...นี่เป็นการไปเที่ยวลาวเป็นครั้งที่ 2 จากครั้งแรกไป วังเวียง - เวียงจันทร์ และตอนนั้นยังตะลุยเดี่ยวด้วย...

...การเดินทางของฉันแทบทุกครั้งก็ไม่พ้นที่จะบินไปกับแอร์เอเชีย และต้องจองตั๋วถูกกันข้ามปีเลยทีเดียว..ทำไงได้นักท่องเที่ยวต้นทุนต่ำอย่างเราแต่กระหายในการเดินทางก็ต้องเลือกจองตั๋วแบบนี้..ทริปนี้เราเลือกที่จะไปเที่ยวลาวใต้..ปากเซ..แขวงจำปาศักดิ์

...ใคร ๆ ก็คิดว่าฉันตามรอย ซันนี่ เมธานนท์ กับพี่เบิร์ด ที่โฆษณากาแฟดาว แต่จริง ๆ แล้ว...เมืองปากเซคือเมืองที่ฉันอยากมาตั้งแต่ 5-6 ปีก่อนแล้ว ประเทศลาวเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย คุยกันรู้เรื่อง เสียแค่ว่าการเดินทางจะยากลำบากบ้าง ค่าครองขีพนับว่าแพงมาก แต่ก็ยังเป็นประเทศที่น่าเที่ยวเสมอ..

...ไปช่วงฤดูแล้ง..ก็จะสามารถเห็นเกาะแก่งได้ชัดเจน แต่ต้องทนกับอากาศที่ร้อนจัด...

...เริ่มต้นทริปแรก ๆ มีแค่เรา 3 สาว (โสด) แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ได้รับอีก 3 หนุ่มมาร่วมทริป ดีใจมีคนหารค่ารถ

...เรา 3 คนต้องบินมาจากเชียงราย แล้วก็อาศัยสนามบินเป็นที่พักในค่ำคืนนี้เพื่อจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า


...วันแรก 10 มี.ค.59

07.40 น. โปรดทราบ เครื่องบินของสายการบิน แอร์เอเชีย เที่ยวบินที่.....พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปจ.อุบลราชธานี ขอเชิญผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้ที่ประตูทางออกหมายเลข.....

08.50 เราก็ถึง จ.อุบลฯ ....ถึงสนามบินอุบล แล้วเดินออกมานอกอาคาร เดินเลียบตัวอาคารไปฝั่งขาเข้า จะมีคิว taxi meter ไปขนส่งประมาณ 60 บาท อย่าเผลอขึ้นรถสนามบิน หรือ taxi ของคนที่ไปเดินหาเราในตัวอาคาร จะเหมา 120-150 แพ๊งงงงงงอ่ะ...เรามุ่งหน้าไปขนส่ง จ.อุบล แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เรานัดเจอกับอีก 2 หนุ่มที่ขนส่งอุบล แต่ 1 หนุ่มมากับเราจาก กทม.เรียบร้อยแล้ว...เราใช้บริการรถตู้เพื่อไปช่องเม็ก ค่ารถถึงขนส่งด่านช่องเม็กคนละ 100 บาท รถเราออกรอบ 09.50 น. ถึงด่านประมาณ 11.30 น. หลังจากนั้นใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์คนละ 20 บาทเพื่อไปหน้าด่าน ทำเอกสารฝั่งไทยเรียบร้อยก็ข้ามไปฝั่งลาวเลยจร้า..ไม่ใช่ข้ามสิ ต้องเรียกว่า ลอด ต่างหาก



นี่เลยจร้าาาาาาา....เดินลงอุโมงค์เพื่อลอดไปฝั่งลาว เดินขึ้นก็กลายเป็นประเทศลาวแล้ว


