลียขมับให้ร้อนผ่าว ลมหายใจเาร่ร้อนจนทนสูดเข้าไปได้ไกลสุดแคโพรงจมูก ก่อนจะไล่มันออกอย่างรวดเร็ว เป็นเสียงฝึดฝัด

ฟันที่ขบเคี้ยวกันแน่น เพราะต้องข่มเสียงตะโกนไว้ ไม่ให้ดังในเขตวัด

ตาที่ถลึง มือที่กำแน่น

มันไม่ควรเป็นแบบนี้



โฉมหน้าของคนลวงค่ะ ขอเบลอนิดนึง



ดิฉันทนไม่ไหว เลยขึ้นไปนั่งสมาธิสงบใจในห้องพระเขี้ยวแก้ว บนชั้นสอง แต่มันก็ไม่ทำให้ดิฉันสงบขึ้นเลย


ห้องเก็บพระเขี้ยวแก้ว ปิดสนิทแล้วเวลาทุ่มครึ่ง


ที่ชั้นล่างด้านข้างค่ะ ยังมีศาสนิกชน กราบไหว้อยู่ ทั้งๆที่ใกล้เวลาปิดแล้ว


หลังคาห้องพระเขี้ยวแก้ว มองจากชั้นล่าง เห็นหลังคาสีทอง อร่ามสวยงามในเวลากลางคืน


มีห้องจำลองพระเขี้ยวแก้ว ให้คนทั่วไปกราบไหว้ ตอนนั้นดิฉันเข้าไปขอพรให้ ดิฉันหายจากอารมณ์โกรธนี้โดยเร็ว ไม่ได้ขออย่างอื่นเลย


ทางเข้าวัดค่ะ เดินกลับออกมาเห็น ตอนกลางคืนสวยมาก


ภาพวัดตอนกลางคืนจากทางออก


ด้วยความว่ามีอารมณ์โกรธเป็นทุนเดิม และเงินแทบไม่มีอยู่แล้ว ตอนกลับมาเอารองเท้า โดนเรียกค่าฝากรองเท้าอีก 100 LKR(25บาท) ตอนแรกนึกว่าบริการฝากฟรี ดิฉันเลยรู้สึกเหมือนโดนโกงอีกครั้ง ความโกรธลุกโหมขึ้นมาอีกระลอก ดิฉันสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เสียเงินให้อะไรแบบนี้อีกแล้ว

ดิฉันเดินคอตก ด้วยว่าเงินในกระเป๋าไม่พอกินข้าวเย็นอีกต่อไป แผนที่จะได้กินมื้อสุดท้ายที่แสนพิเศษริมทะเลสาบก็ทะลายลง

ดิฉันมองทะเลสาบแคนดี้ตอนกลางคืนอย่างครุ่นคิด ถ้าเมืองนี้ไม่มีพระเขี้ยวแก้ว คนพวกนี้นจะเป็นยังไงนะ แล้วฉันก็ส่ายหัว สลัดความคิดนั้นออกไป พร้อมกับเสียงท้องร้องครืดคราด



หลังจากเมื่อคืน ดิฉันกินโยเกิร์ตศรีลังกากับนมราคาถูกเพื่อประทังชีวิต เช้านี้ตื่นขึ้นมา เลยตั้งใจว่าจะไปสักการะพระเขี้ยวแก้วใหม่ ด้วยจิตใจที่เป็นปกติ แต่ภารกิจแรกในวันนี้ ต้องหาแลกเงินเพิ่มก่อนเพราะเงิน LKR ของดิฉันจะหมดแล้ว

มีตู้อัตโนมัติ แลกเงิน US กับ EURO ได้นะคะ แต่แลกได้ไม่เกิน 200 US/EURO ค่ะ เค้าว่า ค่อยหยอดไปแล้วเงินก็ออกมาเลย หรือจะกด ATM ก็ได้ ปกติ ATMจะเสียค่า กด ครั้งละ 100 บาทค่ะ


แต่ดิฉันเอาชัวร์ดีกว่า เพราะเงินแทบไม่เหลือแล้ว เลยไปขอแลกโดยตรงที่ธนาคาร มีหลายธนาคารอยู่แถวทะเลสาบค่ะ หาไม่ยากเลย การแลกอาจจะมีขั้นตอนนิดนึง แต่พนักงานพูดอังกฤษได้ อ้อ หลายธนาคารรับแลกเงินบาทไทยด้วยนะคะ แนะนำ Ceylon Bank ค่ะ

ตำรวจจราจรที่นี่ขี่ม้าปฏิบัติงานด้วยค่ะ สุด cool

ตอนเช้าอากศที่แคนดี้ หอมมากๆค่ะ อากาศเหมือนหน้าหนาวเชียงใหม่ เนื่องด้วยเป็นเมืองที่อยู่บนที่สูง อากาศข้างบนเลยดีตลอดเวลา ไม่ร้อนเลย


