ความเดิมจากตอนที่แล้วนะ เรายังอยู่กันที่ซิงเคร่ เตเร่ ดินแดนริมผาทั้งห้าทางฝั่งตะวันตกของอิตาลี อันเป็นส่วนหนึ่งของ Italian Riviera นะครับ แต่ตอนนี้เป็นตอนจบแล้วกับเมืองที่เหลืออีก ๔ แห่งของซิงเคร่ เตเร่นี้ครับ
https://pantip.com/topic/36078256
เราใช้เวลานานไปหน่อยกับเมืองหรือหมู่บ้านแห่งแรกที่มอนเตรอสโซครับ กระโดดขึ้นรถไฟไปเมืองที่สองใช้เวลาไม่เกิน ๕ นาที คือเมืองเวอร์นัสซ่า (Vernazza) จุดเด่นของเมืองนี้คือความไร้ระเบียบที่อยู่กันเบียดเสียดกันของชุมชนชาวประมงแห่งนี้ครับ
อืมเกณฑ์อะไรหนอที่เขายกให้ที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก ผมนึกไม่ออกเหมือนกัน แต่ว่าจะสวยไหม อืมมันก้อสวยไปอีกรูปแบบหนึ่งนะครับ อย่างที่บอกไปในรีวิวที่แล้ว ซิงเคร่เตเร่ มันคือชุมชนแออัดที่อยู่กันอย่างเบียดเสียดของชาวประมงเขานั้นล่ะครับ แต่เพราะบ้านเมืองที่เป็นสีพาสเทลหรือเปล่าที่ทำให้เกิดเป็นเสน่ห์ของซิงเคร่เตเร่ แล้วดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาเที่ยวกันมากมาย แม้แต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวแบบวันนี้ก็ตาม นักท่องเที่ยวยังมากมายกว่าคนท้องถิ่นและม้าง
เวอร์นาสซ่าถ้าเทียบกับมอนเตรอสโซผมว่าคนละกลิ่นไอกันเลย ที่มอนโตรอสโซผมว่ามันดูเหมือนรีสอร์ทของคนมีตังค์กว่าครับ อาจเพราะเป็นแห่งเดียวของเมืองทั้งห้าที่มีชายหาด แม้จะไม่ใช่ชายหาดขาวแบบบ้านเราก็ตาม อ้อที่นี้ก็มีชายหาดนะครับ แต่ถ้าเทียบกับมอนเตรอสโซแล้ว เล็กมากๆ และส่วนใหญ่เป็นโขดหินเสียมากกว่า คลื่นก็แรงกว่ามากด้วย แต่เล่นน้ำได้ไหม ตอบว่าเล่นได้เลยครับ ที่เวอร์นาสซ่ามีอ่าวเล็กๆ ที่น้ำใสกิ้งเหมือนกันเลย เหมือนสระว่ายน้ำในโรงแรมแบบนั้นเลย
เวอร์นาสซ่าดูแออัดก็จริง แต่เค้าว่ามีทีเด็ดที่ร้านอาหารอร่อยๆ มากมายตั้งอยู่หน้าอ่าวเลยล่ะครับ และยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซึ่งเป็นปราสาทโบราณ เดินไปหลังโบสถ์ก็คืออ่าวเล็กๆ อีกแห่งอันเป็นที่ตั้งของสระน้ำใสที่เขาไปว่ายน้ำเล่นกันนะครับ ตัวอ่าวอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเดินลงเขาไปประมาณ๑๐นาทีครับ
ชื่นชมกับความสวยงาม อากาศเย็นสบาย (แต่แดดร้อนอ่ะ) ของเวอร์นาสซ่าได้ไม่นาน ต้องรีบเก็บแต้มไปเมืองถัดไปแล้วครับคือเมืองคอร์นิเกลีย (Corniglia) เมืองนี้ขอบอกว่าต้องเตรียมพร้อมทั้งเวลา ทั้งความพร้อมของร่างกายด้วยเลยล่ะ
ก็เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่บนภูผาและไกลจากสถานีรถไฟมากพอดู จากสถานีรถไฟต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกๆ แม้จะมีที่พักให้ชมวิวเป็นระยะๆ แต่ก้อเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันเลยครับ แต่ในความเป็นจริงจากสถานีรถไฟเขามีชัตเติลบัสพาเข้าไปในเมืองเลยครับ แค่ ๕นาทีเอง รถจะพาไปจอดที่หน้าเมือง แต่ถ้าเดินจากสถานีรถไฟแบบผมก็เกือบๆ ครึ่งชั่วโมง อ้อที่หน้าเมืองมีร้านไอติม เจลาโต้ขึ้นชื่อของที่นี่ด้วย และเขาบอกว่าอร่อยที่สุดในซิงเคร่เตเร่นะ ผมลองแล้วก็ต้องบอกว่าอร่อยจริง แต่ที่สุดหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้แฮะ
ในเมืองคอร์นิเกลียเองจริงๆ ไม่ค่อยมีอะไรครับ มีแต่ตรอกซอกซอยและร้านอาหารต่างๆ ที่เดินขึ้นลงเขากันไป ถ้าชอบถ่ายรูปก็จะมีมุมแปลกๆ ให้ถ่ายรูปเป็นระยะครับ แต่เขาบอกว่าจะถ่ายเมืองนี้ให้สวยต้องเดินขึ้นเขาต่อเนื่องขึ้นไปทางเวอร์นัสซ่าแล้วถ่ายรูปเมืองบนเขา เพราะคอร์นิเกลียเป็นเมืองที่ตั้งอยู่สูงสุดในซิงเคร่เเตเร่ เลยกลายเป็นเมืองเดียวที่ไม่มีชายหาด และไม่มีคนนิยมเล่นน้ำ (แต่เชื่อว่าน่าจะมีคนมาโดดน้ำในหน้าร้อนบ้างแน่ๆ เพราะเหมาะกับพวกเอ็กซ์ทรีมจริง) อ้อเราไปไม่ได้ครับเพราะเหนื่อย เอ้ยไม่ใช่ทางปิดนะสิครับ จนสูงสุดของเมืองเป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์ปีเอโต้ครับ จากจุดสูงสุดนี้เราจะเห็นเมืองมานาโรล่าที่อยู่ลิบๆ อันเป็นเป้าหมายของเราต่อไปด้วยครับ
