คานาซาว่าอดีตเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่บันทึกความพ่ายแพ้ของชาติมหาอำนาจตะวันตกอย่างรัสเซียต่อประเทศเล็กๆ อย่างญี่ปุ่น ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเจริญก้าวหน้าเหนือประเทศอื่นในเอเชีย ขึ้นเป็นมหาอำนาจในสงครามโลกครั้งที่สอง

วันนี้จะพาไปเที่ยวเมืองที่ตั้งอยู่ตะวันตกสุดของญี่ปุ่นเมืองคานาซาว่าริมฝั่งทะเลญี่ปุ่น เดิมเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีทัวร์ไทยไปเท่าไร แต่ในยุคฟรีวีซ่าที่ญี่ปุ่นกลายเป็นสถานที่พักผ่อนวันหยุดยาวของคนไทยแล้ว คานาซาว่าเริ่มต้อนรับคนไทยไปท่องเที่ยวกันมากขึ้นครับ โดยเฉพาะเป็นเมืองเริ่มต้นที่สามารถเดินทางไปเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะด้วยครับ

การเดินทางไปคานาซาว่าสะดวกสบายมากครับจากโตเกียวนั่งชินกันเซ็นสายโฮคุริคุ สายเดียวกับที่พาไปคารุอิซาว่าและนากาโน่นั้นล่ะครับ นั่งยาวไปลงที่สถานทีคานาซาว่าได้เลยใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ครึ่งครับ เรามาตามน้องๆ น่ารักกลุ่มนี้ดีกว่าไปด้วยกัน


แล้วก็มาถึงสถานีคานาซาว่าแล้ว เป็นสถานีใหญ่ที่มีห้างสรรพสินค้าและรวมแทบทุกส่ิงทุกอย่าง เจ้าตุ๊กตาดารุมะแบบลายคานาซาว่าสีทองเป็นเหมือนมาสค๊อตของเมืองนี้เลยครับ ที่เป็นสีทองเพราะคำว่าคานะหรือคินแปลว่าทองคำนั้นเอง คานาซาว่ามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในการผลิตทองคำเปลวที่มีคุณภาพสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งใช้ประดับวังและวัดวาอารามดังๆ ในเกียวโตมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วครับ ที่สถานีรถไฟพวกเราต้องรีบไปจองรถบัสที่จะพาเราไปชิราคาวาโกะกันก่อน แม้ว่าเราจะไปเที่ยวก่อนช่วงปีใหม่คือหลังคริสตมาส คิดว่าบัสอาจจะได้รับการจองเต็มที่แล้ว และก็ตามนั้นครับ รถบัสจองแน่นไปจนถึงหลังปีใหม่เลย เอ้าเฮ้ย อุตส่าห์มาพักถึงคานาซาว่าเพื่อจะได้ไปเที่ยวชิราคาวาโกะแบบเช้าเย็นกลับได้ทำอย่างไรดีนะ คิดสิ คิด

กาน้ำชาหน้าสถานีรถไฟ ทุกสถานีในญี่ปุ่นจะมีสถาปัตยกรรมประจำแทบทุกสถานีใหญ่ๆ เลย

แล้วเอาไงดีละเนี่ย แผนการท่องเที่ยวจะผิดแผนไปแล้ว สุดท้ายมีคนญี่ปุ่นบอกว่าให้ลองไปสอบถามกับศูนย์นักท่องเที่ยวในสถานีดูอาจมีทางออก บิงโก ต้องขอบคุณคุณลุงท่านมากครับ ในที่สุดเราก็ได้ลายแทงการไปหมู่บ้านชิราคาวาโกะที่ง่ายกว่า คือนั่งชินกันเซ็นที่เรามานั้นแหล่ะ ย้อนกลับไปหนึ่งสถานีประมาณ 20 นาที ลงที่สถานีชินทากาโอกะ (Shin-Takaoka) เป็นเมืองเล็กๆ ริมทะเลอีกเมืองหนึ่งที่เมืองนี้จะมีรถบัสไปยังหมู่บ้านชิราคาวาโกะแทบทุกชั่วโมงอยู่แล้ว และไม่ต้องจองด้วย เพียงแต่การเดินทางอาจใช้เวลานานกว่าประมาณ 2 ชม. แต่ก็กลายเป็นลายแทบสำหรับคนที่ไม่สามารถจองบัสล่วงหน้าที่คานาซาว่าได้อย่างพวกผม และก็ไม่ใช่ผมคนเดียวด้วยที่ได้ลายแทงนี้ เพราะวันรุ่งขึ้นที่เราเดินทางก็มีกลุ่มคนไทยอีกสองสามกลุ่มเดินทางจากสถานีชินทากาโอกะไปด้วยกัน

