. . . ฮ า โ ห ล วั น ห ยุ ด ฮ า โ ห ล ห น้ า ฝ น แบบกรีนๆๆ หลายคนคงอยากพักผ่อน หนีความวุ่นวายไปอยู่กับธรรมชาติ ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ที่วิวสวยๆ บรรยากาศดีๆ และไม่ไกลจนเกินไป... หลังจากหาข้อมูลอยู่นานเราก็มาเจอที่นี่ " แดนโดมโฮมสเตย์ " ตั้งอยู่ที่บ้านอ่าวคราม อ. สวี จ.ชุมพร ว่าแล้วก็คว้ากล้อง เก็บกระเป๋า กระโดดขึ้นรถไฟด่วนพิเศษมุ่งหน้าสู่ จ.ชุมพร ทันที

ที่บ้านอ่าวครามมีโฮมสเตย์ 2 ที่คือ อ่าวครามโฮมสเตย์ และ แดนโดมโฮมสเตย์ (ผมพักที่นี่) ทั้งสองที่จะอยู่ติดทะเลบริเวณใกล้ๆ กัน


ก่อนจะอ่านบันทึกทริปนี้ เราขอฝากเพจ ก่อน 555+ ตามไปอ่านกันได้น้าาา

FB : https://www.facebook.com/tiewhaikonaijchaa/

แดนโดมโฮมสเตย์ ตั้งอยู่ที่ บ้านอ่าวคราม ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร ตั้งอยู่ด้านในสุดของหมู่บ้าน ตัวบ้านพักโอบล้อมด้วยขุนเขา ท้องฟ้า และผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตา ระหว่างแดนโดมโฮมสเตย์กับบ้านเรือนของชาวบ้านเหมือนมีเขาลูกเล็กๆ ขวางไว้ เหมือนจงใจสร้างพื้นที่ความเป็นส่วนตัวให้กับเรา ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง

การเดินทาง :

Day 0 # BANGKOK – SAWI CHUMPHON


- > ผมนั่งรถไฟขบวนด่วนพิเศษ Sprinter (จากหัวลำโพง) เวลา 22.50 น. ขอบอกเลยบนรถไฟแอร์เย็นมาก แต่ก็มีผ้าห่มให้ !!! ขนมบนรถไฟอร่อยมากอ่ะแกรรรร


Day 1 # SAWI CHUMPHON

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ารถไฟไทยจะมาถึงจุดหมายที่สถานีรถไฟสวี ตรงเวลา 06.30 น. เป็นเวลาเช้าพอดี ฝนตกปรอยๆ บรรยากาศดีมาก อากาศสดชื่น เย็นสบาย กับหมอกยามเช้า เปิดกระเป๋าหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อเก็บภาพบรรยากาศของสถานีรถไฟที่มีความคลาสสิคแบบเรียบๆ

หน้าสถานีรถไฟ จะเป็นตลาดเล็กๆ มีของกินมาขาย หาอาหารเช้าทานง่ายๆ ต้มเลือดหมูร้อนๆ กับข้าวสวย ร้านอยู่หัวมุมถนนตรงข้ามสถานีรถไฟสวี และตบท้ายด้วยปาท่องโก๋จิ้มนมหน้าสถานีรถไฟนั่นแหละคร้าฟฟ

ต้มเลือดหมูร้อนๆ กับข้าวสวย

พอทานเสร็จเรียบร้อยก็โทรหาป้านวล 093-6454428 เพื่อให้แกไปส่งที่จุดนัดพบของแดนโดม
ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร (ราคาประมาณ 300 บาท) ป้านวลคุยเก่งคร้าฟ
ผมฟังแกออกบ้างไม่ออกบ้าง ชีวิตแกค่อนข้างน่าสงสารทีเดียว

ขับรถมาได้สักพักก็ถึงจุดนัดพบของแดนโดม เป็นอันบ๊ายบายป้านวล แล้วก็กระโดดขึ้นรถของลุงจักษ์ เส้นทางเข้าไปยังโฮมสเตย์ ถนนเป็นทางลูกรัง และค่อนข้างชัน ต้องอาศัยความระมัดระวังพอสมควร

