ทีแรกทริปนี้ตั้งใจจะไปประเทศลาววางแผนหาข้อมูลที่เที่ยวลาวเสร็จสรรพเรียบร้อย อยู่มาวันหนึ่งเปิดเฟซบุ๊กมาเจอตั๋วไป-กลับญี่ปุ่นราคา 8,120 บาท เลยทักไปปรึกษาเพื่อน 3 คนว่า ระหว่างลาวกับญี่ปุ่นผมควรไปไหนดี เพื่อนทั้ง 3 ตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “ญี่ปุ่น” ผมเลยตัดสินใจแบบกะทันหันจองตั๋ว 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง และวางแผนหาข้อมูลทั้งหมดภายใน 2 สัปดาห์ !!!
สอบถามเพิ่มเติมหรือแวะเข้าไปทักทายได้ที่ https://www.facebook.com/Khunjaos-Backpacker-537827246272283/
Chapter 1
กรุงเทพฯ - โฮจิมินห์ ซิตี้
Day 1
7 December 2019
ทริปนี้ผมเดินทางด้วยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ ได้ตั๋วมาในราคาไปกลับกรุงเทพฯ-นาริตะ 8,120 บาท แวะต่อเครื่องที่โฮจิมินห์ ซิตี้ และขากลับแวะต่อเครื่องที่ดานัง
ด้วยความที่ตื่นเต้นกลัวตกเครื่อง เงินก็ยังไม่ได้แลกสักบาท ผมออกจากบ้านตั้งแต่ 03:00 มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 07:00 แต่เวลาเครื่องออกนั้นคือ 11:20 มารอตั้งแต่ไก่โห่เลยทีเดียว ๕๕๕ พอมาถึงก็หาแลกเงิน โดยที่วิธีการแลกของผมคือ แลกเงินบาทเป็นเงินเยนในบัตร Travel Card ของธนาคารกรุงไทย เสร็จแล้วนำบัตร Travel Card นั้นมาแลกเป็นเงินสดสกุลเยนที่ธนาคารกรุงไทย สาขา สนามบินสุวรรณภูมิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใด ๆ ส่วนเงินสดที่ผมแลกไปนั้นเพียงแค่ 28,000 เยนเท่านั้น และแลกเงินเวียดนามไปอีก 500,000 ด่อง
ผมได้ทำการ Check-in ผ่านเว็บมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งข้อดีก็คือเราสามารถเลือกที่นั่งได้ฟรีและไม่ต้องไปต่อคิวเคาน์เตอร์ปกติให้มาต่อคิวเคาน์เตอร์ที่ Check-in ผ่านเว็บมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแถวนี้คนจะน้อยมาก ๆ ทำให้ไม่ต้องรอนาน ผมถามพี่พนักงาน Check-in ว่าเราหยุดต่อเครื่องที่สนามบินโฮจิมินห์ ซิตี้ แล้วสามารถออกจากสนามบินได้ไหม คำตอบคือออกได้ เพราะเราได้ Boarding Pass 2 ใบ คือ สุวรรณภูมิ-โฮจิมินห์ซิตี้ และ โฮจิมินห์ซิตี้-นาริตะ และสามารถไปรอรับกระเป๋าที่ญี่ปุ่นได้เลย
ระหว่างที่อยู่บนเครื่องเจอพี่คนหนึ่งชาวเวียดนามอายุกลางคนอัธยาศัยดีมากชวนคุยตั้งแต่ขึ้นเครื่อง พี่แกเหมือนมาทำธุรกิจที่กรุงเทพฯกำลังจะกลับบ้านที่เวียดนาม ผมก็ถามพี่แกว่าเป็นคนโฮจิมินห์เหรอ พี่แกก็บอกว่าไม่ ๆ บ้านแกอยู่ห่างจากโฮจิมินห์ไปทางเหนือ ซึ่งผมก็จำชื่อเมืองไม่ได้แล้ว ที่แกล้ง ๆ ถามก็เพราะว่าเผื่อแกจะเป็นไกด์นำเที่ยวหรือพาเที่ยวชมเมืองสักหน่อย ๕๕๕ แต่แกก็แนะนำว่าถ้ามาที่นี่แล้วต้องไปชมพิพิธภัณฑ์สงครามนะ ผมก็บอกอ๋อ ๆ เดี๋ยวไป เพราะที่มานี่ไม่ได้วางแผนเลยว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง
13:00 แลนดิ้งที่สนามบินโฮจิมินห์ เร็วกว่าเวลาที่กำหนด 10 นาที จากนั้นเดินออกมาที่จุดตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งคนก็เยอะมาก ๆ เยอะมาก ๆ จริง ๆ และผมก็พยายามจะถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่า ผมรอต่อเครื่องแล้วออกจากสนามบินได้ไหม ยังไม่ได้ทันจะอ้าปากถามเลยครับ พี่เจ้าหน้าที่ก็ชี้ไปให้เข้าแถวผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง ๕๕๕
เดินออกมานอกสนามบินเปิด Google Map ค้นหาพิพิธภัณฑ์สงคราม จากนั้นก็ถามพี่พนักงานขายตั๋วรถบัสว่าผมจะไปที่นี่ ราคารถบัส 20,000 ด่อง หลังจากก้าวขึ้นรถก็บอกพี่คนเก็บตั๋วว่า ผมจะไปที่นี่พร้อมยื่นแมพให้ดู พอถึงแล้วบอกผมด้วยนะ พี่แกก็ให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี พอถึงที่หมายพี่แกก็เรียกให้เราลงจากรถ
ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์คนละ 40,000 ด่อง ส่วนมากมีแต่ฝรั่งที่มาดูพิพิธภัณฑ์สงครามนี้
หลังจากนั้นก็ค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่าที่โฮจิมินห์มีที่ไหนที่ควรไปบ้าง จากนั้นก็ปักหมุดลงใน Google Map และเดิน เดินถ่ายรูปตามจุดที่กำหนดไว้ คิดดูแล้วก็บ้ามากตอนนั้น คงจะเหนื่อยน่าดู ๕๕๕ พอตกเย็นไปเดินที่ย่าน ฟาม งู เหลา ร้านเหล้าเบียร์เยอะมาก ผมเดินอยู่นานและเลือกร้านที่ไม่มีคน และก็ไม่มีคนจริง ๆ ครับ มีผมโต๊ะเดียว
จากนั้นก็นั่งรถเมล์จากเมืองเข้าสนามบิน
และแน่นอนคืนนี้ผมนอนที่สนามบิน เพราะว่าถ้านอนในเมืองแล้วกลัวมาไม่ทันเที่ยวบินในตอนเช้า ซึ่งในสนามบินมีที่นอนอยู่ 2 แบบคือ นอนฟรีและเสียเงิน แต่คุณต้องมีบอร์ดดิ้วพาสเข้าไปยังเกตก่อน ผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองและจุดจรวจด้านความปลอดภัยเข้ามายัง Gate เพราะที่นอนอยู่ที่ประมาณ Gate 21-25 ส่วนที่นอนด้านนอกผมไม่แน่ใจว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ถ้าให้แนะนำนอนโรงแรมดีที่สุดครับ แต่ถ้าสายลุยและต้องการประหยัดงบแบบผมก็นอนสนามบินเลยครับไม่แย่อย่างที่คิด
Chapter 2
โฮจิมินห์ ซิตี้ - นาริตะ ประเทศญี่ปุ่น
Day 2
8 December 2019
เช้านี้ผมอาบน้ำที่สนามบิน ห้องอาบน้ำอยู่บริเวณ Gate 21-25 เดินลงไปข้างล่างเลย และแน่นอนว่าอาบฟรี ตอนเช้า ๆ คนน้อยมาก
06:10 เดินทางจากสนามบิน Tan Son Nhat (เตินเซินเญิ้ต) มุ่งหน้าสู่สนามบิน Narita ประเทศญี่ปุ่น พอเครื่องบินไต่ระดับได้สักพักแอร์โฮสเตสก็เอาอาหารมาเสิร์ฟมีให้เลือกทั้งแบบตะวันตกและแบบญี่ปุ่น ไหน ๆ ก็จะไปญี่ปุ่นแล้วครั้งนี้ผมเลยเลือกแบบญี่ปุ่นให้คุ้นปากสักหน่อย
จิบไวน์ชมวิวเบา ๆ บนเครื่อง
เห็นภูเขาไฟฟูจิไหม สำหรับใครที่อยากเห็นภูเขาไฟฟูจิบนเครื่องบิน เที่ยวบินขาไปให้เลือกที่นั่งฝั่งด้านซ้ายของลำ และขากลับจากญี่ปุ่นให้เลือกที่นั่งฝั่งด้านขวา แต่ครั้งนี้เครื่องบิน บินห่างจากภูเขาไฟมาก ทำให้เห็นแค่นิดเดียว แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้เห็นเลย
ถึงสนามบินนาริตะเวลา 13:20 ตามเวลาท้องถิ่น
ก้าวแรกเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ด้วยความตื่นเต้นว่ามาคนเดียวจะเข้าประเทศได้ไหม ผมได้เตรียมเอกสารแผนการเดินทาง ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ใบจองที่พัก ใบประกันการเดินทาง เงินสด และบัตรเครดิต เตรียมเพื่อแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองดูเมื่อขอตรวจดูเอกสารดังกล่าว พอเข้าจุดตรวจคนเข้าเมือง คนก่อน ๆ หน้าเป็นชาวต่างชาติประเทศอื่น ๆ พี่เจ้าหน้าที่ ตม. ไม่ถามคำถามซักคำ แป๊บเดียวก็ผ่าน ๆ ไปได้ พอมาถึงคิวผม พี่เจ้าหน้าที่เปิดพาสปอร์ตตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย เพราะผมเพิ่งไปทำพาสปอร์ตมาใหม่ (อันเดิมเหลืออายุไม่ถึง 6 เดือน) พี่เจ้าหน้าที่ก็ถามคำถามทั่วไปแต่ก็นานมาก ๆ เมื่อเทียบกับคนอื่น เช่น มาญี่ปุ่นครั้งแรกใช่ไหม มากับใคร แล้วไปพักที่ซัปโปโรเหรอ ... จากนั้นพี่เจ้าหน้าที่ก็ให้ผ่านไปได้โดยที่ไม่ได้ขอดูเอกสารเลย
จุดพีคและตื่นเต้นที่สุดอยู่ตรงนี้ครับ !!!
