หลังจากที่เราติดพายุหิมะที่ตกกระหน่ำทั้งคืนที่ฮาโกดาเตะ ทำให้ระบบรถไฟระหว่างฮาโกดาเะตะกับซัปโปโรหยุดชะงักไปเลยแบบไม่สามารถบอกได้ว่าจะเปิดให้เดินทางได้ตอนไหน เราไปเปลี่ยนตั๋วหลายครั้ง ก็ได้รับการยกเลิกและแจ้งให้เปลี่ยนเที่ยวต่อไปเรื่อย ๆ และยิ่งสายคนยิ่งมาเยอะขึ้น การต่อคิวเปลี่ยนตเวลาตั๋วก็กลายเป็นว่าจากรอบหกโมงเช้า กลายเป็นบ่ายโมง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าบ่ายโมงจะไปได้ไหม เรารอจนถึงสิบโมง ก็เลยตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยว เพราะเราจองโรงแรมที่ซัปโปโรไปแล้ว หากไม่ได้ไปคืนนี้ก็ยังไม่ได้สำรองห้องที่ฮาโกดาเตะไว้ต่อเลย ซึ่งตอนแรกก็เหี่ยวไปเลยครับ เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าตอนนี้ทุกเส้นทางทั้งบริการรถไฟ รถบัสหยุดให้บริการหมดเลย เป็นไงล่ะ สมพรปากไหม บอกว่าอยากจะเจอหิมะตกหนัก ๆ สักครั้งจะได้รู้ว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าอยากเจอแผ่นดินไหว ก็เจอจะ ๆ ตอนเข้าห้องน้ำ ทำไมบอกว่าจะถูกล๊อตเตอรี่ถึงไม่ได้รับการสมนาคุณแบบนี้เลย

กำลังจะถอดใจเดินกลับไปที่โรงแรม เพื่อขอสำรองห้องต่ออีกหนึ่งคืน และทำเมล์ไปที่โรงแรมซัปโปโร ไม่ทันไร เจ้าหน้าที่หญิงท่านนั้นก็กระหืดกระหอบมา ว่าเจอรถบัสที่ไปซัปโปโรแล้วนะ เป็นคันเดียวที่มาจากซัปโปโรเมื่อคืนและต้องกลับไป แต่เขาไม่รับประกันว่าจะไปได้แค่ไหน อาจจะใช้เวลาเดินทางเป็นวันท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก และอาจต้องถอยกลับมายังฮาโกดาเตะใหม่ ซึ่งเราก็พร้อมจะเดินทางครับ ดีกว่ารอที่สถานีรถไฟแบบไร้จุดหมาย เจ้าหน้าที่นั้นพามาส่งที่จอดรถบัส แล้วบอกว่าเหลือสองที่พอดี ได้จองจ่ายเงินให้แล้วด้วย เพราะกลัวที่นั่งจะหลุด ถ้าเราไม่ไปเขาก็เสียเงินฟรี แต่ไม่บังคับเรานะ ใจนึงก็โอโฮเจ้ใจกว้างเป็นมหาสมุทรเลย คนญี่ปุ่นทำไมน่ารักกับนักท่องเที่ยวแบบนี้ อีกใจหนึ่งก็เริ่มกล้ว เฮ้ยทำไมพาเราสองคนไทยออกมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยว แถมสะดุดกับคำว่า รถอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไรนะแต่ก็เป็นมาตรฐานความปลอดภัยทุกประการ เสียวก็เสียว เอาฟระ เรือเล็กต้องออกจากฝั่ง บางครั้งออกจากการเดินทางที่วางแผนไว้ไปนอกเส้นทางบ้างอาจได้เจอประสบการณ์ใหม่ คงไม่ใช่ยากูซ่าหรอกเอารถไปเป็นคนงานเรือประมงล่ะฟระ เห็นอ้วน ๆ คนรู้แล้วว่าอ่อนแอเหลือหลาย ก็เลยตกลงไปครับ ขึ้นรถถึงกะผงะ เฮ้ยนี้หรือรถที่มาตรฐานธรรมดา ๆ ไม่พิเศษอะไร เราก็นึกว่าแบบรถส้ม บขส สนิมเขรอะ ปุเลง ๆ ถถถ รถเจ๋งกว่ารถทัวร์บ้านตรูไปตั้งล้านปีแสง แถมที่นั่งวีไอพี คือนั่งเดี่ยวทุกที่นั่ง ห้องน้ำก็สะอาดโพดๆ มีปลั๊กเสียบชาร์จมือถือทุกที่นั่ง อยากลงไปกราบแทบเท้าเจ้าหน้าที่หญิงผู้อารีย์จริง ๆ แต่โชเฟอร์บอกเพ่ ขี้นได้แล้วอย่าเยอะ เพราะรถเราออกตรงเวลานะครับ ก็เลยรีบขึ้นแล้วลืมถามชื่อเจ้าหน้าที่หญิงท่านนั้นเลย แต่ก็ต้องขอบคุณในความช่วยเหลือจริงๆ แม้สุดท้ายจะต้องใช้เวลาเดินทางถึง 10 ชั่วโมง แต่ในสถานการณ์ที่หิมะตกหนักไปตลอดทางแบบให้ลุ้นนี่ ถึงซับโปโรได้นี้ดีต่อใจสุด ๆ ครับ

