I will see you again : "หลวงพระบาง" สักวันเราจะพบกันใหม่
09 DECEMBER 2016
: การเดินทางกลับมาหลวงพระบางอีกครั้ง :
เราเดินทางจากเมืองงอยกลับมาหลวงพระบางอีกครั้งเพื่อจะเดินทางกลับไทยทางด่านเชียงรายในวันรุ่งขึ้น เดินทางมาถึงหลวงพระบางในช่วงเย็นๆ จึงเดินหาที่พักที่อยู่ใกล้ๆจุดที่ใกล้บริษัทเอเจนซี่ที่มีรถมารอรับไปขึ้นรถกลับเชียงรายในวันพรุ่งนี้ เดินมาเจอที่พักเล็กๆ เป็นที่พักเพิ่งจะเปิดใหม่ (ขออภัยจำชื่อไม่ได้) อยู่ห่างจากที่พักเดิมประมาณ 400-500 เมตร แต่อยู่ใกล้จุดขึ้นรถประมาณ เกือบ 100 เมตร
ส้มของหนุ่มเวียดนามเก็บไว้กินตอนค่ำๆ อิ่มขนมปังแพนเค้กจากเมืองงอยระหว่างทางแล้ว
ภายในห้องโทนสีขาว น่ารัก เหมาะกับหญิงสาววัยหวานนอนพัก แต่ไม่เข้ากับผู้หญิงนิสัยเถื่อนๆแบบเราเลย 555 แต่ก็ชอบนะ นอนแบบโปร่งๆ สบาย มีวิวสวยๆนอกหน้าต่างให้ดู คืนนี้อาจมีดาวเต็มท้องฟ้าเหมือนเมื่อคืนวานก็ได้นะ ^^
วิวนอกหน้าต่างช่วงบ่ายแก่
หลังจากสำรวจห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ก็อาบน้ำหลับพักผ่อนหลังจากเดินทางมาทั้งวัน
หลังจาตื่นมาในช่วงหัวค่ำ ก็เดินไปหาของกินที่ตลาดมืด ซึ่งตลาดมืดอยู่ห่างจากที่พักไม่มาก อยู่บนถนนเส้นเดียวกันนั่นแหละ เลยเดินเล่นรับลมหนาวไปเรื่อยๆ
: สุกี้บุฟเฟ่ อร่อยสุดฟิน :
ตลาดมืดนั้นมีนักท่องเที่ยวเย่อะทุกวัน เป็นภาพชินตาสำหรับเราแล้วเพราะอยู่หลวงพระบางหลายวัน ค่ำนี้เลยมีเป้าหมายคือหาของกินใส่ท้องก่อน เพราะตั้งแต่อาหารเช้าที่เมืองงอย ก็ยังไม่มีอาหารหนักๆตกถึงท้องเลยกระเพาะเริ่มทำงานร้องโวยวายแล้ว
ด้วยความที่อยากกิน เลยถามแม่ค้าว่า " ขายยังงัย" แม่ค้าพูดภาษาไทยตอบกลับมานี่แหละว่า " ชิ้นละ 3,000 กีบ " เลยคำนวนคิดเป็นเงินไทย ประมาณชิ้นละ 12 บาท สุกี้บุฟเฟ่ เลือกวัตถุดิบตามใจชอบ กุ้ง หอย ปู ปลา ไข่ มาม่า ผัก ก็ชิ้นละ 12 บาท จับใส่ลงตะกร้าเลือกตามใจชอบเลยยยยย ...
ปล. คนเย่อะต้องรอคิวหน่อยนะ...
รอคิวด้วยความหิว แล้วก็ร้องเพลงรอๆต่อไป....
ในที่สุดก็ได้กินสุกี้แล้วเย้!!!....เป็นการรอคอยที่ท้องร้องมาก แต่อยากกิน และไม่คิดจะซื้ออย่างอื่นกินรองท้องระหว่างรอ 555 กลิ่นหอมๆ สุกี้ ร้อนๆกำลังมาเซิร์ฟให้เราที่โต๊ะ แม่ค้ายิ้มหวาน พร้อมบอก ...รอนานหน่อย เครื่องปรุงปรุงตามใจชอบเลยนะ..