มาที่นี่ผมลุงจักษ์แกเรียกผมว่า “เจม จิ” ตอนแรกก็งงๆ ไม่ได้ตอบ คุยกันไปสักพักผมถึงเข้าใจว่า อ้อ !!! แกคุยกับผม “เจม จิ” คือชื่อที่แกเรียกผม แกก็เล่านู้น นี้ นั่น โน่น โม้อะไรหลายๆ อย่าง ที่ฮาสุด คือ แกบอกว่า แกเป็นคนขับรถ ส่วนเจ้าของโฮมสเตย์ เป็นคนไม่เต็มบาท ชอบพูดจาทะลึ่ง เล่นมุกเป็นว่าเล่น แต่ก็เป็นคนใจดี คือแกหลอกผมนั่นแหละ เพราะที่พูดมาทั้งหมดก็คือตัวแก สักประมาณ 5 นาที ก็มาถึงแดนโดม (ที่มาของแดนโดม คือ เป็นชื่อของลูกชายแก) เส้นทางการคมนาคมของหมู่บ้านอ่าวครามแห่งนี้ เหมือนโดนตัดขาดจากโลกภายนอก เพราะสัญญาณอินเตอร์เน็ตหายเกลี้ยง

ที่แดนโดมมีจุดชมวิวเล็กๆ ให้เก็บภาพมุมสูงของหมู่บ้านอ่าวคราม (อยู่ระหว่างทางเข้าแดนโดมโฮมสเตย์) บรรยากาศท้องทะเลดูเงียบสงบ อากาศดี ไม่ร้อน มีลมทะเลพัดเย็นๆ ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย
และบ้านพักทุกหลังจะตั้งอยู่ริมทะเล


หลังจากเก็บภาพ จากจุดชมวิว ผมก็เดินเข้ามาที่พัก น้าจรรยา (เมียลุงจักษ์) ใหญ่ที่สุดในบ้าน
ก็ชี้ห้องพักให้ผม เป็นห้องกว้าง ภายใน มีเตียงใหญ่ 2 เตียง มีที่นอน หมอน ผ้าห่ม มีพัดลมให้ด้วย

หรือถ้าไม่อยากนอนในห้องก็สามารถลากที่นอน มากางมุ้ง รับลมทะเลที่ลานหน้าบ้านได้ ที่นี่มีที่นอน หมอน ผ้าห่ม มุ้ง และพัดลม เยอะมาก (มั่นใจได้เลยว่าเพียงพอกับทุกคนที่มาพัก)

ตอนนี้ทั้งห้องนี้มันเป็นของผม ตั้งใจจะอาบน้ำแปรงฟัน แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวอ่าวลกกำ แต่ความง่วงมันเริ่มครอบงำทำให้ผมหลับไปในสภาพเน่าๆ แบบนั้น รู้สึกตัวสะดุ้งตื่นมาอีกที่ 12.00 น. (เที่ยงตรง แว้ว) ได้เวลาลุกขึ้น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน จริงๆซะที (ห้องน้ำของที่นี่ก็โอเครน่ะแกรรรร)

น้าจรรยาเห็นผมตื่นอาบน้ำ ก็มาถามว่าผมหิวหรือยัง ทานข้าวเลยไหม? ผมก็ O.K.
เพราะกระเพาะผมมันเริ่มประท้วงร้องโครกคราก

อาหารมื้อแรกของที่นี่ : แกงส้มหน่อไม้กับปลา + ผัดผักใส่กุ้งเห็ดบล็อกโคลี่ + ไข่เจียว และข้าวสวยร้อนๆ มองดูอาจจะเป็นแค่กับข้าวธรรมดา แต่รสชาติโคตรอร่อยไม่เผ็ดด้วย กินแบบไม่เหลือซาก จำไม่ได้เลยว่ามันคืออะไร 55555+ สดมากกกคร้าฟฟฟฟ...

ทานข้าวเสร็จ ก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของแดนโดมโฮมสเตย์สักหน่อย ที่นี่โคตรจะเรียบง่าย แต่ก็มีเสน่ห์แบบวิถีชาวบ้าน ผมว่าที่นี่เหมาะกับการเอาโน้ตบุ้คมานั่งเขียนรีวิวเอามากๆ บรรยากาศได้ อารมณ์มาเต็ม เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ กับบรรยากาศที่เงียบสงบ มีเสียงน้ำทะเลกระทบเสาเรือนบ้านดังเป็นระยะๆ