เมื่อแผนการเดินทางเป็นไปตาม itenerary ที่กำหนดแล้ว ก็ถึงเวลาเก็บกระเป๋าไปสำรวจเมืองคานาซาว่ากันด้วยการที่เรามาพักแค่สามคืนและพรุ่งนี้จะไปชิราคาวาโกะแล้ว เราก็เลยมีเวลาเหลือเที่ยวในเมืองคานาซาว่าแค่วันครึ่ง อย่าได้ช้าเข้าที่พักกันก่อนพวกผมพักที่ Sun Route Hotel โรงแรมที่อยู่ติดหน้าสถานีรถไฟเลยราคาไม่แรง ได้ชั้นสูงด้วยจึงได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองคานาซาว่าที่โอบล้อมด้วยขุนเขา


สถานีรถไปคานาซาว่า เป็นหนึ่งสถานีรถไฟที่ออกแบบได้สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเพื่อเปิดรับการท่องเที่ยวจากต่างชาติ


ทำไมผมถึงหลงรักคานาซาว่าหรือครับ ต้องบอกว่าผมรู้จักคานาซาว่ามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ก่อนเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่นอีก อันเนื่องมาจากไปแอบอ่านการ์ตูนตาหวานของพี่สาวที่เราเรื่องราวของญี่ปุ่นในสมัยที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ๆ คานาซาว่ากลายเป็นเมืองที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น อาจจะมากกว่าโอซาก้าเสียอีก เพราะเป็นเมืองอุตสาหกรรมต่อเรือ และเป็นเมืองที่เป็นยุทธนาวีระหว่างกองทัพเรือญีปุ่นและรัสเซีย ทำให้ผมไปหาอ่านข้อมูลเมืองนี้มากขึ้นด้วยความสนใจ (สมัยก่อนไม่มีอินเตอร์เน็ตและกูเกิ้ลนะ ข้อมูลทั้งหลายได้จากห้องสมุดที่โรงเรียนจ้า) และแปลกใจมากว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งจะเลิกทาส แต่ญี่ปุ่นกลับพัฒนาประเทศใกล้เคียงกับยุโรปจนสามารถต่อเรือรบได้ด้วยตัวเอง แม้ปัจจุบันผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ประเทศไทยยังต้องซื้อเรือรบจากประเทศอื่นๆ อยู่เลย ดังนั้นถ้าถามผมว่าญี่ปุ่นเจริญกว่าไทยเท่าไร ผมมักจะตอบด้วยดัชนีง่ายๆ ว่าประมาณ 100 ปีครับ


และเมื่อมาถึงคานาซาว่าแล้ว อาจจะต่างจากภาพที่วาดไว้นิดหน่อย เพราะคานาซาว่าไม่ได้พลุกพล่านแบบโตเกียวหรือโอซาก้า หรือแม้แต่เทียบกับเซนไดหรือโกเบยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เมืองดูเงียบๆ ไม่วุ่นวาย ขนาดเดินเข้าไปกลางเมืองก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นเมืองใหญ่ๆ เท่าไรเลย แต่ในความเงียบๆ สงบๆ แบบนี้ มันเหมือนผมได้สูดกลิ่นอายญี่ปุ่นแบบเก่าแก่จริงๆ ครับ จริงๆ แล้วคานาซาว่าก็เป็นเมืองสำคัญมาตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะเป็นศูนย์อำนาจของไดเมียวตระกูลมาเอดะ แต่ด้วยความที่อยู่ไกลคานาซาว่าไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสงครามใหญ่ใดๆ เลย แม้แต่ในสมรภูมิที่ทุ่งเซกิงาฮาระ ที่รวมประเทศญี่ปุ่นจากนครรัฐต่างๆ เข้าสู่ศูนย์กลางในระบบโชกุน หรือแม้แต่ในสงครามโลกครั้งที่สองเอง คานาซาว่าก็ปลอดจากภัยสงคราม ดูแล้วประชากรที่เมืองนี้น่าจะมีความสุขในระดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยล่ะ


ไปเที่ยวญี่ปุ่นปีใหม่นี้คาดหวังว่าจะได้เห็นหิมะหนานุ่ม โดยเฉพาะที่คานาซาว่านี้ในช่วงปีใหม่จะเปิดไฟกลางคืนตัดกับหิมะสีขาวสวยงาม แต่เอาเข้าจริงปีที่ไป (2559) ดันเป็นปีที่หิมะมาช้ากว่าทุกปี คานาซาว่าก็เลยไม่ได้ขาวโพลนอย่างที่หวังไว้ โดยเฉพาะในสวนเคนโระคุเอ็น (Kenrokuen) ที่เป็นที่ชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิ และหิมะขาวโพลนในหน้าหนาว จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสวนสวยที่สุดในญี่ปุ่น แต่เราไม่ได้เห็นหิมะหนานุ่มอะไรเลย แม้แต่หิมะปรอยๆ แบบน้ำแข็งใสมาแล้วใสไปมากกว่า เอาเป็นว่าพาไปเที่ยวกันในเมืองคานาซาว่ากันดีกว่า