ทะเลสสาบKandy ตอนเช้าค่ะ


ในเมื่อตั้งใจจะมาไวห้แล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด เลยไปหาซื้อดอกไม้ค่ะ ร้านดอกจะอยู่ซอยข้างๆ ประตูทางเข้าหาไม่ยาก ดอกไม้ส่วนใหญ่จะราคา 200 LKR(50บาท)ค่ะ


ได้ดอกไม้แล้ว ก็ทำจิตใจให้เบิกบาน มาสักการะพระเขี้ยวแก้วใหม่ อ่าห์เช้านี้ดิฉันเตรียมเป้มาด้วยค่ะเอามาใส่รองเท้า จะได้ไม่ต้องเสียค่าฝากอีกต่อไป เค้าให้ถอดรองเท้าค่ะ แต่เค้าให้เอากระเป๋าเข้าได้ ฮิฮิ ไม่ได้แอ้มฉันร๊อก ที่ทางเข้าดิฉันเสียค่าเข้าด้วยตัวเอง แม้จะมีคนหลายต่อหลายคนพยายามมาถามเพื่ออำนวยความสะดวกให้ แต่ไม่ค่ะ เข็ดหลาบแล้ว ดิฉันไม่เห็นพ่อคนเมื่อคืน(คงนอนอยู่) แต่เห็นพวกเจ้าหน้าที่ปลอมพยายามเข้าไปทักนักท่องเที่ยวหลายคน นักท่องเที่ยวในเช้าวันนั้นทำได้ดีกว่าฉันมาก ดิฉันเห็นป้าฝรั่งคนนึงตวาดใส่คนพวกนั้นด้วยคำง่ายๆอย่าง "Leave me alone!!!" วัยรุ่นจีนสะบัดแขนอย่างรุนแรงใส่เจ้าหน้าที่ปลอมคนนึงที่พยายามจะจับแขนเขา ดิฉันปรบมือให้คนเหล่านั้นในใจ พวกเค้าเก่งจัง ดิฉันต้องทำให้ดีขึ้นในครั้งหน้า ถึงจะไม่ต้องโดนอีก


จะบอกว่า รอบ 9:30 อาจจะเป็นรอบที่คนเยอะที่สุด คนที่มาสักการะ นั้นแน่นวัดเอามากๆ ชั้นสองนี่เต็มจนเดินผ่านไม่ได้ นี่ต้องไหลตัวตามคนไป หลายๆคนดูก็รู้ว่ามาจากต่างเมือง นักท่องเที่ยวก็อีกกลุ่มที่เยอะพอๆกัน ทุกคนแต่งขาว และมาด้วยชุดสุภาพ


เหมือนที่นี่จะมีธรรมเนียมที่เอาเด็กแรกเกิดมา ไหว้พระเขี้ยวแก้วแล้วให้พระเจิมที่หน้าผาก ดังนั้นจะเห็นแม่ลูกอ่อนอุ้มเด็กเล็กๆ กระจองอแงกันแน่นทีเดียว บางทีก็สงสารเด็กนะคะ คนแน่นทีเดียว


และดอกบัวม่วงของดิฉันก็ได้ไปรวมกับดอกไม้ของท่านอื่น ทันทีที่เปิดห้อง(ช่องเล็กๆ) ทุกคนก็พนมมือไหว้ และแถวก็เคลื่อนไปเรื่อยๆ ทุกคนมีเวลาอยู่หน้าช่องคนละ 5 วินาทีเช่นเดิม และแน่นอนว่าห้ามถ่ายรูปพระเขี้ยวแก้วจ้า

ดิฉันต่อคิวสักการะเสร็จ ลงมาก็จะเห็นแถวต่อคิวรับน้ำมนต์ ที่ตอนกลางคืนจะไม่มี แถวยาวทีเดียว เตรียมภาชนะไปรับได้


แถวยาวจริงๆ


ยาวอ้อมไปอีกกกกกก


ยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่ยังหาปลายแถวไม่เจอเลยค่ะ


ด้านข้างจะมีพิพิธภัณฑ์ โถงชั้นล่างจะแสดงประวัติความเป็นมาของพระเขี้ยวแก้ว อย่างละเอียดผ่านภาพต่างๆ มีพระพุทธรูปที่รัฐบาลไทยส่งมาเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วย


เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าประสูติเลยทีเดียว


วันนั้นมีน้องๆมาทัศนศึกษาด้วย เด็กๆค่อนข้างตื่นเต้นกับคนต่างชาติมาก หลายคนเดินเข้ามาทักดิฉันว่า"หนีห่าว"