ที่พักของแดนโดมโฮมสเตย์ มีบ้าน 2 หลังให้พัก บ้านใหญ่ และบ้านเล็ก บ้านที่ผมพักอยู่รวมกับครอบครัวลุงจักษ์ คือบ้านใหญ่ ส่วนบ้านเล็กก็อยู่ใกล้ๆ กัน ในเขตพื้นที่เดียวกัน เพียงแต่ทางเข้าคนละทางเท่านั้น เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแบบมากันเฉพาะกลุ่มเพื่อน มีจุดถ่ายรูปเช็คอินแดนโดมเหมือนกัน


แดนโดมโฮมสเตย์ เปิดให้บริการมาประมาณ 4-5 ปี แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ นั่นเพราะลุงจักษ์ไม่เคยโปรโมท แกใช้วิธีแบบชาวบ้านคือการบอกต่อ ที่แดนโดมเป็นเสมือนพื้นที่ส่วนตัว ทั้งที่ห่างจากตัวหมู่บ้านเพียงไม่กี่ก้าว ที่นี่มีที่พักบ้านหลังใหญ่ และหลังเล็ก ลุงจักษ์จะไม่รับลูกค้าเยอะ รับครั้งหนึ่งก็ไม่เกิน 20 คน เพราะอยากจะดูแลให้ทั่วถึง อยากให้เราได้ความรู้สึกเหมือนมาพักผ่อนที่บ้านญาติ ได้ความประทับใจกลับไป และอยากกลับมาอีกเหมือนกับผม


เดินเล่นเก็บบรรยากาศที่แดนโดมโฮมสเตย์ทุกซอกทุกมุมแล้ว ก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านชาวประมงหลายหลังเลยทีเดียว แล้วก็มาถึง “อ่าวครามโฮมสเตย์ “

" อ่าวครามโฮมสเตย์ " ที่พักที่ใช้ชื่อเดียวกับหมู่บ้าน กิจกรรมที่นี่กับของแดนโดมก็คล้ายๆกัน อาหารการกินก็เหมือนกัน อาจจะต่างกันที่รสชาติและการบริการการพูดคุย

ติดกับอ่าวครามโฮมสเตย์ จะมีร้านขายของชำ ที่นี่มีทุกอย่างเรียกว่าเป็นเซเว่นประจำหมู่บ้านก็ว่าได้
ใครอยากได้อะไรมาร้านคุณป้าได้เลยคร้าฟฟฟ

เก็บบรรยากาศของหมู่บ้านอ่าวครามจนครบ ผมก็เดินกลับที่พัก ไปขอยืมมอเตอร์ไซค์ลุงจักษ์ ตั้งใจจะแว๊นซ์ไปเที่ยวอ่าวลกกำ ลุงจักษ์บอกให้รีบกลับมาถึงก่อน 18.30 น. เพราะแกจะเอาตะเกียงถังแก๊สออกไปแขวนเพื่อบามหมึกยามค่ำคืน และพานั่งเรือเที่ยวด้วยก่อนอาหารเย็น ได้ยินแบบนี้ผมก็รีบแว๊นซ์ไปอ่าวลกกำอย่างรวดเร็ว กลัวจะกลับมาไม่ทัน

ผมออกแว๊นซ์ด้วยรถคันนี้เส้นทางก็พอไปได้อยู่ ช่วงขึ้นเขาบิดสุดรถแทบไม่ขึ้น พอลงเขาก็เบรคเกือบไม่อยู่ จะแถลงข้างทางหลายรอบเลยทีเดียว

รูปขึ้นเขาลงเขาถ่ายไม่ได้ มันมีความเสียวในตัวมันเอง เส้นทางก่อนถึงหมู่บ้านเป็นทางลาดยาง พอเข้าหมู่บ้านก็เป็นทางลูกรังแล้วผมก็มาถึงอ่าวลกกำสักที

อ่าวลกกำ มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลที่ยาวตั้งแต่อ่าวทุ่งคา อ่าวสวี จนถึงปากน้ำตะโก อำเภอทุ่งตะโก มีพื้นที่เป็นชายหาดยาวประมาณ 500 เมตร เป็นชายหาดที่มีทรายสีขาว มีพื้นที่ราบเรียบเป็นโขดหินสวยงาม ด้านหลังจะเป็นภูเขา สภาพทั่วไป :: เป็นชายหาด มีชายหาดทรายขาว สามารถเล่นน้ำได้ตลอดแนวชายฝั่ง ด้านหลังของชายหาดเป็นภูเขามีต้นไม้ร่มรื่น


กระโดดแอ๊คท่าถ่ายรูปจนเหนื่อยแล้ว ก็รีบแว๊นซ์มอไซค์กลับทันที ใช้เวลาในการไปถ่ายรูปแค่ 15 นาที

