ส่วนตัวมีโอกาสได้ไปพักที่ซูริค ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดและยังเป็นฮับสนามบินใหญ่ของสวิสเซอร์แลนด์ถึงสามครั้งแล้วครับ และก็ได้พักที่ซูริคทั้งสามครั้ง แต่เวลาถามใครๆ เวลาไปเที่ยวสวิสแล้วจะเห็นซูริคเป็นทางผ่าน เป็นที่ลงสนามบินแล้วไปทัวร์เมืองอื่นๆ ก่อน เพราะอะไรกันหนอ

กรุงเบิร์นคือเมืองหลวง Zurich ไม่ใช่เมืองหลวงขอวสวิสเซอร์แลนด์ ที่มีชื่อเป็นทางการว่า Confoederatio Helvetica หรือ CH ที่เห็นเวลาเป็นตัวย่อในเว็บไซท์ที่เกี่ยวกับสวิสนั้นล่ะครับ คนสวิสไม่เรียกตัวเองว่าสวิส อันนั้นภาษาอังกฤษ แต่เรียกตัวเองว่าชาว Helvetti ซึ่งเป็นชนเผ่าอนารยชนเก่าแก่ที่ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศสวิสในปัจจุบันเมื่อสองพันกว่าปีแล้ว ก่อนที่ชาวโรมันจะมาตั้งรกรากในดินแดนแถบนี้ครับ ก็เหมือนกับคนไทยเดิมชื่อคนสยามประมาณนั้นล่ะครับ ปัจจุบันสัญลักษณ์แทนชาว Helvetti คือผู้หญิงที่ดูเหมือนวีรสตรีและจะเห็นประดับอยู่ตามที่สถานที่ต่างๆ ที่สำคัญ อย่างบนประตูใหญ่สถานีรถไฟที่ซูริคแบบรูปบนนั้นล่ะครับ ไม่เห็นใช่ไหม อ่ะมาดูรูปล่าง

แม้จะไม่ได้เป็นเมืองหลวงแต่ก้อเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง ขนาดแอ๊ปเปิลสโตร์ยังเลือกเปิดที่นี่แทนที่อื่น สถานีรถไฟกลางของที่นี่เชื่อมโยงกับทุกเมืองในยุโรป เป็นจุดเริ่มต้นของนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวสวิสเพราะเป็นที่ตั้งของสนามบินแห่งชาติ ใกล้กับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งลูเซิร์น ดาวอส อินเตอร์ลาเก้น บางทีก้อเรียกกันว่าซูริคเป็นประตูสู่ดินแดนแห่งเทือกเขาแอลป์กันทีเดียวเลย

ด้วยความที่สวิสเป็นประเทศขนาดเล็กๆ มาก ขับรถเพียง 4 ชั่วโมงก็พ้นจากชายแดนเหนือไปยังชายแดนใต้แล้ว หรือแม้แต่ซูริคเองขับรถไปไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงเยอรมันแล้ว และด้วยความที่ค่าครองชีพที่สวิสนั้นแพงมาก การที่จะพักคืนในซูริคก็ดูเหมือนจะไม่คุ้มด้วย เพราะบอกตรงๆ ภายในเมืองซูริคก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าเที่ยวหรอกครับ ถ้าจะหวังมาเห็นธรรมชาติสวยๆ งาม หรือวัฒนธรรมโบราณอะไรประมาณนั้น เพราะซูนิคเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การอยู่ในซูริคสักวันก็เหมือนไปนอนโรงแรมแถวสาทรในวันเสาร์อาทิตย์นั้นล่ะครับ แต่ไม่ใช่ว่าซูริคไม่มีอะไรน่าเที่ยวนะครับ ถ้ามาใช้เวลาสโลวไลฟ์ที่นี่สักวันสองวัน ค่อยๆ เดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซูริคเป็นอึกเมืองที่น่าจุ่มตัวลงมองเมืองได้ทั้งวันเลยล่ะครับ ยิ้งที่นี่อากาศเย็นสบายตลอดเวลาแล้วด้วย และซูริคคือแหล่งรวมแบรนด์เนมและแหล่งช๊อปปิ้งทั้งหลายของสวิสด้วยนะครับ "แต่ไม่คุ้มครับ เพราะที่สวิส ของแพงและ VAT น้อย" ซื่อแบรนด์เนมนี้ขับรถข้ามไปฝั่งอิตาลีที่มิลานคุ้มกว่าเยอะ แต่ที่น่าจะสบายใจคือ ร้านค้าต่างๆ ของสวิสไม่เจอประวัติว่าโกงนักท่องเที่ยว

