บันทึกการเดินทางแรกกับ README.ME ดึงทริปเดินทางที่ประทับใจมาก่อน


"เบตง" เมืองใต้สุดของประเทศไทย ทริปนี้ 22-24 กันยายน 2559

- ทำไมเราอยากไป

- ทำไม 3 ปีต่อเนื่องที่จองตั๋วแล้วไม่ได้ไปถึงยังไม่ท้อ

- ทำไมไม่เชื่อใครหลายคนที่เตือนว่าอย่าไป อันตราย

- ทำไมเราถึงหลงรัก "เบตง"

22 กันยายน 2559

ทริปนี้จองกันข้ามปีอีกตามเคย เราใช้บริการหางแดงออกจากดอนเมือง 6:40 แต่ก็ดีเลย์เพราะเที่ยวบินเช้าออกเยอะมาก และแถมไม่มีสายการบินไหนได้ใช้งวงช้างเลย พอได้นั่งก็เริ่มซน

พออยู่ข้างบนแล้วก็ใช้กล้อง action camera ถ่าย

ถึงสนามบินหาดใหญ่ปุ๊บวินรถตู้วีระกรก็โทรมาปั๊บ เขาแจ้งว่า "นายหัวมารอรับนานแล้ว" เห้ยเอานายหัวมารับเลย ทางวินแจ้งว่าค่ารับที่สนามบิน 200 บาท ค่ารถไปเบตง 230 บาท

เรามาถึงสถานีขนส่งหาดใหญ่ 8:50 ถึงเวลาเดินสำรวจรอบๆ เพราะเที่ยวแรก 10:00

เดินวนครบก็แวะหาข้าวแกงกิน เพราะราคากระเพราไก่สูตรหม่อมน้อยของหางแดงขึ้นราคาจนเท่าราคาตั๋วไป-กลับหาดใหญ่ของเรา แถมยังไม่มีไข่เจียวด้วย มื้อเช้าพร้อมกาแฟเย็นเราจ่ายไป 70 บาท

ห้องน้ำที่สถานีขนส่งมี 2 ฝั่ง หันหน้าออกซ้ายมือฟรี ด้านขวาเสียเงิน ถึงเวลารถออกตรงเวลา เราก็นั่งหน้ากับนายหัวนี่แหละ แกก็อธิบายทางไปเรื่อยๆ แกบอกไม่ได้น่ากลัว ถนนเส้นหลักปลอดภัย พอเข้ายะลาจะมีด่านทุก 3 กิโลเมตร

พอมาถึงเขตจังหวัดยะลาเลยรู้ว่าเป็นด่านชะลอรถ มีทุก 3 กิโลเมตรจริงๆ นั่งหน้าเราก็มีโอกาสถ่ายรูปแต่ก็เอียงทุกรูป

แค่วิวข้างทางก็คุ้มแล้วนะ เขียวเลย

พอเข้าเขตเบตงนายหัวเลือกเส้นทางไปสายบน ทางโค้งเยอะแต่ระยะสั้นกว่า พอหยุดจากโค้งเข้าเขตเมืองก็ได้วิวแบบนี้

นายหัวถามจะให้ไปส่งที่ไหน เราก็บอกลงที่วินเลยครับผมไม่ได้จองโรงแรม แกใจดีพาเราทัวร์รอบเมืองเบตงแล้วค่อยมาส่งเรา แนะนำให้เราพัก Modern Thai Hotel ราคาคืนละ 690 บาท ได้ชั้น 6 แต่ลิฟท์ถึงแค่ชั้น 5 เดินต่อเองอีกนิดเดียว แวะถ่ายวิวตรงบันไดระหว่างชั้น 5-6

เราพัก 604 เตียงเดี่ยว หน้าตาห้องเป็นแบบนี้


วิวห้องที่เราพักเป็นแบบนี้ เปิดหน้าต่างได้ แต่ออกไปไม่ได้


ถึงเวลาเดินซนทัวร์เมืองเบตงแล้ว เริ่มจากหอนาฬิกาเบตง

ใกล้ๆ กันจะเป็นตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 3.20 เมตร อายุร่วม 80 ปี ใช้เป็นที่กระจายข่าวสารบ้านเมืองให้คนเบตงได้ฟังจากวิทยุที่ฝังอยู่ส่วนบนของตู้

เดินมาทางอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เป็นอุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย เบตงเมืองดีมาก ดีต่อใจมากๆ เดินเสพเมืองในหุบเขาไปเรื่อยๆ ไม่ถึงชั่วโมงก็หลงรักซะแล้ว

เดินทะลุอุโมงค์มาจะเจอป้ายใต้สุดแดนสยาม

ด้านซ้ายมือจะเป็นไก่เบตง เป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง

เดินตีโค้งขึ้นเขาที่ลอดมา ขึ้นมากันต่อจะเป็นสวนสุดสยาม

ใกล้ๆ กันจะเป็นศูนย์กีฬากลางหุบเขา เป็นสนามกีฬาที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงที่สุดในประเทศไทย รองรับการแข่งกีฬาระดับประเทศได้

เดินไปทางฝั่งเมืองจะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เมืองเบตง

เดินวนไปเรื่อยๆ จนมาถึงวัดกวนอิม เอกลักษณ์คือเจดีย์เจ็ดชั้น

เดินลงเนินเดินตามถนนไปกราบพระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หน้าตักกว้าง 9.99 เมตร สูง 14.29 เมตร น้ำหนักประมาณ 40 ตัน

ติดกันเป็นโรงเรียนจงฝามูลนิธิ จัดตั้งมากว่า 70 ปีโดยพ่อค้า-ประชาชนชาวเบตง (เราแต่งตัวไม่เหมาะเลยถ่ายแค่ด้านหน้า)

กลับเข้าห้องพักอาบน้ำแล้วออกมาลุยเมืองยามค่ำกันต่อ รอบนี้ 2 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม แสงอาทิตย์หมดก็จริงแต่เมืองเบตงสว่างไสวไปด้วยสปอต์ไลท์ รวมถึงมีทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครพิทักษ์เบตงอยู่ประจำจุด เห็นแล้วรู้สึกปลอดภัยมาก เบตงน่าอยู่มากจริงๆ และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราโดนหลอกไว้ เริ่มต้นที่หอนาฬิกาเบตง

ยามเย็นถึงค่ำจะมีนกนางแอ่นมาเกาะสายไฟโดยรอบหอนาฬิกา มาเดินซนพร้อมใช้เทคนิคการหลบหลีกนกนางแอ่นอึใส่ โชคดีที่เราไม่โดน

จากนั้นเราเดินต่อไปมัสยิดกลางเบตง กลางคืนสวยมาก แถมยังไม่พลุกพล่านด้วย

เดินย้อนกลับมาที่หอนาฬิกาเลี้ยวขวาเข้าอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์อีกครั้ง

ปิดท้ายคืนนี้ด้วยตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในโลก

วันแรกเราเดิน 15,953 ก้าว มื้อเย็นหากินได้รอบหอนาฬิกา ราคาไม่แพง จริงๆ มีตลาดเย็นแต่ปิดหมดแล้ว

23 กันยายน 2559 เช้านี้ก็ตื่นมาชมเมือง เปิดม่านเจอบรรยากาศแบบนี้

ออกไปสำรวจตลาดทั้งชุดนอนนั่นแหละ สายแล้วเดี๋ยวไม่สนุก ตลาดต่างจังหวัดมักสนุกเสมอ ได้เห็นวิถีชีวิตของคนเบตงด้วย

เดินเจอข้าวมันไก่ร้านฮงกี่ อร่อยดีไก่นุ่มเนื้อแน่น ข้าวไม่มันมาก เครื่องในไม่มีกลิ่น จานนี้ 40 บาท