ช่วงที่ไปเค้ากำลังมีการก่อสร้าง ฝุ่นควันนี่สุดยอดเลย ต้องรีบเดินจ้ำ ๆๆๆ เพื่อจะไปยังอาคารที่ทำเอกสารของ ตม.ลาว หรือด่านวังเต่านั่นเอง ขาเข้าโดนเรียกไปคนละ 100 บาท....จากจุดนี้เราก็หารถทันทีเพื่อจะเหมาไปเที่ยวน้ำตก และวัดพูสะเหลา สรุปเราได้รถ Avanza ในราคา 3,000 บาท รวมน้ำมันเรียบร้อย ซึ่งเหมาะสำหรับพวกเรา 6 คนพอดีเลย...คนขับรถเราชื่อพี่แหล่ นิสัยดีเลยค่ะ เราขอให้พี่แหล่ไปส่งเราเข้าโรงแรมก่อน ถนนเข้าเมืองที่เราเห็นดูแล้วเหมือนเราได้ย้อนกลับไปในอดีตของไทยหลายสิบปีก่อน..นั่งมองวิวตามทาง ความแห้งแล้งมีอยู่ทุกที่..วัวควายของชาวบ้านออกหากินตามทุ่งหญ้า วิถีชีวิตแบบชาวบ้านที่เราแทบจะไม่ได้สัมผัสกับมันแล้ว

......คืนนี้เราพักที่โรงแรมลานคำ ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่คงรู้จักดี เราจองผ่านเวป Booking ไว้ ห้องดีทีเดียวเลยค่ะ...แต่ก่อนจะออกเดินทางแบบว่าหิวข้าวมากไม่ได้ทานอะไรมาแต่เช้าเลย และอ่านมาเค้าว่าเฝ๋อลานคำอร่อยมากกก..จัดซะคนละชาม..แต่อร่อยจริงนะค่ะ หรือว่าเราหิวมากไม่รู้สินะ!!! ถ้วยนี้ 20,000 k. >>ชามใหญ่มว๊ากกกกกกก


...อิ่มแล้วได้เวลาลุยค่ะ....ที่แรกที่เราไปคือตาดผาส้วม..ค่าเข้าคนละ 10,000 k. รถจอดปุ๊บก็ลงเดินได้สบายเลยค่ะ แต่บอกเลยว่าอากาศร้อนมากที่สุด เสื้อนี่ชุ่มเหงื่อหมดเลย ไปเที่ยวหน้าร้อนก็ต้องทนกันหน่อย...... แต่พอเห็นน้ำตกแล้วก็สดชื่น


อุโมงค์ไม้ไผ่นี่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของตาดผาส้วมไปเลยค่ะ...แต่พอมีคนเดินทีสะพานโครงเครงมากเลย...




พี่คนขับบอกลองไปเดินเที่ยวหมู่บ้านชนเผ่าสิ...ก็เลยลองเดินไปดู..เงียบ ๆ ค่ะ

ไม่ค่อยมีอะไร มีบ้านเป็นหลัง ๆ แล้วก็มีสินค้าขาย




สถานีต่อไปของเราคือน้ำตกตาดเยือน....ค่าเข้าคนละ 10,000 k. มีค่ารถอีกแต่พี่คนขับเค้าจ่ายให้เรียบร้อย

....ที่นี่ต้องเดินลงไปไกลพอสมควรค่ะ และทางก็ชัน...

แต่พอลงไปถึงน้ำตกแล้วก็สดชื่นมาก อยากจะโดดลงเล่นน้ำเลย แต่ไม่ได้เตรียมตัวมา







แต่พวกเราไม่ทันตาดฟาน เพราะกลัวจะขึ้นชมวิววัดพูสะเหลาไม่ทัน..เราใช้เวลาที่นี่พอสมควร นั่งมองน้ำตกจนสมใจ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เลยเดินทางไปวัดพูสะเหลาต่อค่ะ..วัดพูสะเหลาจะอยู่ทางเข้าเมืองปากเซ เราต้องวนกลับออกไป แหม!! แต่นั่งรถแอร์เย็น ๆ จะไปลำบากอะไรเน๊อะ..เราลุ้นตามแสงอาทิตย์ยามเย็น พร้อมกับรถที่กำลังวิ่งเพื่อจะพยายามพาเราไปถึงจุดหมาย..เราได้แต่คิดว่าจะได้ดูพระอาทิตย์ตกดินที่วัดพูสะเหลาไหมน๊อ? สุดท้ายเราก็ไม่ทันแสงสุดท้ายวันนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร.....วัดพูสะเหลาจะมีจุดชมวิวสะพานลาว-ญี่ปุ่น ให้เรายืนมองแม่น้ำโขงได้สุดลูกหูลูกตา และยังได้เห็นแสงส่องสว่างผ่านไปยังองค์พระใหญ่ซึ่งงดงามไม่แพ้วิวที่เรายืนมองเลย...