หลังจากที่ผมหยิบกระเป๋าจากจุดรับกระเป๋ามาแล้ว เดินตรงมาที่ด่านศุลกากร เหมือนเดิมครับ ชาวต่างชาติก่อนหน้าเดินผ่านได้อย่างสบาย ส่วนพอถึงคิวผมนั้น พอผมยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าหน้าที่คนนี้ก็วิทยุสื่อสารเลยครับ เรียกเจ้าหน้าที่อีกคนมา เขาก็เอาหนังสือเหมือนเป็นแฟ้มเล่มหนึ่งมาให้ผมดู แล้วเปิดไปที่หน้ายาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ และชี้ไปทีละอันแล้วถามผมว่าคุณไม่ได้มีของพวกนี้เข้ามาใช่ไหม แล้วผมก็ยืนยันว่าไม่มีสิ่งของผิดกฎหมาย จากนั้นเขาก็ขอผมตรวจค้นอย่างละเอียดโดยพาเดินไปที่ห้องห้องหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่สองคนผู้หญิงกับผู้ชาย และพี่เจ้าหน้าที่ก็เอาแฟ้มเดิมมาถามผมอีกรอบว่ามีสิ่งของผิดกฎหมายเหล่านี้ไหม ถามย้ำอยู่ 2-3 รอบได้ จากนั้นพี่เจ้าหน้าที่ผู้ชายก็ตรวจร่างกายผมแบบละเอียดเลยครับ แต่ไม่ได้ถอดเสื้อผ้านะครับ พี่แกให้ผมถอดรองเท้า แล้วแกก็เอามือล้วงเข้าไปในรองเท้าแล้วก็มาคลำ ๆ บริเวณเท้าผมอีก ตอนนั้นยอมรับว่าเท้าผมค่อนข้างมีกลิ่น ยังสงสารพี่แกอยู่เลยครับ ๕๕๕ ส่วนพี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงค้นกระเป๋าทุกใบ ทุกซอกทุกมุม แล้วพอดีแกก็เห็นพาสปอร์ตเล่มเก่าของผมพี่แกเลยถามว่าทำไมมี 2 เล่ม และเล่มเดิมยังไม่หมดอายุ ผมก็เลยบอกไปว่า พาสปอร์ตไทยถ้าวันหมดอายุไม่ถึง 6 เดือน ไม่สามารถออกจากประเทศได้ และก็เหมือนแกก็ไม่เข้าใจที่ผมพูด พยายามอธิบายอยู่นาน ระหว่างการตรวจค้นนั้นพี่เจ้าหน้าที่ผู้ชายถามผมอย่างละเอียดมากกกกกก เท่าที่ผมจำได้ มาทำอะไร มากี่วัน มากับใคร ทำไมมาคนเดียว นักท่องเที่ยวคนอื่นส่วนมากเขามากับเพื่อนหรือมากับครอบครัว ทำไมคุณจองตั๋วช้าจัง หมายถึงไม่จองล่วงหน้านาน ๆ (อย่างที่บอกเป็นทริปกะทันหัน) คุณทำงานอะไร ผมก็ยื่นรูปให้ดูและพี่แก็ถามละเอียดมากเกี่ยวกับงานของผม และผมก็ยื่นแผนการเดินทางให้ดู มีแผนการเดินทาง ประกันการเดินทาง ตั๋วที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และเขาก็ถามว่าทำแผนการเดินทางทั้งหมดเองเหรอ (เขาถึงกับตกใจเพราะแผนผมไปหลายที่มาก ๕๕๕) และพี่เขาก็ขอดูกระเป๋าเงิน อย่างที่บอกผมมีเงินสดแค่ 28,000 เยน และบัตรเครดิต 2 ใบ บัตรพรีเพด 2 ใบ และที่สำคัญทุกสิ่งที่ผมตอบคำถามพี่แกก็จดไว้หมดเลย กลับมาที่พี่ผู้หญิง บอกผมว่าขอเอากระเป๋าไปตรวจสแกน ผมก็ยินดี (กลับมาคิดย้อนหลังถ้ามีคนแอบยัดยาหรือสิ่งผิดกฎหมายในกระเป๋าผมจะเป็นยังไงนะ เพราะ 1.กระเป๋าผมถูกพักที่เวียดนาม 1 คืน ไม่รู้ว่าผู้ประสงค์ไม่ดีจะแอบยัดอะไรไว้หรือเปล่า 2.ตอนพี่เจ้าหน้าที่เอาไปตรวจ ผมไม่ได้เดินออกไปด้วย เผื่อเซอร์ไพรส์มีคนแอบยัดอะไรระหว่างนั้น คงซวยแย่เลย แต่ก็ดีที่ทุกอย่างผ่านพ้นมาได้) และหลังจากนั้นพี่แกก็เก็บกระเป๋าให้ และกล่าวคำขอโทษอย่างสุภาพ และพาผมเดินออกจากห้องตรวจเพื่อเข้าสู่ทางออกผู้โดยสารขาเข้า รวม ๆ เวลาที่โดนตรวจค้นและตอบคำถาม ราว ๆ 1 ชั่วโมงครับ!!! (ระหว่างที่พี่เจ้าหน้าที่ถามพี่แกถามอย่างสุภาพและไม่มีอาการรุนแรงจนน่ากลัวแต่อย่างใด ต้องขอชื่นชมพี่เจ้าหน้าที่ครับ อ่อนโยนและสุภาพจริง ๆ ) นับว่าเป็นการเข้าประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้ผมค่อนข้างเสีย Self อยู่เหมือนกัน (อารมณ์เหมือน ฉันมาทำอะไรที่นี่ อยากกลับบ้าน อยากร้องไห้) ในใจตอนนั้นอารมณ์อยากเที่ยวก็ลดลงไปเยอะเลยครับ ช่างเป็นการต้อนรับเข้าประเทศที่โคตรเซอร์ไพรส์ของคนบาปอย่างผมจริง ๆ เลย ๕๕๕
“สนามบินนาริตะทุกซอกมุม”
14:20 – 06:50 กว่า 16 ชั่วโมงที่ผมอยู่ที่สนามบินนาริตะ เพื่อที่จะรอขึ้นเครื่องไปซัปโปโร ผมได้ไปสำรวจทุก Terminal ของสนามบินนาริตะ นั่ง Airport Shuttle Bus จาก Terminal 1 ไป Terminal 2 และเดินไปยัง Terminal 3 เพื่อสำรวจจุด Check in ในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็นั่งบัสกลับมาที่ Terminal 1 เดินไปเรื่อย ๆ จนบังเอิญเจอจุดชมเครื่องบิน ผมบอกเลยว่าผมเดินเยอะมากจริง ๆ ในสนามบินนาริตะ จนจำทางได้เลยแหละ ส่วนคืนนี้นั้นผมนอนที่สนามบินบริเวณเก้าอี้ในอาคารมีผู้โดยสารหลายคนเลยที่นอนสนามบินเหมือนกัน และบอกเลยว่าค่อนข้างปลอดภัยเพราะมีเจ้าหน้าที่เดินตรวจตลอด แต่ถ้าให้แนะนำผมว่านอนโรงแรมเถอะ ๕๕๕ (มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมนั่งรอเพื่อต่อเครื่องตอนดึก ๆ มีพี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คน มาขอดูพาสปอร์ต และก็พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ต้องใช้ Google Translate สื่อสารกัน แล้วก็ถามผมว่าขอจดข้อมูลไปได้ไหม ตอนนั้นผมบริสุทธิ์ใจก็ตอบไปว่าได้ ๆ ครับ พอพี่แกจดเสร็จผมก็ถามไปว่าเอาข้อมูลผมไปทำไม พี่เจ้าหน้าที่ก็บอกแค่ว่า ไม่ต้องห่วงจะเก็บข้อมูลไว้เป็นความลับ กลับมาคิดย้อนหลัง เขาจะเอาข้อมูลเราไปทำอะไรหรือเปล่านะ เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เสีย Self อีกแล้ว ในใจคิดว่าผมทำอะไรผิดดดด อยากกลับบ้านนน ๕๕๕)
ข้าวมื้อแรก ณ ประเทศญี่ปุ่น
จุดชมเครื่องบิน
ที่นอนคืนนี้
Chapter 3
นาริตะ - ซัปโปโร
Day 3
9 December 2019
เช้าวันนี้ผมได้ฝากกระเป๋าใบนึงไว้ที่สนามบิน เพราะผมแบกขึ้นเครื่องได้เพียง 7 กิโลกรัม ได้ฝากไว้ที่ Locker อัตโนมัติ ราคา 300 เยนต่อวัน สามารถฝากได้สูงสุด 8 วัน (มีราคา 300 , 400 และ 500 เยน ตามขนาดของตู้ ของผม 300 เยน สามารถใส่กระเป๋าแบ็คแพ็คของผมได้สบายเลย)