สนนราคาค่าสุกี้มื้อนี้ คือ 30,000 กีบ ราคาไทยประมาณ 120 บาท
แม่ค้าแนบราคามาให้พร้อมสุกี้ร้อนๆ
สุกี้บุฟเฟ่
หลังจากทานอิ่มแล้ว เราก็ไปเดินเล่นตลาดมืดต่อ เดินคนเดียวมันก็จะแอบเหงาๆนิดหน่อย เดินไปจนสุดตลาด เห็นร้านขายเบเกอรี่ เลยเข้าไปตบท้ายด้วยของหวาน ก่อนเดินย้อนกลับไปตลาดมืด เพื่ออาบน้ำนอนเล่นที่ห้องพักไปจนกว่าจะหลับ
เค็กเลม่อน นั่งชิมดูคนเดินผ่านไปผ่านมา อากาศหนาวเย็นสบายๆ
เก็บตกบรรยากาศตลาดมืด ก่อนกลับที่พัก
กลับถึงห้องเตรียมจัดกระเป๋า เก็บของ เคลียของนับเงินที่เหลือ พรุ่งนี้เราจะมีพอเหลือซื้อของกินกี่กีบว๊าา 555 ของกินที่นี่เป็นที่รู้กันอยู่ว่า แพ๊งง...แพงง ฮ้าๆ
ตั๋วทุกใบเก็บไว้เป็นที่ระลึก
10 DECEMBER 2016
วันนี้เลือกที่จะนอนตื่นสายสักวัน อยู่หลวงพระบางมาหลายวัน ( อืม 2-3 วันเอง )แต่รู้สึกคุ้นชินที่ทางพอสมควร เสียงนาฬิกาจากมือถือตั้งปลุกไว้ ตอน 10 โมง ก็ทำหน้าที่ทันที การนอนคืนที่ผ่านมาหลับสบาย หลับเป็นตาย...
ทำภารกิจส่วนตัวเรียบร้อย นอนเล่นเกลือกกลิ้งรับแอร์เย็นๆอยู่บนที่นอน สายวันนี้ อากาศที่หลวงพระบาง แดดจ้ามาก และถ้าออกไปข้างนอกก่อนเวลา เช็คเอ้าดูจะเสียเวลานอนเล่นไปอีก 45 นาที ใครกันอยากจะออกเดินไปตากแดดในช่วงเวลานี้
ส้มก็ยังไม่ได้กิน เลยแก้หิวกินส้มนั้นสะ เช็คตั๋ว เช็คเงิน ก่อนสะพายกระเป๋าออกไปเช็คเอ้าท์
แพ็คกระเป๋าเรียบร้อบแล้วววว
เที่ยงวันตะวันตรงหัวแบบนี้จะไปทางไหนดี นึกไม่ออก เสิร์ชหาข้อมูลดีกว่า ข้อมูลที่เราต้องการหาตอนนี้คือ ร้านอาหาร ก็ใช่นะสิ ตื่นสิบโมง ข้าวเช้ารวมกับข้าวเที่ยงไปแล้ว ความหิวเลยมาเยือน
เป้าหมายเที่ยงนี้ คือร้าน Joma Bakery Cafe หลวงพระบาง เห็นเกริ่นมาว่าถ้าไม่มาที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงหลวงพระบางนะ ( จริงเหรอ ?)
เช็คเอ้าท์ตอนเที่ยงเป้ะ!! ออกจากที่พัก เอากระเป๋าไปฝากที่ร้านเอเจนซี่ขายตั๋วที่เราจองไว้ให้รถมารับดีกว่า ขืนแบกปุเลงๆไปด้วยมีหวังไหล่หัก เพราะมันหนักมากกกก...
เดินไปร้าน Joma Bakery Cafe ระหว่างทางก็เก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ
: Joma Bakery Cafe หลวงพระบาง :
เราเดินมาถึง ร้านโจมา หลวงพระบาง
อยู่ตรงวงเวียนไนท์มารเกต ติดกับร้านวุฒิศักดิ์สาขาหลวงพระบาง
และมีอีกสาขานึงถ้าจำไม่ผิดนะ เพราะเดินผ่านตรงด้านหลังที่ติดกับแม่น้ำคาน ก็จะมีร้านโจมา หลวงพระบาง ตรงริมน้ำคานอีกแห่งนึง
ภายในร้านจะมีขายทั้งกาแฟ ขนมเค้ก เบเกอรี่ และอาหารประเภทแฮมเบอร์ต่างๆ ร้านจะมีคนแวะเวียนเข้ามาอยู่ตลอด เพราะเป็นร้านชื่อดังและเป็นร้านแรกๆที่ตั้งอยู่คู่หลวงพระบางมานาน
ภายในร้าน Joma Bekery Cafe
ร้านกาแฟ โจมา เบเกอรี่ คาเฟ่ (Joma Bekery Cafe)เป็นร้านกาแฟลาวสไตล์ฝรั่งเศส มีอยู่สองสาขา ที่เวียงจันทน์ และ หลวงพระบาง กาแฟของโจมาเป็นแบบกาแฟลาวเข้มข้น เมล็ดกาแฟใช้พันธุ์อะราบิกา (Arabica)ซึ่งผลิตจากเมืองปากซอง ประเทศลาว
มื้อเที่ยงรวมกับมื้อเช้าไปเลย