เนื่องจากมีพระพุทธรูปเยอะ ที่นี่เค้าห้ามโพสท่าถ่ายรูปค่ะ แต่ถ่ายรูปได้นะ


บนชั้นสอง ก็มีพิพิฑธภัณฑ์แสดงเอกสาร ภาพถ่ายสำคัญ ทางประวิติศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเขี้ยวแก้ว นักท่องเที่ยวขึ้นชมฟรี แต่ข้างบนห้ามถ่ายรูปค่ะ


ใกล้ๆกันจะมีศาลา ร่มรื่น

ที่เดียวกับที่ดิฉัน โดนเรียกเงินจากเจ้าหน้าที่ปลอมเมื่อคืน




ตรงข้างศาลา จะมี The Museum of World Buddhism ที่เป็นพิพิฑธภัณฑ์แสดง การกระจายตัวของศาสนาพุทธและ รูปแบบศาสนาพุทธ ในประเทศต่างๆทั่วโลก

ค่าเข้าชมเพียง 500 LKR(75บาท)ค่ะ แต่ดิฉันไม่ได้เข้า เพราะเงินไม่พอ อิอิ



ในช่วงเวลาใกล้ปิดรอบ คนจะน้อยลง หากใครมาสักการะ มาสักหลัง 10 โมงก็ได้ค่ะ เพราะเค้าเริ่มกลับกันแล้ว ห้องจะไม่แน่นมาก

ดิฉันใช้เวลาช่วงนั้น ขึ้นไป นั่งสมาธิต่อหน้าพระเขี้ยวแก้ว เหมือนที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกตั้งแต่เมื่อคืน

ช่วงเวลาทีนั่งสมาธินั้น ดิฉันถอดเอาความขุ่นมัวในใจตั้งแต่เมื่อคืนออก ปล่อยวางกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แม้จะจำเป็นบทเรียน แต่ก็ให้อภัยเจ้าหน้าที่ปลอมคนนั้น

ทำได้ยากทีเดียว แต่หลังจากนั้น ดิฉันก็ไม่รู้สึกโกรธเขาอีก

ความแค้นเคืองวุ่นวายในใจของดิฉันก็สงบลง

แม้รู้ว่าเขาอาจจะอยู่ข้างนอกนั่น พยายามหลอกใครสักคนอยู่ หรืออาจกำลังได้รับผลจากการหลอกลวงของเขา

แต่นั่นคงไม่เกี่ยวกับฉันแล้ว

ฉันยกใจออกมาจาก เรื่องของเขา

และสุดท้านดิฉันก็สงบอย่างแท้จริง

นี่สินะ อภัยทาน

ดิฉันลืมตาขึ้นมองพระเขี้ยวแก้วที่อยู่ตรงหน้า

ดิฉันขอถวายทานนี้แก่พระเขี้ยวแก้ว




บทที่6


Negombo


.....เมืองข้างสนามบิน แค่แวะพัก หรือต้องไป.......



บ่ายวันนั้น ดิฉันต้องกลับไปที่สนามบิน และเมืองที่ใกล้สนามบินที่สุดคือ Negombo วิธีไป Negombo มีสองวิธี แบบรถ บัสที่ออก เกือบทุกชั่วโมง และรถไฟ สามารถเชครอบรถไฟ จากวิธีที่บกในบทที่ 0 เลยค่ะ


รถออกบ่ายสองครึ่ง เดินทางประมาณสี่ชั่วโมงค่ะ และค่าโดยสารก็ถูกตาม สาธารณะศรีลังกาสไตล์


เส้นทางนี้งดงาม จะผ่านภูเขาและป่ามากมาย อากาศก็ดีค่ะ ลมเย็นบนภูเขาตอนกลางของศรีลังกา ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว


สถานีรถบัสที่ เนกอมโบค่ะ ทันสมัยเอามากๆกว่าทุกเมืองที่เคยเห็น รัฐบาลศรีลังกาตั้งใจจะปั้นเมืองนี้ให้เจริญ ในนามของเมืองทันสมัย เอาจริงรถสายนี้จะลงที่หน้าสนามบินเลยก็ได้นะคะ แต่ทว่า เที่ยวบินของดิฉันคือตีหนึ่ง ยังเหลือเวลาที่จะเทียวได้อีกสักเมืองไหนๆมาแล้วก็ไม่อยากให้เสียเที่ยว ตามคำขวัญ Backpacker "ไปเถอะ ไม่รู้จะมาได้ที่นี่อีกเมื่อไหร่"


ดิฉันนั้งตุ๊กๆจากกลางเมืองไปที่ชายทะเล ได้ข่าวว่าที่นี่ชายหากก็ดังเหมือนกัน แต่อาจจะผิดฤดูไปหน่อย แต่ก็ยังอยากเห็น ค่าตุ๊กๆ300 LKR แพวกว่าคารถบัสจากแคนดี้อี๊ก