05:00 ผมออกมาจาก Terminal 1 นั่ง Airport Shuttle Bus ไปยัง Terminal 3 เพื่อไป Check in ขึ้นเครื่อง เที่ยวบิน นาริตะ-ซัปโปโร (ผมจองล่วงหน้าแค่ 5 วัน ราคาไปกลับ 3,205 บาท จองผ่าน Trip.com โดยเที่ยวบินขาไปได้ของสายการบิน Jetstar และขากลับของสายการบิน Spring Japan) หลังจาก Check in เสร็จเดินเข้าจุดตรวจสัมภาระ และเดินไป Gate ซึ่งเดินไกลมาก ๆ ควรเผื่อเวลาด้วยนะครับ สายการบิน Jetstar ก่อนขึ้นเครื่องได้ชั่งน้ำหนักกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องของทุกคนว่าเกิน 7 กิโลกรัมหรือไม่ ผมคิดถูกแล้วที่ไม่แบกกระเป๋ามาหมด ไม่งั้นได้เสียตังค์เพิ่มแน่ ๆ ๕๕๕
07:00 ครั้งนี้ผมไม่ได้เลือกที่นั่งระบบเลือกให้ได้นั่งบริเวณทางออกฉุกเฉิน พอไปถึงที่นั่งปุ๊บพี่แอร์โฮสเตส พูดภาษาอังกฤษเร็วมากและยื่นเอกสารให้ผมใบหนึ่ง ผมทำหน้างง และพี่แกก็พูดอีก เร็วมากเหมือนเดิม ผมก็ทำหน้างงอีก (เพราะฟังไม่ทัน) พี่แกเลยถามว่า "แล้วคุณเข้าใจภาษาอะไร" ผมก็บอกว่าอังกฤษ สรุปแกบอกว่า คุณนั่งประตูที่นั่งทางออกฉุกเฉิน กรุณาอ่านคู่มือการเปิดประตูเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
และเหตุการณ์ระหว่างเครื่องกำลัง Taxi มีผู้โดยสารคนหนึ่งไม่รู้ว่าต้นเรื่องเป็นอย่างไร แต่พี่แกคนนั้นไม่ยอมมาที่นั่งตัวเอง (น่าจะเป็นผู้โดยสารชาวจีน) ได้ยินแต่เสียงแอร์โฮสเตสบอกว่า "ถ้าคุณไม่กลับไปที่นั่งของคุณ เราจะไม่สามารถนำเครื่องขึ้นได้" (ผมคิดว่ามีคนป่วยและจะนำเครื่องกลับไปยังอาคารผู้โดยสาร) ตอนนั้นแอบเซ็งนิด ๆ เพราะเครื่องค่อนข้างดีเลย์แล้ว สุดท้ายพี่ผู้โดยสารคนนั้นก็กลับไปนั่งที่เดิมของตนเอง และหลายคนในเครื่องก็พร้อมใจกันปรบมือ เพราะจะได้นำเครื่องขึ้นบินแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้สาเหตุอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ๕๕๕
08:45 เครื่องลงจอดยังสนามบิน New Chitose (นิว ชิโทเสะ ทีแรกผมอ่านว่า นิว ชีโทส ๕๕๕) กับอุณหภูมิขณะนั้น -5 องศาเซลเซียส จากนั้นผมรีบเดินออกมาที่ยังอาคารผู้โดยสารเพื่อสัมผัสอากาศติดลบแรกในชีวิต และ หิมะแรกในชีวิต ซึ่งมันหนาวมาก ๆ และนี่คือหิมะแรกที่ผมได้เห็นใกล้ ๆ กับตา และเดินชมสนามบินสักเล็กน้อย ทีแรกจะไปชมเครื่องบินบริเวณจุดชมเครื่องบินแต่เห็นป้ายติดประกาศว่าปิดให้เข้าชมช่วงฤดูหนาว แอบเสียใจอยู่นิดนึง แต่ก็ได้แค่ชมวิวบริเวณศูนย์อาหาร
จากนั้นเดินไปหาวิธีเข้าเมืองซัปโปโร ซึ่งมี 2 วิธีคือ รถบัสกับรถไฟ รถบัสราคา 1,100 เยน สามารถใช้บัตร IC Card แตะขึ้นบนรถได้เลย ส่วนรถไฟจากสนามบินถึงซัปโปโรราคา 1,150 เยน สามารถใช้บัตร IC แตะขึ้นรถได้เหมือนกัน แต่ทีแรกผมไม่รู้ว่าสามารถใช้บัตรแตะขึ้นรถได้เลย ผมเลยไปตู้อัตโนมัติเพื่อซื้อตั๋ว และนี่ก็เป็นบรรยากาศระหว่างทางเข้าเมืองซัปโปโร
10:30 ถึงสถานีซัปโปโร วันนี้ผมพักที่ Social Hostel 365 เป็นโฮสเทล ห้องรวม ห้องน้ำรวม ราคาคืนละ 438.13 บาท จองผ่าน agoda อยู่ห่างจากสถานี Sapporo 2 กิโลเมตร และแน่นอนผมเลือกวิธีการเดิน!!! ผมเดินมาเรื่อย ๆ ชมวิวเมืองและถ่ายรูปสถานที่ต่าง ๆ อากาศตอนนั้น -3 องศาเซลเซียส และผมได้นำกระเป๋ามาฝากไว้ที่โฮสเทลเพราะโฮสเทลเปิดให้ Check in เวลา 15:00 จากนั้นได้เดินเท้ามาที่ Odori Park และ Sapporo TV Tower ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ทริปนี้ผมต้องการประหยัดที่สุด ผมจึงเลือกกินอาหารที่ร้านสะดวกซื้อเท่านั้นเพราะราคาถูกและพอกินได้ ร้านสะดวกซื้อที่นี่มี 7-Eleven , Lawson และ Family Mart ซึ่งมีพอ ๆ กันเลย ต่างจากบ้านเราที่ส่วนมากมีแต่ 7-Eleven
หลังจากนั้นก็เดินกลับมาที่พัก Social Hostel 365 และงีบพักจนถึงเวลาประมาณ 19:00
แผนแบบกะทันหันก็เกิดขึ้นอีก ผมเสิร์ชหาข้อมูลที่เที่ยวในซัปโปโร ก็เจอ Chocolate Factory ซึ่งอยู่ห่างจากโฮสเทลประมาณ 8 กิโลเมตร กับการเดินทางใช้เวลา 30 นาที ผมรีบแต่งตัวเดินออกมาจากโฮสเทลท่ามกลางอากาศหนาว ๆ อุณหภูมิเลขตัวเดียว แล้วรีบเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุด วิธีการเดินทางของผมก็คือใช้ Google Map อยากไปที่ไหนก็ค้นหาที่นั่น และนำทางโดยเลือกวิธีการเดินทางโดยรถสาธารณะ Google Map จะบอกทุกอย่างตั้งแต่เดินไปขึ้นสถานีรถไฟที่ไหน ขบวนรถจะมากี่โมง และขึ้นที่ชานชาลาไหน ค่ารถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Nishi Juitchome ถึงสถานี Miyanosawa ราคา 290 เยน สามารถใช้บัตร IC แตะผ่านได้เลยสะดวกสบายมาก
ถึง Chocolate Factory เวลา 19:36 และเดินเข้าไปถ่ายรูปภายใน Shiroi Koibito Park ส่วน Chocolate Factory นั้นปิดไปแล้ว ใครจะไปให้ศึกษาเวลาเปิดปิดไปด้วยนะครับ ส่วน Shiroi Koibito Park ปิดเวลา 20:00 ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 30 นาที ผมก็เดินถ่ายรูปจนทั่ว ซึ่งบรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่สวยงามมากเลยครับ วันที่ผมไปคนน้อยมากอาจจะเป็นเพราะกำลังจะปิดแล้วก็ได้
จากนั้นผมก็เดินทางจาก Chocolate Factory ขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Miyanosawa ไปยังสถานี Odori Park ราคา 290 เยน และได้ไปถ่ายบรรยากาศยามค่ำคืนของ Sapporo TV Tower ซึ่งสวยงามไปอีกแบบ
ภายในสวนโอโดริ จะมีซุ้มถ่ายภาพฟรี!!! เราก็ได้ยินเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ ถ่ายรูปฟรีเชิญด้านนี้ครับ นักท่องเที่ยวก็พากันไปต่อแถวกันเยอะเลย ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น พอต่อแถวเสร็จปุ๊บ มีเจ้าหน้าที่อีกคนมาแจ้งว่า เราถ่ายรูปให้ฟรีนะครับ จะได้เป็นฟรีเป็นแผ่นเล็ก ๆ ถ้าอยากได้แผ่นใหญ่สามารถซื้อเพิ่มได้เลยนะครับ ไอ้เราก็จะถอนตัวออกจากแถวไม่ได้ละ ก็เลยต่อแถวถ่าย ๆ ไป พอถ่ายเสร็จก็จะได้บัตรมาให้ไปรับรูปที่บริเวณด้านข้าง เราก็เอาว่ะ มาถึงขนาดนี้แล้วซื้อก็ซื้อ เสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้ !!! ก็เข้าไปต่อแถวรับรูปแผ่นใหญ่พร้อมจ่ายเงิน 1,300 เยน ส่วนถ้าใครไม่ต้องการอย่างที่บอกเขามีรูปเล็ก ๆ ให้ฟรีนะครับ หรือสามารถไปดาวน์โหลดไฟล์ภาพของเราได้ตามลิงก์ที่เขาแนบให้ (เสียตังค์) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของฟรีไม่มีในโลกนะครับ ๕๕๕
