เห็นมาก็หลายรีวิวแล้ว คราวนี้เราได้โอกาสแบกเป้ บินเดี่ยวลุยวังเวียงกับเขาซักที!! เขารีวิวกันไปก็เยอะละ งั้นรีวิวนี้ขอเน้นสูตรสำเร็จของการแบกเป้ไปเที่ยววังเวียงของผู้หญิงคนเดียวเป็นเวลา 3 วัน 2 คืนแล้วกันเนอะ


วังเวียง ได้ยินชื่อนี้ภาพของธรรมชาติ ภูเขา แม่น้ำและกีฬาเอ็กซ์ตรีมทั้งหลายก็เข้าหัวมาทันที! และแน่นอนว่าการไปเที่ยวคนเดียวกับที่แบบนี้มันก็จะงงๆ หน่อยว่า เอ้ออ ไม่มีเพื่อนมาแล้วจะไปเล่นยังไง จะไปหารกับใครงี้ แต่ไม่ต้องกลัวจ้าา เราก็ไปมาแล้ว รับรองสนุกได้ ไม่ต้องห่วงเลย! กับงบน้อยๆ แต่ได้บรรยากาศหลักล้าน!

เริ่มต้นกันที่คืนก่อนวันแรก (**เราเดินทางในคืนวันพฤหัสบดีและกลับวันอาทิตย์ค่ะ)

เราเริ่มกันที่ ก่อนไปเราก็ไปจองตั๋วรถ บขส ที่นี่ http://www.busticket.in.th/ เพื่อไปลง บขส อุดรธานีค่ะ (แต่รถจะเป็นรถกรุงเทพ - หนองคายนะคะ) ในราคา 650 บาท แนะนำให้เลือกรอบ 20.30 นะคะ เพราะยิ่งเราไปถึงเช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดีค่ะ เพราะจะได้มีรถไปวังเวียงง่ายขึ้น (จากที่หาข้อมูลมา ตอนนั้นคิดแบบนี้แหล่ะ เลยเลือกรอบสองทุ่มครึ่งไป)

- พอเราไปถึง บขส หมอชิต 2 (วงเล็บนี้มีไว้เพื่อคนที่ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนเรา: หมอชิต 2 ต้องลง BTS ที่สถานีหมอชิตแล้วก็ลงมาฝั่งที่เป็นตลาดจตุจักรนะคะ แล้วก็โบกวินแถวนั้นไปเลยค่ะ บอกเขาว่า บขส ได้เลย)

- เดินเข้าไปตรงตึกแรกนะคะ แล้วขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไป (เตรียมตั๋วที่เราจ่ายค่ารถที่เซเว่นไว้ด้วย) เดินเข้าไปด้านในตัวตึกแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายเลยค่ะ ไปแลกตั๋วก่อนที่ช่องไหนก็ได้ เขาจะให้ตั๋วรถเรามา

- หลังจากนั้นก็เดินไปตามป้ายบอกทางค่ะ มันจะพาเรามาชั้นล่างเป็นชานลาเพื่อขึ้นรถ (อยู่บริเวณ Food court นั่นเอง) เอาล่ะเวลานี้จะเหลือเวลาหน่อยค่ะ เพราะรอบ 20.30 แต่รถจะมาประมาณเวลา 21.00 เราก็เข้าเซเว่นหรือซื้ออะไรกินลองท้องกันหน่อยเพราะเราต้องเดินทางอีกไกลจ้าา