ปิดท้ายวันนี้ที่ร้านอาหารเรือนแพคำฟอง น้องที่ร่วมทริปแนะนำ เค้าบอกว่าใครมาต้องมาทานที่ร้านนี้ เราเลยไม่พลาด อาหารถือว่าโอเครเลยค่ะ..ราคาก็ไม่แพงมื้อนี้ทั้งอาหารทั้งเบียร์หมดไปประมาณ 320,000 k อิ่มหนำสำราญสราญใจไปแล้วสำหรับวันแรก...



วันที่สอง 11 มี.ค.59 วันนี้จะเหลือแค่ 4 คน เพราะอีก 2 หนุ่มขอแยกตัวไปเวียดนามต่อ

วันนี้เรานัดพี่แหล่ไว้ 8 โมงเช้าเพื่อจะมุ่งหน้าไปปราสาทวัดพู ซึ่งถือว่าเป็นมรดกโลกของลาวตอนใต้ และเป็นมรดกโลกต่อจากเมืองหลวงพระบาง ถือว่าเป็นแห่งที่ 2 ของประเทศลาว

8 โมงกว่า ๆ พี่แหล่มารับเราที่โรงแรมลานคำ..เรามุ่งหน้าไปทางเมืองจำปาศักดิ์ หลบลี้หนีความวุ่นวายเข้าสู่ความสงบของถนนหนทาง ปีนี้ไม่ว่าที่ไหนก็แห้งแล้วเหลือเกิน 2 ข้างทางที่เราขับรถผ่านทำให้เรารู้สึกถึงความร้ายกาจของมนุษย์ที่ช่วยกันทำลายป่าไม้ การเผาป่าเกิดขึ้นทุกที่เหมือนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว...พี่แหล่บอกว่าถ้ามาช่วงหน้าฝนแถวนี้จะสดชื่นร่มรืนจะเห็นแต่สีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า...สภาพอากาศวันนี้รู้สึกจะครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่เห็นแสงแดดเลย เรากลัวว่าฝนจะตกเหลือเกิน ถ้าฝนตกเราก็จะเที่ยวกันไม่สนุก เพราะก่อนที่เราจะมาพยากรณ์อากาศเค้าเตือนมาว่าจะมีพายุฝน...ขณะนั้นเราก็ต้องลุ้นไปตลอดทาง เราใช้เวลาไม่นานก็ถึงวัดพู

...ค่าเข้าชมวัดพูคนละ 50,000 k. และมีรถกอล์ฟบริการรับ-ส่ง

เมื่อรถจอดที่ทางเข้าของปราสาทวัดพู เรามองเห็นปราสาทเก่า ๆ ที่ได้รับการรักษาไว้ให้คงสภาพไปตามธรรมชาติ ทางเดินที่มีหญ้าขึ้นแซมออกมาตามหิน .... บางจุดของวัดพูก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมบ้างเพื่อป้องกันการล้มพังเสียหาย...บันไดทางขึ้นที่มีความลาดชันมากเป็นพิเศษ ต้องค่อย ๆ ใช้ความระมัดระวังในการเดินขึ้น บันไดทางขึ้นจะปลูกดอกจำปาไว้ตามทางเพื่อให้ความร่มรื่นและเมื่อด่านผ่านเข้าไปเหมือนเราจะย้อนยุคเข้าไปในอดีตซะงั้น




...เราใช้เวลาที่นี่ประมาณชั่วโมงได้...ก็ต้องเดินทางต่อไปยังน้ำตกคอนพะเพ็ง...ระหว่างทางที่เราจะไปน้ำตก เราก็รู้สึกท้องจะร้องกันถ้วนหน้าแล้ว..เลยบอกพี่แหล่ว่าขอทานข้าวแบบร้านบ้านๆ อยากสัมผัสวิถีชาวบ้าน