จากนั้นก็ไปเดินย่าน Susukino และเดินกลับโฮสเทล
ผมกลับมายังโฮสเทลนั่งเล่นภายในห้องนั่งเล่นของโฮสเทลเปิดฮีตเตอร์นั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว จุดประสงค์ที่มาซัปโปโรนี้คืออยากจะเจอหิมะตกสักครั้ง ผมเปิดแอป เปิดเน็ต ค้นหาข้อมูลว่าคืนนี้หิมะจะตกไหม ปรากฏว่ามีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมนั่งรอแล้วรอเล่าเพื่อให้หิมะตก ด้วยความที่อยากเห็นหิมะตกมาก ผมเดินออกไปด้านนอก ไปยังย่าน Susukino อีกครั้ง ซึ่งระทางไปกลับก็ประมาณ 2 กิโลเมตร กลับมาที่โฮสเทล รอแล้วรอเล่าจนถึงเวลาเกือบตี 3 ก็ไม่มีวี่แววว่าหิมะจะตก
Chapter 4
ซัปโปโร - โอตารุ
Day 4
10 December 2019
เช้าวันนี้หลักจากที่ Check out ได้ฝากกระเป๋าไว้ที่โฮสเทล และแผนปุบปับมาอีกแล้วผมได้ค้นหาข้อมูลสถานที่เที่ยวในซัปโปโร ผมได้เดินไปยัง Sapporo Beer Museum ซึ่งระยะทางจากโฮสเทลไป Sapporo Beer Museum นั้นประมาณ 4 กิโลเมตรครับ ได้โปรดอย่าทำตาม ๕๕๕
ผมออกจากโฮสเทลประมาณ 10:30 ถึง Sapporo Beer Museum ประมาณ 12:30 เดินกันขาลากเลยทีเดียว ระหว่างทางได้แวะที่ตลาดปลานิโจ ก็มีขายของพวกอาหารสด อาหารทะเลทั่วไปครับ
อาหารเช้าของผมวันนี้ได้ Family Mart เป็นที่พึ่ง
ระหว่างเดินไปพิพิธภัณฑ์เบียร์ หิมะเริ่มละลายครับ
ประเทศญี่ปุ่นนี่ก็แปลกไปอีกแบบ พิพิธภัณฑ์เบียร์ สาเก มีให้เห็นกันทั่วไป โดยไม่ได้มีการห้าม การแบนเหมือนประเทศไทย เขารู้สึกเหมือนเป็นความภูมิใจของประเทศเขา คงจะเป็นเพราะเขาสอนให้เด็กหรือผู้คนรู้ว่าเบียร์คืออะไรและจะไปยุ่งกับมันตอนไหน ไม่ใช่ให้มาลองผิดลองถูกเอง
หลังจากที่ได้ชิมเบียร์ซัปโปโรแล้วนั้นผมก็ได้นั่งรถบัสมายัง Odori Park ค่าโดยสาร 210 เยน และยังต้องเดินกลับไปเอากระเป๋าที่โฮสเทลอีก
จากนั้นผมก็ค้นหาเส้นทางจากซัปโปโรไปยังโอตารุ มี 2 วิธีคือ นั่งรถไฟและรถบัส ผมจึงเลือกวิธีที่ถูกที่สุดคือนั่งรถบัส ปรากฏว่าขึ้นรถบัสผิดคันครับ !!! (คนบาปก็งี้ ๕๕๕) ผมนั่งอยู่บนรถบัสแล้วเอาแผนที่ไปให้พี่คนญี่ปุ่นที่อยู่ข้าง ๆ ผมแล้วถามว่า ผมจะไปโอตารุ รถบัสคันนี้ไปโอตารุไหม พี่แกพูดอังกฤษไม่ได้เลย ผมต้องใช้วิธีแปลโดยใช้ Google Translate สรุปได้ว่า รถคันนี้ไม่ได้ไปโอตารุจ้า แผนต่อไป ผมเปลี่ยนใจไม่นั่งรถบัสไปแล้ว ค้นหาเส้นทางใหม่ รถบัสไปจอดป้ายไหนที่ใกล้สถานีรถไฟมากที่สุดจะลงสถานีรถไฟนั้น โชคช่างเข้าข้างซะเสียจริง รถบัสไปจอดที่สถานีรถไฟ Teine พอดี ผมรีบขอบคุณพี่ญี่ปุ่นคนข้าง ๆ ซึ่งแกก็เหมือนจะยังงง ๆ อยู่ แล้วรีบก้าวขาลงจากรถบัสทันใด พอเข้ามายังสถานีรถไฟดูราคาจากสถานี Teine ไปยังสถานี Otaru ราคา 540 เยน รีบหยิบบัตร Suica แตะเข้าไปในชานชาลาอย่างรีบเร่ง โดยที่ไม่รู้ว่าชานชาลาไหนไปโอตารุ ผมรีบลงบันไดมาเพื่อขึ้นรถไฟ โดยที่ไม่รู้ว่าขบวนนี้จะไปไหน พอผมก้าวขาเข้าไปในรถไฟ ผมรีบถามคนในนั้นว่ารถคันนี้ไปโอตารุไหม พี่คนญี่ปุ่นคนหนึ่งไม่ตอบอะไร แล้วรีบผายมือให้ผมออกจากรถไฟอย่างรีบเร่ง ในใจแกคงบอกว่า “ไม่ใช่ ๆ ให้ออกไปจากขบวนนี้ก่อนที่ประตูจะปิด” แต่พี่แกคงพูดไม่ทัน (ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพแต่จังหวะนั้นผมฮาตัวเองมาก ๕๕๕)
รถบัสที่ผมนั่งผิดมา
สถานี Teine
ผมถึงโอตารุเวลา 13:40 หลังจากลงจากรถไฟ ผมรีบเดินหาที่พักที่จองผ่าน agoda คืนนี้ผมพักที่ The Green Otaru เป็นโฮสเทล ห้องรวม ห้องน้ำรวม ตกคืนละ 310.02 บาท โฮสเทลอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Otaru ประมาณ 400 เมตร จะมีอยู่ 2 ตึก คือตึกหลัก เหมือนจะเป็นโรงแรม และตึกรองที่อยู่ตรงกันข้ามจะเป็นโฮสเทล
ผมได้ทำการ Check in ที่ Main Building (ตึกหลัก) ของโฮสเทล จากนั้นก็ได้ Key card เพื่อที่จะเข้าไปยังอีกตึกที่อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งผมหาทางเข้าอยู่นานมาก ๕๕๕ โฮสเทลนี้เป็นโฮสเทลที่ดีมาก สะอาด เตียงกว้างมาก ถึงจะเป็นห้องรวมแต่ก็กั้นเป็นห้อง ๆ อย่างกับห้องส่วนตัว ถือว่าคุ้มค่ามากกับราคานี้
ตอนกลางคืนผมได้เดินไปสถานที่สุดฮิตที่พลาดไม่ได้ของเมืองโอตารุ นั่นก็คือ คลองโอตารุ ซึ่งก็อยู่ห่างจากโฮสเทลเพียง 700 เมตร ระหว่างทางก็เป็นพื้นหิมะที่กำลังจะละลายเดินค่อนข้างจะลำบากนิดนึง
และร้านสะดวกซื้อที่ผมชอบที่สุดคือ Family Mart ร้านนี้แทบทุกสาขาจะมีโต๊ะให้ทานอาหาร และร้านสะดวกซื้อแทบทุกที่ในญี่ปุ่นจะมีห้องน้ำให้ด้วย (แต่ไม่ได้ลองเข้า ๕๕๕)
Chapter 5
โอตารุ - ชิโทเสะ
Day 5
11 December 2019
เช้านี้ผมตั้งใจจะไปดูคลองโอตารุตอนกลางวัน แต่โชคไม่เข้าข้างไม่มีแดดเลย แถมหิมะก็กำลังจะละลายอีกด้วย ทำให้ถ่ายรูปคลองโอตารุเช้านี้ไม่ค่อยสวยเลยครับ
หลังจากที่ชมวิวเมืองโอตารุเสร็จผมมุ่งหน้าเข้าสู่ซัปโปโรอีกครั้ง ครั้งนี้เลือกเดินทางโดยรถบัส สถานีรถบัสตั้งอยู่ด้านหน้าของสถานีรถไฟ ผมก็ได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อจองตั๋ว สรุปว่าเราสามารถจ่ายเงินผ่านบัตร Suica บนรถได้เลยครับ ค่าโดยสารรถบัส จากโอตารุถึงซัปโปโร ราคา 620 เยน ระหว่างทางได้เห็นวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น เห็นถนนหนทาง แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วครับสำหรับผม ใครที่จะมาโอตารุ ขามาอาจจะนั่งรถไฟ ชมวิวริมทะเล ส่วนขากลับอาจนั่งรถบัสชมวิวก็ไม่เลวเลยนะครับ อ้อ ทั้งรถบัสและรถไฟมีฟรีไวไฟตลอดทางครับผม
ผมถึงสถานีซัปโปโรประมาณ 09:30 จากนั้นเดินทางจากซัปโปโรไปชิโทเสะด้วยรถไฟ ราคา 970 เยน วันนี้ผมเลือกนอนที่เมืองชิโทเสะ เพราะผมกลัวว่าผมจะเดินทางไปสนามบินไม่ทันในตอนเช้าและถือโอกาสชมเมืองชิโทเสะไปด้วย ถึงชิโทเสะประมาณ 10:50 และได้ซื้ออาหารมากินก่อนที่จะเดินไปยังโฮสเทล ในวันที่ผมมาเมืองชิโทเสะยังเต็มไปด้วยหิมะ แต่พอผมมานอนที่ชิโทเสะหิมะละลายหมดแล้วครับ (คนบาปจริง ๆ )
