เขาหลวง นครศรี


อ้อมกอดแห่งป่าดึกดำบรรพ์ สวรรค์ลึกลับแห่งแดนใต้


หากจะเอ่ยถึงป่าที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของ ประเทศไทยแล้วล่ะก็ คนสายป่าทั้งหลาย คงจะเคยได้ยินชื่อ "เขาหลวง เมืองคร" ผ่านหูมาบ้างแน่นอนทีเดียว ความพิเศษของสถานที่แห่งนี้ นอกจากจะมีภูเขา น้ำตก หรืออะไรต่อมิอะไรที่ป่าควรจะมีแล้ว



ความอุดมสมบูรณ์ของเขาหลวงนั้น เกินระดับ"ธรรมดา" ไปค่อนข้างมาก จะพูดยังไงดีล่ะคะ มันอุดมสมบูรณ์ม๊ากกกก มากจนเฟิร์นดึกดำบรรพ์ ต้นสูงชะลูด เท่าตึกสามชั้น แบบเดียวกับที่คุณเคยเห็นในฉากหนัง จูราสสิค เวิร์ล ที่ตัวทีเรกซ์เอาก้นไปถูเล่นนั้นแหละ

ที่เขาหลวงความอุดมสมบูรณ์หล่อเลี้ยงเฟิร์นดึกดำบรรพ์ชนิดนั้น ให้หลงเหลืออยู่รอดมาตั้งแต่สมัยจูแรสสิค จนถึงทุกวันนี้ เฟิร์นชนิดนี้ไม่ใช่ เฟิร์นธรรมดาที่ขึ้นตามที่ไหนก็ได้นะจ๊ะ "เฟิร์นมหาสดำ" นางเลือกขึ้นเฉพาะป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น!!!! ย้ำว่าเท่านั้น!!! หลายสำนักเลยยกให้ เฟิร์นชนิดนี้ เป็น UNSEEN THAILAND อย่างนึงขประจำจังหวัด นครศรีธรรมราช เลยทีเดียว ที่นักชมธรรมชาติตัวจริงต้องห้ามพลาด ว้าวไหม



เอาล่ะ ถ้ายังไม่ว้าว ไม่อินกับ ความเนิร์ดของวิชาพฤกศาสตร์ ไม่เป็นไรค่ะ

ความว้าวของเขาหลวงนั้นยังไม่หมด ถ้าจะบอกว่า ที่เขาหลวงนี่ มียอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้ล่ะ นักปีน นัก trek ทั้งหลายคงหูผึ่ง คุณจะพิชิตยอดอะไรต่อมิอะไรก็ได้ในเมืองไทย สูงอันดับหนึ่งอันดับสอง สาม สี่ กี่รอบก็ได้ แต่ ถ้าไม่ได้มาพิชิต ยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้ มันคงไม่ครบใช่ไหมคะ ชีวิตนัก trek นักเดินป่าของคุณคงจะขาดอะไรไปสักอย่าง เนอะ



หลายคนอาจจะร้องยี้ ถ้าดูความสูงแค่ 1800 ของเขาหลวง อย่าพึ่งปรามาทซะทีเดียวเชียว (อย่าตัดสินความยากของยอดเขาที่ความสูง) ทีเด็ดของเขาหลวงนั้น ไม่ใช่แค่ความสูงแบบตื้นเขิน ตลอดทางเดินกว่าจะไปถึงกว่าจะไปถึงนั้นคุณภาพมาก ความยากของมัน ระดับ 4-5 กะโหลก

ยากจากอะไรน่ะหรือ อย่างที่บอก ป่าที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์มาก และเมื่ออุดมสมบรณ์ มันก็ไม่น่าจะใช่ที่ สำหรับมนุษย์เมืองอยู่อย่างสบายนัก ความท้าทายนั้นมาจาก ต้นไม้ที่ครบ พืชพันธุ์ที่ครบ สัตว์ป่าที่ครบ อ้อใช่ เราไม่ลืมสัตว์นักล่าที่ครบ สัตว์มีพิษที่ครบ แมลงที่ครบ ทุกอย่างจะเข้ามาท้าทาย การผจญภัยของคุณ ให้มีสีสัน ไม่มีวันลืมเลยทีเดียว



ถามหา ส้วม ห้องอาบน้ำ หรือร้านขายน้ำ แบบภูกระดึงรึ อย่าฝัน การเข้าไปในป่าเขาหลวงได้ ต้องไปใช้ชีวิตกินนอน ในป่าดิบชื้นเท่านั้น นี่ยังไม่นับรวมที่ ป่าเขาหลวงรับลมมรสุมจากทุกทิศทุกทางตลอดปี ฝนเจ้ากรรมจะเทลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แน่นอนว่าได้เปียกชัวร์ ทางเดินก็ลื่นชัวร์ ไม่มีวันไหนที่แห้งสบาย



ฟังดูตื่นเต้นแล้วใช่ไหมคะ หลายๆคนอ่านมาถึงตรงนี้ คงเบะปากแล้วปิดหน้านี้ไป เพราะในชีวิตคงไม่คิดจะไปลำบากแบบนั้นแน่ๆ

แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ดิฉันเองก็เป็นคนเมือง ที่วันๆเอาแต่ไถมือถือขึ้นลงเช่นกัน ไม่คิดจะไปสถานที่อะไรแบบนี้ ดิฉันเลยอยากเล่าให้คุณฟังว่า ดิฉันไปเจออะไรในป่าเขาหลวง ที่เป็นป่าดิบจริงๆ ผืนนี้มาบ้าง แล้วดิฉันได้อะไรจากการเข้าป่าครั้งนี้



5 วัน 4 คืน ที่คนเรื่องมากอย่างดิฉันเข้าไปใช้ชีวิต อยู่ในอ้อมกอดของป่าดึกดำบรรพ์ผืนนี้ ต้องเจออะไร ลำบากแค่ไหน แล้วมันคุ้มไหม ที่คุณจะลองไปเองบ้าง



กระทู้นี้หวังใจให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่รักการท่องเที่ยวแนวป่าที่กำลังตัดสินใจจะไปเขาหลวง หรือแม้กระทั่งคุณที่นั่งหน้าคอมเปิดหน้านี้อ่านคั่นเวลาตอนดูซีรีย์เพลินๆตอนดูฉากคู่พระรองนางรองที่คุณอยากจะกดข้ามๆไป แต่มีเสียงเรียกร้องในใจลึกๆ ว่าสักวันนึงอยากจะออกไปลองทำอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิตตื่นเต้นเร้าใจบ้าง

ถ้าพร้อมแล้ว ไปปีนป่าดิบกับดิฉัน ที่เขาหลวง เมืองนครกันค่ะ



เรื่องโดย The Gypsy Princess

ภาพโดย

1.Oatz Tanapat

2. Naiwinit Mai

3. Rueangchalearn Ariyamahamongkol


----ไปยังไงล่ะคะ------


ทริปนี้เราบินจากกรุงเทพดอนเมือง ไปนครศรีธรรมราชค่ะ ปัจจุบันมีสามสายการบิน บินตรงทุกวันคือ

Thai Lion air , Air Asia ,Nok Air

ตั๋วโทรอย่างถูกที่สุดของ Lion ไปกลับ 1600 ค่ะ และราคาอยู่ในช่วงประมาณ 2200-4000 ประมาณนี่ค่ะ แล้วแต่ช่วง



สำหรับคนที่สะดวกไปรถเอง ให้วิ่ง ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชุมพร แล้วต่อไปที่ทางหลวงหายเลข 41 จนถึงสุราษฏร์ธานีให้เลี้ยวไปใช้ทางหลวงหมายเลข 401 ไปฝั่งทะเลเรื่อยๆสวยๆ จนเข้าเขตเมืองนครศรี ผ่านอำเภอขนอม อำเภอสิชล จนถึงอำเภอท่าศาลา แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหวงหมายเลข 4140 จากนั้นเลี้ยวซ้ายที่แยกบ้านนาเหรง ใช้ทางหลวงหมายเลข 4016 มุ่งสู่อำเภอพรหมคีรี ผ่านบ้านดอนคาและเลี้ยวขวาที่บ้านอ้ายเขียว ประมาณ 3 กิโลเมตร ก็ถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาหลวง น้ำตกอ้ายเขียว(ข้อมูลจาก Kapook.com)


