คุณรู้จักกันไหม Medan ประเทศอินโดนีเซีย???

เริ่มต้นตอนแรกฉันก็ไม่รู้จักเมืองนี้เลยค่ะ...ข้อมูลท่องเที่ยวก็หาได้น้อยมาก ๆ

ฉันเลยอยากมาแชร์เมืองนี้ไว้เผื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักเดินทางคนอื่น ๆ

แต่ฉันชอบไปเมืองที่มันยังคงมีธรรมชาติที่สวยงาม เรียกว่า 'เมืองที่มันยังคงความดิบไว้'

ตอนที่ตัดสินใจจองตั๋วไปแล้ว..บอกเพื่อนจะไป Medan ทุกคนงง มันคือที่ไหน?? ไม่เคยได้ยิน

ทริปนี้เป็นการไปเยือน อินโดนีเซีย เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกเราไป บาหลี

ฉันว่าประเทศนี้มีที่เที่ยวเยอะมาก ๆ เลยค่ะ

กำลังเก็บเงินว่าจะไปขึ้นภูเขาไฟที่ อินโด อีก


12- 17 ธันวา 57 ก็หลายปีมาแล้วนะเนี่ย..พวกเรา 3 สาวได้มีโอกาสไปตะลุยเมือง เมดาน ประเทศอินโดนีเซีย

ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปตะลุยเมดานหรอกนะค่ะ ตั้งใจจะไปพม่าแต่บังเอิญว่าซื้อตั๋วโปรแอร์เอเชียไม่ทัน

ก็เลยเลือกไปเมดานแทน จริง ๆ ก็เป็นเมืองในฝันที่อยากไปอยู่แล้วนะค่ะ

เพราะชอบเมืองที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ...

พอซื้อตั๋วได้เรียบร้อยไปดูฤดูที่เมดาน อั๊ยยะ..เค้าบอกว่าเป็นช่วงฤดูฝน ถ้าไปเที่ยวแล้วเจอฝนไม่สนุกแน่ ๆ

แต่ก็นับว่าโชคดีที่แทบจะไม่เจอฝนเลย มาเจอก็วันท้าย ๆ แล้วค่ะ..

แต่หาข้อมูลได้น้อยมาก แล้วที่หามาได้ก็เป็นข้อมูลเก่า ๆ บางอันก็ผ่านมา 3-4 ปีแล้ว

แต่ยังไงก็ต้องเก็บข้อมูลไว้ค่ะ..

และได้ไปรู้จักพี่ที่เค้าเคยไปมาก่อนก็เลยสอบถามข้อมูลพี่เค้าได้เยอะเลยค่ะ
พวกเราต้องบิน 2 ต่อเหมือนเดิม คือ ชร.-กทม.-เมดาน
...เราจองที่พักทุกที่ผ่านเวป Booking ยกเว้นที่เมือง Bukit Lawang ไปหาข้างหน้าเอาค่ะ

...ส่วนรถเช่าเราได้ติดต่อไปที่ Medanrentcar เช่าไป 4 วัน ได้ Avanza มา

(จริง ๆ ติดต่อผ่านเมล์ไป 2 บริษัท แต่ที่นี่เค้าตอบกลับมาเร็วมาก ก็เลยได้ของที่นี่)
เค้าคิดค่าเช่ารถ + คนขับ วันละ 2,000,000 Rp. และสำหรับค่าอาหาร + ที่พักคนขับวันละ 100,000 Rp.
รวมค่าเช่ารถ + คนขับ วันละ 2,500,000 Rp. หารกัน 3 คนก็โอเครนะค่ะ

วิธีคิดเงินอินโด ตัด 0 ออก 3 ตัว คูณด้วย 3 (ประมาณนั้นค่ะ)

เวลาที่อินโดเท่ากับเวลาที่ประเทศไทยนะค่ะ


โปรแกรมการเดินทาง

วันแรก : เชียงราย- กทม. - Medan (ถึงค่ำ)

วันที่ 2 : Medan – Parapat – เกาะ Samosir - Lake Toba

วันที่ 3 : Parapat -น้ำตก Sipiso-piso -เมือง ฺBerastagi

วันที่ 4 : ภูเขาไฟ Sibayak - เมือง Bukit Lawang

วันที่ 5 : เมือง Bukit Lawang - Medan

วันที่ 6 : Medan - กทม.- ชร.


วันแรกของการเดินทาง

เดินทางออกจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง 09.25 น. นั่ง ๆ นอน ๆ รอเครื่องไป Medan รอบเย็นที่สนามบินดอนเมือง...เครื่องเราออกจากสนามบินดอนเมือง 16.10 ตรงเวลาดีมากค่ะ

เจอให้เขียนใบ ตม. เป็นภาษาอินโด เอาซะงงเลยยยยยยยย ช้านนนนอ่านไม่ออกนะเนี่ย
ถามแอร์มั่ง เดามั่วกันมั่ง..

เห็นแล้วววววววว เมืองเมดาน เรากำลังจะร่อนเครื่องลงสู่สนามบินแล้ว


ถึงสนามบิน Kualanamu International Airpot เวลา 18.05...สนามบินใหญ่โต สวยงามดีค่ะ ดูทันสมัยมากกกกกก..

แต่เข้าข้างในทำมันมันดูเล็ก ๆ หว่าาาา...
...ด่าน ตม. เห็นคนอื่น ๆ เดินผ่านกันสบาย ๆ ไม่โดนถามอะไรกันสักกะอย่าง แต่พอถึงตาเราตายยยยย ทำไม ตม.ถึงถามอะไรฉันมากมาย
แต่โชคดีเตรียมทุกอย่างมาพร้อม แบบว่าไม่คิดว่าจะโดนถามเยอะขนาดนี้ค่ะ

ถึงสนามบินไปเจอน้องคนไทยผู้ชายมาคนเดียว คุยกันไปมาปรากฎว่าน้องเค้าพักที่เดียวกันกะพวกเรา

ก็เลยชวนน้องเค้าเหมา Taxi ไปด้วยกัน จะได้มีคนช่วยหารค่า Taxi ด้วย

...ตอนอยู่บนเครื่องพอดีเจอไกด์คนไทยที่เค้าพาทัวร์มาเมดานบ่อย ๆ

ก็เลยถามพี่เค้าว่า Taxi เข้าเมืองเค้าคิดราคาเท่าไหร่

พี่แกก็แนะนำมาว่า 150,000 Rp. พอเรามาเดินหา Taxi โดนเรียก 200,000 Rp.

แต่เราบอก Noooo อย่างเดียว

บอกว่าถ้าได้ 150,000 Rp. จะไปด้วย ในที่สุด Taxi ก็ยอมราคานี้ แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ..ไว้ก่อน



Taxi พาไปแลกเงินข้างนอกก็ได้เรทดีอยู่เหมือนกันนะค่ะ..

และก็พาพวกเราไปซื้อ Simpati ซื้อกันคนละอัน ในราคา 3,000 Rp.