วันนี้ผมพักที่ Air Hostel LCC จองได้ราคา 501.53 บาท เป็นโฮสเทลห้องรวม ห้องน้ำรวม ดีมาก มีห้องนั่งเล่น ฟรีอาหารเช้า แถมผมไปถึงประมาณเกือบเที่ยงก็ให้ Check in เข้าที่พักได้เลย
หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่พักแล้วผมก็ได้เดินสำรวจเมืองชิโทเสะ เป็นเมืองที่เงียบมาก ผู้คนไม่พลุกพล่าน และถือว่าปลอดภัยมากเลยทีเดียว ผมสังเกตเห็นเด็กเล็ก ๆ น่าจะเป็นเด็กระดับประถมต้น สามารถเดินเท้ากลับบ้านได้ด้วยตนเอง ข้ามถนนเอง โดยที่ไม่ต้องกลัวรถชน หรือ ไม่ต้องกลัวคนแปลกหน้ามาทำอะไรมิดีมิร้าย ผมได้เดินจากที่พักไปยัง Salmon Hometown Chitose Aquarium ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 2 กิโลเมตร พอเดินไปถึงเจอค่าเข้าประมาณ 800 เยน ผมเลยไม่เข้าครับ เพราะตอนนั้นคิดว่าแพงและไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่ จึงเดินไปนั่งชมวิวที่สวนสาธารณะข้าง ๆ อควาเรียม แต่เสียดายมากถ้ามีหิมะเมืองคงสวยกว่านี้ ผมนั่ง ๆ อยู่แบบเงียบมากกกก เงียบมาก ๆ ไม่มีคนเลย ยังสงสัยเมืองนี้คนเขาไปไหนกัน หรือหนาวอยู่แต่ในบ้าน
ช่วงตอนเย็นระหว่างเดินกลับโฮสเทลผมได้แวะร้านหนังสือชื่อดังของเมืองชิโทเสะ เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่มาก ข้างล่างขายหนังสือ ชั้นบนขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และแผ่นซีดีต่าง ๆ
จากนั้นระหว่างทางก็ได้แวะเข้าไปชมร้านขายสินค้ามือสองของประเทศญี่ปุ่น มีหลายอย่างมากกก ได้เดินชมเมืองแค่นี้ก็พอแล้วสัมผัสวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น
ข้อความเด็ดที่โฮสเทล แต่วันนั้นไม่มีใครอยู่ให้คุยด้วยเลยสักคนครับ ๕๕๕
อาหารคืนนี้ฝากท้องไว้กับ Seven
Chapter 6
ชิโทเสะ - โตเกียว
Day 6
12 December 2019
วันนี้รีบตื่นแต่เช้าเก็บข้าวของ มากินอาหารเช้าที่โฮสเทลมีไว้ให้ ก็คือกาแฟ และขนมปัง โดยที่ทำเองทุกอย่าง เห็นสีเหลือง ๆ นั่นไหมครับมันคือมายองเนส ผมคิดว่ามันเป็นนมข้ม เอามาบีบกินกับขนมปังเฉย ๕๕๕
น้ำดื่มที่ญี่ปุ่นสามารถเปิดดื่มจากก๊อกได้เลยนะครับ แต่ผมกล้าดื่มเฉาะที่มีป้ายเขียนไว้ว่าดื่มได้ แต่ถ้าอันไหนไม่มีป้ายติดไว้ไม่กล้าดื่ม
ผมออกจากโฮสเทลประมาณ 07:15 เดินมาขึ้นรถไฟที่สถานี Chitose เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบิน New Chitose ผมถึงสนามบินประมาณ 08:00 รีบเดินไปหาเค้าเตอร์ Check in แต่ยังไม่เปิดมาเร็วเกินไป ๕๕๕ หลังจากที่รอไปสักพักถึงเวลา Check in ผมก็ไป Check in ที่ตู้อัตโนมัติ ขากลับผมเดินทางด้วยสายการบิน Spring Japan เครื่องออกเวลาประมาณ 10:00
ผมเช็กในแอปพยากรณ์อากาศ หิมะที่โอตารุ ซัปโปโรและชิโทเสะก็เริ่มตกทันทีที่ผมถึงโตเกียว เราพลาดหิมะไปเพียงนิดเดียว แหม! อะไรจะเป็นคนบาปขนาดนี้เนี่ย !!!
ถึงโตเกียวประมาณ 11:40 ผมรีบไปหาอะไรทานที่ร้านสะดวกซื้อและไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ล็อกเกอร์อัตโนมัติ ทั้งหมดที่ฝากไป 4 วันเป็นเงิน 1,200 เยน
ผมเลือกเดินทางเข้าโตเกียวด้วยรถบัสของบริษัท Keisei ราคา 1,000 เยน ซื้อตั๋วที่ Terminal 1 และได้ซื้อบัตรโดยสารรถไฟใต้ดินแบบไม่จำกัด Tokyo Subway 72 hrs. ราคา 1,500 เยน และเดินออกมาป้ายรถบัส บริเวณหน้าอาคารผู้โดยสาร ผมเลือกลงที่สถานีโตเกียวเพราะไม่รู้ว่าจะไปลงไหนดี
หลังจากที่ถึงโตเกียวผมเปิด Google Map ที่พักที่ผมจองไว้ นั่นก็คือ Hostel EAST57 ASAKUSABASHI ได้มาในราคา 371.50 บาทต่อคืน และนำทางไปยังที่นั่น ผมเลือกเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินโดยใช้บัตร Subway Pass อย่างที่ผมเคยบอก การเดินทางโดยรถไฟใต้ดินในโตเกียวค่อนข้างง่ายแต่เดินเยอะไปนิด เพียงแค่เดินไปตามที่ Google Map บอก เช่น ให้ไปขึ้นที่ชานชาลาที่เท่าไหร่ เหลือเวลาอีกกี่นาทีรถไฟจะมา ซึ่งตรงเวลามาก ๆ พอไปถึงโฮสเทลผมก็นั่งรอเวลา Check in คือเวลา 16:00 ซึ่งก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมโฮสเทลในญี่ปุ่นถึงให้ Check in ช้าจัง
หลังจากที่ Check in เก็บข้าวของเสร็จแล้ว ผมได้เดินทางไปยังสถานีโตเกียว เพื่อสำรวจเส้นทาง พอไปถึงสถานีโตเกียว ปรากฏว่าหลงทางครับ สถานีใหญ่มากกก คนเยอะมากกกกกกก เดินวนเดินหาอยู่นานเลย
- ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ -
ผมตัดสินใจซื้อ JR Tokyo Wide Pass เพื่อเดินทางไปยัง Kawaguchiko , Nikko และ Gala Yuzawa โดยที่ภารกิจซื้อตั๋วไม่ง่ายเลยครับ ผมเดินหาในสถานีโตเกียวอยู่นานมากว่ามันไปซื้อที่ไหน (เพราะศึกษาข้อมูลไปน้อยมาก) ครั้งแรกผมเดินเข้าไปจุดขายตั๋วของ JR แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าที่นี่ซื้อ JR Wide Pass ไม่ได้ ให้ไปอีกที่หนึ่ง ผมก็เลยเดินไปเรื่อย ๆ ย้ำนะครับว่าเดินไปมั่ว ๆ เพราะหลง และไม่รู้ทางเลย จากนั้นก็ไปเห็นจุดขาย JR Pass พอดี จึงเข้าไปสอบถามพี่เจ้าหน้าที่ และทำการซื้อ JR Wide Pass ด้วยบัตร SCB Planet ที่แลกเงินไว้เพียงเล็กน้อย ราคาของ Pass นี้คือ 10,800 เยน สามารถขึ้นรถไฟได้ภายในเขตที่กำหนดซึ่งคลอบคลุมพื้นที่ที่ผมจะไป และที่สำคัญสามารถขึ้น Shinkansen ได้ด้วย
หลังจากที่ซื้อ JR Tokyo Wide Pass แล้ว ผมก็ขอให้เจ้าหน้าที่จองตั๋วไป Kawaguchiko เพื่อไปดูภูเขาไฟฟูจิให้ในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยที่ขึ้นรถไฟที่สถานี Shinjuku ด้วยรถไฟ ขบวน Fuji Excursion 1 เที่ยวเวลา 08:30 และขากลับเวลา 17:38