ราคาโรงแรมในซูริคแพงจริงไรจริงอยู่ แต่ราคาหลักสามพันสี่พันต้นก็หาไม่ได้ยาก และคุ้มค่าด้วยครับ แต่อาจจะไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง ไม่ใกล้แหล่งช๊อปปิ้งอะไรเลย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีปัญหา เพราะซูริคเป็นเมืองเล็กๆ หากใจกลางเมืองของซูริคคือสยามแล้วล่ะก็ โรงแรมเหล่านี้ก็อยู่แค่ประมาณเพลินจิต นานาเองครับ เดินไปใจกลางเมืองได้ไม่เกิน 15 นาที และยิ่งสะดวกเพราะซูริคมีระบบขนส่งคมนาคมที่สะดวกมาก อย่างโรงแรมที่ผมไปพักทั้งสองแห่ง มีรถรางอยู่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง อีกแห่งหนึ่งก็อยู่ใกล้ใจกลางเมืองมากๆ โดยราคาไม่แพงครับ ถ้าในหน้าโลว์ซีซั่นก็ไม่เกินสี่พันบาท อย่างผมจองล่วงหน้ากันเป็นปีมีโปรโมชั่น มีอัปเกรด รวมราคาแค่สามพันนิดๆ เองครับ ขออนุญาตเอามารีวิวให้เป็นไอเดียกันครับ โรงแรมแรกคือ Greulich ครับ เป็นบูติคโฮเต็ลขนาดกลางๆ ที่เอาโมเต็ลมารีโนเวทใหม่เป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวเลยครับ ที่นี่ห้องพักสะอาด ไวไฟแรง น้ำแรง เตียงนุ่มสบายดีทุกอย่าง แต่ที่แอบแพงคือค่าที่จอดรถครับ และรอบๆ โรงแรมเรียกว่าได้เป็น in the middle of nowhere ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูให้ชมเท่าไรครับ แต่ก็มี supermarket ไม่ไกลไปอีกแค่หนึ่งบล็อก และสามารถนั่งรถรางไปใจกลางเมืองได้เพียง 3 นาทีครับ แต่ใครมีกระเป๋าใบใหญ่อาจเดินทางลำบากหน่อยครับ แต่ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคาแห่งหนึ่งครับ ไปดูห้องพักกันครับ ถ้าชอบก็จัด booking หรือ agoda ไปเลยครับ จองนานๆ หน่อย ราคาสามพันต้นๆ นี่นอนสบายเลยครับ



โรงแรมหนึ่งดีไม่แพ้กันเลยครับ และใหญ่กว่าด้วย ห้องก็กว้างกว่านิดหน่อยสไตล์บูติคเหมือนกันเชื่อ 25 Hours Zurich West ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือเดียวกันกับ 25 Hours Hotel ของเยอรมันครับ ราคาไม่แรง คุณภาพสามพันเศษๆ ที่หาไม่ได้เยอะในซูริค และมีรถรางผ่านหน้าโรงแรมเลย นั่งรถรางเข้าเมือง 5 นาทีเองครับ การตกแต่งในส่วนรีเซปชั่นของโรงแรมครับ น่ารักครับ แม้จะมีพื้นที่ไม่มากแต่ก้อใช้ประโยชน์ได้ดี โรงแรมมีห้องประชุมด้วย แต่ไม่ได้ใหญ่มากคาดว่าบริษัทแถวนี้ใช้ประชุมใช้สัมมนาขนาดย่อมๆ เทียบกับโรงแรมบ้านเราที่อลังการกว่าไม่ได้ แต่ก้อสวยงามมากครับ พนักงานต้อนรับยังเป็นนักศึกษากันอยู่เลย ใจดี บริการดีมั่กๆ และภาษาอังกฤษดีมากมายครับ ใครที่บอกว่าคนยุโรปไม่พูดภาษาอังกฤษคงต้องคิดใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่เห็นว่าภาษานี้สำคัญมากที่จะต้องใช้สื่อสารกันเป็นภาษากลางของโลกนั่นเอง ห้องที่ดูไม่คับแคบมาก ห้องน้ำใหญ่และเรนชาวเวอร์น้ำแรงสุดๆ เหมือนอาบน้ำตกเลย พนักงานก้อบริการดีมากเลยครับ แต่ข้อเสียคืออาจจะลำบากหน่อยสำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถมาพัก แต่ก้อไม่ได้ยากมากมายเพราะไม่อยู่ไกลสถานีรถไฟมาก แต่ถ้ามาถึงกลางคืนก้อคงเปลี่ยวมาก เพราะตั้งอยู่ในตัวเมืองใหม่ย่านธุรกิจที่ดึกๆ หรือวันหยุดจะเงียบเชียบเลย และวิวที่เห็นจากหน้าต่างก้อมีแต่ตึกครับ แต่ผมก้อชอบมากที่สุดจริงๆ ครับ ไปเดินดูอะไรในเมืองดีกว่า