คานาซาว่าไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่ก็ไม่เล็ก ไม่ได้มีระบบรถไฟใต้ดินหรือเมโทรอะไร แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในวิสัยที่เดินได้ครับ ที่แรกที่พลาดไม่ได้เวลาไปเที่ยวเมืองญี่ปุ่นริมทะเลก็ต้องตลาดเช้าครับ เพื่อไปหาอาหารทะเลสดๆ กินกันในราคาไม่แพง ที่คานาซาว่านี้ที่ขึ้นชื่อก็คือตลาดโอมิโจ (Omicho Market) อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเดินสัก 10 นาทีก็ถึง แต่ถ้าขี้เกียจเดินนั่ง JR Loop Bus จากหน้าสถานีก็ได้ครับ จากแผนที่ก็ตามเส้นทางสีชมพูเลยครับ แต่จริงๆ เดินไม่ไกลหรอกครับ


แผนที่ Loop Bus เส้นสีชมพูก็ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทุกที่แล้วครับ
ที่มา <a href="http://www.japan-guide.com">www.japan-guide.com</a>

ตลาดเช้าหรือตลาดสดของญี่ปุ่นทุกที่ ที่โดดเด่นที่สุดคือความสะอาดครับ เดินในตลาดนี่เหมือนเดินในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เลยครับ เพราะทุกที่ส่วนใหญ่เป็นตลาดในร่ม เพราะอากาศที่หนาวเย็นของญี่ปุ่นนั้นเอง ความสะอาดนี่สะอาดมากๆ คนละบรรยากาศกับตลาดสดบ้านเราเลยอ่ะ





จากตลาดโอมิโจทานอาหารเข้าข้าวราดปลาดิบและไข่ปลาแซลม่อนแล้ว อร่อยมากราคาพอๆ กับบ้านเรา (สองร้อยกว่าบาท) แต่เปี่ยมล้นด้วยรสชาดจนอิ่ม ตามด้วยสตาร์บั๊กหนึ่งแก้วเย็น (คนญี่ปุ่นงงเราสั่งแบบเย็น) ก็พร้อมเดินทางด้วยเท้าชมเมืองกันต่อครับ สถานีถัดไปเดินไปอีกไม่ไกลคือศาลเจ้าโอยาม่า (Oyama Shrine) ที่ศาลเจ้าด้านหลังจะทะลุเข้าไปที่สวนของปราสาทคานาซาว่าและสวนเคนโรคุเอ็นได้เลยครับ ดูตามลายแทงด้านบนครับ




ไดเมียวหรือเจ้าเมือง มาเอดะ โตชิอิเอะ


ตัวศาลเจ้าโอยาม่าก็เหมือนศาลเจ้าชินโตของญี่ปุ่นทั่วไป เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบและมีสวนญี่ปุ่นเล็กๆ แบบเซ็นเหมือนที่อ่านๆ แต่ที่สะดุดตาก็คือประตูหน้าศาลครับ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบดัชท์ ญี่ปุ่น และจีน แต่เดิมเป็นประตูส่วนหน้าก่อนเข้าไปยังปราสาทคานาซาว่า ภายหลังมีการบูรณะปราสาทตัวประตูหน้าก็เลยย้ายไปไว้ที่หน้าศาลเจ้าโอยาม่าแทนครับ ศาลเจ้านี้สร้างถวายแก่เจ้าเมืองหรือไดเมียวมาเอดะ โตชิอิเอะ ที่ประวัติศาสตร์เป็นขุนศึกคนสำคัญของโอดะ โนบุนางะ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นนักการเมืองในสายเลือด จุดยืนของท่านจะแปรเปลี่ยนไปตามผู้ทรงอำนาจสูงสุดสมัยนั้นเช่น สมัยฮิเดโยชิ หรือแม้แต่เมื่อตระกูลโตกุกาว่าโค่นล้มตระกูลฮิเดโยชิได้ มาเอดะ โตชิอิเอะ คือคนแรกๆ ที่แทงหวยฝั่งโตกุกาว่า และจะดูจุดยืนแปรเปลี่ยนได้ก็จริง แต่สำหรับชาวเมืองแล้ว ท่านก็คือผู้ทำให้เมืองคานาซาว่ารอดพ้นจากภัยสงครามมาได้ทุกครั้งครับ