เอาล่ะ ได้เวลารถมาแล้ว!! กระโดดขึ้นโลดดด (จากที่หาข้อมูลก่อนไป เขาว่ากันว่า เออแกก นั่งนครชัยแอร์สิ รถ VIP นั่งสบายย) แต่เราจองรถของ บขส เพราะวันที่จองรถ นครชับแอร์มันเต็ม แต่ปรากฏว่า มันประทับใจมากๆ เลยค่ะ (รอบเวลานี้ เป็นรอบที่เป็นรถ VIP) ที่นั่งกว้าง ยืดขาได้ เอนเบาะได้ แอร์เย็นนน สะอาดและเบาะนิ่มดีค่ะ พนักงานจะแจกขนมปังให้เราพร้อมน้ำหนึ่งขวดด้วย (เขาจะจอดพักรถ 1 จุด เราสามารถเอาตั๋วรถของเราไปแลกอาหารฟรีได้นะคะ มันจะมีโต๊ะตั้งไว้ ด้วยความที่ไปคนเดียว เราก็กล้าๆ กลัวๆ อายๆ ว่าเอ้ออ มันได้มั้ยย แต่พนักงานเรียกหาบัตรแล้วเขาก็ตักให้เราทันที ก็เลยลดความกลัวๆ เกรงๆ ตรงนั้นไปได้บ้าง)

วันที่หนึ่งแบบของแท้แน่นอน

เอาล่ะ หลังจากที่เรานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นบนรถทัวร์กันไปแล้ว เราก็จะมาถึง บขส อุดรธานี เขาจะจอดให้เราลงข้างหน้า นี่ล่ะ ตอนนี้ล่ะ ทุกคนต้องตั้งสตินะคะ จะมีชาวมอเตอร์ไซค์เข้ามาหาเราเยอะมาก ประหนึ่งเราเป็นดาราเลยค่ะ และด้วยความที่ไปตัวคนเดียว มันก็จะมีความสติแตกหน่อยๆ จะปฏิเสธยังไง จะต้องเดินไปทางไหนให้ไม่ต้องสบตาพวกเขา โอ้โห ใจบางมากๆ แต่เราต้องตั้งสติค่ะ ให้เราหันหน้าไปให้เจอ Central ก่อน แล้วเราก็มองเยื้องๆ (ซอยจะอยู่ตรงข้ามเรา) ไปจากที่เรายืนอยู่จะเจอซอยนึง เดินเข้าไปในซอยนั้นเลยค่ะ

- หลังจากนั้นให้เดินเข้ามาประตูเล็กๆ ประตูแรกเลยค่ะ

- พอเข้าประตูมาแล้วก็มองไปทางซ้ายจะเจอช่องขายตั๋วไปวังเวียงอยู่

แต่ แต่ แต่!!! ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่ามันต้องจองก่อนด้วย!! หมดสิคะ รออะไร มาเช้าแต่ก็ไม่มีรถไปวังเวียงเลย ตั๋วหมดแล้ว เอาแหล่วๆ เอาไงต่อ สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว (ถ้าเรานั่งรถต่อไปหนองคาย ซึ่งมีวิน มีรถตู้แถวนั้นมาถามกันเยอะมาก ว่าไปมั้ยๆ ไปวังเวียงหรือเปล่า เขาไปส่งที่ด่าน ราคา 200 กว่าอะไรก็ว่าไป ก็เท่ากับเราต้องนั่งรถตรงนี้ไปที่หนองคาย แล้วก็ไปต่อที่ด่าน แล้วก็นั่งจากด่านไปเวียงจันทร์ แล้วก็นั่งจากเวียงจันทร์ไปวังเวียงอีก!! หูววว ไปคนเดียวไม่มีคนหารนี่ต้องเสียเงินเท่าไหร่ T_T เพราะฉะนั้น ไหนๆ มันก็ต้องไปต่อรถที่เวียงจันทร์เหมือนกัน เราก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋วรถไปเวียงจันทร์มันซะเลย!! ในราคา 80 บาท รอบเวลา 9.00 น. - ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 7 โมงเช้า T^T)

หลังจากที่เราได้ตั๋วมาแล้ว เราก็มานั่งรอกันตรงด้านในเลยค่ะ มันจะมีช่องที่เขียนว่า Inter Bus ไปเวียงจันทร์เราก็นั่งรอตรงนั้นเลย ระหว่างรอเราก็สามารถไปล้างหน้า ล้างตา แปรงฟังให้สดชื่นในห้องน้ำก่อนได้ค่ะ (หนึ่งข้อเสียในร้อยข้อดี ของการเดินทางคนเดียวคือการที่เวลาเราจะเข้าห้องน้ำแล้วไม่มีคนเฝ้าของนี่แหล่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราสามารถฝากของไว้กับโต๊ะเก็บเงินข้างหน้าได้ค่ะ)

