วันนี้ขอปฏิบัติตามสัญญากับภารกิจหลักของบล็อกนี้ คือการพาไปเที่ยวเสียทีหลังจากงานราษฎร์ งานหลวง งานบ้านล้วนรัดตัวตลอดทั้งปีที่ผ่านมาจนมาถึงปีนี้ เผลอๆ หมดปีอาจจทำลายสถิติว่าไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยหง่ะ T___T นอกเรื่องอีกล่ะ วันนี้แอ๊ดพามาเที่ยวถึงอิตาลีกับหมู่บ้านมรดกโลกที่ชื่อว่า “ซิงเคร่ เตเร่” (Cinque Terre) กันครับ



อ่านเรื่องราวเต็มๆ ในบล็อกได้นะครับ

https://www.facebook.com/notes/กระเป๋าเล่าเรื่อง-travelbag-story/cinque-terre-เมื่อความโกลาหลมาจบลงที่ขอบฟ้า-ep1/1184917088295015

ซิงเคร่เตเร่ แต่ผมติดปากภาษาฝรั่งเศสมากกว่าว่าแซงแตร เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งชาวอิตาเลียนเอง และนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกด้วย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ริมทะเลไธเรนเนียน ในจังหวัดเลวาโต้ ซึ่งนับตั้งแต่ซิงเคร่เตเร่ลากยาวไปนถึงเจนัว เมืองและหมู่บ้านแถวนี้จะคล้ายๆ กันหมด เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปี ในฐานะที่เคยเป็นดินแดนของทั้งฝรั่งเศสเองด้วย ความสวยงามของชายหาดทะเลไธเรนเนียนลากยาวไปจนถึงเมืองเจนัว (วันหลังพาไปเที่ยว) ไปจนจรดชายแดนอิตาลีที่เวนติมีเกลีย (เมืองนี้ก็สวย) ต่อเนื่องไปยังโมนาโก นีส คานส์ บลา บลา ของฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็นเมืองชายหาดสวรรค์ของอิตาลี หรือ Italian Riviera ซึ่งจะเห็นหมู่บ้านและเมืองสีพาสเตลตั้งเรียงรายตามเขาสูงที่อีกด้านเป็นชายหาดสีเตอร์คอยส์ของทะเลไธเรนเนียนนั้นเองครับ



ซิงเคร่เตเร่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมานานมากแล้ว แต่ผมเพิ่งมารู้จักเอาตอนที่การ์ตูนดิสนีส์ Cars ใช้เมืองนี้เป็นฉากหลัง ด้วยสีสรรสวยงามของเมืองทำให้ผมปักหมุดอยากไปที่นี่มาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็ได้ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนต้นเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ต้องยกเลิกทริปไปไอซ์แลนด์



สำหรับการเดินทางไปซิงเคร่เตเร่นั้น จะขับรถไปก็ได้ แต่ถนนหนทางบนเขาสูงของอิตาลีนั้นคับแคบมากๆ แม้ว่าเราจะเจอภาคบังคับต้องขับขึ้นเขาแคบๆ มาแล้วระหว่างเข้ากรุงโรม แต่ถ้าไม่จำเป็นและเพื่อเอาเวลาท่องเที่ยวดีกว่า การเดินทางที่ดีที่สุดคือรถไฟครับ เราสามารถนั่งรถไฟมาซิงเคร่เตเร่ได้จากทุกเมืองในอิตาลี โดยจะมาจากโรม จากเจนัว มิลาน หรือแม้แต่ฟลอเรนซ์ก็ได้ รถไฟอิตาลีสะดวกทันสมัยกว่าเมื่อเกือบสิบปีที่ผมไปเที่ยวครั้งแรกมาก แต่นั้นแหล่ะครับ เพราะเรามีเวลาที่นี่เพียงวันเดียว แนะนำให้เลือกพักเมืองใกล้ๆ มากกว่า จะพักที่เจนัวก็ได้ แต่พวกผมเลือกพักที่เมืองลาสปาเซีย (La Spazia) เมืองอุตสาหกรรมประมงเล็กๆ แต่เจริญและคุณสามารถจ่ายเงินเพียงพันกว่าบาทกับ B&B ที่หรูหรา และสะดวกสบายมากกว่าที่เจนัว และลาสปาเซีย ยังเหมือนเป็นต้นทางทางใต้ก่อนเข้าไปเที่ยวที่ซิงเคร่เตเร่ด้วย เพราะใช้เวลาเพียง ๒๐นาที จากสถานีลาสปาเซีย ก็จะถึงหมู่บ้านแห่งแรกของซิงเคร่ เตเร่แล้วครับ อ้อ แนะนำให้ซื้อตั๋วพาสแบบในรูปนะครับ มีทั้งแบบหนึ่งวันหรือสองวัน สามารถหาซื้อได้ที่สถานีรถไฟเลยครับ สำหรับข้อมูลหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.cinqueterrecard.com ได้นะครับ