มาสร้างแลนด์มาร์คว่ามาถึงหลวงพระบางจริงๆนะ เรียบร้อยแล้ว ก็จัดเต็มกับมื้อเที่ยงไปตามระเบียบ ใจจริงกะว่าจะนั่งสิงสถิตน์ร้านนี้จนถึงเย็น แต่ว่ามันไม่ใช่แนวเลยที่จะให้นั่งร้านกาแฟนานๆ ไร้จุดมุ่งหมาย รอเวลา เล่นเนต ก้มหน้ามองแต่โลกโซเชียลไปจนถึงเย็น แค่นั่งแช่ครึ่งชี่วโมงก็อึดอัดตัวเองแย่แล้ว 555
ทานอิ่ม นั่งแช่ตากแอร์เย็นๆ จนถึงบ่ายโมงครึ่ง ก็ตัดสินใจฝ่าความร้อนเดินออกเที่ยว ดูบ้านดูเมืองของลาวไปเรื่อยๆ เก็บภาพตามมุมต่างๆที่เราคลาดสายตากันไป เห็นฟ้าสวยๆแบบนี้จะพลาดได้งัย
บรรยากาศยามเที่ยง ฟ้าใส ฟ้าสวย แต่ร้อนมากๆ
เมื่อความร้อนแผดเผา หาที่ร่มไปนั่งหลบร้อนดีกว่า จะเข้าร้านกาแฟหาแอร์เย็นๆตอนนี้ ดูเงินกีบในกระเป๋าก็ร่อยหลอ บัตรจะกดเงินไทยไปแลกตังกีบก็ไม่มี เพื่อนทิ้งไว้ให้ 150,000 กีบ ก็ต้องประหยัดไว้หน่อย เผื่อฉุกเฉินต่างๆ เลยเอาเงินที่เหลือของตัวเอง ประมาณ 500 บาทไทย เก็บไว้กินมื้อเย็นดีกว่า 555
ความร้อนนึกถึงอากาศลมเย็นๆริมแม่น้ำโขงขึ้นมาทันที.... ใช่แล้ว...เป้าหมายที่ไม่ต้องเสียตังเลยคือ นั่งเล่นริมแม่น้ำโขง มองฟ้า มองแม่น้ำ ดีกว่ามองแต่มือถือนะ...( ว่ามั้ย..?)
เห็นหมามันนอนเล่นตรงนี้ ก็คิดไปเองว่ามันคงเย็นสบายดี 555 เลยเดินไปนั่งใกล้ๆแถวๆที่มันนอน หาโขดหินนั่งชมวิว ชมวิถีชีวิตไปพลางๆ สรุปแล้วทำเลตรงนี้ ทั้งคนทั้งหมานั่งรับลมเย็นๆสบายใจเลย ไม่ย้ายไปไหนแล้ว ปักหลักยาวเลยดีกว่า ร้อนๆแบบนี้เดินไปไหนไม่ค่อยรอดหรอก 555
แม้แต่เณรน้อยท่านก็ยังต้องลงมาเล่นน้ำคลายร้อนกันเลย
ตรงที่เรานั่งพักร้อนอยู่นั้นเป็นจุดที่แม่น้ำคานกับแม่น้ำโขงมาบรรจบกันพอดี แล้วตอนนั้นกำลังมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งจะมีวัดอยู่ตรงนั้น ทุกครั้งที่ข้ามไปก่อนจะสร้างสะพานพระกับเณรท่านคงใช้เรือพายข้ามไปอีกฝั่ง
เป็นการร่วมแรงร่วมใจช่วยกันสร้างสะพานข้ามฝั่งระหว่างชาวบ้านกับพระเณร " สะพานบุญ "
วัดที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ถ้าเราหยุดเดินมีเวลานั่งมองหลายๆสิ่ง หลากหลายชีวิตที่แตกต่างกันออกไป เราจะเห็นบางมุมของชีวิต ที่แฝงข้อคิดในหลายๆอย่างให้เรานั่งขบคิดไประหว่างทาง
โลกนั้นกว้างใหญ่และสอนให้เราเรียนรู้ชีวิตในทุกรูปแบบ ไม่ว่าเราจะอยากรู้หรือไม่อยากรู้ก็ตาม สุดท้ายแล้ว เมื่อถึงวาระของมันเราก็ต้องยอมรับไป...บางครั้งก็เต็มใจ หลายๆครั้งก็มักหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยจริงๆ
บรรยากาศริมแม่น้ำคานจุดเชื่อมแม่น้ำโขง
เวลาก็ล่วงเลยมา 2-3 ชั่วโมง นั่งๆ ยืนๆ ถ่ายรูปบ้าง เล่นเนทบ้าง ก็เพลินๆดี แดดร่มลมตกเข้ามาทุกที นักท่องเที่ยวหลายๆคนเริ่มทะยอยมาเดินเล่นริมหาดทราย ส่วนเราก็เตรียมตัวเดินเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ไปแบบไร้จุดหมายมาก รู้แค่ว่า 5 โมงเย็นต้องไปรอรถแล้ว
แดดร่มลมตกแล้ว ออกเดินเล่นต่อดีกว่า
เดินขึ้นจากริมหาดทรายแม่น้ำโขง เดินหลบแดดใต้เร่มไม้ริมทางมาเรื่อยๆ ผ่านที่ไหน ส่วนไหนก็ถ่ายเก็บไว้ผ่านวัดเก่าบ้างบ้านเรือนเก่าๆ หลายๆหลัง ไม่ว่าจะไปที่ไหนเมื่อเรากลับมา ทุกที่ล้วนแล้วมีความทรงจำทิ้งไว้อยู่ข้างหลัง...