รถทัวร์ จากสถานีขนส่งสายใต้ มีให้เลือกหลายบริษัท เช่น บริษัท ศรีสุเทพทัวร์ 2546 จำกัด โทรศัพท์ 0 2885 7981-2, 0 2894 6166-8, บริษัท นครศรีราชาทัวร์ จำกัด โทรศัพท์ 0 2433 0722 และบริษัท นครศรีร่มเย็นทัวร์ จำกัด โทรศัพท์ 0 2885 9608, 0 2894 6220 (ข้อมูลจาก Kapook.com)



ทางรถไฟ มีรถระหว่างกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ทุกวัน ซึ่งมีขบวนรถด่วนและรถเร็ว สามารถสอบถามได้ที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 0 2220 4444 เว็บไซต์ www.railway.co.th (ข้อมูลจาก Kapook.com)






หลังจากนั้น เนื่องจากเรายังไม่โปรพอ ขนาดที่จะเดินป่าเอง (Hey นี่มันป่าดิบชื้นระดับสี่กะโหลกนะ C'mon)

ถ้าเดินเองมีหวังหลงโดนเสือกิน เดือดร้อนพ่อแม่ต้องตามหา ออกข่าวสามมิติ ให้คุณฐาปนี เอียด ลงพื้นที่แน่

ทางเลือกของเราคือต้องพึ่งพี่ไกด์ท้องถิ่นค่ะ

ซึ่งมีหลายเจ้า ( พี่ไกด์ที่นี่เค้าเป็น community กัน รู้จักกันหมด จ้างเจ้าไหนคุณภาพก็ไม่เกินกันมาก เหมือนคนครอบครัวเดียวกัน )

ใครอยากรู้ เดี๋ยวหลังไมค์มาถามได้จ้า



ราคาของทริปเรา 5 วัน 4 คืน

5500 บาท ต่อคน

เส้นทาง : น้ำตกวังลุง ห้วยน้ำเย็น หินสองเกลอ ยอดฝามี ผาเหยียบเมฆ เนินลมฝน หนานระฟ้า (เค้าว่าเส้นนี้สวยสุดของเขาหลวง)

แต่เดินจริงๆต้องแล้วแต่สภาพอากาศด้วย(วันไปจริงๆไม่ได้ไปผาเหยียบเมฆ และยอด 1800 เพราะพายุเข้าอันตราย)

ราคานี้รวม : รวมทุกอย่างในพื้นที่ ไม่รวมค่าเดินทางจากที่อื่น

รถรับส่งในพื้นที่ อาหารทุกมื้อ อุปกรณ์กองกลาง ฟลายชีต เปล คนนำทาง ลูกหาบ ค่าธรรมเนียมอุทยาน

(พี่เค้าเน้นย้ำ ว่า ทริปนี้ลูกหาบ หาบแต่ของส่วนกลางนะจ๊ะ ของส่วนตัวทั้งหมดแบกเอง)

------การเตรียมตัว



อย่าประมาทนะคะ ว่า เฮ้!!!!!!!!ชั้นเคยเดินเขาโน่นนี่ ในไทยจนพรุนแล้ว ไปตะกายเบสแคมป์สารพัดที่หิมาลัยด้วยรองเท้าแตะ ความสูงแค่นี้น่าจะเบเบ กินหมู ขนมกรุบ

คุณจะได้ตายแน่นอนค่ะ ถ้าคิดแบบนั้นแล้วไม่เตรียมตัวอะไร เพราะนี่เรากำลังพูดถึงป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์จนมนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้ง่ายๆ ทางเดินที่พร้อมจะลื่นกลิ้งขลุกขลุกลงเหวได้ตลอดเวลา สัตว์ป่าที่พร้อมจะขย้ำคุณเป็นสเตกมื้อเย็น รวมทั้งทากดูดเลือดสุดเปรต ที่จะดูดเลือดคุณทุกส่วนที่เปิดออกสู่สิ่งแวดล้อม

ดังนั้นของเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเตรียมไปค่ะ

1.กระเป๋าเดินป่า

จะเป็นกระเป๋า Backpacker เหรือเป้ขนาดใหญ่ ก็ได้ ที่ควรจะมีถุงกันฝน (เพราะเปียกแน่นอน) เป้นี้ดิฉันแนะนำเอาขนาดกลางๆ หรือเล็กสุดพอจะแบกของจำเป็น เสื้อผ้าสำหรับใส่นอนและใส่ห้าวัน กางเกงใน ถุงเท้า รองเท้าแตะ เครื่องอาบน้ำ และกล้องบ้าง เท่าที่จำเป็นต้องใช้ เพราะยิ่งหนัก ยิ่งรู้สึกมันเป็นภาระมากๆ ดิฉันอยากจะตีตัวเองทุกครั้งที่คิดว่า แบกเสื้อผ้ามาทำไมหลายชุด อยากจะเผามันทิ้งซะเดี๋ยวนั้น ยิ่งหนัก ยิ่งไม่มีความสุขค่ะ จำคำนี้ไว้เลย ฉะนั้นเป้ขนาดพอประมาณ จัดกระเป๋าเฉพาะของจำเป็น



2.รองเท้า trek

แนะนำเป็นรองเท้าสตั๊ดดอย หรือผ้าใบค่ะ รองเท้า trek มียี่ห้อก็โอเค ถ้าทุกคนถนัด แต่จากประสบการณ์คนอื่นเล่าให้ฟัง รองเท้า trek แบบปีนหิมาลัย หรือที่อื่นๆในโลก มาที่นี่ ลื่นปรื๊ดดดดดดดดด หัวขะมำ ดิฉันแนะนำคือ ถ้ามีอยู่แล้วก็เอาไปใช้เถอะค่ะ ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีอย่าซื้อ ใหม่แพงๆ ผ้าใบนันยาง หรือสตั๊ดดอยก็น่าจะพอดี ถ้าไม่มีลองถามพีไกด์ก็ได้ค่ะว่ามีให้เราไหม

อ้อ ใครคิดจะบ้า บิ่น ใส่แตะขึ้นไป รับรองแหกแน่นอนค่ะ จากประสบการณ์ตรงที่ลากแตกขึ้นทุกเขาในไทยและหิมาลัยมาแล้วแบบดิฉัน ที่นี่ไม่สามารถค่ะ มันอันตรายมากจริงๆ กับหนามที่เกี่ยว และทางเหวสุดลื่น ลากแตะขึ้นไป ตายค่ะ เตรียมรองเท้าดีกว่า



ถุงกันทาก

ทากดูดเลือดที่นี่ชุม มากๆค่ะ เอะอะเกาะ เอะอะดีดตัวใส่ มันจะเกาะทุกซอกทุกมุม ที่ไม่มีถุงอยู่ ถ้าไม่มี เพื่อนที่ไปด้วยคงยิ้ม เพราะเราจะดูดทากทั้งหมด มาไว้ที่ตัวแทนทุกคนเองเลย ชุมมากๆ เอาจริงๆ ขนาดใส่ถุงกันทาก ยังมีโดนเลยค่ะ คิดดูถ้าไม่ใส่จะ มันส์ขนาดไหน



เสื้อกันฝน

ฝนตกตลอดๆๆๆๆๆๆ มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เอาเตรียมไปก็ดีค่ะ ถึงส่วนใหญ่จะเอาออกมาไม่ทันก็เถอะ แต่มีดีกว่าไม่มีเนอะ


ไฟฉาย

เอาไว้เผื่อไป ถ่ายหนัก ถ่ายเอา ตอนกลางคืนค่ะ



ถุงนอน

อากาศกลางคืนมันอาจหนาวมาก หรือหนาวจากฝน แม้จะอยู่ในเปล(ที่พี่เค้าเตรียมให้) ก็ยังต้องการผ้าห่มมาห่มสักหน่อย ความอบอุ่นเล็กน้อยนี้ อาจจะเปลี่ยนคืนในป่าที่เลวร้าย ให้เป็นคืนที่แสนพิเศษได้



ยาโรคประจำตัว และยาพื้นฐาน

ดิฉันเจออากาศแปรปรวนขนาดนั้น ดิฉันยังรู้สึกเลยว่า ตัวเองอาจจะป่วยได้ ต้องเตรียมยาไปค่ะ อย่างน้อย ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้ท้องเสีย ชุดทำแผล ใครมีโรคประจำตัว หรือกินยาประจำอยู่ ต้องรู้ตัวเองเนอะ เอาไปด้วย หากกำเริบในป่ามา มันจะลำบากเอา