เอาล่ะครับพาไปดูโรงแรมที่พักทั้งสองแห่งพอสมควรแล้วไปเที่ยวในเมืองก้นเลยดีกว่าครับ โม้เยอะแล้ว พาไปเที่ยวนี่นา เอะอะอะไรหมอนี้ก็จะพาชมโรงแรมประจำ ฮะ ฮะ

เช้าวันทำงานตัวเมืองเก่าแม้จะมีคนอยู่พอสมควรแต่ส่วนใหญ่ก้อเป็นนักท่องเที่ยว ยิ่งเช้าๆ ยิ่งไม่ค่อยมีคนเท่าไร แต่พอสายๆ หน่อยก้อเยอะกันไปหมดทั้งคนซูริค ทั้งนักท่องเที่ยวเลยครับ สถานที่ชิลๆ ของคนซูริคก็คือแถวย่านสถานีรถไฟ เพราะเป็นตัวเมืองเก่าที่ผสมผสานกับแหล่งช๊อปปิ้งใหม่ๆ ถนนสายรถไฟ หรือบานฮอฟสรัตท์ (Banhhoffstrasse) ก็คือถนนสายช๊อปปิ้งสำคัญที่รากยาวจากหน้าสถานีรถไฟไปตัดกับถนน Quaibrucke คือถนนริมทะเลสาบซูริค ระยะทางสองกิโลเมตร แต่ร้านขายของเพียบและเป็นแหล่งที่สาวๆ น่าจะชอบ แต่อีกทีครับ ของแพงมากนะครับ ของที่น่าซื้อเห็นจะมีอย่างเดียวคือช๊อคโกแลต โดยเฉพาะยี่ห้อลาเดอแลชอันนี้ แนะนำเลยครับ คนไทยเข้าไปซื้อมากๆ ที่สุดเลยครับ ส่วนถ้าจะฝากท้องกันได้ตลอด 24 ชม. ก็ภายในสถานีรถไฟเลยครับ ปิดดึกมากและทั้งตัวสถานีเองนี่คือห้างสรรพสินค้าย่อมๆ เลยนะครับ มีร้านอาหารไทยแบบยืนกินด้วย แม่ครัวเป็นคนไทย บอกว่าเป็นคนไทย รับรองอาหารอร่อยครับ แก้เลี่ยนได้หลายวันเลยผม

จริงๆ หน้าสถานีรถไฟมีร้านหน้านั่งเยอะเลยครับ อากาศหนาวๆ ก็นี่เลย Starbuck ขอบอกว่าราคาแพงกว่าบ้านเรานิดหน่อยเอง และเหมือนเดิมผมสั่ง frappucino ไป ดูเหมือนคนที่นี่จะมองแปลกๆ ก็อากาศมันเย็นนี่เนอะ แต่ที่ Starbuck คนก็นั่งเต็มร้านเลย ในซูริคมี Starbuck อยู่สองสามสาขา สาขาหน้าสถานีว่าสวยแล้ว ลองไปดูที่หน้าโบสถ์ Grossmunster โบสถ์หอคอยคู่ครับ ร้านนั้นก็สวยครับ