ร่มไม้ริมทาง
เราเดินไปเรื่อยๆจนถึงฝั่งริมแม่น้ำคาน ฝั่งนี้จะร่มและเย็นกว่าฝั่งแม่น้ำโขง และหลายๆคนก็มาเดินเล่น หรือมีวิถีชีวิตของคนฝั่งแม่น้ำคานหลายๆแบบให้ดู
ไปเดินดูริมแม่น้ำคานตอนบ่ายแก่ๆกันดีกว่า เหลืออีกครึ่งชั่วโมงต้องไปหาของกินมื้อเย็นก่อนออกเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว...
บรรยากาศแม่น้ำคานตอนน้ำลด ใช้พื้นที่ของแม่น้ำได้คุ้ค่ามาก ไม่รู้ว่าชาวบ้านเขาลงไปขุดอะไรกันนะ ซุมใกล้ๆเห็นเขาขุดๆกัน หาปู หาปลา หาแร่ หรือหาอะไรกัน อยากรู้ 555
ประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆ เราก็เดินมาหาของกินตรงถนนเส้นหลักในเมืองหลวงพระบาง ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าตลาดมืดกำลังตั้งร้านกัน ส่วนขายพวกขนมปัง ขายน้ำผลไม้ปั่นนั้นตั้งเรียบร้อยวางเรียงรายเต็มโซนไปหมดแร่ะ
ขนมปังมื้อเย็นที่คิดไว้...ทมาถึงที่นี่หลายวันแล้วยังไม่ได้ลิ้มลองเลย ขอซื้อกินเป็นมื้อเย็นแล้วกัน วันสุดท้ายที่หลวงพระบางแล้วทิ้งท้ายเรื่องกินไว้หน่อย...
รถสองแถวเล็กมารับตอน 5 โมง กว่าๆ พร้อมนักเดินทางคนอื่นที่รับมาตามที่ต่างๆ คนขับรถพาเรามาถึงท่ารถ บขส หลวงพระบางสายเหนือ เราเลยเอาตั๋วไปแลกเป็นตั๋วรถบัส บขส เพราะเราจองขากลับเป็นรถบัส บขส แต่ แต่....เขาบอกว่ารถบัสเสีย ขากลับของเราเลยเป็นรถตู้ ( ว่แล้วก็โดนเบี้ยวเรื่องรถ ก็รู้ว่าโกหกอะนะ เพราะผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าด่านเชียงรายนั้น มีแค่ 12 คนเอง พอดี รถตู้ 1 คันเลย )...แอบเซ็งนิดหน่อย แต่ก็ได้ ดีกว่าไม่มีรถกลับ หรือรอรถนั่นนี่มารับ ไปต่อที่ไหนๆอีก..
รถบัสแดง เป็นรถนอนของเวียดนาม ซึ่งดูแล้ว เบาะนั้นปรับนั่งปรับนอน ดูดีกว่าที่เราเคยนอนมาจากวังเวียงอีก ส่วนรถตู้ขวามือ คือคันที่เรากลับ จากรถ บขส กลายเป็นรถตู้ อื้มมมมม....
ขนส่งที่นี่มีไปถึงคุณหมิงด้วย
รถตู้ออกเดินทางประมาณ 18.30 น. ในรถมีทั้งคนไทยและคนลาวและฝรั่งอีก 3 คน มีน้องๆวัยรุ่นคนไทย 4 คนนั่งอยู่ด้านหลัง และพี่ผู้ชายคนไทยนั่งอยู่เบาะด้านเดี่ยวด้านแถวที่สองหน้าตรงประตูทางขึ้น รถตู้วิ่งขับแบบตีนผีมาก หลุมบ่อ บนเขา มันไม่มีการคิดจะเบรคเลย หลับก็ไม่ลง แถมดันไปชนหมาตายอีกต่างหาก ( เวรกรรมของตรูแท้ๆ เวรกรรมของหมาด้วย) รถขับไปถึงไหนแล้วไม่รู้ รู้แต่ว่ามันมืดมาก สองข้างเป็นหุบเหวและภูเขาลูกน้อยใหญ่เด่นตระหง่านอยู่ในความมืด...