พอถึงที่พักพวกเราก็กะว่าจะเพิ่มทิป ให้ Taxi อีก 10,000

ปรากฎพี่แกเรียก 170,000 แกบอกว่าอุตส่าห์พาไปแลกเงิน
พาไปซื้อซิมอีกตั้งนาน ขอเพิ่มอีกหน่อยนะ พวกเราก็ขี้เกียจมีปัญหาก็เลยให้ไป 170,000 Rp.
โอ้ววว โน..นึกว่าเป็นการบริการ
เราพักกันที่ Hotel City international Sun Yat set จองห้องสำหรับ 3 คน แต่มันเป็น 2 ห้องนอน
แต่สุดท้ายเรา 3 คนก็ยัดนอนในห้องเดียว อีกห้องก็ทิ้งไว้งั้นแหล่ะ...

เปิดน้ำในที่พักนี่แดงงงเชียวเหมือนกับไม่เคยมีคนใช้มาก่อน

ห้องน้ำที่นี่ไม่มีประตูค่ะ มีแต่ผ้าเป็นฉากปิดกั้นไว้ ต๊ายยยยย แล้วพวกตรูจะ คลี่ กันยังไงเนี่ย

อิอิ..แต่ดีที่มีอีกห้องที่ไม่ได้ใช้ เลยใครอยากจะคลี่ ก็ไปใช้อีกห้องเลยค่ะ...

นี่อีกห้องค่ะ ไม่มีใครมานอน แต่มาใช้ห้องน้ำ...

ถึงพี่พักก็เกือบ 3 ทุ่มแล้วค่ะ เก็บของเสร็จก็ขอไปหาอะไรทานก่อน ก็ไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้ๆ ที่พักค่ะ ไม่อยากเดินไปไหนไกลมันดูเปลี่ยว ๆ ไงไม่รู้
สั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำ 1 แห้ง 2 เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย พวกเราก็ชี้ ๆ เอา
อาหารไทยต้องมีเครื่องปรุงเยอะๆ แต่ที่นี่ไม่มีอะไรให้ปรุงเลยทานจืด ๆ แบบนั้นแหล่ะค่ะ แต่เส้นเค้าอร่อยดีค่ะ
บรรยากาศในร้าน ดูไปเหมือนร้านบ้านเราสมัยก่อน มีรูปดาราติดเต็มเลยยยยย

อาหารทุกที่เค้าจะห่อแบบนี้หมดเลยค่ะ...มีใบตอง



คืนนี้หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จพวกเราก็ต้องขอนอนพักผ่อนก่อนแล้วค่ะ

เพราะตื่นตั้งแต่ตี 5 จากเชียงราย มารอเวลาอยู่ที่ดอนเมืองอีกเป็นวัน วัน ถึง เมดานก็ค่ำแล้ว

พรุ่งนี้นัดรถมารับแต่เช้าอีก..คืนนี้ฝันดีค่ะ


วันที่ 2

แต่เสียดายที่เมื่อคืนเรามาถึงค่ำเกินไปค่ะ

เลยไม่ได้เตร็ดเตร่แถวรอบ ๆ ที่พัก

วันนี้พวกเราตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าค่ะ เพราะจะเดินทางต่อไปยังเมือง Parapat

เป็นเมืองท่าเรือสำหรับข้าม Toba lake

เราจะข้ามไปนอนที่ Sarmosir Island ค่ะ กะว่าจะไม่ให้ถึงเย็นเกินไปเลยออกแต่เช้าหน่อย

และเราได้นัดรถเช่า Medanrentcar ให้มารับตรงที่พักตอน 7 โมงเช้าค่ะ

แต่ไป ๆ มา ๆ พวกเราก็ออกเกือบ 8 โมงแล้วค่ะ เพราะมัวแต่ทานอาหารเช้า

แบบว่าห้องอาหารโรงแรมเปิดตอน 7 โมงเลยขอจัดอาหารเช้าก่อนนะคร้าาาาาาาาาาาา

วิวหน้าห้องของพวกเราค่ะ มีแต่ตึกรามบ้านช่อง คงไม่ต่างกับบ้านเรา

ตอนแรกก็กังวลว่ารถเค้าจะมาตามนัดป่าววววววหนอ!!!

เค้าจะมาไหม กังวลไปหมดค่ะ เพราะผ่านไปครึ่งชม. ก็ยังไม่มีใครมาตามหาเรา

เอ๊ะ!! หรือเค้ามาแล้วไม่เจอเรา เลยเอาเมล์ที่ปริ้นมาไปถามที่เค้าท์เตอร์ของโรงแรม

เค้าก็ติดต่อให้ปรากฎว่าเค้ามารออยู่ข้างล่างแล้วค่ะ....

เมื่อเจอหน้ากันก็ทักทายกันเพื่อสร้างมิตรภาพกับคนขับรถ

เราได้คนขับเป็นผู้ใหญ่สูงวัย ชื่อ MR.ERNOVE อายุ 50 ปี ดูใจเย็นดีค่ะ

เลยบอกแกว่าขอเรียก Uncle นะ แบบชื่อเรียกยากอ่ะ

ก่อนออกเดินทางก็แวะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน หมดค่าน้ำมันเต็มถังรอบแรกไป 285,005 Rp. 900 บาท

สังเกตได้ว่าปั๊มน้ำมันที่นี่เค้าจะแยกเป็นสัดส่วนระหว่างรถยนต์ กับ รถมอเตอร์ไซค์ค่ะ เข้าคนละทางเลย

แต่แหม!!! ตอนขับรถนี่ลุงแกก็ซิ่งมากเลยนะค่ะ ตอนแรกก็มีกลัวค่ะ

เพราะช่วยเหยียบเบรคไปตลอดทางเลย หายใจไม่ทั่วท้องเลย

และที่สำคัญ ที่นี่เค้าไม่หวงแตรเลยคร้าาาาาาาาา บีบแตรตลอดทาง

จนเราพูดเลียนเสียงแตร ปิ้น ปิ้น คุณลุงแกก็หัวเราะชอบใจ

แล้วเราเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มในการเที่ยวครั้งนี้ เลยต้องนั่งหน้าเป็นคู่ไปกะลุงแกจะแวะที่ไหนก็บอก

แต่เราทำโปรแกรมเป็นตารางมาให้แล้ว สะดวกหน่อย แกก็ไปตามที่เราต้องการ

แต่เราก็บอกว่าที่ไหนสวย ๆ ก็แวะให้หน่อยนะคร้าา

ชอบวิวตามทางมาก ๆ ค่ะ อุโมงค์ต้นไม้ ดูแล้วร่มรื่นมาก


สถานที่แรกที่พวกเราแวะเที่ยวคือวัดเจ้าแม่กวนอิม Kwan Im Temple

ระหว่างทางที่ขับรถไปก็เจอขบวนแห่งานแต่งงาน (ถามคุณลุง)