อิ่มแล้วก็เดินไปสนามกีฬาอีกครั้ง เราชอบบรรยากาศดี อากาศเย็นสบาย

เดินรอบสนามกีฬา กินลมชมวิวไป 1 รอบ

สุดท้ายเราตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์กับโรงแรมเพราะได้รถใหม่ ไม่ต้องมัดจำอะไรทั้งสิ้นค่าเช่า 300 บาท เราออกมาด้วยเสื้อโอเคเบตง ขี่รถทะเบียนเบตง เที่ยวเมืองเบตง


จุดแรกเรามาตู้ไปรษณีย์ตู้ที่ 2 สร้างขึ้นสูงกว่าเดิม 3 เท่าคือ 9 เมตร

แว้นซ์ออกนอกเมืองมาเรื่อยๆ ทางไม่ยาก ถนนดี มีทำทางบางช่วง วิวสองข้างทางสวยมาก

เราตั้งใจมาอุโมงค์ปิยะมิตร ขี่มาเรื่อยๆจนเจอซุ้มทางเข้า

เจอทางแยก ซ้ายเข้าหมู่บ้าน ขวาขึ้นจุดชมวิว เราไปขวาทางไม่ยากขึ้นอย่างเดียว โค้งบ้าง

ซนเสร็จก็ไปกันต่อแวะถ่ายกับป้ายกันก่อน

เข้ามาจะเจอเจ้าแม่กวนอิม

อุโมงค์ปิยะมิตร มีลักษณะคดเคี้ยวเข้าไปในภูเขายาวประมาณ 1 กิโลเมตร ลึก 50-60 ฟุต มีทางออก 6 ทาง ใช้เวลาขุด 3 เดือนเพื่อเป็นที่หลบภัยทางอากาศและสะสมเสบียง อดีตขบวนการโจนคอมมิวนิสต์มาลายาสร้างขึ้น ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้แระวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกแห่ง

เดินรอบจนได้เหงื่อแล้วก็เดินต่อไปที่ต้นไทรพันปี

ก่อนกลับถ่ายกับอีกซุ้มประตู

ขากลับเราลงทางหมู่บ้านออกมาถึงซุ้มประตูเร็วกว่า ขี่ไปเรื่อยๆ เจอน้ำตกอินทสรก็แวะแช่น้ำเย็นๆ สักหน่อย

จากนั้นก็มาบ่อน้ำพุร้อนเบตง แช่เย็นแล้วก็มาแช่ร้อนบ้าง

เราไม่ไปสวนดอกไม้เพราะอยากไปหมู่บ้านซาไก แว้นซ์ไปเกือบ 20 กิโลเมตร ถามคนแถวนั้นเขาบอกไปอีก 50-60 กิโลเมตร อย่าไปเลยไกลเดี๋ยวกลับไม่ทันมืด เราก็เลยหันหัวกลับเลยมาแวะวัดจันทร์ธาดาประชารามกราบหลวงปู่ทวด ทางวัดกำลังสร้างวิหารและพระนอน

แว้นซ์กลับเข้าเมืองมาพระมหาธาตุเจดีย์ พระพุทธธรรมประกาศ ก่อสร้างแบบศรีวิชัยประยุกต์ กว้าง 39 เมตร สูง 39.9 เมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

วิวเมืองจากบนพระมหาธาตุเจดีย์

ขี่รถลงมากราบพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกครั้ง

เดินมาวัดพุทธาวาส เข้าโบสถ์กราบพระประธาน

จากนั้นขี่ไปมัสยิดกลางเบตงอีกครั้ง เราชอบสวยดี รอบนี้มาถึงช่วงละหมาดพอดี เราก็ขอนั่งด้านนอกเงียบๆ ดูการละหมาด เราขออนุญาตคนที่มาละหมาดก่อนแล้ว

เสร็จก็ขี่ออกนอกเมืองไปทางชายแดนเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้าน เราเริ่มชอบมัสยิดแล้ว สวยมาก

กลับเข้าเมืองมาอีกทีก็มืดแล้ว ออกมากินมื้อเย็นที่ร้านต้าเหยินร้านดังของที่นี่ คนเยอะมาก เรามาคนเดียวก็สั่งแค่ไก่สับกับผัดหมี่เบตง