......มาได้สักพักพี่แหล่จอดรถ บอกจะแวะทานข้าว...ทันใดนั้นกองทัพไก่ ตับ ไต ไส้ พุง ย่างมาล้อมหน้าล้อมหลังรถพวกเรา...เพื่อนในรถถึงกับบอกว่า เห้ย!!!กูกลัว กูไม่กล้าลงรถ ก็จะอะไรหล่ะค่ะพี่แกเล่นเคาะกระจกในมือถืออาวุธพร้อม เฮ้ยยยย...ถือไก่ย่าง เพื่อจะให้เราช่วยซื้อ...ใจจริงเราอยากทานนกมากกกก แต่จะซื้อคนนี้ก็ต้องซื้อคนโน้นด้วย....สรุป..ไม่ต้องซื้อสักคน

>>> ลงรถปุ๊บ พวกเราก็รีบจ้ำอ้าวเข้าร้านทันที พี่แกก็ยังตามติดมาเป็นหางว่าว ประมาณว่าคนขายเยอะมว๊ากกกกกค่ะ.....

ร้านนี้คงจะดูดีที่สุดในบริเวณนี้แล้ว ดูสะอาดน่านั่ง ก็เลยสั่งส้มตำลาว เนื้อแดดเดียวย่างเป็นเส้น เส้นก็เล็กนิดเดียวค่ะ 4 เส้น 100 บาท....ไก่ย่าง 1 จาน ไม่รู้ว่าเป็นลูกไก่ป่าวได้นิดเดียวเอง เฝ๋ออีกสักถ้วย จะได้มีน้ำเอาไว้ซด....ข้าวเหนียวอีก 2 กระติ๊บ

....ร้านบ้าน ๆ ค่ะ แต่แพงอ่ะ คือที่เราสั่ง ๆ มาอ่ะ อย่างละนิดละหน่อย น้ำก็ต้องซื้อ พอเรียกเก็บเงิน 500 บาท กินแล้วก็ต้องจ่ายนะ อย่าทำตามแบบทัวร์ชาวจีนกินแล้วไม่จ่ายตังค์...


อิ่มแล้วเดินทางต่อสิค่ะ...รออะไร...เวลายิ่งมีน้อย ๆ อยู่ด้วย คอนพะเพ็งจ๋าาาาาาาาาา..ฉันกำลังจะไปหาเธอแล้วนะ

เราว่าจากวัดพู ไปคอนพะเพ็งใช้เวลาพอสมควร ระยะทางประมาณร้อยกว่าโล เพื่อนเรานี่หลับ ๆ ตื่น ๆ กันหลายรอบเลย เรานี่ก็อยากจะหลับนะ แต่กลัวไม่ได้เห็นบ้านเมืองเค้า....ถึงซะที คอนพะเพ็ง ค่าเข้าคนละ 55,000 k.

ทางเข้าจะมี ต้นมณีโครต แห่งคอนพะเพ็ง ซึ่งเป็นต้นไม้เก่าแก่ถือได้ว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวลาวนับถือ ซึ่งปกติจะอยู่บนแก่งหินกลางแม่น้ำโขง แต่ปัจจุบันต้นมณีโครต ได้ล้มลง แต่ทางชาวลาวนำขึ้นไปตั้งแสดงไว้ที่หอพิพิธภัณฑ์ซึ่งสร้างขึ้นที่ทางเข้าคอนพะเพ็งนี่เอง

....มาเที่ยวคอนพะเพ็งหน้านี้เราจะสามารถเห็นเกาะแก่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน แต่ถ้ามาหน้าฝนน้ำจะหลากมาก จะเห็นแต่น้ำขุ่น ๆ สีแดง

...น้ำตกคอนพะเพ็ง หรือถูกเรียกว่า "ไนแองการ่าแห่งเอเชีย" ซึ่งเป็นน้ำตกลาวใต้ที่ใหญ่สุดในเขตแม่น้ำโขงตอนล่าง ช่วงที่เราไปถือว่าเป็นช่วงหน้าแล้งน้ำ แต่กระแสน้ำของที่นี่ก็ยังยิ่งใหญ่และรุนแรง ทำให้เราถึงกับตะลึงในความยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งนี้...นักท่องเที่ยวช่วงนี้ก็ถือว่ามีไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ไม่ต้องถ่ายรูปไปเห็นแต่หัวคนไป ><