- พอเวลา 9 โมง รถจะมารับเรา ให้เราเตรียมตั๋วที่ซื้อมาเมื่อกี้ให้กับพนังงานค่ะ เขาจะพาเราไปที่นั่งเอง

(อย่าหวังว่า เออ จะถามทางไปวังเวียงจากชาวลาวที่เราเจอบนรถได้ทุกคน เพราะเราผ่านมาแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักวังเวียงค่ะ T_T ก็เหมือนเราอ่ะค่ะ ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ว่าจะนั่งรถไปสุไหงโกลกนี่ต้องไปยังไงเหมือนกัน)

- รถจะวิ่งไปได้ซักพักจะไปถึงด่านที่หนองคาย เพื่อผ่านด่านขาออก ก็ง่ายๆ ค่ะ ให้เรากรอกฟอร์มขาออกเหมือนตอนที่เราเดินทางด้วยเครื่องบินเลยค่ะ ผ่านเข้าไปอีกฝั่งปุ๊ป รถจะไปจอดรอเราอีกฝั่ง (มันก็จะงงหน่อยๆ แต่ไม่เข้าใจมากๆ ว่าจะไปซื้อซิมที่ไหน จะแลกเงินได้ตรงไหน แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เราสามารถไปแลกได้ตรง ตม. ได้เลย)

- เอาล่ะค่ะ พอรถขับมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ตรงนี้แหล่ะค่ะที่จะต้องใช้สติ สมาธิ และปัญญาในระดับสูง แม้จะอ่านรีวิวมากี่ครั้ง พอเจอหน้างานก็พังทันที (5555555 หัวเราะด้วยความสะใจอิช้อยนัก) อ้อ ทำเวลาให้เร็วนิดนึงก็ดีนะคะ แม้ว่ารถจะไม่ทิ้งเราแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เมื่อเรามาคนเดียวค่ะ

1. คุณต้องมองหาตู้แบบนี้เพื่อไปซื้อบัตรเข้าเมือง(มันจะเอาไว้ใช้คล้ายๆ BTS อ่ะค่ะ) ราคาน่าจะประมาณ 20 บาท(ใช้เงินไทยไปโล้ยย)

2. เสร็จปุ๊ป ให้คุณมองไปทางซ้ายมือจะเจอช่อง Exchange รีบพุ่งไปต่อแถวแลกเงินก่อนเลยอย่างแรก ด้วยความไวที่ล้นปรี่ (เพราะเท่าที่เห็นคืออีกฝั่งมันไม่มีที่แลกเงินอ่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าตรงอื่นมีมั้ย)

3. หลังจากแลกเงินและนับเรียบร้อย(อย่าเพิ่งอินกับความฟู่ฟ่า ถือเงินเป็นล้านนะคะ ทำเวลาค่ะ ท่องไว้ สติๆ) รีบมาเข้าแถวเพื่อผ่าน ตม. ค่ะ อ้อ ก่อนเราจะลงมาจุดที่หนองคายนี้ คนขับรถจะแจกฟอร์มขาเข้าลาวให้เรา อย่าลืมกรอกมาตั้งแต่บนรถนะคะ มาถึงเราจะได้ยื่นได้ทันที (ถ้าไม่มีฟอร์มนี้ เขาจะมีคนยืนแจกอยู่ค่ะ ขอเขามาได้เลย) เตรียมสามอย่างนี้ให้พร้อมแล้วเข้า ต.ม ได้เลยค่ะ