แกบอกว่าขบวนคู่บ่าวสาวกำลังพากันเดินทางไปบ้านเจ้าสาว

เลยบอกแกว่าขอลงไปถ่ายรูปหน่อยนะค่ะ แกก็จอดให้ทันทีค่ะ (คุณลุงน่าร๊ากกกกเป็นที่สุด)

ระหว่างเดินทาง เพื่อนเราส่วนใหญ่แทบจะหลับไปตลอดทาง เพราะการเดินทางใช้เวลานานมาก

เราก็เลยต้องคุยไปกับคุณลุง แกจะได้ไม่เหงา...แกก็ถามว่าร้องเพลงไทยให้ฟังได้ไหม

ฮ่าาาาาาาาาา..... ณ.เวลานั้นนึกเพลงไม่ออกจริง ๆ ค่ะ เลยลองเพลงจงรักให้แกฟัง

แต่ร้องไปได้นิดเดียวแกโบกไม้โบกมือพร้อมหัวเราะ บอกว่าถ้าร้องแบบนี้ได้พากันหลับหมดแน่ ฮ่าาาาาาาา...

แกเลยเปิดเพลงในรถให้ฟังแทน เราก็โยกตามเพลงเพราะจังหวะมันสนุกดี แกก็ชอบใจใหญ่ ^^

พวกเราใช้เวลาเดินทางเกือบ 5 ชม. ก็เข้าสู่เมือง Parapat เริ่มมองเห็นทะเลสาป คุณลุงก็บอกให้เราดู

เราเลยต้องรีบเรียกเพื่อน ๆ ตื่นขึ้นมาดูวิว ทุกคนตื่นเต้นกันมาก เพราะมันสวยจริง ๆค่ะ

แต่ตอนนั้นอยู่ในรถถ่ายรูปมาไม่ได้

อย่าลืมเสียค่าเข้าเมือง Parapat เรา 3 คน โดนไป 10,000 Rp.

แต่ก่อนที่พวกเราจะข้ามทะเลสาบ มันก็เกือบบ่ายแล้ว ขอเวลาไปหาข้าวทานกันก่อน...

ร้านนี้บอกเลยว่าอร่อยมากค่ะ หรือพวกเราหิวข้าวกันหรือป่าวไม่รู้จิ...มื้อนี้หมดไป 175,000 Rp.

อิ่มแล้วววววววววว.....ได้เวลาเตรียมตัวจะไปขึ้นเรือข้ามไปเกาะ Sarmosir แต่ว่าาาาาาาาาาาา

คุณลุงเค้าก็ไม่อยากให้พวกเราเสียเงินค่าเรือ ferry ข้ามฟาก ซึ่งต้องเอารถไปด้วย

แกเลยบอกว่าแกจะนอนรออยู่ฝั่ง Parapat ก็ได้ค่ะ...

โดยให้เรา 3 คนนั่งเรือไปกันเอง ซึ่งจะทำให้ประหยัดเงินไป 420,000 Rp.

ลุงแกก็อธิบายว่า ถ้าเอารถข้ามไปด้วย ก็ต้องเสียค่าเรือไปกลับรวม 600,000 Rp.

และค่าคนไปกลับอีก 90,000 Rp.

แกเลยถามว่าพวกเราข้ามไปกันเองได้ไหม...OK คร้าาาาาาาาา มิมีปัญหา

แกก็เลยพาพวกเราไปส่งที่ท่าเรือ แกก็นัดแนะพวกเราว่า พรุ่งนี้เช้าแกจะโทรหานะ

แล้วจะมารอที่ท่าเรือตอน 10 โมง

ให้เราขึ้นเรือรอบ 9 โมงนะ เรือของ Tuk Tuk คันที่เราขึ้นไปนะ ให้บอกเค้าว่าให้ไปรับตรงที่พักตอน 9 โมง

ขณะนั่งรออยู่บนเรือ มีคนมาขายของกิน...มีเด็กมาร้องเพลงให้ฟังค่ะ ก็เพลินดีนะค่ะ.

.เสร็จก็ให้ทิปไป 1,000 Rp. (3 บาทเองอ๊าาา) .......จ่ายค่าเรือไปคนละ 15,000 Rp.

สักพักก็ได้เวลาเดินทางแล้วววววว

เราต้องเดินทางข้าม ทะเลสาบ Toba ไปยังเกาะ Sarmosir ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที

ทะเลสาบ Toba เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดและลึกที่สุดในเอเชีย

เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 7 หมื่นกว่าปีมาแล้ว

จึงทำให้เกิดทะเลสาบใหญ่ขนาด 1,707 ตร.กม. และเมื่อเกิดการระเบิดต่อ ๆ มาก

ก็ทำให้บริเวณด้านข้างภูเขาไฟยิ่งยุบตัว

เมื่อฝนตกลงมาน้ำก็ถูกกักขังไว้ในแอ่ง เวลาผ่านไปเนิ่นนานจึงกลายเป็นทะเลสาบบนปากปล่องภูเขาไฟ

ยาวกว่า 100 กม. กว้างกว่า 30 กม. และมีจุดที่ลุกที่สุด 505 เมตร

รีสอร์ทตรงนี้แพงค่ะ...พวกเราไม่มีปัญญาจะพักค่ะ ได้แค่ชะเง้อมองก็พอ

เห็นขากลับน่าจะเป็นคนจีนซะเยอะเลยค่ะ

คืนนี้พวกเราพักกันที่ Lekjon Cottage เพิ่มเตียงเสริมซะหน่อยเพราะนอนกัน 3 คน

แต่แหม!!! ดูใน Booking นี่ห้องมันสวยซะจริง ๆ แต่มาถึงนะค่ะ เฮ้ออออออ กลอนประตูไม่ดี มุ้งลวดขาด

เพื่อนมันก็นอยซ์อีก เพราะมันเห็นบันไดพาดอยู่ตรงประตูห้องน้ำมันก็กลัวว่าจะมีคนปีนเข้าห้อง

ก็ต้องล็อคหน้าต่างห้องน้ำอีก...ไปถึงว่าจะชาร์ตแบตกันสักหน่อย อ้าวววววววว ขอโทษค่ะ ไฟไม่มา

ไปถามเจ้าของรีสอร์ท เค้าบอกว่าช่วงนี้เค้ากำลังทำไฟกัน กว่าไฟจะมาก็ประมาณทุ่มโน่นค่ะ

เราถึงเกาะประมาณบ่าย 3 กว่า ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร เลยไปขอเช่ารถมอเตอร์ไซค์ของรีสอร์ท

ขอเช่าแกคันเดียว เราจะซ้อน 3 ฮ่าาาาาาาา...แกบอกไม่ได้ ไม่ได้ เลยเช่า 2 คัน 120,000 Rp.

ปกติเค้าให้เช่า 24 ชม. แต่พวกเราไปขอต่อรองบอกว่าขอเช่าแค่ 3 ชม. นะ Pleaseeeeeeeeeee...