ขวดน้ำ

พี่เค้าจะมีแจกค่ะ ขวดนึง แต่ใครที่รู้ตัวเองว่าดื่มหนัก เหงื่อออกเยอะ ก็เตรียมขวดใหญ่ไปเลยค่ะ การดื่มน้ำที่นี่ จะอาศัยเติมน้ำจากลำธารตลอดทาง พี่พรานจะชี้บอกเรา ว่าจุดไหนสะอาดเติมน้ำได้ ก็เอาขวดไปรองได้เลยค่ะ หากใครกังวลเอาผ้าขาวพกไปกรองก็ได้ น้ำสะอาดทีเดียว ดื่มแล้วไม่มีใครท้องเสีย กลับมาไม่มีใครติดพยาธิ ใครกังวล สามารถซื้อสารฆ่าเชื้อในน้ำได้จากร้านอุปกรณ์เดินป่า



ทิชชู่

แน่นอน ว่า การถ่าย ต้องถ่ายกลางป่า สดๆ ไม่มีอะไรปิดกั้น เราต้องไปหาจุดที่ไม่ซ้ำกับคนอื่น และไกลพอที่กลิ่นจะไม่ทำร้ายเพื่อน หรือเดินเหยียบในวันถัดไป โดยเทคนิคแล้ว ให้เอาทิสชู่ ไปด้วย เพื่อเช็ด เสร็จแล้วควรจะฝังกลบหรือเขี่ยใบไม้มาปิดสักนิด เพื่อกันสัตว์ป่ามากิน ทำลายระบบนิเวศ เคเนอะ


ที่เหลือก็น่าจะโอเค แล้วแต่คนแล้วค่ะ เพราะอย่างที่บอกยิ่งแบกไป ในวันหลังๆอยากจะเผาทิ้งให้หมด





วันที่ 1


".......ให้ตายสิ นี่เพิ่งวันแรกเองเหรอเนี่ย ........"



หลังจากที่พวกเราเดินทางมาถึงสนามบิน พี่ทาร์ซานบอย ไกด์ของเราก็มารับที่สนามบิน ขนเราและสัมพาระลงรถกระบะ เดินทางสู่ตัวอำเภอ พรหมคีรี เพื่อทานอาหารเช้า และ จับจ่ายซื้อของต่างๆ ในตลาดที่จำเป็นต้องใช้



นั่งรถกระบะจะเห็นเงาลิบๆ ของเขาหลวงจากถนนไกลๆค่ะ นั่นแหละที่เราต้องขึ้นไป มองไกลๆ แบบนี้ในใจคงคิดว่าไม่ค่อยน่ายาก แต่จากประสบการณ์ พอเอาจริงๆ จะไต่ขึ้นไปสูงระดับนั้น คงหอบไปหลายขาดใจ ที่ทำให้กลัวได้ในตอนนั้นแม้มองจากระยะไกล คือเมฆฝนที่คลุมเขาอยู่บนนั่นต่างหาก มันเป็นพายุระดับไหนนะ มีฟ้าผ่าไหม ต้องวิ่งหนีรึเปล่า ต้องเก็บสร้อยเงินรึเปล่า แค่มองจากถนนนี่ก็กลัวแล้วค่ะ นี่อาจจะเป็นการเดินป่ากลางพายุครั้งแรกของเรา



นี่คือสภาพของพวกเรา ก่อนเดินขึ้นค่ะ เริ่มกันที่จุดนี้ ภาระกิจแรกของเราคือจัดกระเป๋าใหม่ เพราะต้องบรรจุเอา เปล และฟลายชีท ใส่เป้กันไปด้วย และเอาของที่ไม่จำเป็นออก(เอาจริงๆ ตอนนั้น ก็คิดว่าจำเป็นทั้งนั้น แบบ หมวกนั่นเอาไว้ใส่ตอนแดดร้อนไง ผ้าพันคอสีสวยเผื่อถ่ายรูปบนเขาหลวงชิค ๆ ถุงเท้าสี่สีสี่สไตล์เอาไว้เปลี่ยนทุกวันตามสีมงคล หนังสือสวดมนต์ไง เผื่อเจองูจะได้ท่องคาถาไล่งู เผื่อๆๆๆๆๆ ไปหมด) จากนั้นพี่เขาก็จะแจกถุงพลาสติก สำหรับ ใส่ของทุกอย่างของเรา มัดไม่ให้น้ำฝนเข้า แล้วค่อยใส่เป้อีกที ช่วงเวลาชุลมุลในการจัดกระเป๋า ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง แล้วเราก็เริ่มออกเดิน



เส้นทางของเราเริ่มจากน้ำตกวังลุงจ้า ได้ยินว่าเขาหลวงมีทางขึ้นหลายทาง แล้วแต่ไกด์จะพาเราไปทางไหน เพื่อนๆไปเริ่มทางอื่น ไม่ต้องตกใจจ้า


ทางเดินช่วงแรกๆยังเป็นทางราบ ส่วนใหญ่จะผ่านสวนยาง สวนผลไม้ของชาวบ้านแถวๆนั้น อากาศค่อนข้างร้อน ทากยังไม่มี แต่ยุงมี ค่อยๆไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆค่ะ


ทางสวนราบๆ อย่างนี้ เดินราว ครึ่งชั่วโมงค่ะ ทางแบบนี้หายากนะคะ จะไม่เจออะไรแบบนี้อีกแล้ว ต่อไปมีแต่ขึ้น


จากนั้น ไม้ก็เริ่มทึบขึ้น ต้นไม้ห่างๆ ก็หายไป ไอเย็นๆของป่าค่อยๆกลืนเราเข้าไปหา เหมือนการกวักมือเรียกของครูฝ่ายปกครองดุๆคนนึง ในใจแต่ละคนคงคิดว่า ของจริงมันเริ่มแล้ว และภัยแรกที่เราต้องเผชิญคือ.........


สิ่งมีชีวิตนี้ มันดีดตัวมาจาก ปลายไม้ที่ใกล้ที่สุด มันชอนไชอย่างชำนาญ เพื่อหารสสัมผัสของ เนื้อสดๆ ถึงมันจะเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับไส้เดือนดิน แต่มันช่างแตกต่างจากญาติกินมูลของมันนัก เพราะอาหารของมันคือ เลือด และเลือดของสัตว์ ผิวบาง อย่างนักท่องเที่ยวจากเมืองกรุง ก็ช่างหอมหวาน เหมือนจะเป็น อาหารที่มันรอคอยมานาน เอ้า เริ่มออกล่าได้


ภาพทากดูดเลือดใกล้ๆค่ะ เห็นว่า ถุงกันทากนั้นจำเป็นมาก ทากมันพยายามเจาะเข้าไปในผ้า แต่ฟันมันออกแบบมาเพื่อกัดเนื้อหวานๆของสัตว์เท่านั้น ถุงกันทากนั้นรึ อย่าหวัง หล่อนไม่มีทางได้แอ้ม


ณ จุดนี้ เราเริ่มเห็นความอุดมสมบูรณ์ของป่าบ้างแล้ว มีเฟิร์นหลายชนิด ยึ่งลึกยิ่งพบได้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ เฟิร์นนั้นถือเป็นตัววัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าอย่างหนึ่ง เพราะเฟิร์นจะขึ้นได้ถ้าอากาศและพื้นดินแถวนั้นีความชื้นเพียงพอเท่านั้น ที่นี่ถือว่า เริ่ดทีเดียว (สำหรับพืชพันธุ์ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างดิฉัน นั้นเริ่มเหนียวตัว)


ลำธารน้ำใสสะอาด เสียงน้ำไหล นี่ก็ฟินเหมือนกัน นะจ๊ะ


เกษรของดอกไม้ป่า ที่ตกลงมาในน้ำ ช่างงดงาม


จากนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นทางที่ต้องข้ามน้ำ ตอนนี้จะเริ่มมีการก้ม การกระโดด คนที่ห้อยกระเป๋าหลายใบ หรือกระเป๋ามีถุงผูก หรือ มีอะไรที่ระโยงระยาง จะเริ่มทุกข์กับมันแล้ว เพราะมันจะหน่วงทุกครั้งที่ก้าวกระโดด


มาถึงจุดพัก พี่เขาให้เราพักที่แอ่งน้ำตกแห่งหนึ่ง ที่นี่เริ่มเห็นธรรมชาติเต็มตา แต่แสงแดดก็แรงซะจนแยงตา เช่นกัน