ก่อนจะลงเรือก็หยิบชูชีพมาสวมซะโหน่ยเพื่อความปลอดภัย แขวนไว้เป็นระเบียบฟุดๆๆ

นั่งเรือออกไปในทะเล จะเห็นเสาที่ปักเป็นกลุ่มๆ อยู่กลางทะเล กระจายทั่วไปในอ่าวคราม นี่คือเครื่องมือในการจับสัตว์น้ำอย่างหนึ่ง จะใช้อวนตาข่ายขึงกับเสาไม้ทั้ง 4 เสาที่ตั้งปักอยู่กลางทะเล ขึงตาข่ายให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส) เขาเรียกว่า “ บามหมึก”

ในทุกๆวัน ตอนเย็นจะเอาตะเกียงถังแก๊สออกไปห้อยเพื่อใช้ไฟล่อให้ปลาหมึกมาติด ถังแก๊สก็จะใช้แก๊สแบบหุงต้มของเรานิแหละคร้าฟฟ คือเติมกันเองด้วยความเคยชิน จากการเรียนรู้ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น...
พอแขวนตะเกียงเสร็จ ลุงจักษ์ก็พานั่งเรือชมวิว ไปดูบรรยากาศรอบๆ ก่อนที่แสงสุดท้ายในยามเย็นจะลาไป... ความมืดเริ่มมาปกคลุม ... ลุงจักษ์ก็พาเรานั่งเรือกลับเข้าบ้าน เพื่อทานอาหารเย็นมื้อที่สอง ก่อนจะออกไปบามหมึกในคืนนี้...

อาหารมี้อที่สอง ซีฟู๊ด : ปลาหมึกยัดไส้หมู + ปูต้ม + ปลาราดพริก อาหารน่ากินทุกอย่างเลย ที่สำคัญอร่อยทุกอย่างเลย!! ผมชอบปลาหมึกยัดไส้หมู .. ไข่แน่นเต็มท้อง รสชาติอร่อย ทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่คุณยายทำให้กิน ยิ่งจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด .. เข้ากันมากเลยทีเดียว มื้อนี้ เป็นมื้อที่มีความสุขในการกินอีกมื้อ อาหารสด และอร่อยทุกอย่างเลย

จัดการอาหารเย็นเสร็จก็นั่งๆ นอนๆ ให้อาหารย่อยกันสักหน่อย คืนนี้บนท้องฟ้ามีดาวเต็มไปหมด ระหว่างที่นั่งๆ นอนๆ ริมทะเล มองออกไปในท้องทะเล จะเห็นแสงไปดวงน้อยๆ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ คือแสงไฟจากเรือประมงที่แล่นอยู่กลางทะเล ... เป็นช่วงเวลาการทำประมงของที่นี่คร้าฟฟ...

ประมาณ 21.00 น. ลุงจักษ์ก็เรียกไปทำกิจกรรมประจำของที่นี่ คือ นั่งเรือฝ่าความมืดออกไป “บามหมึก”

“ บามหมึก ” จะใช้อวนตาข่ายขึงกับเสาไม้ทั้ง 4 เสาที่ตั้งปักอยู่กลางทะเล ขึงตาข่ายให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส) จากนั้นก็ใช้แสงไฟจากตะเกียงถังแก๊สห้อยไว้ด้านบน เป็นตัวล่อให้หมึกเข้ามาเล่นไฟ แล้วรอเวลา 3-4 ทุ่ม พอได้เวลาก็หมุนรอก ใช้เชือกดึงตาข่ายอวน ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แล้วก็เอาสวิงตัก ปลาหมึก ปลา ฯลฯ ขึ้นมาก็เรียบร้อย) ก็จะได้หมึกสดๆ สามารถกินแบบดิบๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด ก็จะหนึบๆ กรอบๆ หวานๆ ดีเหมือนกัน ... หรือจะเอากลับไปย่างไฟกินมื้อดึก

