เวลาที่พูดถึงอิตาลี ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงสถาปัตยกรรมโบราณอย่างโคลอสเซียม มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โดมมมาแห่งฟลอเรนซ์ หอเอียงปิซ่า หรือแม้แต่คลองของเวนิส และถ้าพูดถึงธรรมชาติ ก็จะนึกถึงทะเลฟ้าใสและชายหาดขาวอย่างที่คาปรีหรือโพสิตาโน่ หรือแม้แต่ซิงเคร่ เตเร่ เพราะอิตาลีเป็นคาบสมุทรที่ยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กับความที่เป็นโซนที่อบอุ่นที่สุดของยุโรป ภาพทะเลหน้าร้อนของอิตาลีก็เหมือนกับทะเลที่เมืองไทย ที่ชาวคอเคเชี่ยนเอาหนีหนาวลงใต้กันที่อิตาลีทุกปี
แต่หากพูดถึงลานสกี เมืองหิมะ และภูเขาสูงส่วนใหญ่จะมองข้ามอิตาลีขึ้นไปที่สวิสหรือเยอรมันใต้แถวบาวาเรียไปเลย ไม่ค่อยมีใครนึกถึงอิตาลีเท่าไร ทั้งที่ความเป็นจริงเทือกเขาแอลป์เองก็พาดผ่านเป็นกำแพงธรรมชาติระหว่างอิตาลี สวิส และออสเตรีย ดังนั้นแนวเขาสูงของเทือกเขาแอลป์ฝั่งอิตาลีในความเป็นจริงก็สวยไม่แพ้ทางสวิสเหมือนกัน หากไม่นับโคโม่ซึ่งแทบจะอยู่ติดกับลูกาโน่ของสวิสแล้ว ยังมีอีกภูมิภาคหนึ่งของอิตาลี ที่มีภูมิทัศน์ของเทือกเขาหินที่สลับซับซ้อนทอดไปยาวไปติดกับสวิสเซอร์แลนด์ ภูมิภาคนั้นชื่อ โดโลมิเตส Dolomites ครับ
จริงๆ แล้วโดโลมิเทสเป็นชื่อของแนวเทือกเขาแอลป์ฝั่งอิตาลี อยู่ทางเหนือสุดค่อนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเทือกเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่านสลับซับซ้อนกันมาหลายล้านปี อันเป็นผลมาจากการที่แผ่นเปลือกโลกแอฟริกามุดลงไปใต้แผ่นอิตาลี ทอดตัวยาวไปในสามจังหวัดของอิตาลีเหนือคือ เบลลูโน่ เซาท์ไทรอล และก็เทรนติโน่
คนอิตาลีและคนสวิสเองท่องเที่ยวในโดโลมิเทสกันมานานแล้ว เพราะเป็นลานสกีสำคัญของอิตาลีเองเลย แต่สำหรับเราเพิ่งรู้จักโดโลมิเทสไม่นานมานี้เองครับ ต้องขอบคุณเว็บพันทิป เพราะปีที่แล้วไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดี เปิดไปเปิดมาก็ไปสะดุดกับกระทู้รีวิวของโดโลมิเทส ซึ่งเป็นรูปภูเขาที่ชื่อเซลล่าพาส เป็นภูเขาหินปูนสองลูกตั้งคู่กัน ดูแล้วเหมือนครับบนหลังของสเต็กโกซอรัสเลย พวกผมก็เลยวางแผนตั้งเป้าไปเที่ยวอิตาลีกัน โดยกางแผนที่แล้วเอาโดโลมิเทสเป็นหนึ่งในแผน