อากาศร้อนๆ และทางเดินที่เริ่มชัน 60 องศาทำให้เราผลาญน้ำไปเร็วมาก ถึงตอนนี้ ไม่สนใจความสะอาดระดับอุตสาหกรรมของน้ำแล้ว เจอที่ไหนใส รองเอาเลย แต่น้ำธรรมชาติก็เย็นชื่นใจเหมือนกันนะ อร่อยด้วย


วิวตรงจุดพัก


เราอยากจะนั่งพักนานๆนะจ๊ะ อยากจะนอนเอนตัวลงไปด้วย กับน้ำตก แต่สิ่งนี้ทำให้เราต้องรีบเดินต่อ มันมาหา แม้กระทั่งบนหินน้ำตกร้อนๆ


จากนั้นเราก็เดินขึ้นไปตามหินน้ำตกร้อนๆค่ะ


แล้วต่อไปก็เริ่มเข้าป่าอีกครั้ง ปีนสูงขึ้นไป ขึ้นไป และขึ้นไป


เอาจริงๆทางลำบากมากเลยค่ะ แถม บางจุดนั้นลื่นมากด้วย


แต่จากหลายๆมุม เราเริ่มเห็นความงดงามของธรรมชาติ น้ำตกต่างๆ มีให้พอระหว่างทางมากมาย ดิฉันจำไม่ได้ว่ามันชื่ออะไรบ้าง แต่มันสวยพอๆกับน้ำตกตามแหล่งท่องเที่ยว ต่างๆในเมืองไทย เพียงแต่ที่นี่ ยังไม่ถูกแตะต้องจากการท่องเที่ยวมากนัก เลยยังมีความบริสุทธิ์อยู่


เริ่มเดินขึ้นมาสูงในระดับที่กล้องสามารถซูม เห็นสันเขาทางไปสู่หินสองเกลอ(ที่เราต้องปีนขึ้นไปบนนั้นวันมะรืน) แสดงว่าเราเริ่มขึ้นมาสูงเหมือนกันนะเนี่ย แฮ่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(ถึงตอนนี้ทุกคนไม่คุยกัน เก็บแรงไว้หายใจเถอะ)



สภาพของแต่ละคน ไม่มีใครพูดอะไรมาก นั่งบนพื้นป่า ทั้งๆที่รู้ว่ามีทาก อารมณ์ตอนนั้น หลังผ่านความชันติดๆกันมาราวชั่วโมงเศษ อยากจะเอาของไร้สาระในกระเป๋าเผาทิ้งให้หมด โกรธตัวเองว่าแบกของอุบาทว์นั่นมาทำไมเยอะแยะ เอาแค่ชุดมาสองชุดแล้วใส่ซ้ำก็พอละ คนที่คิดหนักสุดตรงนี้ คงจะเป็นเหล่าตากล้องทั้งหลาย ที่แบกกล้องตัวเขื่อง ขาตั้งและเลนส์ครบเซต พวกนางบ่นอุบว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเอาแค่กล้องตัวเล็กๆจิ๋วๆมาก็พอ โยนเลนส์เทเลทิ้งตรงนั้นได้ ทำไปแล้ว จะสังเกตได้ว่าช่วงตรงนี้จะไม่ค่อยมีรูปเลย 55555


ถามพี่บอกว่า แล้วไปไหนต่อค่ะ พี่เค้าคิดแปป แล้วก็ชี้ลงไปที่เหวข้างล่าง เราบอกห๊ะ มันไม่มีทางนี่ พี่เค้าก็งัดมีดพร้าออกมา ตอนแรกเราตกใจ คิดว่าเค้าจะเอามาบั่นคอเรา ที่เราถามมากน่ารำคาญ แต่พี่แกเอาไปฟันกิ่งไม้รอบๆ กรุยทางลงเหวนำพวกเราไป ทางใหม่ที่คิดเดี๋ยวนั้น ไม่ใช่พรานทำแบบนี้ไม่ได้ วิถีพรานชัดๆ


และนี่แหละที่พักคืนแรกของเรา เป็นที่รกร้างข้างน้ำตกแห่งนึง ความคิดแรกตอนนั้นคือ ที่แบบนี้เราจะนอนได้จริงๆเหรอ


ถอดถุงกันทากออกมา ก็พากันตกใจ เห้ยเลือด นี่ใส่ถุงกันทากแล้วนะ มันมีทากได้ไง ล้อเล่นน่า มารู้ทีหลังว่าทากมันมีวิชาชอนไช ไปจนเจอรูเล็กๆ ที่มันเข้าไปได้ ตามร่องของถุงกันทาก มันเก่งกว่าที่เราประเมินนัก อีทากกลายพันธ์ อีทากสายบู๊ แต่ละคนโดนไปบ้างไม่มากก็น้อย มีจุดเลือดไหลเป็นทางเพราะทากมีสารป้องกันการแข็งตัวของเลือดให้มันดูดสบาย


จากนั้นพี่เขาก็จัดแจงผูกเปลขึ้นกลางป่าดิบ ฟลายชีทกางขึ้นเป็นหลังคา รู้สึกว่าคืนนี้ต้องนอนแบบนี้รึเนี่ย จริงๆหรือ


เอาจริงๆ ทุกคนหมดแรง อยากจะนอนตั้งแต่ หกโมงเย็นวันนั้น ไม่อยากเดินอีกแล้ว หลังจากไปอาบน้ำลำธาร ก็อยากจะกินข้าว แล้วนอนหลับไปเลย ขานั้นไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ ที่ปวดคือหลัง แบกของไร้สาระเกินความจำเป็นมาทั้งวัน แบกมาทำไมก็ไม่รู้


แต่เหมือนคนเขียนบทข้างบนนั่น เห็นว่าพวกเรายังไม่ทรมานพอ เลยส่งพายุฝนขนาดใหญ่ โหมใส่ที่พักของเราอย่างไม่เกรงใจ น้ำฝนรั่วไหลจากต้นไม้ลงมาตามสายผูกเปล ทุกคนเลยต้องปลดเปลออกจากต้นไม้ เอาทุกอย่างไปกองในที่แห้ง แล้วมาขดรวมกันอยู่ตรงเตนท์กลาง เพื่อรอให้ฝนหยุด ง่ายๆคือ ถ้าไม่หยุดก็ไม่ได้นอน แล้วมันช่างเนิ่นนานเหลือเกิน ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เหนื่อยเหลือเกิน อยากนอนแต่ไม่ได้นอน เราต้องขดตัวรวมกันตามสภาพเท่าที่พื้นที่จะเอื้อได้ ยื่นอะไรออกไปนิดเดียวก็เปียกทันที นี่ยังไม่รวมพวกทากตามพื้น(ที่เรากังวลว่ามันอาจจะดีดเข้าหูเราตอนนอน) แมลง กบ สัตว์เลื้อยคลาน โอ๊ยสารพัด แต่ความเหนื่อยเหมือนจะชนะ เราขดกันนอนอย่างนั้น พยายามจะหลับทั้งที่ไม่สามารถหลับได้เลย แต่ขอแค่โอกาศให้หลับหน่อยเถอะ คิดในใจว่าในตอนนั้นว่า นี่เหลืออีกตั้งสี่วันเลยเหรอนี่ ขอกลับตอนนี้เพื่อนจะด่าไหมนะ ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกคืนไม่ไหวนะ โอ๊ยๆๆๆๆๆ อยากจะบ้า


สรุปการเดินทางเขาหลวงวันแรก 11 กว่าโล ยังไม่นับทางชันสุดโหด ฝนกระหน่ำ และสัตว์ป่า ทากดูดเลือด ณ ตอนดิฉันหลับ ดิฉันฝันว่าเหมือนมีอะไรมากดที่หน้าอก เพื่อนบอกว่าตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วเห็นกบตัวยักษ์กระโดดขึ้นมาทับหน้าอกดิฉัน ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยอง มาก คิดตามตอนนี่ก็ยังสยองอยู่เลยค่ะ คืนแรกเป็นคืนที่โหดจริงๆ ขอบาย



อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่ามันแย่ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อน วันต่อๆไป มันจะมีดีกว่าความลำบาก

เพราะบางทีความลำบากก็เป็นเหตุผลของสิ่งพิเศษ

อ่านวันต่อๆไปข้างล่างเลยจ้า




วันที่ 2


เข้าสู่เขตดึกดำบรรพ์ เฟิร์นยักษ์ มอสและห้วยน้ำเย็น


...."...ฝนเทลงมา เทลงมา ให้น้ำตูฮ่ง น้ำตู่ฮ่ง ตู่ฮ่ง...."


