ทริปนี้ตั้งแต่ธันวาคม 2555 เอารูปและกระทู้เก่ามาเล่าใหม่ในช่วงเปิดภูกระดึง คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับมือใหม่ รูปทั้งหมดได้จากกล้องมือถืออีกเช่นเคย


ตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางไปภูกระดึงให้ได้ก่อนจะแก่กว่านี้แล้วไปไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจกระทันหันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไปภูกระดึง พอตั้งใจว่าจะไปภูกระดึงสิ่งแรกที่ทำคือเข้า google ค้นหาการเดินทาง เส้นทางการเดินขึ้นภูกระดึง ที่พัก อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมไปกัน พอได้ข้อมูลเบื้องต้นมาบ้างก็ตัดสินใจ เก็บกระเป๋าก็เหมือนเดิมใช้เป้แค่ใบเดียวเพราะไม่รู้ว่าจะต้องแบกเป้เที่ยวเหมือนทุกครั้งมั้ย? เราเลือกที่จะเดินทางวันธรรมดาเพราะคนน่าจะน้อยหน่อย ตัดสินใจออกเดินทางจากกรุงเทพฯ คืนวันพุธที่ 19 ธันวาคม 255


ข้อมูลการเดินทาง

เราเลือกเดินทางด้วยรถทัวร์เพราะคิดว่าประหยัดและเร็วที่สุด จากหมอชิต 2 ไปถึงผานกเค้า (ที่จอดสำหรับคนที่ขึ้นภูกระดึง) มีหลายบริษัทเลือกได้ตามความชอบ มีทั้ง แอร์เมืองเลย ภูกระดึงทัวร์ บ.ข.ส. ซันบัส (5 ปีก่อนมีแค่แอร์เมืองเลยกับภูกระดึงทัวร์) เราเลือกแอร์เมืองเลยเพราะมีรอบดึกที่สุด 22.35 น. จะไปถึงที่ผานกเค้าเกือบ 6 โมงจะได้ไม่ต้องรอนาน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง)


พอถึงคนบนรถลงเกือบหมดสิ่งแรกที่กลัวคือคนเยอะ พอลงไปที่ร้านเจ้กิมเจอผู้คนที่เตรียมขึ้นภูกระดึงอีกมากมาย ความรู้สึกแรกอยากกลับบ้าน เพราะไม่ค่อยชอบเที่ยวท่ามกลางผู้คนเยอะๆ แต่ก็คิดว่ามาถึงแล้วจะกลับทำไม เราเลือกเติมพลังด้วยข้าวแกง อาหารร้านเจ้กิมก็อร่อยนะ แต่ข้าวแกงตอน 6 โมงก็ไม่ไหวอะ กินได้ไม่กี่คำก็อิ่ม รีบวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วก็แบกเป้ไปที่รถสองแถวที่มาจอดรอ เราเลือกที่จะจอยไปกับคนอื่นเพราะคิดว่าเรามาแบบลุยๆจะเหมาทำไม ถ้าใครจะเหมาก็แค่ 300 บาทเองนะ แต่ถ้าจอยไปกับคนอื่นค่าโดยสารจะแปรผันตามจำนวนผู้โดยสาร ทั้งคันมีไป 10 คนก็เสียคนละ 30 บาทพอดี นั่งสองแถวเช้าๆแบบนี้บอกเลยว่าหนาวมาก ลมตีจนปากสั้นเลยประมาณ 30 นาทีก็ถึง


ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ถ้าเรียกง่ายๆก็ตีนภูกระดึงนั่นเอง เราก็มาครั้งแรกยังรีบพุ่งตัวไปก่อนใครอีก จุดแรกที่เราจะไปคือไปฝากกระเป๋า เพราะยังไม่รู้ว่าเราจะแบกร่างขึ้นไปถึงข้างบนไหวหรือไม่ สิ่งแรกที่คนมาครั้งแรกต้องจำคือ คุณต้องซื้อแท็กติดกระเป๋าก่อน ใบละ 5 บาท


เขียนรายละเอียดตามที่มีให้ครบ แล้วรีบมาต่อแถวเพื่อชั่งน้ำหนัก จากนั้นคุณจะได้ใบรับกระเป๋ามาตามจำนวนกระเป๋าที่คุณฝากลูกหาบ ของเรา 1 ใบ หนัก 5 กิโลกรัม ค่าหาบของตอนนี้กิโลกรัมละ 30 บาท คุณไปจ่ายข้างบนตอนที่ได้รับกระเป๋าแล้ว จากนั้นให้เดินย้อนมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ตอนนี้ยัง 40 บาทอยู่นะ ถ้าไม่ได้นำเต้นท์มาเองก็ติดต่อขอเช่าเต้นท์ได้ที่นี่ ถ้านำมาเองก็จ่ายค่าธรรมเนียมการกางเต้นท์ที่นี่เหมือนกัน จากนั้นใครอยากเข้าห้องน้ำอีกรอบก็มีบริการไว้ให้ เดินมาเรื่อยๆ จะมีจุดให้ถ่ายรูปทั้ง "ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตภูกระดึง"