โม้มาเยอะแล้ว ในที่สุดก็ถึงซัปโปโรเสียที แต่เอ๊ะ เราไม่ได้พาเที่ยวซัปโปโรนี่หว่า แฮะ แฮะ วันนี้จะพาไปเที่ยวโอตารุครับ เมืองท่าสำคัญของฮอกไกโด เป็นเมืองน่ารักทางเหนือจากซัปโปโรไปแค่ครึ่งชั่วโมง เราเดินทางไปเที่ยวโอตารุในวันรุ่งขึ้นทันทีครับ เผื่อว่าจะมีพายุหิมะอีกแล้วจะไม่ได้ไป ตอนเช้า ๆ ฟ้าก็ยังใสกิ๊งอยู่ แต่แปล๊บเดียวหิมะตกหนักอีกแล้ว และตกหนักไปทั้งวัน ก็เลยคิดได้ว่า อ้าวเฮ้ยหากเกิดพายุหิมะตอนกลับอีกก็กลับไม่ได้สิ ไม่เป็นไรวันนี้ทำการบ้านมาแล้ว เช็คพยากรณ์อากาศแล้ว พายุหิมะแบบที่ฮาโกดาเตะได้ผ่านไปแล้ว หิมะตกอย่างมากก็แค่พรำ ๆ นั่งรถไฟไปโอตารุกันช่วงสายหน่อย ๆ ครับ วันนี้เป็นวันธรรมดาคนเดินทางกันน้อยพอสมควรเลย ก็เลยสบาย ๆ รถไฟสายนี้นั่งจากโอตารุไปถึงสนามบินชินชิโตะเสะก็ได้ด้วยนะครับ วิวสองข้างทางนี่ขาวโพลนไปหมด


อ่านแนะนำการท่องเที่ยวโอตารุมา เขาบอกว่าขามาให้ลงหนึ่งสถานีก่อนหน้าสถานีโอตารุ แล้วเดินขึ้นไปจะถึงคลองก่อน แล้วค่อยกลับทางสถานีโอตารุ ก็ไม่รู้ว่าผิดไปหรือเปล่า ปรากฎว่ามีเราสองคนลงมาแค่คู่เดียว และสถานีก็ชานเมืองเอามาก ๆ อาคารบ้านเรือนก็แบบหมู่บ้านธรรมดา ๆ ไม่ได้มีเค้าความเป็นเมืองท่องเที่ยว แถมเดินก็ลำบาก หนาวมาก ๆ ครับ เพราะหิมะตกตลอดทาง แต่เอาฟระมาแล้วก็ต้องลุยกันไป ชื่อสถานีก็ถูกนี่นา ที่ไม่ถูกก็เพราะเดินหลงทางเสียมากกว่า แต่ก็จริงครับ แม้จะดูชานเมืองไปนิด แต่ถนนสายนี้ก็มุ่งตรงไปยังบริเวณ downtown ของโอตารุจริง ๆ เดินลำบากนิดเพราะต้องลุยหิมะแต่ไม่มีหลงแน่ ๆ ให้ดูหิมะระหว่างทางสิครับ หนานุ่มยังกะมาร์ชเมลโล ผมนี้เผลอลงไปนอนเล่นเสียหลายรอบเลย โอยยังกะ winter love song บวกด้วย กวนมินโฮ ตามด้วย fan day



เดินมา 20 นาทีถึงครึ่งชม. ก็เจอนี้แสดงว่าเรามาถึงซึ่งโอเอซิสแล้ว Otaru Music Box Museum เป็นแลนด์มาร์กแล้วที่ต้องเข้าไปละลายทรัพย์ แม้ว่าจะเหมือนกับที่คามาคุระที่เคยไปแล้วก้อเหอะ แต่ก็พลาดไม่ได้ก็ต้องเข้าไปเยี่ยมชมอยู่ดี แถมกลับออกมาด้วยตุ๊กตาของคุณผู้หญิงท่านสองตัวใหญ่ ใครแบกล่ะ ข้าน้อยเอง แบกทั้งกล้อง ทั้งขากล้อง กับตุ๊กตายักษ์สองตัว นี่ล่ะสามี2018