ตอนแรกป้าแกก็ไม่ยอมหรอกค่ะ แต่พวกเราก็ขอแล้วขออีกเพราะอยู่ในห้องก็ไม่รู้จะทำอะไร

ไฟก็ไม่มีแกก็เลยใจอ่อน..อิอิ

แต่ต้องรีบไปนะค่ะ เพราะท้องฟ้าเริ่มตั้งเค้าเมฆฝนมาแต่ไกลเลยค่ะ

เวลามีน้อยใช้สอยอย่างประหยัดจริง ๆ ได้เวลา ลุยยยยยย

หนทางข้างหน้าอีกยาวไกล ยาวไป ยาวไป






หมู่บ้านชาวบาตักค่ะ ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มานานแล้วค่ะ

ในนี้จะมี Stone Chair of King Siallagan ซึ่งทำมาจากหินภูเขาไฟ 3 คนเสียค่าเข้า 10,000 Rp.

ก่อนขึ้นบ้านต้องเปล่งเสียงว่า Horas ประมาณว่า Welcome นั่นแหล่ะ ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ


ภายในบ้านก็จะโล่ง ๆ แบบนี้ค่ะ..ใต้ถุนก็จะมีเลี้ยงสัตว์

ทุกบ้านจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปตุ๊กแกติดอยู่หน้าบ้าน ซึ่งตามความเชื่อชาวบาตัก ตุ๊กแกคือสัตว์นำโชค

และถ้าอยากรู้บ้านหลังใดมีภรรยากี่คนให้สังเกตุที่จำนวนเต้านมที่แกะสลักจากไม้ซึ่งติดอยู่หน้าบ้าน

ยิ่งมีมากจะแสดงถึงฐานะที่มั่งคั่ง


พวกเราขี่มอเตอร์ไซค์วนรอบเกาะเลยค่ะ...พอเริ่มจะค่ำ อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นทุกที แล้วพวกเราก็เริ่มหิว

ก่อนถึงที่พักไปเจอร้านอาหารอิตาเลี่ยน เลยจอดดดดดดด

จัดพิซซ่าอิตาเลี่ยน & สเต๊ก & เบียร์ Bintang เบียร์อินโด กันซักหน่อย

พิซซ่าแป้งบางกรอบ บวกกับชีส เยิ้ม ๆ อร่อยเป็นที่สุด

เบียร์นี่แก้หนาวหรือป่าววว


มื้อเย็นของพวกเราเลยจบลงที่ร้านนี้ค่ะ ... แต่ยังมีแวะซื้อ บะหมี่คัพของอินโดไว้กินมื้อเช้าพรุ่งนี้ด้วยนะค่ะ

คืนนี้สรุปว่าถึงที่พัก พวกเรายังจัดเบียร์กันอีกคนละ 2 ขวด >> เด็ก ๆ อย่าทำตามนะค่ะ ☺☺

แล้วก็พากันสลบไปพร้อมสายฝนที่เทลงไม่ขาดสาย....

คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ ง่วง มึน งง หรือ เมา ไม่รู้ ;-)


วันที่ 3 ของการเดินทาง

สำหรับฉันการไปเที่ยวทุกครั้งฉันจะตื่นเช้าตลอด เพราะไม่อยากพลาดกับบรรยากาศในตอนเช้าของแต่ละวัน

และเวลาที่จำกัดของเรามันก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว...

วันนี้อาหารเช้าของเราคือ บะหมี่ถ้วยอินโด (จืดชืดมากกกคิดถึงมาม่าไทย)

แถมความเกรงใจเจ้าของที่พักเพราะไปขอน้ำร้อนเค้ามา..เลยสั่งสลัดชีสมา 1 อย่างแล้วกัน ^^

ทานกัน 3 คน พออิ่มก็เพราะแล้วค่ะ ...

เราต้องรีบทำเวลาค่ะ เพราะเมื่อวานนัดเรือ TUK TUK ไว้ 9 โมงเช้า

ได้เวลาแล้ววว พวกเราก็รีบไปรอพี่เรือ อยู่ที่ท่าน้ำทันทีเลย กลัวตกเรือ..อิอิ

ขณะยืนรอก็จะเห็นคนเล่น บานานาโบ๊ท เจ๊ทสกี พวกเรือเจ๊ทก็มาชวนให้ไปนั่งเรือเล่นก่อน

ถ้ามีเวลาก็คงจะเล่นนะ

เขาบอกพวกเราว่าไม่ต้องกลัวเปียกหรอก แค่ขับเรือเล่น ม่ายยยยยยย ไม่ค่ะ รอเรือจะกลับเข้าฝั่งแล้ว

9 โมงแล้ว ทำไมไม่เห็นมีเรือผ่านมาสักลำเลยเนี่ยยยย...

ฉันว่าเมื่อวานฉันบอกคนเรือแล้วนะเค้าก็ผงกหัวรับทราบแล้วนะ

เลยขึ้นไปถามเจ้าของที่พักว่าเรือ TUK TUK มากี่โมง แกก็บอกว่า 9.30 งั้นรอต่อไป

นัดคุณลุงคนขับไว้ที่ฝั่ง 10 โมง นี่ 9.30 ฉันยังไม่ได้ไปไหนเลยยยย ยังนั่งรอเรืออยู่เลยเนี่ย

9.30 แล้ัว ก็ยังไม่เห็นเรือสักลำ ห่วยยย ไรเนี่ย ตรูจะได้กลับเข้าฝั่งไหมเนี่ย

จน 10 โมงมีเรือโดยสารลำหนึ่งแล่นผ่านมา ฉันก็กระโดดเหยง ๆ โบกมือ ตะโกนเรียก

โอ๊ะ !!! เรือหันหัวกลับมา ตรูจะได้กลับฝั่งแล้ว แต่มีคนลงมา 3 คน เลยถามว่าไปฝั่ง Parapat ไหม

เค้าบอกว่ายังไม่ไป อ้าวตายหล่ะตรูทำไงดีเนี่ย...แต่เค้าบอกว่าจะไปกะเค้าก็ได้นะเดี๋ยว 11 โมงเรือจะกลับมารับ

และคนของเค้าก็อยู่ที่นี่รอด้วย น่าจะรอรับกรุ๊ปทัวร์จากจุดนี้ด้วย

ก็ไม่รู้ทำไงหล่ะทีนี่เลยบอก OK แต่ผ่านไปสักครึ่ง ชม. มีเรือโดยสารบีบแตรผ่านมา ปู้นนนนนนนนน

เย้ ๆ จะได้กลับฝั่งก่อนเวลา 11 โมงแล้ว เราเลยตัดสินใจกลับไปพร้อมกับเรือลำนี้

คุณลุงคนขับรถโทรมาหาฉันตอน 10 โมงกว่าแล้ว แกก็ถามว่าอยู่ไหน ฉันบอกกำลังขึ้นเรือ

กว่าจะถึงฝั่ง เรือก็วนไปวนมา เดี๋ยววกกลับมารับที่เดิมอีก ไอ้เราก็หงุดหงิด ไม่อยากเสียเวลา