พอเดินมาถึงแล้วมือใหม่ทั้งหลายก่อนที่จะผ่านซุ้มประตูที่มีเจ้าหน้าที่อยู่ทางด้านขวาจะมีศาลเจ้าปู่ภูกระดึง มารบกวนเจ้าบ้านก็ขออนุญาตกันสักนิด มาสักการะก่อนขึ้นก็จะรู้สึกดี



จากนั้นก็ลงเวลาว่าเราเริ่มขึ้นเขากี่โมง ของเรา 7.50 น. มาพร้อมเด็กๆ มัธยมที่มาทัศนศึกษากันกลุ่มใหญ่มาก เสียงดังมาก ถ่ายรูปกันสนุกสนานมาก เราก็เลยสนุกไปด้วย เดินไล่ตามเด็กๆ ไปเรื่อยๆ ระยะทางขึ้นเขาแค่ 5.5 กิโลเมตรเท่านั้น เราสนุกกับการเดินตามเดินแซงเด็กๆมาเรื่อยๆ ถึงปางกกค่า 8.00 น. ตอนนี้จากหนาวๆเมื่อกี้กลายเป็นเหงื่อท่วมตัวเลย ตอนแรกคิดว่าสงสัยจะไม่รอดแน่ แต่ก็ไม่นั่งเพราะการนั่งพักทันทีอาจทำให้เป็นตะคริวได้ทันที (หากอยากนั่งพักจริงๆ ให้ยืนนิ่งๆ สักพักก่อนแล้วค่อยๆนั่งลง ตอนนั่งกับตอนลุกขึ้นให้หายใจเข้า-ออกปกติอย่ากั้นหายใจ อาจจะเกิดอาการหน้ามืดได้) เราเริ่มเดินตามเด็กๆ อีกครั้งมาถึงจุดชันซะละ ปีนมาได้ซักพัก "ซำแฮก" นี่เอง

ตอนนี้เข้าใจเลย แฮกจริงๆ มาถึงเวลา 8.10 น. เราเลือกที่จะเดินต่อ เราเริ่มเดินแซงเด็กๆมาหลายกลุ่มละ และก็มาถึง "ซำบอน" เวลา 8.29 น. ยังไหวเดินต่อดีกว่าอีกพักเดียวก็ถึง "ซำกกกอก" เวลา 8.34 น. และเดินต่อมายัง "ซำกอซาง" เวลา 8.40 น. ตัดสินใจแวะพักกินน้ำแข็งไสสักถ้วยราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมาก 20 บาท



ออกจากร้านมาตอน 8.53 น. เดินมาถึง "พร่านพรานแป" เวลา 8.59 น. ช่วงนี้จะมีทางเดินมีราวเหล็กให้เกาะด้วย เราเห็นเด็กๆ ไปทางที่ไม่มีราวเราก็เลือกเดินตามปีนไปปีนมามันเป็นทางตรงทะลุขึ้นไปเลย บางช่วงต้องมีการปีนข้ามราวเหล็กด้วย ทำให้เราใช้เวลาไม่นานก็ถึง "ซำกกหว้า" เวลา 9.07 น. ลุยต่อไปยัง "ซำกกไผ่" เวลา 9.16 น. และ "ซำกกโดน" เวลา 9.24 น. ลุยแซงเด็กๆมาหมดแล้ว ไม่มีเด็กละเหลือแต่ลูกหาบกับผู้ใหญ่อีก 2-3 คน สักพักมาถึง "ซำแคร่" เวลา 9.33 น. จากนั้นก็ต้องปีนกันอีกรอบแล้ว ทางชันมาก ต้องหลบให้ลูกหาบไปก่อนด้วย (ถ้ามาเห็นคุณจะรู้ว่าทำไมต้องหลบให้ลูกหาบก่อน) ที่เราจับเวลาเพราะอยากรู้สภาพร่างตัวเองว่ายังมีแรงมาได้อีกกี่ครั้ง ไม่ได้แข่งขันกับใครทั้งสิ้น เราแข่งขันกับตัวเองอยู่



ขึ้นมาก็มาถึง "หลังแป" เวลา 10.15 น. มีป้ายผู้พิชิตภูกระดึงอีกครั้ง โชคดีที่เที่ยวคนเดียวบ่อยก็เลยต้องใช้กล้องหน้าถ่ายตัวเอง จากนั้นก็งงๆ เล็กน้อยกว่าจะรู้ว่าเดินไปทางไหน เราเดินตามลูกหาบที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเข็นรถแทนละ จากที่เหนื่อยๆ ตอนนี้เมามันกับการถ่ายรูป เดินกินลมชมวิว ระยะทางจากหลังแปมาถึง "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง" ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร มีผู้คนที่กำลังเดินทางกลับก็ให้กำลังใจกันอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว นี่แหละมิตรภาพที่ได้จากการท่องเที่ยว เรามาถึงที่ศูนย์วังกวางเวลา 11.05 น. มาถึงเป็นคนที่ 2 เราใช้เวลาจากศรีฐานถึงหลังแป 2.25 ชั่วโมง และใช้เวลาจากหลังแปถึงวังกวาง 50 นาที