เกือบเที่ยงคืน รถวิ่งมาถึงแยกอุดมไซ คนขับแวะพักรถ ล้างหน้า และให้เวลาครึ่งชั่วโมงให้พวกเราหาของกินกัน จุดนี้ตรงแยกอุดมไซ น่าจะเป็นจุดสำหรับให้ทั้งรถบัส รถตู้แวะพัก เพราะว่าดึกขนาดนี้ร้านค้าร้านอาหารยังเปิดร้านอยู่เลย
หลังจากเส้นทางตลอดหลายชั่วโมงนั้นมีแต่ความเงียบไร้แสงไฟ มีแต่แสงดาว มาถึงแยกอุดมไซเป็นเมืองที่คนพลุกพล่านพอสมควร
เรามีอาการปวดหัวมาตั้งแต่บนรถแล้ว แถมยาแก้ปวดหัว ลดไข้ ก็หมดตั้งแต่ไข้จะขึ้นตอนที่อยู่ที่เมืองงอยแล้ว คิดว่าจะไม่ต้องใช้อีก แต่ที่ไหนได้เจอคนขับรถตู้ตีนผีนี่ถึงกลับปวดหัวตึ้บบบลย 555 เลยถามพี่ผู้ชายคนไทยว่า แถวนี้มีร้านขายยาไหม พี่ผู้ชายชาวไทยก็ดูแลน้องๆในรถดี ขอโทษอย่างแรงที่จำชื่อพี่ไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าพี่เป็นวิศวกรชาวไทยที่มาสร้างเขื่อนไซยะบุรีที่ลาว พี่เขาจะกลับบ้านทุกเดือน วันนี้โชคดีได้เจอพี่เขาในวันที่พี่เขากลับบ้านพอดี...
ขอบคุณพี่ผู้ชายมากๆที่พาไปซื้อยา และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศนี้ที่พี่ท่านได้เจอมา ได้ความรู้รอบๆตัวไปอีกแบบ...
ข้าวแกงที่ยังขายอยู่ ซึ่งดูแล้วเป็นเนื้อที่ไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไหร่ เลยถามแต่ละถาดว่าเนื้ออะไรบ้าง สรุปแล้ว มีเนื้อ หมู กะไก่ไม่กี่ถาด นอกนั้นสารพัดเมนูเนื้อควาย เนื้อของอะไรจำไม่ได้แล้วที่เขาบอกมาตามชื่อภาษาถิ่นเขา รู้แค่ว่ามันคล้ายๆคือๆกันกับตะกวดบ้านเรา.....หืออออออออออ
ของฝากพวกขนมและหนังควาย หนังตะกวด สารพัดหนังตากแห้ง
สารพัดขนม และสารพัดเนื้อตากแห้ง เนื้อแห้งเส้นๆดำนั้นคือหนังควายตากแห้ง แปลกใจนิดหน่อยที่คนที่นี่เขานิยมบริโภคเนื้อควายกัน เมนูที่มาจากเนื้อหนังควายกันเย่อะเลย ฟังแล้วสยองดีกินไม่ลง พี่เขาบอก เขาไม่ได้มาขายพวกนักท่องเที่ยวหรอก ที่เห็นขายได้นี่ เพราะพวกนักท่องเที่ยวจีนและพวกคนจีนที่ขับรถบรรทุกที่มาจากจีนนั้นชอบกินพวกเนื้อควายมาก ผลิตภัณฑ์จากหนังควายเนื้อควายเลยมากหน่อย ฮ้าๆ
สรุปแล้วพี่เขาบอกว่า แถบนี้เขาก็กินหมากันนะ แต่ไม่กินประเจิดประเจ้อ เพราะเดี๋ยวนี้แถบนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มมาเที่ยวเย่อะ เลยต้องแอบไว้รู้กันเฉพาะคนที่กิน..( ห๊าาาาาาาาาาาาา !!! )
มาม่าจากจีน ฉันนี้ก็ไม่กล้ากินอยู่ดี มาม่าไทยก็มีขายนะเออออ และของฝากก็ใครอยากกินอะไรตามสะดวกเลยจร้าาาา กลัวเจอเนื้อหมาแถมมาเท่านั้นเอง...(คิดมากเองปวดหัวเอง 555)
เที่ยงคืนครึ่งเราก็เดินทางต่อ อากาศก็เย็นมากช่วงเวลาดึกสงัดแบบนี้ เรานอนไม่หลับ มองฝ่าความมืดออกไปอย่างไร้จุดหมาย คิดถึงหลายๆอย่าง แต่ในใจยังคงมีเรื่องราวบางอย่างให้ได้คิดตลอดทาง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และในค่ำคืนนี้ มีดวงดาวนับล้านดวงเต็มท้องฟ้าไปหมด แสงดาวสวยกว่าที่เคยเจอในทุกที่ ดาวมากมายเกินจะมีพื้นที่ว่างของความมืด นึกในใจไปถึงคนที่เคยชวนไปดูดาวที่เมืองงอย บอกว่าดาวสวยจัง ป่านนี้เขาจะมองดาวแบบเราหรือไม่ เราอยากเก็บดาวไปฝากเขา อยากบอกเล่าให้เขาฟังว่า ...ฟ้าคืนนี้ดาวสวยเหมือนไมตรีและความห่วงใยที่ยูหยิบยื่นมาให้ไอนะ ยูอย่าลืมออกมาดูดาวนะ....(ละเมออยู่ในใจ)
ตอนนี้แค่หลับตาแล้วบอกฝากดวงดาวไปถึงยูว่า....คิดถึงและขอบคุณมากๆสำหรับทุกสิ่ง...