ประตูทางเข้าศาลโอยาม่าในตอนกลางคืน

ด้านหลังศาลมีประตูเล็กๆ ให้เราเดินไปสวนของปราสาทคานาซาว่าได้ด้วยครับ โดยจุดแรกเราจะผ่านสวนญี่ปุ่นขนาดย่อมๆ ที่จำลองสวนเคนโรคุเอ็น สวนนี้เป็นสวนที่มาแต่โบราณของท่านเมเอดะ โตชิอิเอะเลยล่ะครับ


ปราสาทคานาซาว่าเป็นปราสาทที่ไม่สูงเท่าปราสาทอื่น แต่ก็มีขนาดใหญ่




ไอศครีมปิดทองคำเปลว รสวานิลาเหมือนทั่วไป หวานอร่อย

แต่แปลกที่ได้กินทองคำเปลวด้วย รู้สึกเป็นเซเลบ

จากปราสาทคานาซาว่าข้ามถนนมาก็เป็นส่วนของสวนเคนโรคุเอ็นแล้วล่ะครับ อย่างที่บอกครับ สวนนี้ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดสวนสวยสามแห่งของญี่ปุ่นเลย ได้แก่สวนไคราคุเอ็นที่เมืองอิราบากิ และสวนโคราคุเอ็นที่เมืองโอยาม่า ของผมไปมาสองสวนแล้วขาดแต่ที่ไคราคุเอ็นครับ สวนนี้แต่เดิมก็คือส่วนของปราสาทคานาซาว่านั้นล่ะครับก่อนจะมาเป็นสวนสาธารณะในปี 2414 (ร้อยกว่าปีก่อนโน่นเลยช่วงต้นรัชกาลที่ 5 เป็นปีเดียวกันกับที่ไทยเราตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้นที่ตำหนักสวนกุหลาบ และเป็นปีที่เริ่มสร้างวัดมังกรหรือวัดเล่งเน่งยี่ที่เยาวราชนั้นเองครับ) ความสวยงามในฤดูหนาวต้องมาตอนเย็นที่หิมะตกขาวโพลน จะมีการประดับไฟเรียกว่าโคโตะจิโทโร่สูงสองเมตรกว่าตามต้นสนต่างๆ รอบๆ สระคาซูมิไกเคะนั้นเองครับ แต่ครับ อย่างที่บอกเราไปในปีที่หิมะยังน้อยอยู่ ไม่ได้เห็นภาพนั้นเลยครับ งั้นไปชมรอบๆ สวนแทนแล้วกันครับ

จบจากสวนแล้วใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่กว่าจะเดินรอบตั้งใจจะไปยังหมู่บ้านฮิงาชิจายะ เป็นเมืองที่คงบ้านเรือนของญี่ปุ่นโบราณอยู่ แต่ด้วยความง่วงครับ นั่งรถเมล์ผลอยหลับเลยป้าย ออกนอกเมืองไปเป็นชั่วโมงเลย จะนั่งรถเมล์ขากลับก็ต้องรออีกหนึ่งชั่วโมง ก็เลยกะว่าหนึ่งชั่วโมงนี่สู้เดินกลับดีกว่าก็ใช้เวลาประมาณเดียวกัน แต่เอาเข้าจริงเดินไม่ไหวครับ เพราะอากาศเย็นมากๆ ในความโชคร้ายก็ได้เห็นบ้านเรือนที่อยู่นอกเมืองคานาซาว่าไปตามทาง เป็นบ้านหลังเล็กๆ เรียงรายกัน ดูน่ารักดีครับ สุดท้ายเดินไปได้สัก 20 นาที ก็เห็นสถานีรถไฟสถานีเล็กๆ ที่สามารถพาเรากลับไปที่สถานีคานาซาว่าได้ครับ แต่กว่าจะกลับไปถึงก็เย็นมากแล้ว ไม่สามารถไปที่ฮิงาชิจายะได้แล้วครับ เลยอดไปทริปนี้ งั้นปิดท้ายด้วยภาพเมืองคานาซาว่าตอนกลางคืนแล้วกันนะครับผม สำหรับผมหลงรักเมืองนี้จริงๆ เป็นเมืองใหญ่ที่ไม่พลุกพล่านวุ่นวายจริงๆ ครับ ขอบคุณครับ เพื่อนๆ สามารถอ่านรีวิวเพิ่มเติมอื่นๆ ของผมได้ที่ https://www.facebook.com/thetravelbagstory/




TravelTherapy

 วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 22.20 น.

ความคิดเห็น