การเลือกเต้นท์

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลดีมาก บอกเราว่ามาถึงก่อนเลือกเต้นท์ก่อนเลย เดี๋ยวค่อยมาเช่าเครื่องนอน อยากได้เงียบๆ ก็เลือกด้านหลัง ถ้าอยากได้สบายๆ ไม่มีทากก็เลือกด้านหน้าแต่คนเยอะ เสียงดัง วุ่นวาย เราเลือกเต้นท์อยู่นานก็ถูกใจโซนไกลผู้คน เงียบ แต่เจ้าหน้าที่บอกทากเยอะ อืม...ขอเงียบละกันนะ ได้เต้นท์แล้วเราก็ปิดเต้นท์ (เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเต้นท์ปิดแสดงว่ามีคนจองแล้ว) เราก็เดินไปมารอกระเป๋า อยากอาบน้ำมาก ร้อนสุดๆ



ที่ทิ้งขยะ

อุทยานฯจัดที่ทิ้งขยะไว้โดยรอบลานกางเต็นท์แล้ว หรือแม้กระทั่งเส้นทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงก็มีจุดยริการทิ้งขยะรองรับไว้แล้ว


อาหารการกิน

ด้านบนมีร้านอาหารไว้บริการมากมายหลายร้าน มาครั้งแรกยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน ก็เลยเดินดู 1 รอบก่อนที่จะเข้ามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (จำชื่อร้านไม่ได้) ราคาเท่ากับทุกร้าน 60 บาท แต่เขาขายโค้กเราขวดละ 40 บาท น้ำเปล่าขวดใหญ่ 60 บาท ก็เลยกินร้านนี้แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นเราฝากท้องทุกมื้อและของทุกอย่างเราก็ซื้อที่ร้านพี่โจ้-พี่ยุทธ (ฉวาง นครศรีธรรมราช) พี่ๆใจดีมาก อาหารจานเดียวก็ 60 บาทเท่าร้านอื่น แต่ปริมาณเกินอิ่มเชียว โค้กก็ 30 บาท น้ำดื่มขวดใหญ่ 50 บาท ทุกร้านจะมีบริการชาร้อนไว้ให้ฟรี เพราะหนาวมาก ถ้ามากันเยอะหน่อยแล้วอยากกินหมูกระทะก็ดีนะ สนุกและอุ่นดี ราคาก็ชุดเล็ก 300 บาท ชุดใหญ่ 500 บาท ทุกร้านราคาเท่ากัน


รับสัมภาระและจ่ายเงินให้ลูกหาบ

เราต้องเดินไปรับกระเป๋าที่จุดรับ-ส่งสัมภาระเท่านั้นจะไม่มีบริการมาส่งถึงเต็นท์ เพราะไม่รู้ว่าเรานอนเต็นท์ไหน จ่ายเงินให้ลูกหาบแล้ว ขอบคุณพี่ๆ เขาด้วยนะ อย่างน้อยก็อย่าไปโกรธเขาที่ได้กระเป๋าช้านะ


ห้องน้ำและห้องสุขา

มีบริการหลายจุดมาก ใกล้อันไหนก็เลือกเข้าอันนั้นเลย การใช้ห้องน้ำ-ห้องส้วมร่วมกันก็ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยจะดีมาก เพราะเจ้าหน้าที่ทำไม่ทันแน่ สิ่งที่ต้องบอกไว้เลยก็คือน้ำเย็นมาก โดนไปทีสะดุ้งเลย แต่ถ้าอยู่หลายวันจะปรับตัวได้เอง เราอยู่ 4 วัน 3 คืนก็สบายๆ ละ แต่เห็นป้ายว่ากำลังติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ เนื่องจาก ทางอุทยานฯ มีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพิ่มขึ้น (ไปมาล่าสุดไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นเหมือนเดิมเพราะไฟไม่พอกับปริมาณการใช้ไฟของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น)


การชาร์ตมือถือและกล้อง

ทางอุทยานฯได้จัดระเบียบไว้เป็นอย่างดีแล้วและมีบริการที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เสียค่าบริการครั้งละ 20 บาท ชาร์ตได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เวลาให้บริการ 5.00 - 22.00 น. ไม่มีการฝากข้ามคืน อันนี้ทุกคนต้องเข้าใจด้วยว่าถ้าช่วงคนเยอะก็ต้องรอบ้าง อย่าวีนเจ้าหน้าที่นะครับ หรือไปฝากชาร์ตตามร้านอาหารได้ครับ บางร้านฟรีเมื่อเราไปใช้บริการ