ที่โดโลมิเทสยังไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวมากนัก ผมคิดว่าข้อหนึ่งก็คือการเดินทาง เพราะการเข้าถึงโดโลมิเทสดูจะลำบากกว่าภูมิภาคอื่นๆ เพราะไม่มีรถไฟเข้าถึงแถบนี้ ไม่เหมือนสวิสที่รถไฟไปได้ทุกแห่ง จริงๆ แล้วระบบรถไฟของอิตาลีก็ครอบคลุมทั้งภูมิภาคครับ แต่ยังไม่มีไปแถบนี้ โดยสถานีรถไฟใกล้สุดก็ต้องไปลงที่เมืองใกล้ๆ อย่างเตรนโต้ แต่เมืองในแถบโดโลมิเทสนี้ต้องขับรถไปอย่างเดียว และเนื่องจากตั้งอยู่ในภูมิภาคที่สูงชัน การขับรถต้องมีทักษะพอสมควรทีเดียว แต่ไม่ยากครับ เพราะถนนที่นี้เผลอๆ ดีกว่าอิตาลีส่วนอื่นๆ อีก ขับรถง่ายมีให้เสียวบ้างไม่มาก จนโน้นล่ะครับ ที่ต้องไต่ถนนขึ้นเขาสูงชัน แต่หากใครเคยขับขึ้นดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์มาแล้ว ไม่ยากเลยครับ
ความที่เราไปเป็น Mid Season ซึ่งยังไม่ถึงหน้าหนาว หิมะมีบ้างแต่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะฝนตกมากด้วย ดังนั้นบรรดารีสอร์ทบนภูเขาสูงส่วนใหญ่จะปิดแล้ว ต้องไปพักที่เมืองด้านล่าง บอกว่าเมืองด้านล่างก็จริง แต่ก็เป็นเมืองบนเขาบรรยากาศแบบเดียวกับเขาค้อ หรือภูหินร่องกล้า แต่สูงกว่ามากครับ เมืองเล็กๆ ก็จริงแต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก ยกเว้นแต่ร้านอาหารจะหายากนิดนึงส์ ส่วนใหญ่เราซื้ออาหารฟรีสที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเอามากกว่า อ้อ พวกผมพักกันที่เมือง Saint Christina เป็นเมืองขนาดย่อมๆ เพราะอยู่ใกล้กับเซลล่าพาส ขับรถขึ้นเขาไป ๒๐ นาทีก็ถึง และเพราะความเป็นเมืองที่อยู่บนภูเขา ตื่นเช้ามานี้ เปิดหน้าต่างโรงแรมไป นี้มือแตะหมอกกันได้เลยล่ะ โรงแรมที่เราพักคือ Hotel Saslong โรงแรมเล็กๆ แต่โมเดิร์นและราคาแค่พันกว่าบาทเองครับ ว่างๆ จะเอารีวิวมาฝากครับ
โดโลมิเทสมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และแม้จะเป็นดินแดนที่ดูสงบสุขแต่ก็ได้รับผลกระทบรุนแรงจากสงครามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสมรภูมิสำคัญของสงครามโลกทั้งสองครั้ง แต่ปัจจุบันเมื่อไม่มีสงครามแล้ว อยู่ที่นี่ก็ดูเงียบและสงบสุขมากเหมือนกัน และทุกวันนี้โดโลมิเทสก็ได้รับเลือกเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้ด้วยครับ
การท่องเที่ยวโดโลมิเทสก็คือการขับขึ้นไปดูยอดเขาต่างๆ บนถนนที่ตัดผ่านระหว่างยอดเขาต่างๆ ถนนบนเขาที่อยู่สูงที่สุดและเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวของเราด้วยก็คือถนนบนยอดโปร์ดอย (Pordoi Pass) ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลที่ ๒๒๕๐ เมตร นึกภาพไม่ออกก็สูงกว่าดอยสุเทพเกินสองเท่า แต่เตี้ยกว่าดอยอินทนนท์นิดนึง แต่ความชันของถนนนี่ที่โปร์ดอยชันกว่ามาก แต่ก็ขับได้สบายๆ นะครับ ไม่ยากพอๆ กับขับขึ้นดอยนั้นล่ะครับ ขึ้นดอยที่สวิสยังดูหวาดเสียวกว่าครับ ส่วนที่สูงที่คือยอดดอยโอมเบรสต้าครับ อันนั้นต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกเกือบๆ ๓๐๐ เมตร (ความสูงนะครับ ไม่ใช่ความไกล)