....ระหว่างที่ชื่นชมกับน้ำตกนั่น เราอยากจะข้ามไปอีกฝั่ง แต่พยายามหาทางไปแต่ก็มีแอบกลัว ๆ ว่าจะไปได้ไหม...พอดีเจอคนนำทางตัวน้อยที่อาสาจะพาไป เด็กน้อยพูดจาฉะฉาน น่ารัก...เราเลยบอกว่าข้ามไปด้วยกันจนพี่กลับเลยนะ...น้องก็โอเคร..เรานี่ถึงกับต้องถอดรองเท้าลุยข้ามน้ำเพื่อจะไปชมอีกฝั่งจนได้.....ขากลับให้ทิปน้องไป 20 บาท..พร้อมขอถ่ายรูป

ที่หมายสุดท้ายที่เราจะไปวันนี้คือ เกาะดอนเดด...แต่ต้องมาขึ้นเรือที่ท่าเรือนากะสัง คืนนี้เราจะไปนอนที่นี่กัน

ตั้งใจจะไปดูน้ำตก หลีผี......จากคอนพะเพ็ง มาท่าเรือนากะสังไม่ไกลกันมากเท่าไหร่...ตอนแรกเราก็ชวนพี่แหล่ว่าอยู่ด้วยกันเลยไหมพี่? ไหน ๆ วันนี้พี่ก็ตีรถเปล่ากลับปากเซแล้ว อยู่ด้วยกันเลย พรุ่งนี้ก็เอาพวกเราไปส่งด้วย คิดค่ารถเพิ่มเลยพี่...เผอิญว่าพี่แกนัดลูกสาวไว้ว่าจะพาไปงานบุญไรสักอย่างนี่แหล่ะค่ะ...แกเลยอยู่ไม่ได้...แต่พอดีว่าพี่ชายแกขับรถสองแถวเส้นทางนากะสัง-ปากเซ พี่แหล่แกเลยโทรหาพี่ชายแกให้มาคุยกับเรา เพื่อนัดแนะว่าพรุ่งนี้จะรับเรากลับปากเซยังไง ก็ตกลงได้ว่าประมาณ 8 โมง เราต้องถึงฝั่งที่ท่าเรือนากะสัง แล้วให้คนเรือหรือรถรับจ้างโทรหาแก จะได้รู้ว่าแกรอจุดไหนแล้วให้รถรับจ้างไปส่ง...ถือว่ามาครั้งนี้ก็โชคดีที่เจอคนขับที่เป็นมิตรและดูแลเราอย่างดี คงจะเพราะพวกเรากันเองกับแกมาก

....พี่แหล่ส่งพวกเราถึงตรงท่าเรือ และพวกเราก็อำลากันตรงนี้เลยค่ะ พร้อมจ่ายเงิน วันนี้เราเหมาไป 4,000 รวมค่าน้ำมัน...เลยขอเบอร์พี่แหล่ไว้ เผื่อใครสนใจจะไปก็ติดต่อเบอร์นี้ได้เลยนะค่ะ 55632401 พี่เค้าจะอยู่ตรงด่านช่องเม็กเป็นประจำเลยค่ะ...

...หลังจากนี้พวกเราก็ต้องไปขึ้นเรือเพื่อจะข้ามไปดอนเดด...ค่าเรือคนละ 60 บาท น้ำโขงที่นี่มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียกระไร นั่งมองขณะที่นั่งเรือ ทำไมมันดูแล้วสุดลูกหูลูกตาจัง มันช่างแตกต่างกับน้ำโขงบ้านฉันที่เชียงแสนเสียกระไร วันนี้ที่ดอนเดดเรายังไม่ได้จองที่พัก เลยไปเดินหาเอาข้างหน้า ห้องก็พออยู่ได้นะ อับ ๆ ไปนิด ตอนแรกว่าจะนอนห้องพัดลมแต่คงไม่ไหว อากาศร้อนเกิน เลยเลือกห้องแอร์ที่มีพัดลมในตัว....แต่ห้องฉันอะดิ..กลางคืนแอร์เสีย ไปถามพนักงานบอกว่าไฟตก ไฟไม่พอ มันเป็นแบบนี้แหล่ะ เลยเดินไปดูห้องเพื่อน เฮ้ยยยยยยย !! ห้องแกทำไมแอร์ดีอ่ะ แต่ช่างมันเถอะ ดึกแล้วไม่เปลี่ยนห้องแล้ว นอนพัดลมไปแล้วกัน