สถานที่ท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวบนภูกระดึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่พักด้วยนะ เราพัก 4 วัน 3 คืน ได้เที่ยวครบตามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีบอร์ดประชาสัมพันธ์ และมีของแถมได้เข้าป่าปิดด้วย


วันแรก

ผาหมากดูก อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.3 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมอาทิตย์ขึ้นและอาทิตย์ตก ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก บรรยากาศเหมาะกับการชมอาทิตย์ตกจริงๆ มีร้านค้าให้บริการด้วย ควรเตรียมไฟฉายและเสื้อกันหนาวไปด้วย




ผาจำศีล อยู่ห่างจากผาหมากดูก 600 เมตร เป็นผาเล็กๆ เหมาะกับการชมอาทิตย์ตกเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีใครนิยม



วันที่สอง

ผานกแอ่น อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางประมาณ 2 กิโลเมตร และห่างจากหลังแป 2.5 กิโลเมตร ผานกแอ่นเป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศสดชื่นเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ผู้ที่ไปชมอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย



ลานวัดพระแก้ว หลังจากชมอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นแล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเดินไปลานวัดพระแก้วซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 500 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 บริเวณลานหินที่กว้างขวางมีพรรณไม้ดอกพวกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่ทั่วไป ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพากันออกดอกอยู่เกลื่อนลาน



เส้นทางเดินเที่ยววันนี้เราเลือกเดินเส้นน้ำตกและวกกลับมาทางด้านริมผา สิ่งจำเป็นสำหรับการไปเส้นน้ำตกคืออาหารเที่ยงและน้ำดื่ม เพราะเส้นนี้ไม่มีร้านค้าบริการ

น้ำตกวังกวาง ระยะทางเพียง 750 เมตร จากจุดเริ่มต้นตรงบริเวณบ้านพัก ลักษณะน้ำตกเป็นผาหินสูง 7 เมตร ตัดขวางลำธาร ธารน้ำไหลลงยังวังน้ำเบื้องล่าง ซึ่งมีลักษณะคล้ายโพลงถ้ำมุดลงไปและบริเวณป่าใกล้ๆ ก็เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกวางมักจะลงมากินน้ำอยู่เสมอๆ จึงเรียกว่า “วังกวาง” บริเวณน้ำตกมีที่กว้างขวางให้ได้นั่งพักสบายๆ หลายมุม เพราะน้ำตกอยู่ไม่ไกล สามารถลงเล่นน้ำได้



น้ำตกเพ็ญพบใหม่ อยู่ทางทิศเหนือของน้ำตกวังกวาง 1.6 กิโลเมตร เป็นน้ำตกไหลผ่านผาหินโค้งด้วยความสูง 8 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำด้านล่าง ในฤดูหนาวมีใบเมเปิ้ลสีแดงจัดร่วงหล่นลอยตามผิวน้ำตัดกับสีเขียวของตะไคร่ตามโขดหิน เป็นจุดยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพ เราใช้เวลาที่นี่นานพอควร สนุกกับการปีนขึ้นไปถ่ายรูปในจุดต่างๆ




น้ำตกโผนพบ ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักมวยแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของประเทศไทย ผู้พบน้ำตกแห่งนี้ เมื่อครั้งที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกต่างประเทศ เป็นหนึ่งในน้ำตกหลายจุดอันเกิดจากสายน้ำวังกวาง ห่างจากตัวน้ำตกเพ็ญพบใหม่เพียง 558 เมตร น้ำตกไหลเป็นชั้นๆตามโขกหินดูคล้ายขั้นบันได ในส่วนของลำธารส่วนบนของน้ำตกโผนพบนี้ สามารถไปยืนชมตัวน้ำตกกลางลำธารซึ่งจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม น้ำตกมี 8 ชั้น สูงประมาณ 30 เมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามไม่น้อยบนภูเขานี้ สำหรับชื่อ “โผนพบ”



น้ำตกเพ็ญพบ อยู่ทางทิศใต้ของน้ำตกโผนพบ 342 เมตร เป็นน้ำตก 3 ชั้น ที่ไหลลงสู่แอ่งรองรับน้ำขนาดใหญ่ด้านล่าง มักจะมีนกออกมาเล่นน้ำเสมอ



น้ำตกถ้ำใหญ่ ห่างจากน้ำตกเพ็ญพบประมาณ 1.4 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางครอบคลุมไปด้วยป่าดิบเขาที่มีพรรณไม้ใหญ่และร่มครึ้มกว่าทุกเส้นทางน้ำตกอื่นๆ ในเส้นทางถ้ำใหญ่นี้มีทางเดินบางช่วงที่เลียบข้างลำห้วยเล็กๆ มีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆ หากช่วงต้นมกราคม เส้นทางนี้จะแดงฉานด้วยใบเมเปิ้ลที่ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นป่า ความสวยงามของน้ำตกถ้ำใหญ่จะแปลกตาด้วยโขดหินมหึมาวางทับซ้อนไม่เป็นระเบียบ ลำธารนี้ขนาบข้างด้วยต้นเมเปิ้ล ยามเมเปิ้ลแดงล่วงหล่น ขัดสีให้ลำธารหินเขียวสวยงามมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นมามากนัก เมเปิ้ลที่นี่ใบใหญ่และสวยมาก