ถนนขึ้นโปร์ดอยค่อนข้างจะคดเคี้ยวแต่ก็สวยงามนะครับ ลมที่นี่แรงมากแต่รถใหญ่ๆ อย่างรถขนอาหารก็ขับขึ้นมาสบายชิลๆ เพราะที่นี่มีโรงแรมและลานสกีหรูบนยอดเขาด้วย ถ้าตอนหิมะลงหนักๆ ในฤดูหนาว การขับขึ้นมาคงลำบากกว่านี้ แต่ในฤดูร้อนโปร์ดอยจะมีการจัดแข่งขันปั่นจักรยานขึ้นยอดโปร์ดอยด้วย
จริงๆ แล้วก่อนมาโปร์ดอยเราขับขึ้นไปที่ยอดเซลล่า ซึ่งสูงเป็นอันดับสองก่อน เพราะเป้าหมายของเราคือไปดูยอดเขาที่เหมือนครีบสเต็กโกซอรัสนั้นเองครับ แต่เพราะทัศนวิสัยไม่ค่อยดีมากและมีหิมะตกปรอยๆ ทำให้เมฆปกคลุมส่วนที่เป็นครีบหนาทึบจนมองไม่เห็นอะไรเลย เราก็เลยขับไปที่โปร์ดอยก่อน เพราะดูเหมือนว่าทางนั้นฟ้าจะใสกว่า แล้วสายกว่านี้หน่อยรอให้หมอกจางๆ แล้วจะขับรถกลับมาที่เซลล่าพาสอีกทีหนึ่ง
ฉ่ำทะเลหมอกก็ถึงเวลาขับรถต่อไปยังยอดเซลล่าตามที่อยากเห็นแต่ในสุดท้ายเหมือนเดิมครับ ไม่เห็นยอดอยู่ดีเพราะหมอกเมฆไม่มีทีท่าจะจางลง แถมดูหนาและอุณหภูมิลดต่ำลงกว่า ๐ องศาแล้วตอนนั้น อาจจะมีหิมะตก ซึ่งจะทำให้เราลำบากตอนลงเขาไปอีก ก็เลยตัดสินใจถ่ายรูปยอดเขาหินปูนแถวนั้นอีกไม่นานแล้วกลับเขาไปพักในเมืองดีกว่า
กลับมาจากเขาแค่บ่ายสองบ่ายสามกว่า ตัดสินใจจอดรถและไปเดินสำรวจอีกหมู่บ้านนึง ใกล้เมือง Saint Christina ดีกว่า เพราะที่เมืองเงียบมากๆ นอกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ที่อื่นแทบจะไม่มีคนอยู่เลย (ยังกะเมืองในเรื่อง Resident Evil จริงๆ นะ) เดินไปกลับประมาณชั่วโมงนึงสบายๆ ออกกำลังไปด้วย แต่ทั้งเมืองแทบจะไม่มีคนเลย เป็นเมืองที่เงียบมากๆ เห็นผู้คนบ้างเป็นระยะๆ แต่ก็ดูน้อยจริงๆ ครับ ทั้งที่เป็นเมืองใหญ่กว่าที่ Saint Christina อีก มีบ้านหรูๆ มากมาย แต่เข้าใจว่าเศรษฐีมาสร้างไว้เป็นบ้านพักเสียมากกว่า แต่ผมก็ขอบนะครับ มันดูสโลว์ไลฟ์ดีจริงๆ เลยที่นี่ ปิดท้ายที่บรรยากาศเมืองอีกนิดหน่อย อยากดูบรรยากาศเต็มไปดูรูปภาพอื่นๆ ได้ที่อัลบั้มโดโลมิเทสเลยนะครับ ขอบคุณเหมือนเดิมครับที่ยังอยู่เป็นกำลังใจให้กัน
ขอบคุณครับ ที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านรีวิวอื่นๆ ของเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/thetravelbagstory/
TravelTherapy
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.39 น.