หลังจากที่จองตั๋วเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเกิดความสงสัยว่าถ้าไปสถานี Shinjuku แล้วจะเดินทางไปต่อยังไง ผมเลยไปสำรวจเส้นทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานีโตเกียวไปสถานีชินจูกุ สถานีเป็นสถานีปราบเซียนอีกแล้วครับ ใครไม่หลงผมขอนับถือจริง ๆ ๕๕๕ ผมเดินสำรวจอยู่นาน คนก็เยอะไม่แพ้สถานีโตเกียวเลย เพื่อความแน่ใจผมเลยไปถามเจ้าหน้าที่ว่าพรุ่งนี้ผมจะไป Kawaguchiko ให้ไปขึ้นรถที่ไหน พี่เจ้าหน้าที่ก็บอกข้อมูลให้เรียบร้อยผมก็สบายใจว่าพรุ่งนี้ให้มาขึ้นที่ตรงนี้ ๆ
หลังจากที่ออกจากสถานีชินจูกุแล้วผมก็ทำเรื่องบ้า ๆ นิดหน่อยอีกแล้ว ในเมื่อผมมีบัตรโดยสารรถไฟใต้ดินไม่จำกัด 72 ชั่วโมง ผมเลยเดินลงไปสถานีรถไฟใต้ดินแล้วสุ่มว่าจะขึ้นรถไฟขบวนไหน โดยที่ไม่รู้เป้าหมาย คือ ถ้าผมมองนาฬิกา ณ เวลานั้น นาทีเป็นเลขคี่ผมจะขึ้นรถไฟที่ชานชาลาด้านซ้าย ถ้านาทีเป็นเลขคี่ผมจะขึ้นรถไฟที่ชานชาลาด้านขวา ๕๕๕ ฟังดูแล้วบ้านิด ๆ แต่ผมก็ทำจริง ๆ ครับ นั่งรถไฟใต้ดินไม่มีจุดหมาย
พอนั่งไปได้สักพักเลยนึกขึ้นได้ว่าต้องไปจุดสำคัญ ๆ ในโตเกียวเพื่อไปให้เห็นกับตาที่แรกผมเลือกไปที่ Tokyo Tower ซึ่งก็นั่งรถไฟใต้ดินไปอีกเหมือนเดิมครับ จากนั้นก็ไปที่ Tokyo Sky Tree โดยทั้งหมดนี้ผมพึ่ง Google Map ทั้งนั้น
Tokyo Tower
Tokyo Sky Tree
จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พัก
Chapter 7
คาวากูจิโกะ (ฟูจิในฝัน)
Day 7
13 December 2019
วันนี้ผมรีบตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมายังสถานี Shinjuku เพื่อนั่งรถไฟ Fuji Excursion 1 ไปยังสถานี Kawaguchigo เพื่อไปชมภูเขาไฟฟูจิในฝัน ซึ่งเป็นใครก็ไม่พลาดเมื่อมาญี่ปุ่นต้องได้เห็นภูเขาไฟฟูจิสักครั้ง
รถไฟออกจากสถานีเวลา 08:30 และถึงที่สถานี Kawaguchiko เวลาประมาณ 10:22 พอไปถึงแล้วโชคช่างเข้าข้างผมจริงจริ๊งงงง วันนี้ฟ้าปิดจ้า (แต้มบุญน้อยจริง ๆ ) ผมเดินวนไปวนมา รอบ ๆ สถานีรถไฟ ผู้คนก็ช่างเยอะซะเหลือเกิน ท้องฟ้าก็ไม่เป็นใจ ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าจะเอายังไงดี จะไปริมทะเลสาบ จะเช่าจักรยาน หรือจะนั่งรถบัสรอบทะเลสาบ หรือจะไปเจดีย์แดงชูเรโตะที่เขานิยมไปกัน
ผมตัดสินใจเดินผ่าฝูงชนรีบไปที่เคาน์เตอร์แล้วรีบบอกพี่เจ้าหน้าที่ว่าผมขอยกเลิกตั๋วขากลับได้ไหม และขอตั๋วที่กลับไปยังโตเกียวเร็วที่สุด พี่เจ้าหน้าที่ก็ทำให้ จากนั้นผมรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังโตเกียว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาถึงได้ประมาณ 20 นาที !!! แผนในหัวของผมตอนนั้นคือ กลับไปตั้งหลักที่โตเกียวแล้วพรุ่งนี้มาใหม่ เพราะถ้าเที่ยววันนี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแน่ เพราะฟ้าปิดมาก
ขบวนที่ผมรีบขึ้นมานี้เป็นรถไฟท้องถิ่นซึ่งจะจอดทุกสถานี ย้ำทุกสถานี ๕๕๕ กว่าจะถึงโตเกียวก็ประมาณ 3 ชั่วโมง ผมเลยเปลี่ยนแผนใหม่ พอได้ยินบนรถไฟประกาศว่าคุณสามารถเปลี่ยนรถไฟไปยัง Yokohama ได้ที่สถานีนี้ ผมรีบลงจากรถไฟแล้วเปลี่ยนแผนกะทันหันไป Yokohama ในทันทีทันใด ๕๕๕
พอถึง Yokohama ผมก็เดินไปที่พิพิธภัณฑ์ราเมง ค่าเข้าชมคนละ 310 เยน
จากนั้นก็ออกมากินราเมงที่ Family Mart เพราะราคาถูก ๕๕๕
และผมก็ค้นหาเส้นทางเพื่อไปพิพิธภัณฑ์เบียร์ Kirin ที่นีดีมาก เข้าชมฟรี ภายในจะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่จะมีเครื่องบรรยายเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังด้วยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พี่เจ้าหน้าที่บริการดีมาก ทีแรกพี่เจ้าหน้าที่เดินมาทักทายผมและบอกว่าจะเป็นไกด์นำทัวร์ในครั้งนี้ เพราะเห็นผมเป็นคนต่างชาติพี่เขาเลยเข้ามาทักทายมั้ง การชมโรงงานเบียร์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และสุดท้ายมีเบียร์ให้ชิมฟรีด้วย ดีมาก ๆ เลย ใครมา Yokohama แนะนำมาที่นี่ครับ
จากนั้นไปชมวิวยามค่ำคืนของ Yokohama ก่อนนั่งรถไฟกลับโตเกียว โดยที่ค่ารถไฟนั้นไม่ได้จ่าย เพราะเราสามารถใช้ JR Tokyo Wide Pass ได้
พอกลับมาถึงโตเกียวผมก็ไปสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากเห็นมาก ๆ นั่นคือ ห้าแยกชิบูย่า ๕๕๕ ก็ได้ไปเดินข้ามถนนท่ามกลางผู้คนมากมาย ตื่นเต้นดีได้มาเห็นกับตา จากนั้นผมก็กลับไปยังโฮสเทลเพื่อนอนพักผ่อนเอาแรง
คืนนี้ผมนอนที่ Hostel EastBlue Kasai Tokyo ราคา 315.30 บาทต่อคนต่อคืน
Chapter 8
Nikko เมืองมรดกโลก
Day 8
14 December 2019
เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้นั่ง Shinkansen รถไฟหัวกระสุน ผมรีบตื่นและรีบมายังสถานีโตเกียวเพื่อนั่งรถไฟ Shinkansen ไปเมือง Nikko เมืองมรดกโลก รถไฟออกเวลา 07:32 ตรงเวลามาก ๆ และไปลงที่สถานี UTSUNOMIYA จากนั้นก็ต่อรถไฟสาย Nikko ไปยังเมือง Nikko การเดินทางไม่ยากเลย มองป้าย เดินตามป้าย ถ้าไปไม่ถูกจริง ๆ ค่อยถามเจ้าหน้าที่
อาหารมื้อเช้าวันนี้
ระหว่างทางจากสถานี Tokyo ไปสถานี UTSUNOMIYA
รถไฟสาย Nikko
หน้าสถานีรถไฟ JR Nikko
ตามที่ได้อ่านรายละเอียดการเที่ยวเมือง Nikko คร่าว ๆ ให้ไปซื้อ Bus Pass ราคา 500 เยน ซึ่งจะพาเราไปยัง โซนมรดกโลก สะพานแดงชินเคียว ศาลเจ้าโทโชกุ หลังจากที่ซื้อ Bus Pass ผมก็นั่งรถบัสไปแบบมั่ว ๆ เนื่องจากไม่ได้ศึกษาการเดินทางแบบละเอียด ๕๕๕
หลังจากเดินชมมรดกโลก เมือง Nikko อย่างเต็มอิ่มผมก็นั่งรถไฟกลับเข้ามายังโตเกียวและเดินทางไปยังที่พัก ซึ่งคืนนี้ผมขอพักที่ ... ขอไม่บอกชื่อโฮสเทลแล้วกันครับ
วิวระหว่างเดินไปโฮสเทล
หลังจากที่ Check in เข้าที่พักเก็บข้าวเก็บของ ก็ไปหาซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อมากิน
ผมคิดในใจว่าตั้งแต่มาญี่ปุ่นโฮสเทลทุกโฮสเทลที่ผมไปพักดีหมด ประทับใจทั้งนั้น จนมาถึงวันนี้เหตุการณ์ที่โคตรระทึกก็ได้เกิดขึ้น!!!