น้ำตกธารสวรรค์ จากน้ำตกถ้ำใหญ่เมื่อออกสู่ป่าสนไม่ไกลนักจะมีทางแยกบนลานหินสู่น้ำตกธารสวรรค์ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักตามเส้นทางป่าสนผ่านลานองค์พระพุทธเมตตาเพียง 1.6 กม. เท่านั้น เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่เงียบสงบ ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านเพราะเลยน้ำตกไปจะเป็นเขตป่าปิด เราเลือกที่จะพักกินข้าวที่นี่ นั่งอยู่ริมผาใต้ต้นไม้ มีลมพัดโชยตลอดเวลา ที่นี่มีต้นเมเปิ้ลด้วยและก็เริ่มแดงแล้วเหมือนกัน เรานอนพักที่นี่หลังมื้อเที่ยงอย่างสบายอารมณ์


สระอะโนดาด อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 3.4 กิโลเมตร เป็นสระน้ำตามธรรมชาติมีน้ำตลอดปี มีต้นสนสองใบและสามใบขึ้นตามรอบสระ ใกล้กันยังมีลานกินรีซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิน เช่น กระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคนขึ้นอยู่เต็มไปหมด




น้ำตกสอเหนือ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 5.7 กิโลเมตร น้ำตกสูง 10 เมตร สายน้ำตกไหลผ่านแผ่นหินและตกลงกระทบหินก้อนใหญ่ด้านล่าง บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดงซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น เป็นน้ำตกที่เราเกือบลงไปเล่นน้ำแล้วเพราะสงบเงียบมาก ไม่ค่อยมีผู้คนเลย



น้ำตกสอใต้ อยู่ถัดจากน้ำตกถ้ำสอเหนือลงไปตามลำน้ำ ประมาณ 500 เมตร สายน้ำตกไหลลงมาจากหน้าผาสูงผ่านชะง่อนผาลงสู่แอ่งน้ำด้านล่าง ที่ล้อมรอบด้วยก้อนหินที่วางตัวอย่างสวยงาม เราพยายามเดินตามสายน้ำลงมาเรื่อยๆ แต่ก็เปลี่ยนเส้นทางไปเดินด้านบนและปีนลงมาตกน้ำตกแต่ก็ไม่ไหวนะ ชันพอควร ไปคนเดียวต้องเซฟตัวเองมากเป็นพิเศษหายไปก็ไม่มีใครรู้นะ


ผาหล่มสัก เป็น signature ที่นี่เลยที่เดียว ใครมาแล้วไม่ได้แวะมาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงภูกระดึง อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 9 กิโลเมตร เป็นลานหินกว้างและมีสนต้นหนึ่งขึ้นชิดริมผาใกล้กับชะง่อนหินที่ยื่นออกไปในอากาศทางทิศใต้ บริเวณผาหล่มสักนี้มองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นจุดหนึ่งที่จะชมอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจนและงดงามมาก ผู้ที่ไปชมอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง เราลืมเสื้อกันหนาวก็เลยเดินกึ่งวิ่งใช้เวลาเพียง 1.15 ชั่วโมง หนาวจริงๆนะ อาทิตย์ตกปุ๊บหนาวปั๊บเลย




วันที่สาม

ผานกแอ่น มาชมอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งแต่เปลี่ยนมุมจากซ้ายมาอยู่กลางและด้านขวาแทน




ลานวัดพระแก้ว สักการะพระพุทธรูปอีกครั้ง



รีบเดินมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อสอบถามการเข้าป่าปิดและก็เป็นโชคดีของเราที่วันนี้มีเจ้าหน้าพาเข้าป่าปิด เรารีบไปเตรียมอาหารกลางวันและน้ำดื่ม เจ้าหน้าแจ้งว่าต้องใส่กางเกงขายาวและรองเท้าหุ้มส้น เพราะทางในป่าปิดต้องปีนขึ้น-ลงด้วย ระยะทางไป-กลับเพียง 15 กม.เอง ไม่ยาก มีเพื่อนร่วมทางจำนวน 12 คน และเจ้าหน้าที่ 1 คนพร้อมปืนยาวและสั้นอย่างละกระบอก


พระพุทธเมตตา อยู่ห่างจากลานกางเต้นท์ประมาณ 500 เมตร เดินไป-มาได้สบาย สองข้างทางเป็นต้นสน ทางเจ้าหน้าที่พาเรามาสักการะก่อนที่จะนำพวกเราเดินเข้าป่าปิด



น้ำตกธารสวรรค์ เป็นเส้นทางที่เราใช้ในการเดินทางเข้าป่าปิด ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเป็นทางที่ง่ายที่สุดเนื่องจากมีทางรถของอุทยานฯ ที่ต้องไปทำแนวกันไฟป่าอยู่