เราเริ่มต้นวันด้วยการ ตื่นมาฉี่ค่ะ เพราะเราบังคับให้ตัวเองนอนเร็ว เลยตื่นขึ้นมากลางดึกราวๆดีสองตีสาม เพื่อนๆ แยกย้ายกันไปนอนเปลแล้ว มีแต่ดิฉันที่ต่อบนนอนพื้นแข็งๆเย็นๆ เพราะพึ่งพบว่า มีคนหยิบฟลายชีทมาเกิน และหยิบเปลมาขาดอันนึง รันทดที่สุด

คือทั้งๆที่ตื่นเต็มที่ นอนเต็มอิ่มแล้ว แต่ทุกคนไม่มีใครรีบตื่นเลย คงจะเหมือนดิฉัน ที่พยายามที่จะนอนให้นานที่สุด ไม่ใช่เพราะเหนื่อยหรืออะไร แต่การนอนเป็นการลัดเวลาให้ผ่านไปเร็วที่สุด นี่อยากนอนแล้วตื่นอีกทีวันกลับเลย ไม่อยากตื่นมาเจอเส้นทางอันโหดร้ายของการเดินป่าอีกสี่วัน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรู้สึก นอนไปทั้งๆที่ตื่น นอนไป นอนไปจนกว่าโลกจะถล่มลงมา



แต่ก็ต้องตื่นมากินค่ะ การกินก็สำคัญ พี่เขาประกอบอาหารง่ายๆให้เรากิน พี่ลูกหาบจะขนข้าวสารและวัตถุดิบมาจากข้างล่าง เพื่อประกอบอาหารให้เรากินทุกมื้อ พี่เค้าว่าช่วยๆกันกินค่ะ พี่เขาจะได้ไม่ต้องแบกเยอะ


กินเสร็จก็ช่วยกันเก็บเปลและฟลายชีท แบ่งกันแบก แล้วเดินต่อขึ้นไปบนทางใหม่ ฝนเมื่อคืนทำให้ทางที่ย่ำแต่ละก้าว เป็นโคลนและลื่นกว่าปกติ เอาน่า มันไม่มีอะไรแย่กว่าเมื่อคืนหรอก


ไต่ขึ้นไป ไต่ขึ้นไป ความชันมีเท่าไหร่ใส่มาให้หมด ที่มันยากไม่ใช่อะไร เพราะมันเป็นเส้นทางใหม่ที่พี่เค้าบุกเบิกให้เราเดิน ไม่มีร่องบันได อาศัยแค่รอยฟัน และร่องเหยียบของเท้าคนหน้า ด้วยน้ำหนักของกระเป๋าข้างหลัง ด้วยความลื่นของโคลนเลน การปีนทางชันแบบนี้ นี่มันหายนะชัดๆ


ลืมเรื่องทากที่มันคอยดีดตัวมาดูดเราไปแล้ว ตอนนั้น ช่างแม่น จะแดด ก็แดด แดดเข้าไป บริจาค ไม่กังวลละ ค่อยไป ดึงออกตอนพัก ลำไย ใครจะมีเวลาไปกรี๊ดกร๊าดว่าถูกทากดูดตลอดเวลา เหมีอนวันแรก ในเมื่อมันจู่โจมมาทุกทิศทางขนาดนั้น ( ใช้คำว่าแม่นและแดด เพราะพันธิปตรวจคำสุภาพ เข้าใจเนอะ ว่าแดดคืออะไร)


เราเริ่มเดินเข้าเขตป่าดึกดำบรรพ์ เฟิร์นเริ่มพบเห็นมากขึ้น เห็ดก็เพิ่มขึ้น มอสก็เพิ่มขึ้น


ความชื้นความเปียก มีพบเจอทุกที่ อากาศหนัก กดตัวอยู่ในปอด กลิ่นของความเขียว เริ่งร่าเต้นระบำฉลองให้กับความชื้นที่มีอย่างรุ่มรวย


และแล้ว ก็พบ UNSEEN Thailand ต้นเฟิร์นมหาสดำ เฟิร์น ยักษ์ที่สูงกว่า 10 เมตร ที่อยู่นอดมาตั้งแต่ยุค จูราสสิค(หมายถึงวิวัตนการให้ลูกหลานสืบเผ่าพันธุ์มาน่ะนะคะ)



ถ่ายรูปนี่เสร็จ ทันใดนั้นฟ้าก็ครึ้มทันที เหมือนฉากในหนังผี GTH เสียงฟ้าร้องครืนทำเอาพวกเราตกใจ แล้วฝนก็เทลงมาเต็มรัก ไม่มีใครหยิบเสื้อกันฝนออกมาหรอกค่ะ เพราะมันเปียกไปแล้วไง ไม่ทัน เหล่าตากล้องเก็บกล้องกันทันที( บางคนไม่ควักออกมาตั้งแต่เริ่มเดินแล้ว) รูปที่ได้วันนี้เลยไม่มาก

แต่เราจะต้องหยุดรอให้ฝนหยุดไหม ไม่ค่ะ มันไม่มีทางหยุดเร็วๆนี้แน่ ทางเลือกของเราคือ ต้องเดินต่อไป ให้พ้นเขตฝนเอง ภาพตอนนั้น ทุกคนทำหน้าเหมือน กำลังแสดง MV คุกเข่าของ วง COCKTAIL เปียกได้ แต่อย่าหยุดเท่ห์ เสยผมขึ้นเท่ห์ๆแล้วเดินต่อไป

ที่พักกินข้าวเที่ยงของเราค่ะ เป็นข้าวกับปลากระป๋องง่าย ท่ามกลางธรรมชาติ สังเกตว่าทุกคนเปียกโชก เพราะพึ่งผ่านพายุฝนมา


แดดซะ อ้วนเชียวนะยะ ยอมรับว่าภาพนี้เห็นแล้วสยองมาก แต่การเดินป่าเขาหลวงนั้นเราหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ แค่ป้องกันตัวเองให้มากก็พอ ความรู้นิดนึง นั่นก็คือ ทากเนี่ยมันเกลียดสารเคมีแทบทุกชนิดค่ะ ถ้าเราไม่อยากดึงมัน ก็เอาสเปรย์กันยุง ฉีดมันก็ได้ค่ะ ให้มันหลุด ใครใจกล้าหน่อยก็จับมันแน่นๆแล้วดึง ไม่ต้องกลัวมันขาดค่ะ มันเหนียวอยู่ มันจะดึงยากนิดนึง เพราะมันไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แต่อย่าฆ่ามันเลยนะคะ โยนไปไกลๆก็พอ


เราเดินลงไปอีกรอบ เสียงครืนๆก็ตามมาอีก แต่คราวนี้ไม่ยักมีฝน แต่มีหมอกหนาบึ้มและลมแรงๆแทน ประหนึ่งว่าเหมือนเราเดินอยู่ในเมฆ เอรีเราอยู่ในระดับเมฆแล้ว


วันนี่เราถึงที่กางเตนท์เร็วเว่อร์ บ่ายๆกว่าๆก็ถึงแล้ว แต่ด้วยลมหนาวๆข้างนอก เราพากันมาขดตัวกันอยู่ในเตนท์กลาง แล้ว หากิจกรรมทางคณิตศาสตร์ทำกันฆ่าเวลาค่ะ


ที่เด็ดคือ จุดตั้งแคมป์เราใกล้กับ ธารน้ำไหลใสสะอาด บริเวณนี้เรียกว่า "ห้วยน้ำเย็น" มีมอสปลกคลุมสวยมากๆ เหมือนป่าในอุดมคติ ให้อารมณ์เหมือนในหนัง ที่ฉากต่อไปต้องพบสัตว์วิเศษ อย่างยูนิคอร์น เราต่างๆพากันเดินสำรวจกันเองอยู่นานสองนาน


และพวกเราก็ชำระล้างตัว ท่ามกลางลำธาร ห้วยน้ำเย็น อย่างสนุกสนาน ซึ่งเป็นต้นน้ำสำหรับรองเอาไปทำมื้อเย็นให้เรานั่นเอง


ด้วยคืนที่เหน็บหนาว น้องๆที่มาร่วมทริปจึงจุดกองไฟขึ้นข้างๆเตนท์ มันจุดยากมากเพราะอากาศชื้นแต่ น้องๆก็ทำสำเร็จ เสียงปะทุของไฟ ไล่ความเหน็บหนาวและความเหนื่อยอ่อนออกจากกายเราเป็นปลิดทิ้ง คิดว่า นี่ก็มาค่อยทางแล้ว วันต่อไปจะแค่ไหนกันเชียว คริคริ


สรุปการเดินทางเบาๆของวันนี้ ถ้าไม่นับฝนที่เทกระหน่ำมาระหว่างทาง ถือว่าโอเคทีเดียว ป่าดึกดำบรรพ์สวยมาก มีความมอส มีความเฟิร์น เริ่ดทีเดียว




วันที่ 3


หินสองเกลอ ยอดฝามี เนินลมฝน


...."...กุร มา ทำ อะ ไร ที่ นี่ ฟ้า!!!!!!!!!!!!!! ...."