หลังจากที่เราผ่านมาได้แล้วนั้นให้เรารีบสาวเท้า จ้วงไปที่รถที่เรามาได้เลยค่ะ อ้อ ที่สำคัญที่เราคอยย้ำว่าเราต้องมีสติเพราะว่าแต่ละช่อง แต่ละตู้ ไม่ว่าจะเป็นช่องขายบัตรผ่าน ตม. หรือช่องแลกเงิน มันไม่เรียงกันเลย มันดู งงงวย มันดูสับสน มันดูไม่รู้จะต้องเริ่มไปอันไหนก่อน มันเหมือนตรงไหนว่างฉันก็ตั้งตู้ตรงนั้น T_T มันจะมีความงงหน่อยๆ ค่ะ

หลังจากนั้นรถก็จะพาเราเดินทางเข้ามาที่ประเทศลาววแล้ววววว สิ่งแรกที่เราสังเกตได้คือที่นี่มีภูมิประเทศคล้ายบ้านเรามากๆ มีการใช้ตัวหนังสือที่คล้ายกันมากๆ (แต่เอาจริงๆ แล้วก็อ่านไม่ค่อยออกเท่าไหร่) การดำเนินชีวิตก็มีความคล้ายคลึงกันแต่เขาจะขับรถฝั่งขวาค่ะ (ซึ่งมันทำให้เรางงมากนิดหน่อย) ส่วนมากแล้วเขาจะเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซต์กันเยอะ แต่สิ่งที่เราเห็นได้มากระหว่างการเดินทางคือบ้านเรือนค่ะ ถ้าบ้านหลังใหญ่ก็คือใหญ่แบบใหญ่จริงๆ (เท่าที่เห็นส่วนใหญ่บ้านหลังใหญ่ๆ นี่จะมีลักษณะหลังคาเป็นโดมๆ ซะเยอะ) ส่วนบ้านทั่วไปก็คล้ายๆ กับบ้านเรา ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

- หลังจากนั้นรถจะพาเรามาลงที่เวียงจันทร์ค่ะ (ระหว่างนั่งรถมาหรือก่อนลงรถ เราได้ทำความรู้จักกับคนไทยที่ตั้งใจจะไปวังเวียงด้วย เพราะคนไทยที่มากับรถส่วนใหญ่จะไปวังเวียงกันทั้งนั้นเลยค่ะ)

- ลงมาปุ๊ป ใจเราต้องนิ่ง ต้องตังสติระดับท๊อปเลยค่ะ เพราะจะมีคนเดินตามเราอย่างกับเราเป็นดาราฮอลวูดเลยค่ะ ให้เราทำใจให้นิ่ง บากหน้าผ่านทุกคนไปเพื่อไปซื้อซิมการ์ดฝั่งตรงข้ามก่อน (เมื่อไหร่ที่เราบอกคนขับรถที่มาเรียกเราว่าเราจะไปซื้อซิมการ์ด เขาจะพาเราไปที่ร้าน หรือไม่ก็เดินตามเราไปแล้วไปบอกที่ร้านขายซิมค่ะ ว่าเราจะซื้อซิมแล้วค่าซมมันจะแพงขึ้นเพราะเขาจะหักค่านายหน้าจากคนที่เดินตามเรามาหรือคนที่พาเรามานี่ล่ะค่ะ)

- หลังจากซื้อซิม เปิดเบอร์เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาค่ะ คราวนี้ล่ะ เราต้องใช้พลังงานเต็มขีด ปล่อยสกิลต่อราคาแบบคอมโบไปเลยค่ะ ยิ่งถ้าหาเพื่อนคนไทยบนรถที่เรานั่งมาด้วย ไปด้วยกัน ต่อราคาคนที่เดินๆ ตามเราเมื่อกี้ก็จะยิ่งดีค่ะ รถตู้ต่อไปต่อมาตกคนละ 200 - 250 บาทค่ะ

- พอต่อราคากันเรียบร้อยแล้วเขาจะพาเราไปที่รถตู้ หลังจากนั้นก็เตรียมตัวค่ะ ถ้ามีหมอนรอคอก็เอามาใช้จะดียิ่งขึ้นนะคะ เพราะทางนี่เหมือนเราเล่นโลเลอร์โคสเตอร์ตลอด 4-5 ชั่วโมงเลยค่ะ (หลุมเยอะมาก คิดว่าอยู่บนดวงจันทร์ซะอีกก)