ทางเดินในเขตป่าปิดเริ่มจากทางรถ จากนั้นเริ่มรกมากขึ้นด้วยต้นพืชล้มลุกตามฤดูกาล ต่อด้วยแนวป่าสน และป่าหญ้าสูงท่วมหัว ทางเดินเริ่มยากขึ้น หนักขึ้น เจ้าหน้าที่พยายามไม่ให้เราทิ้งกันห่างมากนัก เพราะโอกาสหลงมีสูงมาก เราใช้เวลาเดินในช่วงแรกมากพอสมควร จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็หยุดสำรวจทากที่อยู่ตามกางเกงและรองเท้า ก่อนจะเดินเข้าเขตที่มีสัตว์ป่าออกมาหาอาหาร เนื่องจากมีรอยเท้ามากมายทั้งเก้ง กวาง หมูป่า หมาป่า ไฮยีน่า และช้างป่า ตลอดทางเราจะเห็นมูลสัตว์ต่างๆ ด้วย พอเดินมาถึงจุดสูงสุดด้านหน้าผา เจ้าหน้าที่ให้เราหยุดพักผ่อน เพื่อชมทัศนียภาพของ น้ำตกผาน้ำผ่า โหล่นฟ้าโลมดิน กำแพงเมืองจีน (ลักษณะเป็นหินผาเรียบเป็นทางตลอดแนวผามีลักษณะคล้ายกำแพงเมืองจีน) ผาส่องโลก (ชื่อนี้เราได้ยินมานานมาก ครั้งหน้ามาอีกจะลองถามดูว่าจะสามารถไปได้หรือไม่ แต่เท่าที่ทราบมาทางอุทยานฯ ประกาศห้ามเด็ดขาดมาแล้ว) และเจ้าหน้าที่ได้เดินสำรวจเส้นทางที่เราจะต้องปีนเขาลงไป เนื่องจาก เป็นเขตสัตว์ป่าออกหาอาหาร และมีโอกาสที่จะเจอพี่ใหญ่สูงมาก จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ปีนลงตามช่องเขาที่ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายนักลงมาเรื่อยๆ จุดแรกที่เราแวะกันอีกเป็นลานของน้ำตกอะไรสักอย่างมีหินหน้าตาประหลาดมากมาย (ไปรอบหน้าจะไปถามกลับมาให้ละเอียด) เราก็เดินลุยกันไปต่อสนุกสนาน เดินไปตามต้นน้ำ ซึ่งช่วงที่เราไปน้ำน้อยมากเจ้าหน้าที่อยากให้ฝนตกหนักๆ สักทีจะได้มีน้ำถึงปีใหม่ (ไม่รู้ตอนนี้ยังคงมีน้ำอยู่หรือ?) เดินกันไปมาเรื่อยๆ ก็มาถึง


น้ำตกหงษ์ทอง เป็นน้ำตกที่มีต้นเมเปิ้ลอยู่โดยรอบ เราต้นที่เล็กที่สุด เราสามารถถ่ายรูปได้ใกล้ที่สุดก็อยู่ที่นี่ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าบางปีที่อากาศหนาวมากๆ จะมีใบเมเปิ้ลแดงเต็มไปหมดร่วงลงไปตามสายน้ำตกสวยงาม และร่วงไปอยู่บนโขดหินที่มีตะไคร่เขียวสีตีดกันอย่างสวยงาม หลังจากสนุกสนานกับการถ่ายรูปแล้วก็นั่งพักผ่อน ลมพัดเย็นสบายเป็นที่สุด



หลังจากชื่นชมน้ำตกหงษ์ทองและก็ออกเดินทางปีนเขาเข้าป่ากันอีกครั้ง ครั้งนี้ทางเป็นหินและเดินไม่ยากนัก แต่ต้องปีน-มุดต้นไม้บ้างสนุกสนาน ใช้เวลาเดินกันอีกพักใหญ่ ผ่านทั้งต้นเมเปิ้ล มีเห็ดสารพัดชนิด ดอกไม้นานาพรรณ จนกระทั่งเรามาถึง


น้ำตกขุนพอง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ขนาดไม่ใช่หน้าน้ำยังมีน้ำมาก สวยงามทีเดียว แต่ละคนก็สนุกในการถ่ายรูปในแบบที่ชอบ เจ้าหน้าที่ให้เราพักเที่ยงที่นี่ แต่ละคนก็หามุมของตนเอง เราเดินมามุมหลังโขดหินใกล้น้ำตกที่สุด นั่งกินข้าวเคล้าเสียงน้ำตกและไอน้ำที่ปลิวมา อิ่มแล้วก็นอนพักผ่อนได้พักใหญ่