เวลา ประมาณ 00:10 ผมก็กำลังจะนอนเพื่อเก็บแรงไว้ลุยต่อในวันพรุ่งนี้ ปรากฏว่า มีเสียงสัญญาณเตือนเป็นเสียงกริ่งดังทั่วห้อง ทุกคนภายในห้องพากันแตกตื่น ผมรีบลุกออกจากที่นอนแล้วไปเปิดไฟ พี่คนญี่ปุ่นคนหนึ่งก็รีบไปที่จุดที่เสียงกริ่งมันดัง พยายามจะแก้ไขและปิดมันแต่มันก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น ผู้เข้าพักบางคนเก็บกระเป๋า ใส่เสื้อผ้า และไม่มีการบอกกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ได้แต่ถามเพื่อนร่วมห้องที่เป็นฝรั่งว่า เกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกัน เสียงกริ่งก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น และมีบางคนรีบลงลิฟต์ไปยังชั้น 1 ส่วนผมก็ใส่เสื้อผ้าเสื้อกันหนาวเตรียมอพยพ ตอนนี้อยู่ในห้องเหลือไม่กี่คนแล้ว ตอนนั้นผมยอมรับว่าตื่นเต้น ตื่นตระหนกมาก ได้ยินมาว่าไฟไหม้ห้ามใช้ลิฟต์ผมก็ไม่กล้าใช้ ผมกับเพื่อนฝรั่งคนหนึ่งรีบวิ่งไปบันไดหนีไฟ มองดูรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีควันหรือเหตุไฟไหม้ ผมก็ชวนเพื่อนชาวฝรั่งด้วยความสติแตกนิดหนึ่งว่า เราต้องออกไปจากที่นี่ แต่ฝรั่งคนนั้นก็ชวนคุยไปเรื่อย ถามผมว่าคุณมาจากประเทศไทยใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ ก็ยังงง ๆ ว่าเขารู้ได้ไงว่าผมมาจากประเทศไทย สักพักเราเดินกลับเข้าไปที่ห้องเหมือนเดิม เสียงสัญญาณเตือนดับไป และก็ดังขึ้นมาอีก !!! ในใจตอนนั้นอยากลงไปข้างล่างทางบันไดแต่ไม่มีเพื่อนเดินลงไป ก็เลยยังอยู่ภายในห้อง สักพักรถดับเพลิงมาจ้า ตอนนั้นยิ่งสติแตก กูไม่อยู่แล้ววววรถดับเพลิงมาขนาดนี้ ผมตัดสินใจรีบลงลิฟต์คนเดียว!!! โอ้ยยย ถ้าลิฟต์ค้างขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย ๕๕๕ แต่มาคิดกลับไปแล้วเราไม่ควรลงลิฟต์มาเลย เพราะถ้าเกิดเหตุเพลิงไหม้จริง ๆ ไฟดับ คงตายแน่ ๆ พอลงมาด้านล่างเจอแขกผู้เข้าพักและผู้ร่วมชะตากรรมเต็มด้านล่างเลยจ้าเลยจ้า พี่เจ้าหน้าที่พนักงานดับเพลิง ก็วิ่งไปวิ่งมาไม่รู้ว่าทำอะไร และไม่รู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ น้ำตาจะไหล พอเหตุการณ์สงบกลับขึ้นไปนอนต่ออย่างหวาดระแวง สรุปคืนนี้ได้นอน 01:30 จ้า
Chapter 9
Yuzawa ฉันต้องเห็นหิมะตก
Day 9
15 December 2019
เดินทางจากที่พักไปสถานี TOKYO
ผมได้ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่สถานี ราคา 400 เยน ต่อวัน
เป้าหมายวันนี้ผมคือ Gala Yuzawa เป็น Ski Resort ที่คนไทยนิยมไปมากที่สุด อยู่ใกล้โตเกียวเพียง 90 นาที โดยนั่งรถไฟ Shinkansen กำหนดการเดิมนั้น Gala Yuzawa จะเปิดในวันที่ 15 ธันวาคม 2019 แต่ปรากฏว่าเลื่อนเปิดเป็นวันที่ 16 ธันวาคม 2019 เนื่องจากหิมะน้อย โชคช่างเข้าข้างจริงจริ๊งงงงง ก่อนมาผมอุตส่าห์เลื่อนการเดินทางเพื่อที่จะมาให้ทันวัน Gala Yuzawa เปิด แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน (คนบาป 2019 จ้าาา ๕๕๕)
นั่ง Shinkansen อีกครั้ง
ไมโลติดกระเป๋ามาจากประเทศไทย
วิวข้างทาง ภูเขาไฟฟูจิ จากระยะไกลลลล
ถึงสถานี Echigo Yuzawa ประมาณ 11:12
ผมจึงเปลี่ยนแผนไป Ski Resort ที่ใกล้สถานีรถไฟที่สุดคือ Yuzawa Kogen เพราะดูในเว็บแล้วเปิดวันที่ 15 ธันวาคม 2019 และไม่เห็นประกาศเลื่อนเปิด พอไปถึงปรากฏว่าเปิดให้ขึ้นแค่ Ropeway และลานสกี ลานหิมะ ก็ยังไม่เปิดเช่นกัน ผมเลยนั่ง Ropeway เพื่อไปชมวิวบนภูเขา ซึ่งค่า Ropeway ไป-กลับคนละ 2,200 เยน
Ropeway
จากนั้นก็เดินกลับสถานี Echigo Yuzawa
และแวะกินราเม็งที่สถานี
หลังจากที่เดินเที่ยวเมือง Yuzawa จนขาลากแล้วผมก็เดินทางกลับโตเกียวโดยนั่ง Shinkansen เช่นเดิม
เพื่อการใช้ Tokyo Wide Pass ให้คุ้มค่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายผมได้นั่งรถไฟ Narita Express (N’EX) ไปยังสนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่องกลับในวันพรุ่งนี้ ซึ่งปกติค่ารถไฟ (N’EX) ประมาณ 1,530 เยน (ไม่แน่ใจราคาเหมือนกันครับ) ส่วนคืนนี้นั้นผมนอนที่สนามบิน!!! อย่าทำตาม ไม่ใช่ไม่ปลอดภัยนะ ปลอดภัยมาก ๆ มีเจ้าหน้าที่เดินตรวจตลอดเวลา แต่มันนอนไม่สบาย
เป็นทริปแรกที่ผมอยากกลับบ้านมาก เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งเหงา และที่สำคัญเงินจะหมด ผมรออยู่ที่สนามบินตั้งแต่เวลา 18:00 - 07:00 ของอีกวัน เรียกได้ว่าเดินแทบจะทุกซอกทุกมุมของสนามบิน จนรู้ทางหมด และที่สำคัญขาแทบลาก
ระหว่างที่รอนั้นผมนึกขึ้นได้ว่ามีหนังเรื่องหนึ่งที่มีคนติดอยู่ในสนามบินเป็นเวลาหลายเดือน นั่นก็คือเรื่อง The Terminal ผมนั่งดูหนังเรื่องนี้จนจบและให้กำลังใจตัวเองว่ายังมีคนที่ติดอยู่ในสนามบินนานกว่าเรา ๕๕๕
และอาหารสำหรับเย็นนี้
Chapter 10
กลับบ้านนนนนน
Day 10
16 December 2019
วันนี้ที่ผมรอคอย หลังจากตื่นที่สนามบินรีบมาโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์สายการบิน Vietnam Airline โดยที่ผมได้ Check in และเลือกที่นั่ง ผ่านเว็บมาเรียบร้อยแล้ว พอเสร็จก็เดินไปยัง Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง ครั้งนี้ผมต่อเครื่องที่สนามบินดานัง ประเทศเวียดนาม เที่ยวบินนี้เป็นเครื่องบิน Airbus A321 เครื่องเล็ก แต่อาหารเครื่องดื่มยังมีพร้อม
ครั้งนี้ผมจองที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งขวาเพื่อที่จะได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิก่อนกลับ แต่สิ่งที่ได้ จ้า ริมหน้าต่าง แต่มีหน้าต่างเพียงนิดเดียว คนบาป 2019 จริง ๆ ๕๕๕
วิวภูเขาไฟฟูจิขากลับ ซึ่งเครื่องบินบินห่างมาก ๆ
ณ สนามบินดานัง ระหว่างที่จะต่อเครื่องกลับกรุงเทพฯ หลังจากที่ลงจากเครื่องเสร็จแล้วมีเจ้าหน้าที่มายืนรอเพื่อพาเราไปต่อเครื่อง ทุกคนเข้าสู่กระบวนการสแกนกระเป๋าและสแกนร่างกายอีกครั้ง ส่วนผมนั้นเจ้าหน้าที่ได้สแกนเจอ Power Bank ของผมขนาด 30,000 mAh และยังไม่ได้บอกได้กล่าวอะไรผม ให้ผมยืนรอ จนผู้โดยสารคนสุดท้ายสแกนเสร็จ
ผมก็ยังไม่ได้ถามว่าทำไมถึงกักตัวผมไว้ เจ้าหน้าที่ก็เอาพาสปอร์ต บอร์ดิ้งพาสและ PowerBank ของผมไป และพาผมไปจุดสแกนอีกที่หนึ่ง และบอกให้ผมรอ โดยที่ผมยังไม่ได้ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรออยู่นานมาก และไม่รู้เจ้าหน้าที่เขาไปทำอะไร ในใจคิดว่าเอา PowerBank ไปเลยแล้วรีบเอาพาสปอร์ตกับบอร์ดิ้งพาสผมคืนมา ผมรออยู่สักพักกำลังจะเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าตอนไหนจะเสร็จเพราะผมมีเวลาต่อเครื่องเพียง 50 นาที สักพักพี่เจ้าหน้าที่ก็เอา พาสปอร์ต บอร์ดดิ้งพาส และ PowerBank มาคืน โดยที่ไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้น และผมก็ไม่ได้ถามเพราะรีบด้วย
จากนั้นรีบวิ่งไปที่ Gate 4 เพราะทีแรกพี่เจ้าหน้าที่บอกว่า เที่ยวบินของเราเปลี่ยนจาก Gate 2 เป็น Gate 4 พอไปถึงไม่เจอใครสักคนครับ!!! ในป้ายก็บอกว่าไปที่อื่น ไม่ได้ไปกรุงเทพฯ ตายแล้วผมจะมาตกเครื่องที่เวียดนามไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปทำงาน!!!