เริ่มต้นเช้าที่สดใส ทุกคนอยู่ครบ ไม่โดนเสือกินตอนกลางคืน ตื่นมาทำธุระตอนเช้า มีเวลาเหลือให้เปิดวงคิดเลขด้วย เพราะพี่เค้าว่าเราเดินเร็ว ออกสายๆก็ได้ พลังใจเต็มเปี่ยม พลังกายเกินร้อย กินอาหารเช้า แล้วเริ่มออกเดินทาง พี่เค้าบอกว่าวันนี้ยากสุด ในใจก็คิดนะ ว่าจะยากแค่ไหนกันเชียว เบเบ มาเล้ย พร้อมลุย ถ้าไม่ใช่เสือก็น่าจะรับมือไหว ป่ะ ลองไปดูกัน

ช่วงแรกของการเดินทาง เราต้องไต่ขึ้นไปในลำธารที่เล่นเมื่อวาน มอสที่หิน ไม่ค่อยเกร๋สักเท่าไร ถ้าเดินเหยียบตอนมีเป้สิบกิโลอยู่บนหลัง มันลื่นมาก พลาดนี่อาจจะฟันหักได้


เดินไปเรื่อยๆสักพักเราก็หลุบเข้าไปในดงไม้ เป็นภาพที่น่ากลัวทีเดียว


การปีนวันนี้บอกเลยว่าคือที่สุด เพราะวันนี้เราต้องเดินทางเพื่อไปยอดต่างๆ และการไปยอด แน่นอนว่าไม่มีทางราบแบบเดินในสวนคุณยาย แน่ๆ ความชันระดับ 70 80 องศา โอ๊ยขอถอนคำพูดเมื่อเช้า ว่าวันนี้เบเบ


ตลอดทางเรายังอยู่ในเขตป่าดึกดำบรรพ์ มีต้นไม้ล้มที่มีมอสเกาะให้เห็นกันมากมาย พอเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆความชื้นก็ลดลง เฟิร์นก็น้อยลงเช่นกัน


เดินๆไปจะพบรอบเท้าสัตว์ มากมาย เหมือนกระหนึ่งว่า รอบๆตัวเรากำลังมีสายตาของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งมองเราอยู่ ดีใจที่เราเจอรอยเท้าสัตว์กีบ ไม่ใช่สัตว์นักล่า เบาใจว่าจะไม่กลายเป็นอาหารเย็นมันแน่นอน


มีอึด้วย เริ่ดค่ะ เอาจริงๆ ตลอดทาง เราจะเจอเหมือนเป็นทางเดินหลายทาง ทั้งเล็กทั้งใหญ่ เราบางคนเผลอไปเดินทางนั้นซึ่งมันนำเราไปทางพุ่มไม้รกๆ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นทางเดินของสัตว์ป่าค่ะ ทางหลายทางเราเดินใช้ทางร่วมกันกับมัน ทำให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับป่ามีมากขึ้น


เมื่อขึ้นไปข้างบน พุ่มไม้จะเปลี่ยนเป็นไม้เตี้ยๆ ซึ่งมันรุงรังชีวิตมาก เพราะเราต้องก้ม ก้มจนเป็นสายย่อ ย่อจนเป็นสายคลาน โอ๊ยทรมานมากๆ อย่าลืมว่าเราแบกกระเป๋าใบเขื่องที่ทำให้ต้องก้มมากกว่าเดิมให้มันพ้น หลายครั้งที่กระเป๋าโดนกระชากไปด้านหลัง การก้มนี่ไม่สนุกเลย นี่แหละ ความทรมานจริงๆเริ่มขึ้นแล้ว


และแล้วก็ถึงบริเวณ หินสองเกลอ จุดชมวิวจุดนึง ของเขาหลวง เราจะเห็นทิวทัศน์กว้างขวาง แต่ขัดใจอย่างนึง พี่ไกด์และลูกหาบคะ พี่ไปนั่งบนจุดที่สวยสุดที่จะถ่ายรูป แล้วพี่จะให้พวกหนูถ่ายอะไร นี่นั่งนานด้วย เพลียแป๊ป


เหมือนว่าใครสักคนในทริปคงมีส่วนร่วมกับการทำแท้งเถื่อน เจ้ากรรมนายเวรเลยตามติด ความพยายามมีแต่กรรมบัง พอจะยกกล้องขึ้นมาปุ๊ป หมอกเทลงมาปิดหมด นี่คือปีนลากสังขารขึ้นมาดูอะไร ดูกระดาษA4ที่บ้านก็ได้มะ ขาวเหมือนกัน


วิวประมาณนี้ค่ะ


ประมาณนี้ อีกฝั่งปีนขึ้นไปถ่ายไม่ได้ พี่ลูกหาบนั่งอยู้ อุปส์!!!


แล้วเราก็เพลิดเพลินกับมื้อเที่ยง เคล้าไอหมอก บนหินสองเกลอ



หนทางเดินต่อไปคือการไต่เหว กลางสายหมอก พลาดแค่ก้าวเดียว ได้ไปเป็นปุ๋ยให้เฟิร์นดึกดำบรรพ์ข้างล่างแน่ๆๆ


บอกได้คำเดียวว่าจุดนี้เสียวสุดในชีวิต เสียวจนเซนโซดายซ์ก็ช่วยไม่ได้ เสียวจนไม่มีอะไรกับแฟนก็ได้สามปี



เอาจริงๆต่อจากนี้ เรา ขึ้นไปที่ยอดฝามี กันค่ะ แต่กล้อง สามกล้องไม่มีใครถ่ายอะไรเลย เพราะ อะไรน่ะรึ ทางมันชันมากๆ และ ต้องผจญกับต้นไม้สายย่อ (อันต้นไม้ต้นเตี้ยๆเมื่อกี้ ที่มีตลอดทาง) ย่อกันตลอดทาง ย่อน้อยไป ต้นไม้ก็จะเกี่ยวกระเป๋าเรา ดึงรั้งจนหน้าหงายไปข้างหลัง เหตุการณ์หน้าหงายนั้น มันไม่ได้เป็นแค่ครั้งเดียว เจอตลอดทาง โอ้ มันไม่สนุกเท่าไร ที่เหมือนจะมีคนดึงหัวไปข้างหลังตลอดเวลา ไม่มีอารมณ์ทำอะไรนอกจากคลานก้มผ่านมันไปให้เร็วที่สุด

และที่ยอดนั่น หมอกวิบัติ ก็บังเราซะไม่เห็นอะไรเลย เกร๋มะ ปีดขึ้นไปเพื่อลงเฉยๆ และ ทางลงต่อไปนี้แหละ คือที่สุดของทริป



ทางลงในช่วงนี้ ขอเรียกมันว่า "อุโมงค์ฮอบบิท" ที่คนตัวเล็กๆยังต้องร้องโอ๊ยยยยยยดังๆให้กับความกเลวกลาศของมัน ที่เราต้องทำคือต้องมุดตัวลงช่องเล็กๆนั่น แล้วไถลไสลด์ตูดลงไป จนตูดพัง อย่าคิดว่าจะยืนทรงตัวในช่องเล็กๆนั่นได้ พื้นมันลื่นมาก ความชันก็ระดับ 80 ขืนยืน ตกเหวตายแน่ๆ น้องที่มาในทริปทำเปลนอนหลุดมือในช่องนี้ แล้วเห็นภาพมันกลิ้งลงเหวลงไป เป็นภาพที่น่ากลัวติดตา