เริ่มเดินกันต่อ อ้อมไปปีนเขาอีกฝั่งทางโหดกว่าเดิมมาก เพื่อที่จะขึ้นไปต้นน้ำของน้ำตกขุนพอง พอขึ้นไปก็มีหินรูปร่างประหลาดให้ได้ถ่ายรูปกัน เราเริ่มซนวิ่งไปตามต้นน้ำของน้ำตก กระโดดเข้าป่าด้านข้างและวิ่งต่อไปด้านในจนกระทั่งได้เห็นทางแยกของน้ำตกอีก 2 สาย แต่ก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ไม่นานนักเราก็ต้องรีบวิ่งกลับเกรงใจคนอื่นที่ต้องมารอเรา



ขากลับนี่สิสนุกสนานเดินผ่านพื้นที่สัตว์ป่าอาศัยห้ามใช้เสียงโดยเด็ดขาด ให้ฟังทุกเสียงอย่างตั้งใจ เดินกันเป็นแถวห้ามทิ้งช่วงเด็ดขาด ทางที่ผ่านเป็นป่าหญ้าสูงมากแถมด้วยดอกหญ้าที่เราชอบเต็มไปหมด ไม่นานในความเงียบเรามาถึงจุดที่ต้องปีนเขาอีกครั้ง แต่ละคนก็ปีนกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงด้านบนก็เริ่มพูดคุยกันสนุกสนาน ตอนนี้ทุกคนสนิทกันมากขึ้น พูดคุยกันมากขึ้น





พักจนเหงื่อแห้งก็เริ่มเดินกันต่อ ผ่านกลับมาทางเส้นทางเดิม เราเดินอยู่ในกลุ่มแรกและความระทึกก็เกิดขึ้น เมื่อเราได้ยินเสียงสัตว์เดินอยู่ป่าหญ้าด้านซ้ายมือผ่านเราไปทางด้านหน้า เรา 3 คนที่อยู่กลุ่มผู้นำหยุดและฟังเสียง เจ้าหน้าที่เริ่มถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปืนก็เตรียมพร้อมหากจำเป็นต้องใช้ พวกเราทุกคนหยุดไม่เคลื่อนไหว ฟังทุกเสียงที่อยู่รอบตัว พักใหญ่เจ้าหน้าที่ให้เรารีบเดินที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไปเจอกันที่แนวกันไฟตรงทางแยกไปผาแดง (มี 4 คนอยากไปผาหล่มสักต่อ) พอมาถึงก็แยกย้ายกันไปสักพัก เราเดินกลับเส้นทางเดิม ขากลับไม่ได้ทำให้เดินง่ายขึ้นเลย ทางยังคงหนาแน่นไปด้วยพืชต่างๆ จนกระทั่งมาถึงทางออกน้ำตกธารสวรรค์ก็ทราบว่าตรงจุดที่ได้ยินเสียงนั้นเป็นเสียงของช้างป่า (เจ้าหน้าที่อีก 2 คนเดินตามเข้ามาเพื่อสำรวจ ได้วิ่งหนีช้างกันมา) เรานั่งพักที่น้ำตกธารสวรรค์ก่อนและเดินทางกลับมาที่ลานกางเต้นท์ ก่อนแยกย้ายกันไปด้วยมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว


วันที่สี่

ต้องกลับบ้านวันนี้แล้ว เราก็เก็บของ อาบน้ำ และไปฝากกระเป๋า ลูกหาบแจ้งว่าคิวนี้จะได้รับกระเป๋าตอนบ่าย 3 โมง เอาละสินี่เพิ่งจะ 8 โมงเช้า แต่เราก็ฝากไป เราตัดสินใจเดินเล่นต่อด้านบน ตอนแรกตั้งใจไปแค่ 2 ที่คือพระพุทธเมตตา และสระแก้ว แต่มีของแถมมากมาย


พระพุทธเมตตา เรามาสักการะก่อนเดินทางกลับ




สระแก้ว อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 1 กิโลเมตร อยู่ในส่วนต้นน้ำของลำธารสวรรค์ “ธารสวรรค์” ลักษณะเป็นวังน้ำลึกขนาดไม่กว้างนัก น้ำใสมากจนมองเห็นพื้นหินขาวสะอาด เป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่าจำนวนมาก



ต่อจากบริเวณสระแก้วมีทางเดินชมธรรมชาติผ่านลานหิน ซึ่งมีดอกหรีดสีม่วงอมน้ำเงินเกสรสีเหลือง ขึ้นอยู่เป็นทุ่งไปจนถึงผานาน้อย แยกซ้ายไปจะพบกับผาจำศีล ซึ่งมีลานหินกว้างพอให้นั่งพักผ่อน จากผาจำศีลประมาณ 600 เมตร จะถึงผาหมากดูก หากแยกขวาจะผ่านผาเหยียบเมฆและผาแดง แล้วก็จะถึงผาหล่มสัก จากนั้นเราตัดสินใจเดินตัดไปที่ริมผาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องย้อนกลับทางเดิม และของแถมก็เกิดขึ้น