เมืองสวยๆ ต่างๆ ในสวิสจะมีแม่น้ำเล็กๆ ไหลผ่านครับ ซึ่งจะมีน้ำตลอดทั้งปีเพราะได้จากการละลายของหิมะบนยอดเขาต่างๆ ของเทือกเขาแอลป์ แม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองซูริคคือแม่น้ำลิมมัท (Limmat) ที่จะไหลไปยังตัวทะเลสาบซูริคเลย ไปเดินเล่นชมเมืองที่ริมแม่น้ำกันครับ

ที่เห็นยอดแหลมๆ สีเขียวๆ นั้นคือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ครับ เป็นโบสถ์ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1230 และยังเป็นที่เก็บศพของเจ้าเมืองซูริคคนแรกอีกด้วย


เดินไม่นานก็มาถึงริมทะเลสาบซูริคครับ ที่นี่คนจะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเยอะมาก เพราะมีสวนสาธารณะตลอดริมทะเลสาบ และมีอาคารสถาปัตยกรรมสวยๆ โดยรอบอย่างโอเปร่าเฮาส์ก็อยู่ริมทะเลสาบนี้ครับ


แลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งหนึ่งก็คือหอคอยคู่ของโบสถ์ Grossmunster ที่จัตุรัส Zwingliplatz เป็นโบสถ์ทรงโรมันสร้างหลังเซนต์ปีเตอร์คือในปี 1519 ครับ

แม้จะเป็นเมืองที่ใหญ่ผู้คนพลุกพล่านแต่ก็ดูไม่อึดอัด ผู้คนมีระเบียบวินัย เมืองเขาสะอาดสะอ้านเอามาก แม้น้ำลิมมัทที่ไหลผ่านกลางเมืองก้อใสสีฟ้าสวยดีไม่มีวี่แววขยะเลย ซูริคจึงเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพชีวิตสูงติดอันดับโลกมาโดยตลอด ผู้คนที่ซูริคชอบชีวิตที่รื่นเริงจะเห็นได้จากทั้งผับบาร์ ร้านอาหารที่เปิดตลอดแม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ เป็นเมืองแห่งโอเปร่าและโรงละคร และเป็นเมืองที่มีความเป็นสากลสุดๆ จริงๆ

มหาวิทยาลัยซูริค หรือ Swiss Federal Institute of Technology เป็นจุดที่อยู่สูงที่สุดของเมืองซูริค ใครอยากชมทิวทัศน์ของเมืองก็ต้องขึ้นมาชมวิวบนนี้กันครับ ที่นี่ระบบขนส่งมวลชนดีมาก มีรถรางตลอดทั้งเมือง แม้แต่รถรางที่พาขึ้นเขาไปยังมหาวิทยาลับก้อมี และที่น่ารักคือรางนั้นเจาะกันกลางตึกขึ้นกันไปเลยล่ะ


ซูริคเป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคโรมันยังรุ่งเรือง แต่ดินแดนแถบนี้มีร่องรอยชุมชนเก่าแก่ไปจนถึงยุคสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะการค้นพบเมืองโบราณใต้ทะเลสาบซูริค ซูริคเข้าร่วมสหพันธรัฐในปีพุทธศักราช 1894 ร่วมสมัยสุโขทัยโน่นเลย แต่ต่อมาก้อถูกขับออกจากสหพันธรัฐในปีพ.ศ. 1963 เพราะไปทำสงครามกับรัฐเพื่อนบ้าน แต่สุดท้ายอีก 10 ปีต่อมาก็กลับเข้ามาเป็นสมาชิกสหพันธ์อีกเพราะไปแพ้สงครามซะงั้น จบรีวิวพาเที่ยวซูริคแล้วครับ สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของซูริคก็คือโบสถ์และอาคารต่างๆ ริมแม่น้ำลิมมัทอย่างโบสถ์หอคู่กรอสมุนส์เตอร์ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลย และฝั่งตรงข้ามก้อคือโบสถ์ฟอร์มมุนสเตอร์ที่มีภาพกระจกสีที่สวยมากๆ เลยทีเดียวครับ แต่ว่าเขาห้ามถ่ายรูปเลยอดเอามาให้ชมกันครับ travelbagstrory หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าถ้าจะมาชิลเอ้าท์ที่ซูริคสักวันจะมีอะไรให้ชมไหม จะได้ตัดสินใจได้ถูกนะครับ ขอบคุณครับ


www.facebook.com/thetravelbagstory

TravelTherapy

 วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 14.32 น.

ความคิดเห็น