คุณผู้หญิงได้ของสมหมายแล้วหยุดบ่นเรื่องพาเดินลุยหิมะตกได้ทันที ถึงเวลาไปเที่ยวชมเมืองกันแล้วครับ ที่โอตารุมีความคล้ายคลึงกับฮาโกดาเตะพอสมควรครับ เพราะเป็นเมืองท่าที่เปิดค้าขายกับต่างชาติไม่กี่เมืองในช่วงการปฏิรูปเมจิ โดยเปิดเป็นเมืองท่าค้าขายกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ทำให้ได้รับวัฒนธรรมตะวันตกผสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นสร้างเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ซึ่งจริงๆ ก็จะคล้าย ๆ กับสถาปัตยกรรมของไทยสมัยรัชกาลที่ห้าเหมือนกันครับ แต่ต่างกันที่ของเราเมื่อผ่านกาลเวลามาจะถูกทุบทิ้งทำเป็นตึกสมัยใหม่ แต่ที่ญี่ปุ่นเขาเลือกจะอนุรักษ์ไว้ครับ



เมืองโอตารุ Otaru หลายคนเข้าใจว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่าหิ่งห้อย แต่จริง ๆ โอตารุคำนี้เป็นภาษาไอนุ แปลว่า “คลอง” ชาวไอนุเป็นชาวโพลินิเชียนในหมู่เกาะแปซิฟิก โดยกลุ่มชาวไอนุนี้อาศัยกระจัดกระจายมาตั้งแต่หมู่เกาะอาลิวเชียนใต้อลาสก้า คาบสมุทรคามชาทก้าและเกาะซัคคารีนในรัสเซีย มาจนถึงฮอกไกโด และมี DNA ร่วมกับคนไต้หวันและฟิลิปปินส์อีกด้วยครับ ดังนั้นหากเราดูรูปคนไอนุเก่า ๆ จะดูเหมือนคนฮาวาย ไม่เหมือนคนญี่ปุ่นเอาเสียเลย

ซึ่งเมื่อเปิดประเทศแล้ว โอตารุในยุคแรก ๆ จึงกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและทางการเงินของฮอกไกโดที่สำคัญที่สุด โดยมีฮาโกดาเตะทางใต้และโอตารุทางเหนือ ซึ่งขณะนั้นการเดินทางในแผ่นดินฮอกไกโดยังลำบากกว่าการเดินทางทางเรือระหว่างกันอยู่มากครับ จนกระทั่งการก่อสร้างทางรถไฟในฮอกไกโดยสำเร็จ ความเจริญจึงย้ายจากโอตารุไปยังซัปโปโรแทน

มาโอตารุก็ต้องไม่พลาดร้านนี้ครับ ชีสเค็ก Le Tao มันสดและถูกกว่าเมืองไทยมาก ซื้อได้สองก้อนเลย จริง ๆ ตั้งใจซื้อรสดั้งเดิม แต่คนขายเชียร์รสช๊อคโกแล็ตด้วยเพราะบอกเป็นช็อคโกแล็ตของฮอกไกโดเอง ปรากฎว่า ชีสเค๊กหมดเกลี้ยงแต่ช็อคโกแลตเหลือครับ แฮะ แฮะ ไปเดินเล่นชมมุมต่าง ๆ ของเมืองกันก่อนดีกว่าครับ


และก็มาปิดท้ายที่ไฮไลท์ครับ “คลองโอตารุ” มาถึงตอนหัวค่ำพอดี ดังนั้นรีวิวแนะนำถูกแล้วครับ ลงก่อนหนึ่งสถานีแล้วเดินขึ้นไป จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา เพราะระหว่างกลางเมืองไปถึงคลองก็ห่างกันพอสมควรเลยครับ


คลองโอคารุเป็นคลองที่ยาว 1,140 เมตร เชื่อมระหว่างแนวชายฝั่งดั้งเดิมและพื้นที่นอกฝั่งที่ได้มีการบุกเบิก สร้างเสร็จในปี 1923 แม้คคยเป็นสถานที่ขนถ่ายสินค้าจากเรือจำนวนมาก แต่ก็เลิกการใช้งานไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หลังการที่รัฐบาลไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองซัปโปโรมากกว่า ปัจจุบันก็เลยมีการเปลี่ยนโกดังเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวแสนโรแมนติกได้ทุกฤดู หนัง ละคร ซีรีส์ก็ต้องมาที่โอตารุ ไม่งั้นไม่ได้ซิกเนเจอร์ว่ามาฮอกไกโดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลองในตอนกลางคืนที่มีฉากหลังเป็นโกดังและตึกอาคารต่าง ๆ ยิ่งทำให้โรแมนติกมากขึ้นไปอีกได้ด้วยครับ จบการพาไปเที่ยวโอตารุกันที่คลองโอตารุนี้ล่ะครับ เดี๋ยวเราทานข้านแล้วเดินลุยหิมะไปขึ้นรถไฟกลับไปเที่ยวกันต่อที่ซัปโปโร ซึ่งตอนนี่แค่ทุ่มเดียวเอง แต่มันมืดมาก ขอบคุณครับ



ความคิดเห็น