แต่ทำไงได้ ต้องสงบนิ่งไว้ เดี๋ยวก็ได้ขึ้นฝั่งไปเที่ยวต่อแล้ว

11 โมงกว่า เราก็ถึงฝั่ง Parapat จนได้ เราเห็นคุณลุงคนขับแกชะเง้อมองหาพวกเรา

เราก็โบกมือให้แกอย่างด่วน..แกมองไม่เห็น

ถึงฝั่งปุ๊บ ขึ้นรถปั๊บ เดินทางต่อ

แต่ก่อนเดินทางเราต้องแวะไปรับน้องม่อนคนไทยที่เจอกันวันแรกที่สนามบินให้ไปเที่ยวด้วยกัน

เพราะน้องเค้ารออยู่ที่ฝั่ง Parapat พอดีไลน์คุยกัน เลยชวนน้องว่าไปด้วยกันไหม น้องเค้าก็ตกลงไปด้วย

หลังรับน้องเรียบร้อยพวกเราก็เดินทางไปชมวิวต่อ

ชมวิวสวย ๆ ของทะเลสาป Toba

...ตอนแรกท้องฟ้าก็สดใสดีอยู่หรอกค่ะ สักพักเมฆฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ววว ไม่อยากให้ฝนตกเลยยยย บ่นในใจ

รูปสวย ๆ จากน้องม่อน ที่เราแวะไปรับค่ะ

แวะพักจอดรถกันสักหน่อย...ไปเจอสละ อร่อย กรอบ หวาน รุมกันใหญ่เลย




เริ่มหิวกันแล้่วเห็นอะไรก็อยากทานไปหมด ไปเจอรถขายสะเต๊ะ..

เลยสั่งมา 1 ชุด เค้าทานกะแป้งที่เอาไปนึ่งค่ะ ไม่ได้ทานกะข้าวนะค่ะ

แป้งมันจืด ๆ ไปหน่อย ถ้ามีรสเค็ม ๆ อีกนิดจะอร่อยมากเลย...แต่สะเต๊ะอร่อยค่ะ

เราเดินทางต่อเพื่อจะไปน้ำตก Sipiso-piso (เรียกไม่เคยถูกสักกะที)

แต่ก่อนจะเข้าน้ำตก แวะทานอาหารกันก่อนนะ หิว ๆๆๆ แล้ว

คนที่ตักอาหารให้นี่ เป็นคุณลุงคนขับรถให้นะค่ะ...บริการทุกอย่างเลยค่ะ

อิ่มแล้ววววว..ได้เวลาเดินทางไปน้ำตกกันต่อแล้วค่ะ...

ค่าเข้าชมน้ำตก Sipiso-piso คนละ 4,000 Rp.

แต่ว่าฝนตกค่ะ หนักมาก ๆ เลย พวกเราเลยได้เข้าไปนั่งรอในร้านอาหารให้ฝนซาซะก่อน

น้ำตก Sipiso-piso เป็นน้ำตกที่อยู่ระหว่างเส้นทางจากเมือง Parapat ไปยังเมือง Berastagi ซึ่งคืนนี้เราจะพักเมืองนี้

น้ำตก Sipiso-piso มีความสูงถึง 120 เมตร และเป็นน้ำที่ไหลมาจากหุบผา

เรานั่งรถฝนซาอยู่เป็นชั่วโมง...พอฝนซาพวกเราก็เริ่มหาทางออกไปน้ำตกกัน โชคดีที่พกเสื้อกันฝนมา

ก่อนมาเราบอกให้เพื่อนเตรียมเสื้อกันฝนบาง ๆ มาคนละตัวค่ะเลยได้ใช้งานจริง ๆ ซะที

ทุกการเดินทางเราจะพบเจอมิตรภาพได้เสมอค่ะ...

ส่วนใหญ่ที่นี่จะมีแต่คนอินโดมาเที่ยวค่ะ..ชาวต่างชาติรู้สึกจะไม่ค่อยเจอเลยค่ะ


2 รูปสวย ๆ จากน้องม่อนอีกแล้วค่ะ...

ชมน้ำตกกันจนหนำใจแล้ว ได้เวลาเดินทางต่อไปยังเมือง ฺBerastagi

พวกเราแวะส่งน้องม่อนที่ในตัวเมืองนี้ เพราะน้องจะต้องกลับเข้าตัวเมือง Medan

พรุ่งนี้น้องจะกลับไทยแล้ว

เราเลยต้องอำลาน้องม่อนกันที่เมืองนี้เลยและส่งน้องขึ้นรถโดยสารกลับเข้าเมือง

และต้องหาแลกเงินด้วย เงินเริ่มจะไม่พอแล้ว รอบนี้แลกกันหมดตัวไปเลย

3 คนพวกเราได้มา 7 ล้านกว่า แหม !!! ถ้าเป็นเมืองไทยฉันคงเป็นเศรษฐีไปแล้ว

แลกกันจนหมดตัวเลยคร้าาา..รวยรอบนี้

ที่เมืองนี้จะมีตลาดผัก & ผลไม้หลากสีค่ะ คุณลุงเลยพาพวกเราไปเดินตลาด

เลยได้มะม่วง หวานมาก กับ สละมาอีกแล้วค่ะ

และพรุ่งนี้พวกเราจะไปปีนภูเขาไฟค่ะ..คุณลุงได้นัดไกด์ไว้ที่ตลาดนี้ด้วยค่ะ

เพื่อจะให้เราคุยกะไกด์ว่าจะไปยังไง ขึ้นภูเขากี่โมง จะไปเจอกันที่ไหน

เรานี่คือตั้งใจก่อนมาแล้วว่าจะไปปีนภูเขาไฟ พอคุยกะไกด์เท่านั้นแหล่ะ เพื่อน 2 คนเริ่มถอดใจ

แต่เราว่าถ้าเพื่อนไม่ไป เราไปเองได้นะ แต่เพื่อนก็เป็นห่วงบอกถ้าไปก็ต้องไปด้วยกันหมดนี่แหล่ะ

ต่อรองราคากันอยู่นานเค้าเรียกมา 3 คน 600,000 Rp. ต่อได้มา 500,000 Rp.