ค่อยๆไป ค่อยๆไป


ลื่นปรื๊ดดดดดดดดดดดดด ตูดระบม



ถ้าก้นรอดจากโพรงฮอบบิทได้ เราจะออกมาเจอกับสิ้งนี้ โอ้ นี่แหละธรรมชาติ มันคุ่มค่ากับการใช้งานก้นไม่ได้ไหม คุ้มนะ เราว่า


ยืนจากจุดนี้ เราจะมองเห็นยอดฝามีอย่างชัดเจนรวมทั้งโพรงฮอบบิทเล็กๆที่เราลื่นตัวลงมาบนแนวสันเขาด้วย(เส้นเล็กๆในหมู่ไม้นั่นน่ะ)


พวกเราพักสักครู่ ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติ



จากนั้นเราก็ไต่ลงเขาไปสู่ที่พักที่อยู่ ที่ตีนเขา ใกล้กับแหล่งน้ำ ตีนของที่พักอยู่ใต้ทางขึ้นของ เนินลมฝน ที่เป็นเนินเขาหัวโล้น ที่เห็นจะวิวพาโนรามาของเขาหลวงกว้างๆ ซึ่งวันนี้ ลมแรงและหมอกลงจัดมาก จนทำให้มองอะไรไม่เห็น เดี๋ยวตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ เราจะขึ้นไปอีกรอบ

ภาพตอนเดินลงจากเนินลมฝนอย่างหมดหวัง ก็ดูหมอกสิ เฮ้อ ขึ้นไปจะเห็นอะไร วันนี้วันแห่งหมอก


สรุปวันที่สาม วันแห่งการขึ้นสุดลงสุด การลงโพรงฮอบบิทโดยใช้ตูดไถลคือที่สุดของทริป มาเขาหลวงต้องมาจัดตรงนี้ เพราะวิวที่ลงมาเห็นยอดฝามีนั้นสุดยอดมากกกกกพูดเลย




วันที่ 4


เนินลมฝน น้ำตกหนานระฟ้า และดวงดารายามค่ำคืน


...."...เวลาดูดาว เรามักจะคุยกันสองเรื่อง หนึ่งคือถามชื่อดาว และสองเรื่องยากๆในชีวิต...."



Mornin จากยอดของเนินลมฝนค่ะ ที่ยอดเินลมฝนนี้เราจะมองไปได้ไกล ในวันฟ้าใสๆ จะมองเห็นทะเล และเห็นไปถึงแหลมตะลุมพุก สถานที่เกิดโศกนาฐกรรม พายุใต้ฝุ่นถล่ม เมื่อหลายสิบปีก่อน ถ้าตื่นเช้าจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ฝั่งทะเลอ่าวไทยสวยงามค่ะ


ภาพแบบพาโนจากฝั่งทะเลอ่าวไทย ค่ะ สวยไม่เบา


มองจากตรงนี้จะเห็นยอดเขาเตี้ยๆ หรืออาจจะเรียกว่าเนินเขา ที่มีป่าสีเขียวปกคลุมอยู่แน่น ดิฉันเคยไปเห็นเนินเขาลักษณะนี้ในบางจังหวัด ที่เปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดไปแล้ว แล้วจังหวัดนั้นก็มีข่าวปัญหาเรื่องภัยแล้งทุกปี แต่ที่นี่ป่ายังเป็นป่า สัตว์ป่ายังคงวิ่งอยู่ ต้นน้ำลำธารต่างๆก็ยังอุดมสมบูรณื บางทีการทีมนุษย์อยู่ยากในที่เหล่านี้ ก็ถือว่าเป็นการดีที่ธรรมชาติจะไม่โดนแตะต้อง


ซูมดูป่าใกล้ๆค่ะ ต้นไม้แน่นเชียว


ส่วนอีกด้านจะเห็นยอดฝามี แฮะๆๆๆ สรุปวิวโดยรวมบนเนินลมฝนคือ ด้านตะวันตกเป็นภูเขา ด้านตะวันออกเป็นทะเล แหมตรงตามหลักฮวงจุ้ยเป๊ะ


แล้วเราก็ลงเดินจากยอดลมฝน วันนี้เราจะเริ่มเดินทางออกจากเขาหลวงแล้ว แต่เป็นอีกทาง นึง พวกเราจัดแจงไปเก็บของกินข้าวเช้า และเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง



ทางส่วนใหญ่วันนี้เป็นทางลงค่ะ แม้ไม่โหดอย่างโพรงฮอบบิทเมื่อวาน แต่ก็เล่นเอาเจ็บเข่าเหมือนกัน ทางช่วงแรกๆยังเต็มไปด้วยต้นไม้สายย่ออยู่ เดินป่านานๆ จะรู้ว่า เราจะเกลียดกริยา การย่อ ที่สุด ไม่เชื่อลองดู


มีเรื่องน่าตื่นเต้นของวันนี้ค่ะ เราเจออุ้งเท้าสัตว์ขนาดใหญ่ ย้ำว่าขนาดใหญ่มาก มีตุ่มที่ปลายเท้า มีห้านิ้ว มีรอยเล็บ จากการดูคล้ายสัตว์ตระกูลแมว ดูจากรอยนั้น มันวิ่งเร็วด้วย ได้ยินดังนั้น ก็เสียวสันหลังวาบ วาบ มองซ้ายมองหวา รีบเดินสิคะ ไปจากที่นี่ก่อนจะกลายเป็นมื้อเช้าราคาถูก ดิฉันค่อนข้างอร่อยกว่าเพื่อนซะด้วย ถ้ามันมามีหวังตายก่อน



ทางเดินวันนี้พอลงมาแล้ว ก็จะเป็นทางเดินลงตามธารน้ำค่ะ พื้นค่อนข้างลื่น ดีที่วันนี้ฝนไม่เท่าไหร่ เพราะแค่นี้ก็ลื่นมากแล้ว เดี่ยวขอลงรูปการเดินลงรัวๆเลยนะคะ เพื่อให้ทราบ บรรยากาศ

นี่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์อย่างนึงของป่าเขาหลวง ต้นไม้ยืนต้นส่วนใหญ่ มีขนาดหลายคนโอบ


ดอกไม้ป่าก็มีมากมาย


อีตัวนี้ก็มีมากมายเช่นกัน (ยิ่งลงมาต่ำๆยิ่งเจอเยอะ)


จุดไฮไลท์หนึ่งของการมาเขาหลวง ที่ต้องห้ามพลาดนั่นก็คือ น้ำตกหนานระฟ้า น้ำตกขนาใหญ่ สูงระฟัา ไล้เป็นสายขาวๆยาวๆลงมาบนหิน สู่ธารน้ำเบื้องล่าง น้ำตกนี้สามารถลงไปเล่นได้ค่ะ แต่จะมีจุดลึกเขียวๆอยู่ตรงใต้น้ำตกก็อย่าไปจุดนั้น มีปลาน้อยปลาใหญ่ คอยตอดเรา เป็นสปาปลา เพลินไปอีกแบบ


พวกเราเพลิดเพลินกับหนานระฟ้ากันยกใหญ่ ไม่แคร์ว่าเสือตัวที่พบรอยเมื่อกี้จะตามมากินเราทันไหม ขอเวลาเล่นน้ำที่นี่ก่อนสักพักละกัน


เมื่อเจอแหล่งน้ำขนาดใหญ่ สิ่งที่พวกเราทำฆ่าเวลา นั่นก็คือ เอาเสื้อผ้าที่หมก ฝน หมกเหงื่อจากหลายๆวันก่อน ออกมาซักและตากแดด ที่บริเวณหนานระฟ้านี้ เหมาะแก่การตาก และนอนแก้ผ้าอาบแดดเป็นอย่างมาก พวกเรารู้สึกหย่อนใจ ราวประหนึ่งนอนเล่นอยู่ชายหาดสีขาวละมุนริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เสียงน้ำตกเย็นๆและไอแดดร้อนๆ มันช่างเข้ากันอย่างน่าประหลาด



พวกเราเดินเลียบแม่น้ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงจุดตั้งแคมป์สุดท้ายของพวกเรา อยู่ริมน้ำ บนก้อนหินที่เป็นน้ำตกแห่งนึง คืนนี้พี่เค้ากางฟลายชีท ให้แค่หลังเดียวเท่านั้น ไม่ขึงเปลให้ เพราะที่นอนคืนนี้ เราจะนอนแบบ open air ให้ดินเป็นที่นอน และให้ท้องฟ้าเป็นผ้าห่ม ฟังดูโรแมนติกซ้า