และแล้ววววว เมื่อเรานั่งรถตู้มาอย่างยาววนานนนน เด้งกันมาจนก้นชาาา กันไปแล้วว เราก็มาถึงแล้วค่ะ วังเวียงงง (บอกชื่อโรงแรมกับคนขับไปเลยนะคะ พวกเขาจะพาเราไปส่งที่โรงแรมเลยค่ะ)

ตัวเมืองวังเวียงเป็นเมืองเล็กๆ ค่ะ สามารถเดินไปได้จนทั่วเลยล่ะค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าถ้าเราจองโรงแรมในเว็ปแล้วจะเดินทางไปลำบาก แม้คนขับรถจะพาเราไปไม่ถูก แต่ถ้าเขาให้เราลงที่ตัววังเวียงแล้ว เราเปิด Google Map แล้วเราสามารถเดินไปถึงแน่นอนค่ะ ครั้งนี้เรามาพักกันที่โรงแรม Popular View ค่ะ

ที่พัก: Popular View Guesthouse

วาร์ป: https://www.booking.com/hotel/la/popular-view.th.h...

ห้อง: วิวริมแม่น้ำ (River side)

นี่ค่ะ ห้องที่เราได้ วิวดีมากกกกก มองออกไปนี่มีทุกอย่างครบ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา หมอก แม่น้ำซอง หรือต้นไม้ รวมความเป็นวังเวียงได้ดีมากกก


และที่นี่นะคะ ติดกับมาร์ทด้วยยย (ที่นี่ไม่มีเซเว่นนะคะ) มีแต่มาร์ทแบบนี้แทนค่ะ

อ้อ แล้วเดินๆ ในวังเวียงนี่เราคิดว่าเราเดินอยู่ในเกาหลีเลยค่ะ โอปป้าเยอะมากกกกกก มากแบบมากกกก มากแบบทุกร้านต้องมีป้ายภาษาเกาหลี เดินเข้าไปต้องเจอโอปป้าทุกร้านเลยค่ะ แบบ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนมาที่นี่คือคนเกาหลีเลยก็ว่าได้นะคะ เอาล่ะค่ะ หลังจากเรามาถึงที่พัก เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ(หลังจากหมักมาเกือบสองวัน นี่ใช้เวลานานกว่าหมักหมูอีก) แพลนของเราก็คือ ออกไปเช่าจักรยาน ปั่นรอบวังเวียง ชมวิว ดูพระอาทิตย์ตกกันน

ไปค่ะ ไปขี่จักรยานชมวิวกัน เราก็ขี่ไปทางริมแม่นำ ข้างๆ โรงแรมของเราก็จะเจอวิวแม่น้ำสวยๆ ช่วงเย็นๆ บรรยากาศดีๆค่ะ

หลังจากนั้นพอพระอาทิตย์ใกล้จะตก การมาวังเวียง ที่ๆ เป็นธรรมชาติขนาดนี้ ไหนๆ เราก็เคยเห็นพระอาทิตย์ตกมาหลายที่แล้ว เราก็ต้องไม่พลาดพระอาทิตย์ลับขอบภูเขากันที่นี่เลย แต่ แต่ แต่ ทำยังไงจะได้เห็นวิวสวยๆล่ะ เราก็ต้องขึ้นไปที่สูงๆ พอจะเห็นยอดภูเขากันสักหน่อย เอาล่ะค่ะ จับ Google Map ตามกันมาเลย เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่ร้าน Earth Recycled Bar&Restaurant กันนน


ปั่นมาเรื่อยๆ เราก็จะได้เห็นวิวข้างทางในมุมสูงขึ้นมาหน่อยของวังเวียง สวยมากค่ะ รับประกันเลย

เอาล่ะ หลังจากที่เรามาถึงร้านแล้วเราก็เลือกเข้าไปนั่งด้านในสุด วิวริมด้านนอกของร้านได้เลย รับรองว่าจะเป็นมุมที่ทำให้เราได้เห็นพระอาทิตย์ตกสวยมากแน่นอน

ร้าน Earth Recycled Bar&Restaurant: https://th.tripadvisor.com/Restaurant_Review-g6123...