อาหารเย็นมื้อนี้ก่อนจะกลับเข้าที่พัก เราเห็นเค้าเปิบด้วยมือ ก็เลยจัดการตามเลย

หิว ๆ อร่อย ไก่กรอบมาก ทานกะข้าวสวยนะค่ะ


คืนนี้เราพักกันที่ Mikie Holiday หรูซะ แต่นอนไม่หลับ ตรงทางเดินเสียงมันก้องค่ะ

ใครทำอะไรก็ได้ยินหมด..หรือตื่นเต้นพรุ่งนี้ต้องตื่นตี 3 เพื่อจะไปขึ้นภูเขาไฟก็ไม่รู้ค่ะ

พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตี 3.30 เพราะนัดคุณลุงคนขับให้มารับที่พักตอนตี 4

และนัดไกด์ไว้ตอนตี 4 ด้วยค่ะ..ไว้เจอกันที่ภูเขาไฟค่ะ


วันที่ 4 ของการตะลอนทัวร์พวกเรา 3 สาว

ตี 3 ครึ่งนาฬิกาปลุกจากมือถือส่งเสียงร้อง...แต่จริง ๆ เราว่าเรานอนไม่หลับนะค่ะ

ห้องที่เราพักมี 2 ชั้นอ่ะ..เพื่อน 2 คนนอนชั้นบน เรานอนชั้นล่างคนเดียว

และเราก็ตื่นเป็นคนแรกเหมือนทุก ๆ วันอีกตามเคยค่ะ...หลังจากล้างหน้าเสร็จก็เรียกเพื่อนมาจัดการต่อ

ตี 4 เสียงโทรศัพท์จากคุณลุงคนขับโทรมาเรียกว่าพร้อมหรือยัง...

พร้อมแล้ว พร้อมแล้ว จากที่พักออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ

คุณลุงไปตามที่ไกด์นัดไว้ค่ะแล้วก็ขับรถพาพวกเราเพื่อจะไปปล่อยตีนภูเขาไฟ

ตี 4.30 ได้เวลาเริ่มออกเดินทางเพื่อจะปีนขึ้นภูเขาไฟ Sibayak ทุกคนต้องมีไฟฉายส่วนตัวนะค่ะ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม. ค่ะ แบบว่าถึงข้างบนแล้วทันดูพระอาทิตย์ขึ้นพอดีค่ะ


ถ่ายกะคนนำทางหน่อยนะค่ะ...

เพื่อนเราคนหนึ่งเดินไปได้สักหน่อยก็ฮอบแฮ๊ก ๆ ไอ้เราก็กลัวเพื่อนจะเป็นลมสลบน็อคไป

เราเป็นคนพาเพื่อนมาก็ต้องคอยดันหลังบ้าง จูงแขนบ้าง ถือกระเป๋าให้ทุกอย่าง

กลัวเพื่อนมันมาตายที่ภูเขาไฟค่ะ..แหะ แหะ...

เดินไปหน่อยสักหน่อยก็ต้องพัก แบบนี้ตลอดทาง เพราะเพื่อนมันไม่ไหวจริง ๆ

ไกด์แกก็บอกไม่เป็นไร ค่อย ๆ ไป

พอพักเราก็ด้วยความห่วง ก็ถามเพื่อน เอาน้ำไหม มันบอก "กุไม่เอา กุเข็ดแล้ว" แต่พวกเราก็ได้แต่ขำ ขำ นะ

กำลังจะเดินทางต่อ ไอ้เราก็ฉายไฟฉายไปทางเดินมันดันเป็นทางชันโค้งพอดี

ไอ้เพื่อนคนนี้กำลังจะลุกเดิน พอเห็นทางปุ๊บมันทิ้งตัวลงทันที พร้อมกับทำเสียง ห๊าาาาาาาาาาาาาา!!!

มันบอกว่า "แจ้งไหนกุจะจอดตี้ฮั้น" (แปลไทยให้ค่ะ มันบอกว่า สว่างที่ไหนมันจะพักที่นั่น)

พอเอาไฟฉายไปส่องหน้าเพื่อน เพื่อนบอก กุรมณ์บ่ดีบ่ต้องเอาไฟมาส่องหน้า ขำ ขำ กันอีกแล้วคร้าาาา ^^

และแล้วไอ้คำว่า แจ้งไหนกุจะจอดตี้ฮั้น สรุปแล้ว มันไปสว่างบนปากภูเขาไฟพอดี ....

ภูเขาไฟ Sibayak ยอดสูงสุด 2212 เมตร บนนี้มองเห็นเมืองเบราสตากีข้างล่าง

ใกล้ปากปล่องมีบ่อกำมะถันควันฟุ้ง เสียงหวีดเหมือนกาน้ำร้อนตอนน้ำต้มสุก

เห็นวิวไปไกลถึง Sinabung ที่ยังพ่นควันฉุย

วันที่ 25 ต.ค.57 ภูเขาไฟ Sinabung ได้เกิดการระเบิดขึ้นครั้งใหญ่

ส่งผลทำให้มีควันก๊าซและเถ้าถ่านลอยขึ้นสู่อากาศสูงถึง 15,000 ฟุต (4.5 กิโลเมตร)

ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 15 คนในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง

แต่ลูกที่พวกเราปีนขึ้นนี้ไม่ปะทุมานานแล้วค่ะ และบอกได้เลยว่าคุ้มค่าเหนื่อยมาก ๆ ค่ะ

ข้างบนสวยมากค่ะ อากาศหนาวจนเย็นเข้ากระดูก เพราะลมพัดแรง...

ขณะที่พวกเรากำลังถ่ายรูปกันอยู่ Sinabung ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดการพ่นควันขึ้นมา

ทำให้พวกเราตื่นเต้นกันใหญ่เลยค่ะ ไม่เคยเห็นกับตาแบบนี้มาก่อนเลย

คาดวาเราใช้เวลาอยู่บนนั้นเกือบ 2 ชม. ได้ค่ะ ก็ได้เวลาเดินลงแล้ววว แต่ใจจริงไม่อยากลงเลยค่ะ

อยากอยู่บนนั้นนาน ๆ แต่ข้างบนนั้นมีคนไปกางเต๊นท์นอนด้วยนะค่ะ

แต่ที่เห็นจะเป็นคนท้องถิ่นค่ะ...

ขาลงนี่เริ่มล้าแล้ว เกร็งเท้ากว่าเดิมเพราะทางมันชันค่ะ...ปวดน่องเลย

ยังจะมีร้องเพลงไปตามทางกะไกด์เค้าด้วยนะค่ะ

กลับถึงที่พัก รีบทานอาหารในสภาพแบบนั้นเลยค่ะ แล้วก็รีบเข้าห้องพักอาบน้ำ เก็บของ

เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อค่ะ

สถานที่ต่อไปที่เราแวะเที่ยวคือ วัดลุมพินี Lumbini ฟรีค่ะ แหม!! ไอ้ทางเดินเข้านี้เอาพวกเราเวียนหัวเลยค่ะ

ข้างในสงบ สวยงามดีค่ะ เลยนั่งทอดอารมณ์กันสักพักถึงออกมา

นี่คุณลุงคนขับรถของเราค่ะ ดูแลเราเหมือนลูกหลานจริง ๆ

และเดินทางต่อไปยังโบสถ์คริสต์สไตล์อินเดีย Cathalic Church



วันนี้เราบอกคุณลุงว่าอยากทาน Bakso แกก็พาไปหาทานเลยค่ะ อิ่มอร่อย


ท้องอิ่มก็เดินทางต่อ วันนี้เราเดินทางไปเมือง Bukit Lawang เป็นเมืองที่อิงแอบธรรมชาติ

มีแม่น้ำ Boharok ไหลผ่าน

Bukit Lawang เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีชื่อเสียงมาจากการเป็นศูนย์อนุรักษ์ลิงอุรังอุตัง

ที่นี่เราไม่ได้จองที่พักไว้ค่ะ แต่คุณลุงพาติดต่อที่พักไว้ให้แล้วค่ะ

ที่เราพักอยู่ติดแม่น้ำเลยค่ะ ตอนแรกกะว่าจะเล่นน้ำแต่มันเย็นอ่ะเลยไม่เล่น

ก็เลยพากันเดินเทียวรอบ ๆ โดยคุณลุงอีกแล้วที่เป็นคนพาพวกเราเดินลัดเลาะรอบ ๆ

หน้าห้องพักค่ะ..