เรียกว่าซิงเคร่เตเร่ก็จริงแต่ชื่อดังว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกดินแดนแถบนี้ แปลว่า เบญจธรนินทร์ ลิเกเข้าโน่น แปลว่าดินแดนทั้งห้าเข้าท่ากว่า ประกอบไปด้วยหมูบ้าน ๕ แห่งคือ ริโอมักกิโอเร่ (Riomaggiore) มานาโรล่า (Manarola) คอร์นิกกิลย่า (Cornigilia) เวอร์นาซซ่า (Vernazza) และมอนเตรอสโซ่ (Monterosso) โดยหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ ริโอมักกิโอเร่ ครับ ใครจะเลือกแบบไหนก็ได้ แต่ผมเลือกไปที่มอนเตรอสโซ่ หมู่บ้านที่ไกลที่สุด เพราะยังเช้าอยู่ ในช่วงปลายตุลาคมต้นพฤศจิกายนนั้นพระอาทิตย์จะตกตั้งแต่สี่โมงกว่าๆ แล้ว และจะมืดลงอย่างรวดเร็ว และอากาศจะหนาวเอามากๆ เลยเลือกไปปิดจ๊อบที่หมู่บ้านที่ใกล้ลาสปาเซียดีกว่า



ถึงแล้วครับ เพียงไม่เกินครึ่งชม. จากลาสปาเซียก็มาถึงหมู่บ้านแรกกันแล้ว มอนเตรอสโซ่ ครับ ในจำนวนทั้งห้าแห่งหมู่บ้านนี้น่าจะใหญ่ที่สุด เพราะเห็นมีรีสอร์ทอยู่เยอะ และก้อมีถนนคนเดินด้วย ในช่วงที่ไปแม้อากาศจะหนาวเย็นมากๆ แต่เดินกลางแดดก็ร้อนแดดอยู่ เลยไม่แปลกใจที่ปาเข้าไปหน้าหนาวแล้ว แต่ยังมีนักท่องเที่ยวมาว่ายน้ำเล่นกันที่นี่ด้วย และเมื่อเทียบกับทั้งห้าแห่ง ผมว่าที่นี่น่าจะเป็นแห่งเดียวที่มีหาดทรายให้นักท่องเที่ยวได้เล่นน้ำและอาบแดดกัน ซึ่งขอบอกว่าน้ำที่นี่ใสแจ๋วยังกะน้ำในสระว่ายน้ำเลย อากาศตอนสิบโมง แดดแสบๆ แบบนี้ อยากจะถอดเสื้อหนาวหนาๆ ลงไปเล่นน้ำกับชาวอิตาเลียนกันเลยทีเดียว