อาหารจานที่แนะนำให้สั่งคือเบอร์เกอร์และนัตเก็ตค่ะ อร่อยแบบลืมนัตเก็ตแป้งๆ แบบหลายร้านดังในบ้านเรากันไปเลย

เย้ พระอาทิตย์ตกแล้วววววว

หลังจากดูพระอาทิตย์ตกกันจบเอิบใจแล้ว เราก็กลับที่พักกันค่ะ แต่ก่อนนอน วิถีคนอ้วนอย่างเราต้องไม่ยอมค่ะ เราต้องกินก่อนนอนกันไปเลยยย กับอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ โรตีนั่นเองงง

วันที่สองในวังเวียง

วันนี้เราจะไปกันแบบเร็วๆ เลยนะคะ เน้นเฉพาะคำแนะนำเนอะ เอาเป็นว่าคนที่ไปดูแพลนคร่าวๆ แล้วไปสั่วเอากันหน้างานได้เล้ยย

- เริ่มต้นในตอนเช้า ตื่นมาดูหมอกและวิวสวยๆ หน้าระเบียงกันก่อน (เราแพลนออกจากห้องพักตอน 7 โมงครึ่งค่ะ)


- เช่ามอเตอร์ไซค์ข้างที่พัก ราคาประมาณ 6 หมื่นกีพเห็นจะได้ค่ะ (เลือกรถเบรกดีๆ หน่อยนะคะ เพราะเราได้คันที่เบรกไม่ดีเท่าไหร่ พอฝนตกมันอันตรายค่ะ ด้วนภูมิประเทศของเขามันเป็นภูเขา มันตองขึ้น - ลง เขา ถาเบรกไม่ดีนี่ยิ่งอันตราายใหญ่เลยค่ะ) เราก็มากันที่สะพานข้ามแม่น้ำกันเลย


- เป้าหมายแรกของเราคือ ผาหินเงินน เราก็ขับข้ามสะพานนีไปเลยค่ะ จับ Google Map และมองข้างทางฝั่งขวาไปเรื่อยๆ จะเจอป้ายบอกทางค่ะ เอาล่ะ พอมาถึงปุ๊ป เราก็จ่ายค่าเข้า หลังจากนั้นจะมีชาวม้งลาวบอกทางเราค่ะ อ้อ จะบอกว่ามันไกลมากนะคะ สูงมากกกก ยอดเขานู้นแหล่ะค่ะ แนะนำอย่าใส่รองเท้าที่เป็นพื้นโฟม หรือรองเท้าแตะมานะคะ ไปไม่ค่อยจะรอดเท่าไหร่หรอกค่ะ

"แค่นิดเดียว"
...ถ้าชาวม้งคนลาวบอกว่า "แค่นิดเดียว" แปลว่า "โครตไกล" เคยโดนคนม้งที่เชียงใหม่บอกมาแบบนี้ พอมาเจอแบบนี้เราก็ยังคิดว่านิดเดียวอยู่ดี ปีนเขาไปครึ่งทางกับพื้นลื่นๆ (อันตรายน่าดู) แต่มิตรภาพมันเกิดขึ้นระหว่างทางเสมอ เพราะเราได้เจอคนผ่านลงมาระหว่างทาง เราถึงได้ขอให้เขาช่วยพาเราลงไปด้วย ได้มิตรภาพดีๆ กับมือที่เขายื่นมาให้เราจับตอนเราเดินแล้วลื่น กับประสบการณ์ที่โครตดีในการปีนเขาครั้งแรก(จากคนที่โครตกลัวความสูง) อ้อ เด็กๆ ม้งที่คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่เด็กๆ น่ารักมากเลย...