คืนนั้นเป็นคืนปีใหม่ของอิสลามพอดีค่ะ

เค้ามีปาร์ตี้สไตล์แขก ๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ เห็นเค้าเต้นเหมือนในหนังอินเดียค่ะ

เปิดเพลงปาร์ตี้กันสนุกสนานมากเลยค่ะ เรานี่ออกมาชะโงกดูหลายครั้ง

ที่ออกมาดูนี่ไม่ได้รำคาญนะค่ะ แต่เพลงมันเร้าใจอยากกระโดดเข้าไปเต้นด้วยค่ะ

แต่ก็ต้องอดใจไว้ค่ะ...อิอิ

จริง ๆ พรุ่งนี้พวกเราตั้งใจจะไปดูลิงอุรังอุตังนะค่ะ แต่แพงเกินค่ะ 450,000 Rp.

เลยตกลงกันว่าไม่ไป แล้วอีกอย่างคืนนี้ก็ขอชิลล์ ชิลล์ สบาย ๆ กันดีกว่าค่ะ

สรุป...คืนนี้พวกเรา 3 คน ตบท้ายด้วยเบียร์กันอีกแล้วค่ะ และบะหมี่คัพของอินโดคนละถ้วย

เหนื่อยกันตั้งแต่ตี 3 กว่าแล้ว วันนี้ขอนอนสบาย ๆ แต่หัวค่ำกันสักหน่อยนะค่ะ....

พรุ่งนี้พวกเราจะกลับเข้าไปเที่ยวในเมืองเมดาน กันต่อค่ะ


วันที่ 5 ของการเดินทาง

วันนี้เป็นวันที่เราไม่เร่งรีบค่ะ ตื่นสายได้เพราะนัดคุณลุงไว้ 9 โมงเช้า

แต่เราชินกับการตื่นเช้าค่ะ 6 โมงกว่าเราก็ตื่นแล้วค่ะ ออกมารับอากาศข้างนอกสักนิดให้สดชื่นหน่อย

ประมาณ 8 โมงกว่า ทุกคนก็พร้อมค่ะ ออกไปทานอาหารเช้ากันดีกว่าค่ะ...อาหารอร่อยทุกอย่างจริง ๆ ค่ะ

ผลไม้หวาน สด ยิ่งน้ำส้มนี่บอกเลยว่าน้ำส้มสดจริง ๆ ค่ะ...ชื่นใจ

วันนี้พวกเราเดินทางเข้าตัวเมือง Medan กันแล้วค่ะ..เข้าไปเทียวในเมืองกัน

แต่ว่าพอเข้าถึงในตัวเมือง ฝนตกหนักมาก ๆ ค่ะ แต่ยังดีที่มันยังหยุดให้พวกเราบ้างนะค่ะ..

ที่แรกที่พวกเราแวะไปคือ Mesjid Raya แต่ที่นี่เราไม่ได้เข้าไปชมข้างในนะค่ะ

เลยขอแค่ถ่ายรูปด้านนอกมาก็พอค่ะ ... พอดีเพื่อนมันไม่ลงกัน..ใจจริงเราอยากเข้าข้างในนะค่ะ

อยากเห็นความสวยงามข้างใน....แต่ก็ไม่เป็นไร ได้แต่รูปภายนอกมา แต่เราว่าเป็นศิลปะที่สวยค่ะ

เพื่อนเริ่มบ่นหิวแล้ว...พอขับรถผ่านร้านพิซซ่าฮัท..เพื่อนเลยบอกว่าอยากทานพิซซ่าที่อินโด

คุณลุงก็จัดให้ค่ะ ก็พาพวกเราไปทานพิซซ่ากัน พวกเราก็ชวนให้คุณลุงทานด้วยกันค่ะ..

ไส้กรอกในร้านพิซซ่าฮัท ที่นี่เครื่องเทศแรงมากค่ะ สำหรับเรา เราว่าไส้กรอกไม่อร่อยเท่าไหร่

แต่พิซซ่าก็ OK นะค่ะ...สาวร้านพิซซ่า สวยน่ารัก

พวกเรานั่งอยู่ที่ร้านพิซซ่ากันอยู่นานเลยค่ะ เพราะรอให้ฝนซาก่อน ถึงจะเริ่มเดินทางต่อ

สถานที่ต่อไปคือวังสุลต่าน Maimoon Palace ค่าเข้าชมคนละ 5,000 Rp.

วังสุลต่านในเมืองเมดาน เป็นคอนกรีตกึ่งไม้ 2 ชั้น สถาปัตยกรรมทรงปั้นหยาผสมตะวันตก มีอายุร้อยกว่าปี

ภายในวังสุลต่าน เราสามารถเช่าชุดสาหรี่ถ่ายรูปได้ค่ะ คิดค่าเช่าชุดคนละ 30,000 Rp.


เรากะเพื่อนได้เช่าถ่ายรูปกันมาด้วยค่ะ...

แต่เขินอ่ะค่ะ..ตอนแต่งตัวอยู่มีเด็กนักเรียน 3 คน มายืนมอง ยืนรอ

พอเราแต่งตัวเสร็จน้องนักเรียน 3 คนนี้ ก็วิ่งมาขอถ่ายเซลฟี่ด้วย..เลยจัดให้ค่ะ ^^

ทำยังกะเป็นดาราซะงั้น ☺♥

ด้านนอกของวังสุลต่านค่ะ...สวยงามอลังการดีนะค่ะ


สถานที่ต่อไปคือ บ้านเศรษฐีชาวจีน Tjone A Fie Mansion ค่าเข้าชมสถานที่ คนละ 35,000 Rp.