สักวันหนึ่งไม่เส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง เราอาจบังเอิญได้พบเจอกันอีกก็ได้...
" หวังว่าเธอคงสุขดี...อยู่ตรงนั้นเจอสิ่งดีดี
ฉันคงมีเพียงสิ่งเดียวทุกวัน
มีแต่คิดถึง...มีแต่คิดถึง ...อยู่ทุกครั้งที่มองดาว
มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง ....เรื่องวันวานและฝันของเรา..."
มีแต่คิดถึง - เบิร์ด ธงไชย
สถานีขนส่งห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป. ลาว
11 DECEMBER 2016
รถพาเรามาถึงสถานีขนส่งห้วยทรายตอนเช้ามืด ซึ่งเราต้องรอรถมารับไปด่านพรมแดนตรวจคนเข้าเมืองเชียงของ-ห้วยทรายอีกต่อ ซึ่งด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงของ-ห้วยทราย อยู่ห่างจากสถานีขนส่งห้วยทรายแขวงบ่อแก้วไปประมาณ 3 กิโลเมตร
บรรยากาศสถานีขนส่งห้วยทราย สปป.ลาว
ในช่วงที่รอรถบัสมารับไปด่านพรมแดนเชียงของ-ห้วยทราย ก็ล้างหน้าแปรงฟัน หาของกินรองท้องไปก่อน กว่ารถจะมา และเราไม่รู้ว่าจะมารับเมื่อไหร่ รอรถตั้งแต่เช้ามืดที่มาถึง จนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ยังไม่มา แต่เราก็ไม่ได้บ่นอะไรแต่ว่ารู้สึกผิดแผนนิดหน่อย จากที่คิดว่าต้องนั่งไปถึงเชียงใหม่รวดเดียว กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ต่อรถ อีก 2 ต่อ แถมไม่ประสานงานกันเลย รถกว่าจะมาต้องโทรตามโทรบอกกันตอนนั้นถึงจะมารับ งงๆกับระบบขนส่งที่ประเทศลาวจริงๆ
พี่ผู้ชายเสื้อขาวคาดส้มเป็นพี่คนไทยที่นั่งมาด้วยกันเมื่อคืน
ถ่ายรูปตัวเองตั้งเวลา แชะๆๆ เล่นกับแสงไปพลางๆระหว่างรอรถ
มีรถบัสมารับ อย่าเรียกว่ามารับเลย เป็นการขึ้นรถบัสที่กำลังออกไปยังพรมแดนห้วยทราย-เชียงของมากกว่า ซึ่งมีคนเขาซื้อตั๋วไปกับรถอยู่แล้ว ส่วนพวกเราได้ขึ้นแบบไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่ เพราะว่าเราเหมือนโดนทิ้งใว้กลางทาง แต่ขอไปด้วยคนประมาณนั้น...5555
สืบเนื่องจากว่าไม่มีใครประสานงานมาทางท่ารถห้วยทรายเลย พวกเราก็เริ่ม งงและบอกกับคนขับรถและนายท่าที่นั้น จนนายท่ารถต้องโทรคุยกับต้นทางขนส่งทางหลวงพระบาง ประมาณว่าทางนั้นฝากพวกเราไปด้วยนะเดี่ยวค่อยไปเคลียเงินกันเอง...จบปิ๊งงง กระดิ่งแมว!!! เข้าไทยได้สักที อีก 3 กิโลเมตรเอง ปัญหามีไว้แก้ตลอดการเดินทางนั่นแหละหนาา...