ผานาน้อย เราเดินมาอีกพักใหญ่ ใหญ่จริงๆ ประมาณ 2 กม.กว่าๆ ก็มาถึงผานาน้อย ตามริมผาทุกผาจะมีร้านค้าให้บริการอยู่ที่นี่มี 2 ร้าน




ผาเหยียบเมฆ เดินจากผานาน้อยมาอีก 2 กม.กว่าๆ เราชอบที่นี่มากเป็นแนวหินยกตัวขึ้นริมหน้าผา สูงจริงๆ ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอควร





ผาแดง เดินต่ออีกประมาณ 1.5 กม. เป็นผาสุดท้ายที่เราตั้งใจจะมาเยือน เพราะ หล่มสักเราไปเรียบร้อยแล้ว มาถึงเราก็เดินถ่ายรูป




ขากลับต้องเดินเลียบริมผากลับมาทางเดิม ผ่านผ่าเหยียบเมฆ ผานาน้อย ผาจำศีล ผาหมากดูก และผาสุดท้ายคือผาเมษา


ผาเมษา เป็นผาที่ห่างจากผาหมากดูกประมาณ 500 เมตร เป็นผาที่ยื่นออกไปค่อนข้างมาก ปลายสุดของหน้าผามีรอยคล้ายรอยเท้าที่ใหญ่มาก มีการนำทองไปปิดบริเวณนิ้วเท้า ทำให้เห็นชัดเจนมากขึ้น เราใช้เวลาที่นี่อีกนานทีเดียว




จากนั้นก็รีบเดินมาที่หลังแป ถ่ายรูปก่อนลง แวะเข้าห้องน้ำและตะลุยลงเขา (ขอบอกเลยว่าไม่ชอบขาลงเลย มันทั้งเกร็งและต้องจิกเท้าเพราะกลัวลื่น) มองดูเวลาก็ 1.17 น. ละ รีบลงให้ทันกระเป๋าดีกว่า เราก็เดินลงมาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอะไร แต่บอกว่าทรมารสุดๆ เกร็งเท้าตลอด จิกเท้าจนเจ็บไปหมดเลย (กลับมาบ้านเล็บเท้านิ้วก้อยห้อเลือดเลย) ไม่มีการแวะพักใดใดทั้งสิ้น แต่ก็มีแวะหลบทางให้ลูกหาบและพูดคุยกับคนที่กำลังปีนขึ้นอย่างสนุกสนาน เราตามมาเจอกระเป๋าเราแล้วที่ซำแฮก และเราก็แซงลงมาก่อน ลงมาถึงจุดลงชื่ออกเวลา 2.34 น. ใช้เวลาในการลงทั้งหมด 1.17 ชั่วโมง เราแวะสักการะศาลเจ้าปู่ภูกระดึงอีกครั้ง และไปล้างเนื้อล้างตัวล้างหัวก่อนมารับกระเป๋า



การเดินทางกลับ

เดินออกมาขึ้นรถสองแถวตรงจุดเดิมที่เขามาส่ง และไปลงที่ผานกเค้าเหมือนเดิม จากนั้นก็มีรถเข้ากรุงเทพฯ ให้เลือกหลายเที่ยว


สิ่งที่จำเป็นต้องเตรียม

- สภาพร่างกายและจิตใจต้องพร้อมก่อนขึ้นภูกระดึง จะเหนื่อยสุดก่อนถึงซำแฮก

- เสื้อกันหนาว และเสื้อผ้าอื่นๆที่จำเป็น

- ไฟฉาย ช่วยเราได้ทั้งไปดูอาทิตย์ขึ้นและตก เข้าห้องน้ำ รวมถึงไปร้านอาหาร

- รองเท้าต้องใส่สบาย พร้อมถุงเท้า และรองเท้าแตะ

- กล้องถ่ายรูป ทุกอย่างสวยจนต้องถ่ายเกือบตลอดเวลา


สิ่งที่ประทับใจ

- มิตรภาพที่ได้รับจากผู้คนที่มาเที่ยวภูกระดึง

- เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ให้คำแนะนำดี ดูแลดี แถมยังมาจัดการเด็กๆที่ไม่ยอมนอนให้นอนได้อีกด้วย

- ความใกล้ชิดธรรมชาติทั้งดอกไม้ ต้นไม้ หน้าผา สายลม และสัตว์ป่า

- ระเบียบของอุทยานฯ เช่น ห้ามดื่มและนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาบริเวณที่พัก ห้ามส่งเสียงดังหลัง 4 ทุ่ม

- สิ่งที่อุทยานฯจัดเตรียมให้ เช่น เต้นท์-เครื่องนอน (เช่า) ห้องอาบน้ำ และห้องสุขา

- ร้านค้ามีให้เลือกมากมายตามความชอบของแต่ละคน

- ได้เข้าป่าปิด



นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกกับภูกระดึงที่ทำให้มีครั้งแต่ๆ มาอีกจนถึงปีนี้


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่

เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว



ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

 วันพฤหัสที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 02.55 น.

ความคิดเห็น