ความมหัศจรรย์ของวังเวียง (ขอบคุณภาพจากพี่ๆ ที่เจอกันที่วังเวียงด้วยนะคะ ขอบคุณที่ขึ้นไปเก็บภาพสวยๆ ข้างบน ภาพนี้มาให้)


- จุดหมายปลายทางต่อไปของเราคืออออ บลูลากูนนนน จับ Google Map แล้วตามมาโลดดด (เอาจริงๆ มันก็มีป้ายบอกทางตลอดแหล่ะค่ะ)

น้ำที่โครตใส มองเห็นตัวปลาได้

เมื่อฉันหลงรัก บลูลากูน
... ไม่คิดว่าจะมาเล่นเอง!! จริงๆ การมาเที่ยวครั้งนี้ เรามาคนเดียว แต่เพราะการมาคนเดียวนี่แหล่ะ ที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทำให้เรามีเพื่อนใหม่ และเราได้ทำอะไรใหม่ๆ (ที่คิดว่าถ้ามากับคนรู้จัก คงไม่กล้าทำแน่) และแน่นอนว่าการกระโดดน้ำที่ บลูลากูน ก็เป็นครั้งแรกที่เล่นอะไรที่มันดูตื่นเต้นขนาดนี้ (ปกติเครื่องเล่นหวาดเสียวนี่ก็ยังไม่กล้าเล่นเลยนะ) กับครั้งแรกที่ได้ทำอะไรที่เป็นการเดินออกจาก Comfort zone อย่างจริงจัง ซึ่งเรายินดีที่ได้รู้จักอีกหลายๆ คนที่ไม่รู้จัก ที่ให้เราทำในสิ่งที่โครตสนุก และโครตกลัวได้...! ไปคนเดียวแค่ไหน แต่ยังไงเราจะได้มิตรภาพดีๆ กลับมาแน่นอน :)

- จบจากความโครตสนุกที่ บลูลากูนประมาณบ่าย 2 กันแล้วก็กลับมาพักเหนื่อย อาบน้ำ พักซักหน่อยแล้วที่ขาดไม่ได้คือการ กิน!!! แซนวิชลาวนี่ล่ะ ที่ขาดไม่ได้!!


ลาวเคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสอย่างที่เราๆ ก็รู้กันอยู่นะคะ แต่ไปตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นการเข้ามาของวัฒนธรรมมากขนาดนี้ ตอนแรกเราเข้าใจว่ามันจะมีปลิ่นอายความเป็นวัฒนธรรมไทยสูงกว่านี้ในเรื่องการกิน แต่กลายเป็นว่า ที่ไหนๆ ก็มีขนมปังแบบนี้ขายทั้งนั้น ทำให้เห็นได้ชัดถึงการผสมผสานวัฒธรรมที่สุดท้ายแล้วมันก็กลายมาเป็นเสน่ห์ที่ทุกคนก็ต้องเข้าไปลองสัมผัส

ปอลอ มันอันใหญ่มาก และอร่อยมากเลยล่ะ

เอาหล่ะ หลังจากอาบน้ำ และนอนหลับกันซักตื่น ประมาณ 5 โมงเย็นเราก็ออกไปสะพานส้ม หนึ่งในแลนด์มาร์คที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องไปถ่ายรูปที่นี่กันเถอะค่ะ

Map: https://th.tripadvisor.com/Attraction_Review-g6123...


- ช่วงที่เราไปมันฝนตกค่ะ ถ้ำเลยเข้าไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เราไปแวะต่อกันที่โรงแรมธาราวิลล่า ที่ๆจะได้เห็นท้องนาอย่างที่หลายๆ คนถ่ายรูปมาดูกัน

Map: https://www.google.co.th/maps/dir/''/%E0%B8%98%E0%...