....เรามาถึงดอนเดด เย็นเกินไป พวกเรานี่เช่าจักรยาน ปั่น ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กันสุดชีวิต แต่ก็ยังมีแวะถ่ายรูปตามทางบ้าง ไอ้ที่ปั่น ๆๆๆนี่ไม่ใช่ไรหรอกกลัวไม่ทันไปดูน้ำตกหลี่ผี แต่สุดท้ายก็ไม่ทันจริง ๆ ก็มีแอบเสียดายเล็กน้อย พอไปถึงจุดขายปี้เค้ากำลังจะเก็บพอดี ก็พยายามอ้อนวอนเค้าว่าขอเข้าไปสักแป๊บก็ไม่ได้เหรอ...พี่แกก็บอกว่าไม่ได้มันมืดค่ำแล้ว..อันตราย น่ากลัวด้วย แล้วอีกอย่างในนี้ผีเยอะ เดี๋ยวผีจะหลอกเด๊ะ >>> พี่แกพูดเหมือนจะหลอกเด็กเลย สรุปที่ปั่น ๆๆๆ มาแทบตายหมดกัน....ในที่สุดก็ต้องยอมปั่นกลับแต่โดยดีทางก็มืดมาก แสงไฟตามข้างทางแทบจะไม่มีเลย เราต้องอยู่หลังสุดให้เพื่อน ๆ อยู่ข้างหน้า แล้วใช้ไฟฉายจากมือถือส่องนำทาง ตอนแรกว่าจะตื่นมาแต่เช้าเพื่อจะปั่นมาอีก แต่สุดท้ายก็ตื่นไม่ไหว รู้งี้มาเล่นน้ำริมหาดก็ดี (หาดเล็ก ๆ น่าร๊ากกกก)

.....แต่จากที่อ่านข้อมูลมา เค้าว่ามันเล็กกว่าคอนพะเพ็ง เราได้เห็นคอนพะเพ็งก็ถือว่าที่สุดในทริปนี้แล้วค่ะ ...

สุดท้ายคืนนี้ก็จบลงด้วยการมานั่งดริ้งกันเบา ๆ แล้วก็เข้านอน



12 มี.ค.59 วันนี้เราต้องข้ามฝั่งมาท่าเรือนากะสังให้ทันตอน 8 โมง เพราะนัดพี่เค้าไว้...และที่สำคัญนั่งรถสองแถวต้องเตรียมพร้อมคือผ้าปิดจมูก กันฝุ่น ผ้าสำหรับมัดหัวไม่ได้เตรียมมา ขอเอาเสื้อเก่าที่ใส่แล้วมามัดแล้วกันกันลมสักหน่อย....ค่ารถสองแถวกลับเข้าปากเซ 250 บาท...แต่ก็ยังแวะตลาดดาวเรืองเพื่อส่งผู้โดยสารก่อนนะค่ะ...ถ้าใครนั่งรถสองแถวมาก็จะมาสิ้นสุดที่ตลาดดาวเรืองและหารถเพื่อจะไปคิวรถตู้กันต่อค่ะ...แต่พวกเราโชคดีพี่เค้าส่งเราถึงคิวรถตู้ที่จะไปด่านเลยค่ะ...

จบทริปนี้ด้วยการกลับเข้าอุบล

โดนค่าออกด่านลาวอีกคนละ 100 บาท อะไรเนี่ย เข้าก็จ่าย ออกก็ยังจ่ายอีก ...

สรุปทริปนี้หมดไปประมาณ 5,000 บาท ไม่รวมค่าเครื่อง ชร-กทม.-อุบล

....ลาก่อน ปากเซ ฉันน่าจะหาคำตอบเจอแล้วนะ.....ปากเซ



คนเหนือจวนแอ่ว

 วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 18.14 น.

ความคิดเห็น