ทุกรอยเท้า ทุกการเดินทาง มีประสบการณ์เป็นของฝากให้เราได้เรียนรู้อยู่เสมอ
: ด่านพรมแดนไทย ลาว เชียงของ - ห้วยทราย :
เราข้ามมาฝั่งประเทศไทยแล้ว ตรงด่านพรมแดนเชียงของ จ.เชียงราย ตามขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของที่นี่
เมื่อมาถึงพวกเราก็ยัง งงๆกันอยู่ว่าจากเชียงรายเราจะเข้าเชียงใหม่กันยังงัยละ ไหนว่ามีรถมารับแล้วรถอะไรละ แล้วไหนคนที่บอกว่าจะมารอรับพวกเราพร้อมรถบัสเข้าเชียงใหม่ ทุกคนต่างรอเวลา หวังว่าจะไม่ถูกลอยแพ...5555 (แต่ตอนนั้นเราไม่ซีเรียสนะ แค่ได้เข้ามาไทย ทุกอย่างก็ง่ายแล้วจะไปรถอะไรไปยังงัยก็ได้หมดแหละ หรือจะตัดสินใจพักที่เชียงของดีแล้วเปลี่ยนตั๋วจากเชียงใหม่-กรุงเทพ เป็น เชียงของ -กรุงเทพดี อะไรประมาณนั้น ชีวิตเราต้องมีทางเลือกสิ ปัญหาแค่นี้เอง ยิ้มๆ....)
ด่านพรมแดนเชียงของ จ.เชียงราย
สักครึ่งชั่วโมงที่เรารอด้วยความหวังว่ามีรถมาตามคำบอก แล้วก็มีป้าผู้หญิงเดินมาหาพวกเรา บอกว่ารถมาแล้ว พร้อมให้ติดสติ้กเกอร์เพื่อให้รู้ว่าพวกเรากลุ่มคนพิเศษที่ได้ขึ้นรถไปด้วย...แหม่.. เหมือนไปอาศัยรถเขาเดินทางไปด้วยยังงัยยังงั้น 5555...แต่ว่าพวกเรามี 6 คน ที่โดนเทไป เทมา จะต้องแบ่งกันขึ้นรถ บัสไป 3 รถตู้ไปอีก 3
ติดสติ้กเกอร์สีเขียว แปลว่าฉันจะมีรถเข้าเชียงใหม่แล้วนะเอออ...ไม่โดนเทแน่นอน
ในส่วนตัวเราตัดสินใจไว้แล้วคือไปรถตู้ เพราะรถตู้จะวิ่งไปถึงเชียงใหม่และจุดหมายปลายทางวันนี้ของเราคือเชียงใหม่ ส่วนรถบัสนั้นไปถึงแค่ขนส่งเชียงราย พี่ผู้ชายที่มาด้วยแกลงรถแค่ขนส่งเชียงรายพอดี แต่ปัญหามาคุ ตอนที่กลุ่มเพื่อนน้องๆวัยรุ่นผู้หญิง 4 คน ที่เดินทางมาด้วยกันจากหลวงพระบางไม่พอใจ เพราะจะต้องทำให้น้องๆเขาแยกกัน เพราะน้องๆทั้ง 4 คน คือไปเชียงใหม่เหมือนกัน แล้วอีก2คนต้องไปรถตู้ อีก 2 คนต้องไปลงแค่เชียงรายแล้วต่อรถบัสอีกทีเข้าเชียงใหม่...น้องๆเขาก็โวยวายกับป้าที่มาคอยดูแลพวกเรา ต่างคนต่างไม่ผิด คนที่ผิดอยู่ทางหลวงพระบางโน้น...นนนนน
สรุปแล้วต้องเป็นไปตามนั้นแหละ เถียงกันไปกันมาคำตอบสุดท้ายก็คือต้องแยกเหมือนเดิม น้องๆจับคู่นั่งรถแยกกันไป แล้วไปเจอกันที่เชียงใหม่...
เดินทางไปเชียงใหม่กันคะพี่สุชาติ !!!
เดินทางอันยาวไกล จากหลวงพระบาง- เชียงใหม่ หลับไปตอนไหนไม่รู้ มาตื่นอีกทีตอนจอดให้ลงมากินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหาร มีเรากินอยู่คนเดียว เพราะนอกนั้นเป็นฝรั่งกับสองสาววัยรุ่นคนไทย ไม่รู้ละ เดินทางอีกค่อนวัน ต้องกินข้าวก่อน...(สายแดกเริ่มทำงาน 555 )
ข้าวผัดกระเพราะอะไรไม่รู้ แต่ไม่มีพริกสักเม็ดเลย แง๊ววววว...
ร้านน่ารักดี
: เย็นย่ำ ค่ำนี้ที่ เชียงใหม่ :
ถึงเชียงใหม่ประมาณ บ่าย 4 โมงเย็น รถมาจอดตรงแถววัดพระสิงห์ ถึงเวลาแบกเป้ แบกกระเป๋ากล้องเดินหาที่พักอีกแล้ว ไม่คาดคิดอะไร เจอที่ไหนพอให้ซุกหัวนอน แค่ 1 คืนก็พอแล้ว เดินจนไหล่จะทรุด ออกตรอกนั้นซอยนี้ กว่าจะได้ราคาคืนละ 500 เล่นเอาเหนื่อย ขี้เกียจหาตามอินเตอร์เนท เอาที่มันใกล้ๆถนนคนเดินประตูท่าแพหน่อย แหล่งของกิน แหล่งเดินทางสะดวกไปขึ้นรถทัวร์ ที่ บขส อาเขต เชียงใหม่ เพื่อกลับ กทม.