จากนั้นจึงรีบวิ่งไปที่ Gate 2 แล้วก็เจอผู้คนมากมาย พร้อมป้ายบอกว่า Gate 2 นี้ไปกรุงเทพฯ เลยโล่งใจมาหน่อย แหม! พี่พนักงานไม่น่าบอกเลยว่าเปลี่ยน Gate สุดท้ายก็กลับมา Gate เดิม ใจหายใจคว่ำหมด (ประเด็นคืนตอนนั้นผมติดจุดตรวจอยู่คนเดียวไง แล้วผู้โดยสารที่ต่อเครื่องด้วยกันก็หายไปหมด น้ำตาจะไหล) ช่างเป็นทริปคนบาป 2019 ที่แท้ทรู
ถึงประเทศไทย โดยสวัสดิภาพ
Chapter 11
สรุปค่าใช้จ่าย
Day 1
7 December 2019
- ค่ารถจากบ้าน - สนามบินสุวรรณภูมิ 165 บาท
- รถบัสสนามบิน Tan Son Nhat – พิพิธภัณฑ์สงคราม 20,000 ด่อง (26.76 บาท)
- ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์สงคราม 40,000 ด่อง (53.52 บาท)
- ขนมหวาน 35,000 ด่อง (46.83 บาท)
- เบียร์และอาหารเย็น 110,000 ด่อง (147.18 บาท)
- ค่ารถบัสตัวเมืองโฮจิมินห์ ซิตี้ เข้าสนามบิน 20,000 ด่อง (26.76 บาท)
- ค่าที่พัก (นอนสนามบิน) 0 บาท
Day 2
8 December 2019
- อาหารเที่ยงจาก LAWSON 459 เยน (131.96 บาท)
- ค่าที่พัก (นอนสนามบิน) 0 บาท
Day 3
9 December 2019
- ล็อกเกอร์ (9 Dec. 19) 300 เยน (86.25 บาท)
- อาหารเช้า 281 เยน (80.78 บาท)
- รถไฟจากสถานี New Chitose Airport - สถานี Sapporo 1,150 เยน (330.61 บาท)
- อาหารกลางวัน 503 เยน (144.61 บาท)
- รถไฟจากสถานี Nishi Juitchome - สถานี Miyanosawa 290 เยน (83.37 บาท)
- รถไฟจากสถานี Miyanosawa - สถานี Odori 290 เยน (83.37 บาท)
- ค่าถ่ายภาพจากงาน illumination Sapporo 1,300 เยน (373.74 บาท)
- อาหารเย็น 632 เยน (181.69 บาท)
- ค่าที่พัก Social Hostel 365 438.13 บาท
Day 4
10 December 2019
- อาหารเช้า 554 เยน (159.27 บาท)
- เบียร์ Sapporo 300 เยน (86.25 บาท)
- รถบัส Sapporo Beer Museum – Odori 210 เยน (60.37 บาท)
- รถบัส Odori - สถานี Teine 340 เยน (97.75 บาท)
- รถไฟสถานี Teine - สถานี Otaru 540 เยน (155.24 บาท)
- อาหารเย็น 539 เยน (154.96 บาท)
- ค่าที่พัก Otaru Green Hotel 310.02 บาท
Day 5
11 December 2019
- อาหารเช้า 381 เยน (109.53 บาท)
- รถบัส สถานี Otaru - สถานี Sapporo 620 เยน (178.24 บาท)
- รถไฟ สถานี Sapporo - สถานี Chitose 970 เยน (278.87 บาท)
- อาหารกลางวัน 731 เยน (210.16 บาท)
- อาหารเย็น 937 เยน (269.38 บาท)
- ค่าที่พัก Air Hostel LCC 501.53 บาท
Day 6
12 December 2019
- รถไฟ สถานี Chitose - สถานี New Chitose Airport 270 เยน (77.62 บาท)
- อาหารกลางวัน 407 เยน (117.01 บาท)
- ล็อกเกอร์ (10-12 Dec. 19) 900 เยน (258.74 บาท)
- รถบัส Narita Airport – Tokyo 1,000 เยน (287.49 บาท)
- Tokyo Subway 72-hour Ticket 1,500 เยน (431.24 บาท)
- อาหารเย็น 636 เยน (182.84 บาท)
- Tokyo Wide Pass 10,180 เยน (2,926.65 บาท)
- ค่าที่พัก Hostel EAST57 ASAKUSABASHI 371.50 บาท
Day 7
13 December 2019
- ฝากกระเป๋าที่โฮสเทล (13 Dec. 19) 300 เยน (86.25 บาท)
- อาหารเช้า 341 เยน (98.03 บาท)
- ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ราเม็ง 310 เยน (89.12 บาท)
- อาหารกลางวัน 645 เยน (185.43 บาท)
- อาหารเย็น 774 เยน (222.52 บาท)
- ค่าที่พัก Hostel EastBlue Kasai Tokyo 315.30 บาท
Day 8
14 December 2019
- ฝากกระเป๋าที่โฮสเทล 300 เยน (86.25 บาท)
- อาหารเช้า 220 เยน (63.25 บาท)
- Nikko Bus Pass 500 เยน (143.75 บาท)
- อาหารกลางวัน 602 เยน (173.07 บาท)
- อาหารเย็น 682 เยน (196.07 บาท)
- ซักผ้า 500 เยน (143.75 บาท)
- ค่าที่พัก Hostel … 465.46 บาท
Day 9
15 December 2019
- ล็อกเกอร์ที่สถานี Tokyo 400 เยน (115.00 บาท)
- Rope Way 2,200 เยน (632.48 บาท)
- อาหารกลางวัน 590 เยน (169.62 บาท)
- อาหารเย็น 686 เยน (197.22 บาท)
- ค่าที่พัก (นอนสนามบิน) 0 บาท
Day 10
16 December 2019
- กาแฟ 140 เยน (40.25 บาท)
- ค่ารถจากสนามบินสุวรรณภูมิกลับบ้าน 239 บาท
รวม
- ค่าเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ – นาริตะ, ญี่ปุ่น 8,120 บาท
- ค่าเครื่องบินไป-กลับ นาริตะ, ญี่ปุ่น – ซัปโปโร, ญี่ปุ่น 3,205 บาท
- ค่าซิม Sim2Fly AIS เอเชีย 6 GB 10 Days 291 บาท
- ค่าประกันเดินทาง Cigna 10 วัน (โปรโมชั่น บัตร VISA) 0 บาท
- ค่าอุปกรณ์กันหนาว 2,234 บาท
- ค่าเดินทาง (ทางบก) 6,224.57 บาท
- ค่าอาหาร 3,367.91 บาท
- ค่าที่พัก 2,401.94 บาท
- ค่าฝากกระเป๋า 632.49 บาท
- อื่น ๆ (ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ ค่าซักผ้า ค่าถ่ายภาพ) 660.13 บาท
รวมทั้งหมด 27,137.04 บาท !!!
* หมายเหตุ อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงจาก Webull (1 กุมภาพันธ์ 2563)
Khunjao Backpacker
วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 16.05 น.