เป็นบ้านโบราณสไตล์จีน สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1900

เจ้าของคฤหาสน์เป็นมหาเศรษฐีคนแรกแห่งเกาะสุมาตราที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก

ท่านชื่อ Tjong A Fie ท่านเกิดในปี ค.ศ. 1860 ในหมู่บ้าน Sung Kow รัฐกวางตุ้ง ประเทศจีน

ได้ย้ายเข้ามาทำการค้าเป็นร้านขายของชำในเมืองเบลาวัน ในปีค.ศ. 1877 จนกิจการขยายใหญ่โตรุ่งเรือง

บทบาทหน้าที่ของท่านเจ้าสัวคือ การดูแลชุมชนชาวจีนบนเกาะสุมาตรา

Tjong A Fie ได้สิ้นลมในปี ค.ศ. 1921

กระเบื้องปูพื้นของแต่ละห้องมักจะใช้กระเบื้องนำเข้าอย่างดีจากประเทศอิตาลี

อายุอานามก็แทบจะเกิน 100 ปี

การออกแบบบานพับหน้าต่างก็คล้ายกับเรือนปั้นหยาทางภาคใต้ของบ้านเรา

การตกแต่งเพดานห้องนั้นงดงามมาก ประดับด้วยโคมไฟระย้านำเข้าจากอิตาลี

ชั้นบนมีทั้งห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องแสดงภาพถ่ายของตระกูลตั้งแต่อดีตไล่มาจนถึงปัจจุบัน

พวกเราใช้เวลาในการชมแต่ละห้องนานพอสมควรค่ะ..

จะเจอป้ายแบบนี้อยู่ตรงหน้าบ้าน

ด้านหน้าของตัวบ้านค่ะ



ข้างบนบ้านจะมีร้านตัดเย็บ และขายเสื้อผ้าอยู่ภายในบ้านด้วยค่ะ ชอบตัวไหนซื้อเลยค่ะ



เราใช้เวลาอยู่กับบ้านเศรษฐีชาวจีนนานพอสมควร

และชอบบ้านไม้แล้วยิ่งมาเจอสไตล์จีนแบบนี้ยิ่งชอบเลยค่ะ

เวลาเดินดูสิ่งของภายในบ้านก็ดูคลาสสิคมากเลยค่ะ ของทุกอย่างยังเก็บไว้เป็นอย่างดี

เดินออกมาจากบ้านเศรษฐีชาวจีนก็ขอเก็บบรรยากาศบ้านเมืองรอบ ๆ นี้สักหน่อยค่ะ..ฝนไม่น่าตกเลย

และพวกเราก็เดินทางต่อไปยัง Maha Vihara Matreya เราว่าเป็นศิลปะแบบชาวฮินดูค่ะ

สีสันข้างในสวยสดใสมาก ๆ เลยค่ะ

การทำความเคารพของที่นี่จะแปลก ๆ ค่ะ เค้าจะไหวตรงรูปเคารพข้างหน้าก่อนค่ะ

แล้วเค้าก็จะเดินพนมมือไหว้ถอยหลังออกประตูไป แล้วก็ก้มลงกราบ

หลังจากออกจากที่นี่คุณลุงก็ถามพวกเราว่าจะไปที่ไหนต่อไหม..พวกเราก็ไม่รู้จะไปไหนแล้วค่ะ

เลยบอกให้คุณลุงขับรถพาชมเมือง แต่ว่าฝนมันตกหนักมาก ๆ แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย

เราเลยบอกคุณลุงว่าไปส่งพวกเราเข้าที่พักเลยดีกว่าค่ะ...ไปแล้วก็ไม่เห็นอะไรแล้ว

และคุณลุงเค้าจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนด้วยสงสารแกค่ะ เหนื่อยกับพวกเรามาตั้ง 4 วันแล้ว

วันนี้เราพักกันที่ Swiss-Belinn Medan

และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราทั้ง 3 กับคุณลุงจะต้องจากกันแล้ว

บอกตามตรงเลยว่าพวกเราเศร้ามาก ๆ เลยค่ะ พอคุณลุงไปส่งพวกเราที่พักแล้ว

พวกเราก็จ่ายค่าเช่ารถทั้ง 4 วัน 2,500,000 Rp. ให้กับคุณลุง

แต่ด้วยความมีน้ำใจของคุณลุงที่ดูแลพวกเราอย่างดี เลยให้ทิปคุณลุงไป 200,000 Rp.

จริง ๆ เรากะเพื่อนอีกคนอยากให้ทิปไป 300,000 Rp. แต่เพื่อนอีกคนเค้าไม่ยอมก็เลยตามนั้นค่ะ

ก่อนจะจากกันพวกเราถึงกับน้ำตาคลอเลยค่ะเพราะอยู่กับคุณลุงแทบจะ 24 ชม.เลยก็ว่าได้

หัวเราะ ร้องเพลง คุยเล่นกันตลอดทาง...คุณลุงแกก็เหมือนอยากจะร้องไห้เหมือนกันค่ะ

แกบอกว่าถ้ามีโอกาสมาอีกให้โทรมาหาแกนะ...

...ขนาดคืนที่แกกลับไปแล้ว แกก็ยังส่งข้อความมาที่มือถือ

บอกว่าคิดถึงพวกฉันทั้ง 3 คนมาก และขอให้พวกเราโชคดี

...วันจะกลับฉันก็ส่งข้อความไปหาแกบอกแกว่าพวกเรากำลังจะเดินทางกลับแล้ว คิดถึงคุณลุงมาก ๆ...



วันที่ 6 วันสุดท้ายเตรียมตัวเดินทางกลับ

วันนี้พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวไหนแล้วค่ะเพราะต้องเตรียมตัวกลับแล้วต้องไปถึงสนามบินประมาณ 11 โมง

เราเลยใช้บริการรถจากโรงแรมไปส่งที่สนามบิน

เพื่อน ๆ กรี๊ดกร๊าดพนักงานขับรถน่ารัก ^^


แต่ละคนเริ่มหมดสภาพแล้ว...รอเวลาเช็คอินหน้า AirAsia


ได้เวลาเดินทางเข้า Gate กันแล้วคะ


ข้างในสนามบินจะมีนักร้อง ร้องเพลงให้ฟังด้วยนะค่ะ...นักร้องสวยมาก ๆ เลยขอไปแช๊ะภาพหน่อย

แถมไม่พอนั่งฟังกันเพลินเลยค่ะ...เกือบลืมไปว่าต้องไปผ่าน ตม. อีกนะ

...และแล้วก็ได้เวลาเดินทางขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยแล้วค่ะ...บอกเลยว่าเป็นทริปที่สนุกจริง ๆ ค่ะ..

...เดินทางกลับสู่ประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ...


- เวลาที่อินโดนีเซียจะเท่ากับเวลาที่ประเทศไทย

- อย่าลืมที่แปลงปลั๊กไฟ ที่โน่นจะเป็นแบบหัวกลม

- ขาออกจ่ายค่าภาษีสนามบินคนละ 200,000 Rp/คน

- ไฟฉายสำหรับใช้เดินขึ้นภูเขาไฟ

- เสื้อกันฝน

- ทริปนี้เราหมดไปประมาณคนละ 8,000 บาท (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)

คนเหนือจวนแอ่ว

 วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 14.54 น.

ความคิดเห็น