เราเดินมาไกลหน่อยพ้นแถวช่วงถนนคนเดินประตูท่าแพมาประมาณ 200เมตร จะเป็นแนวคูเมือง ได้ที่พักในซอยเล็กๆ เป็นเกสท์เฮ้าส์ แบ่งเป็นห้องๆ คืนละ 500 บาท
เก็บกระเป๋าใบใหญ่ สะพายกระเป๋ากล้องไปเดินเล่นถนนคนเดินประตูท่าแพ กันเต๊อะปี้น้องง...
: ถนนคนเดินประตูท่าแพ :
ถนนคนเดินท่าแพ
เป็นถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่
เป็นถนนคนเดินที่เปิดขายเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น โดยเปิดตั้งแต่ 18.00 –
22.00 น. ที่ตั้งของถนนคนเดินท่าแพ จะเริ่มจากประตูท่าแพ
ยาวออกไปทางถนนราชดำเนิน จนถึงวัดพระสิงห์ รวมระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ในวันที่มีถนนคนเดิน ถนนจะปิดห้ามรถวิ่ง
เป็นถนนคนเดิมที่ชอบมากอีกที่ มาทีไรก็เลือกจะเดินเล่นที่นี่ เคยไปถนนคนเดินวัวลายแล้วปวดหัวกับนักท่องเที่ยวชาวจีนมาก นึกว่ามาเดินเที่ยวกลางคืนที่เมืองจีนเสียอีก เก็บกล้องไว้ในกระเป๋าเพราะไม่ได้คิดจะถ่ายจริงจัง อยากเดินเล่นชิวๆคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางมากกว่า พร้อมหาของกินอร่อยไปในตัว
ศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนาLanna Architecture Center
เดินแวะนั่น ชมนี่ไปเรื่อยๆจนสุดถนนคนเดิน ก็เดินวกกลับมาทางเดิม ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไฟประดับตามถนนเริ่มสวยงาม เราแวะเข้าไปไหว้พระในวันพันอ้นซึ่งอยู่ติดถนนคนเดิน ภายในวัดจะมีถนนคนเดินเชื่อมกับถนนคนเดินท่าแพเหมือนกัน มีร้านอาหารและที่นั่งทานอาหารอยู่ข้างในเย่อะแยะไปหมด
วัดพันอัน และข้าวซอยไก่ของโปรด
ตบท้ายด้วยของหวาน ก่อนเดินกลับที่พักด้วยไอติมโยเกิร์ต อร่อยย ดีงาม 55
พอมืดแล้วเราก็จำที่พักตัวเองไม่ได้ 555 ตายแล้ว !!! คืนนี้จะได้นอนไหม เบอร์โทรก็ไม่จดไว้ ชื่อที่พักจำไม่ได้ เดินเท่าไหร่ เข้าซอยไหนก็ไม่ใช่ที่พักของฉานนน ตัดสินใจกลับไปยังจุดเริ่มต้นที่เดินหาที่พัก ตรงวัดพระสิงห์ เดินไปเรื่อยๆ เริ่มจำได้เลือนๆลางๆแร่ะ (บอกตัวเองเราไมไ่ด้ความจำเสื่อมนะ ชื่อตัวเองจำได้อยู่ ) ในที่สุดก็ถึงที่พักจนได้...ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใช้เวลากลับที่พัก ประมาณ ชั่วโมงกว่า แต่ตอนออกมาจากที่พักมาถนนคนเดินท่าแพ แค่ 20 นาทีเอง...T_T
สารภาพตรงๆว่าเป็นคนชอบหลงทาง แต่ชอบเดินทางแบบหลงๆ งงๆไป นี่แหละ
...แก้ไม่หายตั้งแต่เด็ก เห้อออ...
12 DECEMBER 2016
: กลับกรุงเทพแล้วนะ บ๊าย บาย เมืองลาว บ๊าย บาย เชียงใหม่ :
ตื่นตี 5 ทำภารกิจ พร้อมเดินทางไป บขส .อาเขต เชียงใหม่ โบกรถแดง...เวิ่นเว้อไปลุงงง
เรียกมอไซด์เก็บ 100นึง ไม่ไปคะ...
โบกรถตุ๊กๆ โอเคคะ 60 บาท ไปโล้ดดด
เดี่ยวไม่ทันรถออกรอบ 7.30 น.
กลับกรุงเทพแล้วนะ..เราจะคิดถึงเช่วงเวลาดีๆที่ผ่านมาตลอดไป
ท้องฟ้า..พระจันทร์...การเดินทาง ดวงดาวและสองเรา
วังเวียง - หลวงพระบาง - เมืองงอย
10.12.2016
*******************
😺 แมวพเนจร 🌿
วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.21 น.