อิ่มแล้วก็เดินมาซื้อเสื้อ ๑๑๑ ปี เล่าขานตำนานเมืองเบตง 2560

ก่อนเข้าห้องพักก็แวะถ่ายหอนาฬิกาอีกแล้ว ก็ต้องผ่านเวลาจะไปไหนหนิ

กลับเข้าห้องเปิดทีวีเจอหนัง "โอเคเบตง" ดูที่ไหนก็ไม่อินเท่าที่นี่

24 กันยายน 2559 วันนี้ต้องกลับแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่อิ่มเลย ขากลับอยากลองไปทางมาเลเซียบ้าง จองไว้เรียบร้อยแล้ว ราคา 400 บาท เป็นรถยนต์ 4 ที่นั่ง

-----

เช้านี้ตื่นสายเปิดม่านมาเจอหมอก

ล้างหน้าแปรงฟันคว้ากุญแจรถแล้วรีบแว้นซ์ขึ้นสนามกีฬาทันที


ขี่วนมาอีกด้านตรงลานสุขภาพ


เดินขึ้นไปตรงพิพิธภัณฑ์เบตงจุดนี้ดีงาม เห็นชัดสุด


แดดเริ่มแรงขึ้นเราก็ลงมากินติ่มซำที่แยกหอนาฬิกา มื้อนี้ 95 บาท


กลับห้องเก็บของ อาบน้ำลงมา 11 โมงก็เดินหาของกินอีก รอบนี้ข้าวหน้าไก่ร้านตรงตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในโลก จานนี้ 40 บาท



ก่อนเที่ยงรถก็มารับ ถึงเวลากลับแล้ว ระหว่างรอคนอื่นที่ด่านเบตงก็ถ่ายรูปเล่นไปก่อน


ด่านฝั่งมาเลเซียทั้งเข้าและออกเราไม่ต้องลงนะ แต่ไทยทั้งออกและเข้าต้องลงไปทำเอง ระหว่างทางก็เห็นตึกฝั่งมาเลเซีย Bank Islam Baling รถขับเร็วเลยได้ภาพแบบนี้


ขับไปอีกชั่วโมงก็ถึงทะเลสาบ Pedu lake เมือง Kuala Nerang รัฐ Kedar น้ำเขาก็น้อยนะ


กลับเข้าไทยที่ด่านประกอบ สงขลา ถึงหาดใหญ่ 15:30 เร็วกว่าที่คิดเยอะ น้องคนขับพาเราทัวร์หาดใหญ่ด้วย ถือเป็นทริปที่ดีอีกทริปหนึ่ง


สรุป 3 วัน 2 คืน

- ทำให้เราหลงรักเบตงมาก

- ไม่น่ากลัว คนที่เบตงช่วยกันเป็นหูเป็นตาดูแลกันเองด้วย มีทหาร-ตำรวจ-เจ้าหน้าที่บ้านเมืองอีก และยังมีอาสาสมัครกระจายทั่วเมือง

- อันตรายไหม ไม่อันตรายทั้งการเดินทางจากหาดใหญ่มาเบตงเส้นในประเทศ การขี่รถเที่ยวในเบตง แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุกันด้วย

- ผู้คนที่เบตงเป็นมิตรมาก ใจดีสุดๆ อาหารการกินมีเยอะมากเลือกตามความชอบได้เลย สถานที่ท่องเที่ยวจัดการได้ดี และที่สำคัญอากาศดี บรรยากาศดีมาก

- การเดินทางไปที่อื่นๆ จะจ่ายแพงบ้างก็ถือว่าแลกกับประสบการณ์ที่มีคุณค่ามหาศาลกลับมาก็คุ้ม เวลาเดินทางอย่าประหยัดนักเลย มันไม่สนุก


"ไปเที่ยวเบตงกันเถอะ"


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่

เพจ: ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG: prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว


ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

 วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.36 น.

ความคิดเห็น