เราเสียเวลาไปเยอะหลายชั่วโมงเหมือนกันที่นี่ เพราะวันที่ไปเป็นวันหยุดคือวันออลเซนต์เดย์ นักท่องเที่ยวเลยเยอะมากหน่อย แต่ก็เพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว ก็เลยไม่เยอะมากจนหลายคนที่ไปช่วงนั้นบ่นกันขรม ว่าซิงเคร่เตเร่ ไม่ได้สวยอย่างที่เห็นในภาพ แต่ส่วนตัวผมว่าสวยจริงๆ อยู่นะ ที่เมืองนี้พอลงรถไฟปุ๊ป สิ่งที่มาทำให้ลูกทัวร์ของผมไขว้เข้วคือตลาดนัดถนนคนเดินนั้นเอง กว่าจะลากท่านออกจากมุมนั้นไปยังในเมืองได้ ก็กลายเป็นว่าถึงเวลาอาหารกลางวันเอาเสียแล้ว

เราแวะพักกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ติดป้ายว่าแนะนำโดย Trip Advisor อาหารอร่อยหรือเปล่าไม่รู้ แต่อาหารทะเลที่นี่สดอยู่ อาจเพราะอยู่ใกล้กับทะเลและชาวบ้านก็คงเป็นชาวประมงด้วย แต่ก็อร่อยไม่เท่าบ้านเราอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ถือเวลาสำรวจโลกกันเสียทีล่ะ



แม้ดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด เพราะเราเห็นทั้งโบสถ์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม คอนโด ที่จอดรถบัสขนาดใหญ่ แต่ก็ดูไม่พลุกพล่าน โดยเฉพาะเมื่อเดินจากชายหาดเข้ามา นักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยเยอะ แม้จะมีร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร แต่ก็เป็นบรรยากาศที่ดูเงียบสงบเหมือนกันกับชีวิตที่ดูเชื่องช้าของคนที่นี่ ย้ำว่าอากาศดีมั่กๆ เวลาหลบนั่งอยู่ริมทางในร่มมองดูเมืองสีลูกกวาด ลมโชยๆ เย็นๆ อิ่มๆ จะพาลหลับลงให้ได้ ที่หมู่บ้านนี้มีร้านไอติมอร่อยๆ ด้วยหลายร้าน ลองดูสักร้านก็คิดว่าอร่อยๆ จริง ๆ ถ้าหากไม่ได้ไปชิมไอติมที่อีกหมู่บ้านหนึ่งทีหลังเสีย



นอกเหนือจากบ้านเรือนที่ตั้งติดๆ กันเป็นแพแบบเรียกหรูว่า “อพารต์เมนต์ “ แต่ถ้าเป็นบ้านเราคงเรียกว่าชุมชนแออัด คนที่นี่คงแปลกใจเหมือนกันว่าบ้านเมืองที่ปลูกติดๆ กันและอยู่กันแบบนี้ ทำไมนักท่องเที่ยวถึงอยากมาเที่ยวชมกันนัก แม้สภาพที่เห็นจะไม่แตกต่างจากต่างจังหวัดของเมืองไทย ที่ยังเห็นมีการตากผ้าไว้นอกตามตึก แต่ที่นี้เพราะเป็นเมืองนอกหรือเปล่า ก็เลยพาลมองว่าเป็นศิลปะไปด้าย เอ้าเฮ้ย

หลงใช้เวลาอยู่ที่นี่เสียนานเลย ปาไปบ่ายสอง สี่ชั่วโมง เฮ้ยต้องเก็บแต้มให้ครบห้าให้ได้นี่นา ถึงเวลาก็ต้องรีบไปแล้ว เพราะของดีๆ ไฮไลท์ยังมาไม่ถึงเลย วันนี้ปิดด้วยภาพนี้ คราวหน้าไปต่อกันที่ EP2 ของที่ซิงเคร่ เตเร่กันนะครับ แต่ถ้าใครอยากโหลดภาพไปดูเล่นๆ ก่อน เข้าไปดูได้ที่อัลบั้ม ได้นะครับ ขอบคุณครับ เพื่อนๆ สามารถอ่านรีวิวอื่นๆ ของผมได้ที่ https://www.facebook.com/thetravelbagstory/

ความคิดเห็น