โดยไปตามจุดที่เราเอาตะเกียงถังแก๊สไปแขวนไว้ ไปถึงลุงจักษ์ก็จะให้ปีนขึ้นไปบนรอก แล้วก็หมุนรอกที่ขึงกับเชือกทั้ง 4 มุม ให้อวนตาข่ายค่อยๆ ยกขึ้นเหนือผิวน้ำ หมึก และสัตว์ต่างๆ ที่มาเล่นไฟ ก็จะถูกขังอยู่ในอวนตาข่าย ให้เราช้อนสวิงจับได้ง่าย หมึก และ ปลา ชนิดต่างๆ ที่ถูกจับได้ ตัวไหนมีขนาดเล็ก หรือยังกินไม่ได้ หรือเป็นปลามีพิษ ก็จะถูกคัดออกและปล่อยคืนสู่ทะเล แล้วลุงจักษ์ก็พาไปดูแพลงตอนทะเลยามค่ำคืน แต่ผมถ่ายมาไม่ติด ได้ดูแค่ตาเปล่า แต่บอกเลย นั่งเรือตอนกลางคืนในทะเลมันสวยงามไม่น่ากลัว


ปีนขึ้นไปบนรอก แล้วหมุนรอกที่ขึงกับเชือกทั้ง 4 มุม ให้อวนตาข่ายค่อยๆ ยกขึ้นเหนือผิวน้ำ



พออวนตาข่ายค่อยๆ ยกขึ้นเหนือผิวน้ำ หมึก และสัตว์ต่างๆ ที่มาเล่นไฟ ก็จะถูกขังอยู่ในอวนตาข่าย ให้เราช้อนสวิงจับได้ง่าย หมึก และ ปลา ชนิดต่างๆ ที่ถูกจับได้ ตัวไหนมีขนาดเล็ก หรือยังกินไม่ได้ หรือเป็นปลามีพิษ ก็จะถูกคัดออกและปล่อยคืนสู่ทะเล


ปลาหมึกสดๆ สามารถกินแบบดิบๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด ก็จะหนึบๆ กรอบๆ หวานๆ ดีเหมือนกัน

นี่คือผลงานของคืนนี้คร้าฟฟ ลุงจักษ์บอกขายขี้หน้ามากๆ ได้ปลาหมึกน้อยจริงๆ กลับมาจากบามหมึก ก็อาบน้ำ ปะแป้ง เรียบร้อย มานอนดูดาว คืนนี้ดาวสวยงามมากๆ เลย เตรียมขาตั้งกล้อง ตั้งกล้องเตรียมจะถ่ายดาวเรียบร้อย บร๊ะเจ้า!!!! ฝนตกลงมาไม่บอกกล่าว ทำอะไรไม่ได้ นอกจาก เก็บกล้องเข้าห้อง นอนหลับสนิทยันเช้า


Day 2 # เกาะกุลา อยู่ใน อช. หมู่เกาะทะเลชุมพร

ประมาณ 06.30 น. ลุงจักษ์ก็มาเคาะประตูเรียก ให้เตรียมตัวเดินทางไปเกาะกุลา วันนี้อากาศดีมากท้องฟ้าใส เหมาะแก่การนั่งเรือไปเที่ยวเกาะมากๆเลยทีเดียว (เกาะกุลา ไม่ได้รวมอยู่ในแพคเกจ ลุงจักษ์คิดในราคาพิเศษและหารกับคนที่มาพักในโฮมสเตย์ด้วยกันได้คร้าฟฟ)

อาหารมื้อสุดท้าย คือ ข้าวต้มปลาอินทรีย์ ก่อนไปเกาะกุลาจนอิ่มแปล้ ก่อนจะขึ้นเรือไปยังเกาะกุลา

“ เกาะกุลา ” เป็นเกาะขนาดเล็ก บรรยากาศดี ธรรมชาติสุดๆ มีแนวปะการังสวย น้ำทะเลใสแจ๋ว สามารถไปดำน้ำ ดูหอยมือเสือ อยู่ห่างจาก แดนโดมโฮมสเตย์ แค่ 15 นาทีเท่านั้น


ลุงจักษ์ก็พานั่งเรือชมวิว ไปดูบรรยากาศรอบๆ หินทะลุ หินสิงโต หินเทวดา ฯลฯ


หินหมวกเทวดา และ หินทะลุ



ระหว่างนั่งเรือ ลุงจักษ์ก็เล่าถึงประวัติความเป็นมาของเกาะกุลา คือ เกาะกุลามีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับค้างคาวกำลังบิน และมีเต่ากะลาชอบมาวางไข่ จึงพากันเรียกว่าเกาะกุลา (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ)
ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวไปถามลุงจักษ์อีกที

เกาะกุลามีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับค้างคาวกำลังบิน

เกาะรูปร่างคล้ายเต่า


แล้วก็เดินทางมาถึง เกาะกุลา ที่นี่น้ำทะเลใส จนมองเห็นปะการังได้ชัดเจนมาก มาถึงเกาะก็จ่าย ค่าบริการของอุทยาน คนละ 40 บาท (เสียดายมากที่ไม่ได้เอาสมุดสะสมอุทยานมา) ที่เกาะกุลา มีที่พักสามารถมาค้างคืนได้ หรือจะเที่ยวแบบเต็มวัน โดยไม่ค้างคืนก็ได้

ที่เกาะกุลามีการเพาะพันธุ์เต่า (จำชื่อไม่ได้) ครั้งหน้าถ้าไปผมว่าเต่ามันคงโตขึ้นแล้ว

ที่พักของทางอุทยาน : มีบ้านอยู่ 3 หลัง ราคาหลังละ 1,200 บาท และมีลานกางเต็นท์

(ที่นี่มีไฟฟ้าให้ใช้ เวลา 18.00-24.00น.) อาหารสำหรับผู้ที่พักบนเกาะ 3 มื้อ (ราคา 600 บาท / คน)

ห้องน้ำห้องอาบน้ำเพิ่งทำใหม่ อำนวยความสะดวกสุดๆๆ

ห่างจากชายหาดตรงท่าเรือ ประมาณ 200 เมตร จะมีอีกหาด มีต้นไม้ ชิงช้า เปลนอน ให้นอนเล่นฟัง
เสียงคลื่น บรรยากาศสงบ เหมาะกับการมาพักผ่อน หรือจะเล่นน้ำก็ได้ ครั้งนี้ที่ผมมา รู้สึกเหมือนได้เที่ยวเกาะส่วนตัว เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย รู้สึกอิสระมากๆ

กิจกรรมบนเกาะ :

ดำน้ำดูปะการัง - หอยมือเสือ มีแนวปะการังอยู่รอบเกาะ และ ชายหาดที่นี่น้ำใสน่ากระโดดลงไปเล่นมาก

เรือคายัค : เราสามารถนำเรือไปพายชมธรรมชาติรอบเกาะได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

เก็บบรรยากาศทั้งบนบนและใต้น้ำเรียบร้อย มานอนฟังเสียงคลื่นสักพัก

นั่งเรือกลับโฮมสเตย์ มองดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบเที่ยง และ ท้องเริ่มประท้วง ... เพราะความหิว สั่งเมนูอาหารง่ายๆ ผัดกะเพราทะเล + ไข่ดาว เพิ่มอีก 1 มื้อ ส่งท้ายก่อนเดินทางกลับ


ได้เวลากลับ แต่ยังไม่อยากกลับเลยยยยย เป็นทริปชิลๆ ที่ไม่ได้มีอะไรมาก แต่มันดีต่อใจมาก
วันนี้น้าจรรยาเป็นคนมาส่งผมที่จุดนัดพบ รอป้านวลมารับไปส่งที่ท่ารถ

ผมก็นั่งชิวๆ กับรถหวานเย็น แบบย้อนอดีต (ชุมพร - สุราษฎร์) ตรงดิ่งเข้า บขส.ชุมพร
รอขึ้นรถทัวร์เดินทางกลับบ้าน เป็นอันจบทริป


แดนโดมโฮมสเตย์
อาจเป็นที่พักธรรมดาๆ ที่น้อยคนจะรู้จัก แต่ในวันที่สิ่งรอบตัวมีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายถ้าได้มานอนพักกายพักใจที่นี่สัก 1 คืน ผมว่ามันเป็นการเติมพลังชีวิตให้กับร่างกายได้อย่างดีเลยทีเดียวแล้วคุณจะหลงรักธรรมชาติเหมือนผม


ค่าใช้จ่าย : -

– ค่าพักที่ แดนโดมโฮมสเตย์ + อาหาร 3 มื้อ + กิจกรรมบามหมึก 700.- / คน

– ค่ารถไป-กลับ จุดรับส่ง 300.- / คน

– ค่าเรือไป-กลับ เกาะกุลา 800.- (12 คน)

– ราคาหน้ากากดำน้ำ 50.-

– ราคาค่าเหยียบเกาะ 40.-

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
FB : https://www.facebook.com/search/top/?q=%แดนโดมโฮมสเตย์%20ท่องเที่ยวทะเลชุมพร

Tel : 086 - 9417046


เ ที่ ย ว ใ ห้ ค น อิ จ ฉ า

 วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.49 น.

ความคิดเห็น