ก่อนกลับอย่าลืมแวะทานไอติมกันหน่อยนะครับ แต่อย่าเพลินเหมือนผมล่ะ บ่ายสามแล้วต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองต่อไปคือมานาโรล่า (Manarola) เมืองนี้เขาว่ากันว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดแล้วในซิงเคร่เตเร่ แม้ไม่มีชายหาดแต่ก็มีอ่าวน้ำใสแบบที่เวอร์นาสซ่า และมีมุมพิมพ์นิยมที่เป็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่อยู่อัดๆ กันไปบนภูผาตัดกับน้ำทะเลสีฟ้านั้นล่ะครับ
หลายคนที่เคยมาเยือนซิงเคร่เตเร่แล้วบอกว่าไม่สวยอย่างที่เห็น แดดก็ร้อนด้วย จริงอย่างที่ว่าครับ เพราะความที่เมืองนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอิตาลี นั้นแปลว่าเมืองนี้จะสวยที่สุดแค่สองช่วงคือ ช่วงเช้ามืดก่อน ๑๑โมง และหลังบ่าย ๔โมงไปแล้ว เพราะตอนกลางวันไปจนบ่ายต้นๆ เมืองนี้จะเปิดรับแสงอาทิตย์เต็มๆ ประกอบกับบ้านเรือนที่เป็นตึกและภูมิทัศน์ที่เป็นภูผา มันสะท้อนแสงแดดทำให้การถ่ายรูปในตอนบ่ายจะได้ภาพที่กระด้างและไม่เห็นสีสรรของมานาโรล่าเอาเสียเลยครับ ถ้าจะมาเที่ยวเมืองนี้ผมว่าให้มาบ่ายแก่ๆ ใกล้ๆ พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปเลย แสงสีทองของพระอาทิตย์ตัดน้ำทะเลสีฟ้า จะยิ่งขับสีพาสเทลของมานาโรล่าให้สวยงามมากขึ้น และเราจะได้เห็นซิงเคร่เตเร่แบบพิมพ์นิยมกันจริงๆ ครับ
ถ้าใครมีเวลาเป็นไปได้ และทนหนาวเก่งๆ รอสัก ๕โมงเย็นครับ รอให้แต่ละบ้านเขาเปิดไฟก่อนนะครับ แต่อย่ารอให้มืดเกินไปนะครับ และก็หนีมุมยอดนิยมที่เป็นสะพานที่ไปร้านอาหารริมผา เดินเลี่ยงทางผู้คนไปตรงยอดเขาตรงข้ามของเมืองอันเป็นที่ตั้งของ “สุสาน” ครับสุสานนั้นแหล่ะ ที่นี่คนน้อยไม่มีใครแย่งถ่ายรูปแน่ แม้จะไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไป แต่ก็เอากล้องวางไว้ตามขอบหน้าต่างของสุสานได้ การถ่ายภาพยามเย็นจะได้ไม่ต้องดัน ISO ให้สูงมากครับ อ้อที่เมืองนี้โด่งดังขึ้นมาส่วนหนึ่งเพราะเป็นที่หลบภัยของเหล่าศิลปินจิตรกรทั้งหลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีข่าวลือว่าพวกนาซีได้ร่วมกับมุสโลลินีในการเก็บพวกภาพเขียนที่เป็นของจิตรกรระดับโลกต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ผู้รักศิลปะก็ขนหลบหนีนาซีมาที่นี้ล่ะครับ
อ้าวเฮ้ย หลงฟินไปกับบรรยากาศของมานาโรล่าจนมืดแล้ว ต้องรีบไปเมืองสุดท้ายของซิงเคร่เตเร่ให้ทัน ก็คือริโอ้มักกิโอเร่ (Riomaggiore) แต่น่าเสียดายสุดๆ ไปถึงก็มืดแทบจะไม่เห็นอะไรแล้วล่ะครับ ทั้งที่แค่ทุ่มเดียวเองยังกะสี่ทุ่มบ้านเราเลย ก็เลยแวะทานอาหารเย็นเล็กๆ ที่นี่ แต่ที่นี้ก็เป็นเมืองเล็กๆ นะครับ เดินจากสถานีไปที่ท่าเรือประมงด้านหน้าสุด ก็มีมุมถ่ายรูปแค่ตรงนั้นล่ะครับ แต่เหมือนกันมานาโรล่า เราควรต้องรอจนเย็นเสียหน่อยแสงอาทิตย์สีทองจะทำให้สีพาสเตลของริโอ้มักกิโอเร่ออกมาสวยงาม ตัดกับแสงไฟของหมู่บ้าน แต่นั้นล่ะครับ ก็ต้องเลือกเอาซึ่งผมแนะนำว่าที่มานาโรล่านั้นสวย คุ้มค่ากว่าต่อการรอคอยครับ ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/thetravelbagstory/
TravelTherapy
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 22.33 น.