ที่แรก ในเมืองนี้ที่น่าไปคือ St. Sebastian’s Church เป็นโบถส์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิค ศิลปะแบบโกธิค อยู่ถนนเลียบชายหาด negombo ทำให้ดิฉันรู้ว่า ชุมชนเลียบชายหาด Negombo เป็นชุมชนช่าวคริสต์ ตามท้องถนนต่างๆ จะมีแท่นบูชา พระเยซูคริสต์ และพระแม่มารี กระจายตามจุดต่างๆ ทั้งถนน ดิฉันก็ว้าวกับประเทศนี้มากขึ้น Anuradhapura อาจจะเป็นเมืองพุทธ Trincomalee เป็นเมืองฮินดู แต่ Negombo อาจจะเป็นเมืองคริสต์ค่ะ ว้าวววว ผสมผสาหลากหลายสุดๆ


หน้าโบถส์เซนต์เซบาสเตียน


ข้างในโบถส์ค่ะ เหมือนจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนากันอยู่ ดิฉันฟังคำสวดต่างภาษา และอธิษฐานขอพรให้โลกใบนี้ ไม่มีการเอาเปรียบกัน อีกต่อไป อาเมน


ต๊ายแล้ว หนูรูกกกกกกกก ทำเพื่อนเบาๆลูกกกกกกกกกก ไม่ต้องตกใจค่ะ เด็กๆซ้อมมวยปล้ำกันอยู่


ไม่ไกลจากโบถส์ เราสามารถเดินไปที่ชายหาด เนกอมโบ ได้


หาดที่นี่เป็นสีน้ำต๊าล น้ำตาล แบบน้ำตาลในอุดมคติ ทราบค่อนข้างหยาบเมื่อเทียบกับที่ trincomalee ที่มีเม็ดละเอียดนุ่มเท้ากว่ามาก ทรายที่นี่รู้สึกเหมือนเม็ดสครับที่เอาไว้ขัดขี้ไคลในโฟมราคาถูกหน่อย ที่ขัดแรงๆอาจจะเจ็บผิวได้


เดือนกรกฏาเป็นเดือนแห่งลม มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ค่ะ และเนกอมโบ อยู่ฝั่งตะวันตก พอดี คลื่นลมเลยแรงเอามากๆ เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง (อย่าเชื่อที่ตูน)


ดวงอาทิตย์ค่อยๆตกลงสู่ท้องน้ำอันเกรี้ยวกราด ดิฉันยืนมองอยู่อย่างนั้น


ที่ชายหาดด้านตะวันตกของศรีลังกา

ดิฉันคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา

ศรีลังกาดีกับดิฉันก็มาก ร้ายกับดิฉันก็เยอะ

แต่สิ่งที่ดิฉันคิดว่าชอบที่สุดในประเทศนี้คือ การอยู่ร่วมกันของความแตกต่าง

ผู้คนที่นี่หลายหลาย ทั้งเรื่องของเชื้อชาติ(สิงหล-ทมิฬ) ศาสนา (พุทธ-คริสต์-อิสลาม-ฮินดู)

แต่พวกเขาก็อยู่ร่วมกันได้อย่างดี อาจจะมีขัดแย้งกันบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ก็ใช้ถนนเส้นเดียวกัน กินข้าวร้านอาหารเดียวกัน ซื้อของจากตลาดที่เดียวกัน

ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ จนบางครั้งก็นึกตลกที่ เห็นความแบ่งแยก เพียงแค่เรื่องศาสนา หรือ แค่เรื่องเชื้อชาติ เกิดขึ้นทั่วโลก

ทั้งที่เราอยู่กันอย่างมีความสุขกันได้แบบที่ศรีลังกา แถมมันยักง่ายกว่าการขัดแย้งกันตั้งหลายขุม



นอกจากนี้ ศรีลังกายังให้ฉันได้เรียนรู้มากมาย

ดิฉันได้เห็นพลังแห่งศรัทธาต่อศาสนาที่ Anaradhapura

ดิฉันได้เรียนรู้จากความผิดหวังของชาวประมงที่ Trincomalee

ดิฉันได้สัมผัสกับความกลัวที่แท้จริงภายในหัวใจ ที่ Sigiriya

ดิฉันได้ทำความเข้าใจกับอารมณ์ด้านมืดของตัวเองและให้อภัยแก่ตัวเองและผู้อื่นได้ที่ Kandy

และที่นี่ Negombo ดิฉันมองข้ามคลื่นลมที่โหมกระหน่ำใส่ชายหาด เลยไปในมหาสมุทธอินเดียอันเวิ้งว้าง



ต่อไปคือที่ไหนกันนะ

ที่ไหน ที่โลกใบนี้จะสอนอะไรบางอย่างกับดิฉันอีก



ดิฉันโหยหาที่จะไปต่อ



ไม่รู้จบ

TheGypsy Princess

 วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.21 น.

ความคิดเห็น