วันนี้หลังจากนี้เราก็ไปจบกันที่ โอปป้าบาร์ เอ้ย!! ซากุระบาร์ (ก็มีคนเกาหลีเกินครึ่งขนาดนั้นนน) แต่ไม่ได้ถ่ายภาพมาหรอกนะคะ ต้องไปดูกันด้วยตาตัวเองดีกว่า 5555

วันที่สาม วังเวียงจ๋า พี่ลาก่อน

เนื่องจากเราติดต่อกับทางโรงแรมไว้ก่อนหน้านี้ เราเลยใช้บริการ Airport Transfer กับที่พักค่ะ ซึ่งเขาก็ใจดีมากๆๆๆ หารถให้เราเสร็จสัพ เอาล่ะ 6 โมงเช้าออกดินทางไปสนาบินน

แต่ แต่ แต่!!!! ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยใช่มั้ยล่ะ?! ดูมันสวยหรูใช่ไหม??? แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเราไร้สติและไม่รอบคอบ แม้จะเป็นช่วงเวลาก่อนการเดินทางกลับก็ตาม!!

เมื่อฉันเกือบต้องติดอยู่ที่ลาวแบบไม่มีอะไรติดตัวเลย!!!
"... ฉันถูกทิ้งไว้ที่ปั๊มน้ำมัน...! ขณะที่รถตู้ซึ่งพาฉันออกมาจากวังเวียงเพื่อไปสนามบิน(ในรถต้มีเราคนเดียว) และคนขับลงไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความไม่ทันคิดและสะเพร่าของเราเอง (และไม่ทันคิดว่าคนขับรถจะไม่เช็คว่าเราขึ้นรถมาหรือยังเลย) ฉันเอามือถือ กระเป๋าและทุกอย่างวางไว้บนรถตู้คันนั้นและลงมาเข้ามาร์ทด้านล่าง และเมื่อฉันออกมาอีกครั้ง...รถไปแล้ว (ต่อหน้าต่อตาฉันด้วย) ฉันทำอะไรไม่ถูก (วิ่งตามแล้วแต่คนขับรถไม่มองฉันเลย) โทรหาใครก็ไม่ได้ เงินก็ไม่มี พาสปอร์ตและเอกสารอยู่ในกระเป๋า...! ขอบคุณพระเจ้าที่มีพนักงานใจดีพาฉันขี่มอเตอร์ไซค์ตามไป.. ซึ่งตามไม่ทัน..! เมื่อไปถึงสนามบิน ฉันพบว่า ไม่มีวี่แววของรถตู้!! ทำยังไงดี ทำยังไงดี เลยตัดสินใจว่า เอาล่ะ งั้นกลับไปปั๊มที่เดิมก่อนแล้วกัน ค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อ และเมื่อเรากลับมาถึงปั๊มอีกครั้ง พนักงานบอกว่า... รถตู้เพิ่งขับออกไปจากปั๊มอีกครั้งเมื่อกี้นี้เอง..! จนในที่สุดขอบคุณพี่พนักงานคนนั้นที่ใจดีขับรถออกมาให้ฉันที่สนามบินดีกครั้งและครั้งนี้ก็ได้พบว่าของฉันอยู่ที่นั่นแล้ว!!

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราต้องรอบคอบตลอดเวลา มีสติตลอดเวลาด้วย และที่สำคัญคือถ้ามันไม่สามารถได้คืนจริงๆ ก็หาทางไปสถานฑูตไทยให้ได้ (ลองเจรจาก่อนว่าให้คนแถวนั้นช่วยไปส่งได้มั้ย ถ้าไม่มีเงินติดตัวแบบเราเลยก็คงต้องไปหาเอาหน้าสถานฑูตอีกที(อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง ใครมีวิธีก็มาแชร์กันได้ค่ะ))


และสุดท้าย (ท้ายสุดของรีวิวนี้) การเดินทางครั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นสอนให้เรารู้ว่า ทำไมต่างชาติถึงชอบความใจดีของคนไทย เพราะมันซึ้งใจแบบพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยล่ะเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือและเราพร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปให้เขาพึ่งพิง "อย่าลืมช่วยเหลือกันเยอะๆ นะคะ :)"


ปล. (สุดท้ายแล้วจริงๆ) ฝากเพจด้วยนะคะ

ฉัน ไป ไหน มา

https://www.facebook.com/%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%...

Been There Alone

 วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 01.06 น.

ความคิดเห็น