นี่คือสถานที่จุดตั้งแคมป์คืนสุดท้ายของทริปเขาหลวง เรานอนข้างๆน้ำตกกันเลยทีเดียว(ข้างๆนั่นเหวชิมิ)


พวกเราเพลิดเพลินกับวิวน้ำตก และแก้ผ้าแก้ผ่อนลงเล่นน้ำกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่แคร์แล้วทาก เทิกอะไร



อาหารเย็นมื้อสุดท้ายของพวกเราค่ะ วัตถุดิบทั้งหมด เอามาลงใส่มื้อนี้ให้หมด กินให้หมด พี่เค้าไม่แบกลงไปแน่นอน


นี่คือที่นอนคืนนี้ค่ะ โรแมนติคมากๆ เราถุงนอนออกมานอนกันบนหินริมน้ำตกเลย เสียวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือถ้ามีน้ำป่าไหลหลากพัดเอาพวกเราไปรวดเดียวทั้งหมด สองคือถ้ามีพวกเราสักคนนอนดิ้นไม่รู้เรื่องแล้วกลิ้งหลุนๆ ตกหน้าผาไปพร้อมน้ำตก จะทำยังไงกัน แต่พวกเราก็เลือกนอนตรงนั้นอยู่ดี มันได้ฟีลลิ่ง


ไม่มีคืนไหนเห็นดาวได้ชัด เท่าคืนสุดท้ายนี้ การนอนบนหินแข็งๆว่างเปล่าไม่มีอะไรปกคลุมเรา ทำให้เราได้มองดาวทั้งคืน เราไม่มีโอกาศได้นอนดูดาวกับเพื่อน อย่างนี้ที่ไหนแน่ๆ ถ้าไม่ได้มาที่นี่ เค้าว่ากันว่า เวลาคนเราดูดาว เราจะคุยกันสองเรื่อง เรื่องแรกคือทายชื่อดาว มองดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนฝากฟ้า แล้วโยงเส้นนั้นเส้นนี้ พยายามทายว่าตรงนั้นหมู่ดาวอะไร และเรื่องที่สองคือ เริ่มเอาเรื่องยากๆมาคุยกัน ปัญหาชีวิต แผนชีวิตในอนาคต สัจธรรม ศาสนา การเมือง มุมมองต่อโลกใบนี้ เรื่องเหล่านี้ไม่มีทางได้คุยกันในชีวิตประจำวันแน่ๆ แม้กระทั่งเพื่อนสนิทก็เถอะ นี่แหละเสน่ห์ของการนอนดูดาวกับเพื่อน เสน่ห์ของมิตรภาพ




วันที่ 5


น้ำตกอ้ายเขียว


...."...เรารอดแล้ว...."



วันสุดท้ายสิ้นสุดชีวิตปลาทู พวกเรารอดจากน้ำป่าไหลหลากและการละเมอกลิ้งตกเหวไปได้ รู้สึกโกรธดวงอาทิตย์ที่แยงตาแต่เช้า เพราะเมื่อคืนดูดาว ล่าช้างกันจนดึกดื่น ประเด็นที่เราคุยกันอย่างแรกในเช้าวันนี้คือ ลงไปจะซื้ออะไรแดดที่ 7-11



จากนั้นก็เริ่มเดินลง ช่วงแรกๆ เดินตามน้ำตกไป คิดในใจว่า ไกลแค่ไหน การเดินครั้งนี้ก็สุดท้ายแล้ว 7-11 รออยู่


ทางส่วนใหญ่เป็นทางลง ยิ่งลง ยิ่งร้อน ยุงก็เริ่มเยอะ แต่ทากยังมีอยู่(ยังไม่หมดเวรกรรมกับมัน แต่ใครสน จะดูดก็ดูดไป ชิ)


เริ่มผ่านจุดที่เป็นสวนชาวบ้าน อากาศร้อนมากจนเหงื่อแตกหนัก ผลั่กๆ แต่ข่าวร้ายกว่านั้นคือ น้ำจากจุดนี้เดิมลงขวดไม่ได้แล้ว เอาล่ะสิ เพิ่งกระดกหมดขวด ศัตรูตัวสุดท้ายของการเดินป่าเขาหลวง นั่นก็คือ "ความกระหาย"


มีช่วงที่ต้องกระโดดข้ามน้ำตก น่าหวาดเสียวทีเดียว


น้ำตกที่ว่า คือน้ำตกอ้ายเขียว ตรงนี้จะอยู่ติดกับเขตอุทยาน ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถนั่งรถมาเที่ยวน้ำตกนี้ได้ นี่เป็นสถานที่ปอปปูล่าห์แห่งนึงเลย และแน่นอนว่า เราเริ่มสัมผัสกลิ่นอายมนุษย์ได้มากขึ้น มากขึ้น


และสุดท้าย เราก็เข้าเขตอุทยาน เราแน่ใจ เพราะเริ่มเห็นความเป็นมนุษย์ได้จากทางเดิน ปูน และตอไม้ปลอม


และนี่คือสภาพหลังจากที่เราถึงจุดหมาย ผ่านเวลาสามวัน สังเกตุได้ว่า ภาพวันสุดท้ายนี้ แตกต่างจากวันแรก คือสัมพาระที่เราไม่อยากจะแบกมันอีกต่อไปแล้ว
ห้าวันที่ผ่านมา พวกเราผ่านประสบการณ์ ป่าดิบชื้นความยากระดับต้นๆของไทยมาได้อย่างปลอดภัย ของขอขอบคุณพี่ทาร์ซานบอยและทีมงาน ถามว่าเราทำอะไรเป็นอย่างแรกน่ะรึ วิ่งไปซื้อโค้กขวดเย็นๆ อย่างที่สองคือ กระดกมันให้หมดภายในสิบวิ เกร๋ซะ



สรุป



0. อากาศดีมากเลยค่ะ เอาจริงๆก็รู้สึกตกใจตัวเองเหมือนกันว่า เราเคยหายใจได้เต็มปอดแบบนี้ นานเท่าไหร่แล้ว

1. การเดินป่าเขาหลวงนั้น สิ่งที่ได้แน่ๆ นั้น คือการได้สัมผัสธรรมชาติที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย

2. คุณจะได้เจอ เฟิร์นมหาสดำ เห็ดต่างๆ กล้วยไม้ต่างๆ

3. ได้เรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดในป่าเบื้องต้น

4. ได้มาเสพความลำบากที่เกินทน มันจะหลอมคุณให้ทนทาน

5. สไลด์ตูด ที่โพรงฮอบบิท มันเป็นสิ่งที่ชีวิตนึงควรจะมาทำ

6. มาดูรอยเท้าสัตว์ คุณอาจจะได้เจอกับสัตว์นักล่าก็ได้ ฮุ้ยยยย ตื่นเต้น

7. การได้ลองการดื่มน้ำจากลำธารนี่สุดๆ

8. ไม่มีทากดูดเลือดที่ไหนชุมเท่าที่นี่อีกแล้ว

9 . ถึงแม้จะสูงอันดับเจ็ดของไทย แต่ ความโหดมันระดับท็อป ถ้าคุณไม่มาเขาหลวง ชีวิตการเดินป่าคุณถือว่ายังไม่ครบ นี่พูดเลย

10. 5 วัน อาจจะน้อยไปที่จะทำให้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ มันทำให้คุณรับพลังจากป่าได้แน่นอน คุณจะรู้ว่าป่านั้นช่างยิ่งใหญ่ มันคือจุดเริ่มต้นของทุกชีวิต จุดเริ่มต้นของโลกใบนี้ แต่มันเปราะบางเหลือเกิน เราทำลายมันได้ง่ายเหลือเกิน แต่เราอยากจะทำลายมันจริงๆหรือ หรือเราทำลายมันไปแล้วโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยที่สุดกลับออกมาจากเขาหลวง เราก็จะรักป่ามากขึ้น


สำหรับใคร มีข้อสงสัย หรืออยากเข้าไปพูดคุย สามารถไปพูดคุยได้ที่

https://www.facebook.com/armmiethegypsyprincess/

TheGypsy Princess

 วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 03.47 น.

ความคิดเห็น