พาไปเที่ยวมาหลายที่แม้จะไม่รอบโลกดี แต่ขอบอกว่าที่เมืองไทยก็มีหลายที่ที่สวยไม่แพ้ในต่างประเทศครับผมว่า ชาวต่างประเทศหลายคนถึงชอบมาเมืองไทย สำหรับคนไทยไปไหนก็ยิ่งง่ายด้วยครับ ขอให้มีรถหนึ่งคันก็แทบจะพาไปไหนๆ ในทุกที่ทั่วประเทศได้เลย แม้ว่าระบบรถไฟเราอาจจะเทียบกับยุโรป หรือญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ระบบถนนของเราเห็นอย่างนี้ก็เหอะ ของเราถือว่าระบบถนนของเรานั้นได้รับการจัดอันดับว่าดีที่สุดในเออีซีเลย ก็เลยคิดว่าวันนี้พาไปเที่ยวเมืองไทยกันสักหน่อย
วันก่อนมีข่าวว่าวัดศรีชุมเปิดอุโมงด้านหลังตัวพระในรอบ 30 ปี เพื่อให้ขึ้นไปถ่ายภาพด้านบน ซึ่งมักจะเป็นภาพคลาสิกของวัดศรีชุมเขาล่ะ ผมไปมาสองคร้งคงไม่ได้โอกาสนั้นอยู่แล้ว วันนี้ก็เลยเอาภาพที่ไปเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ไปเมื่อต้นปีที่แล้ว มาปัดฝุ่นพาเที่ยวกันใหม่ แถมคราวนี้ได้ไปเที่ยวโบราณสถานอีกสองสามแห่งนอกเขตกำแพงเมือง ซึ่งมีความสวยงามแปลกตาไม่แพ้กันด้วยครับ
ใครไปเที่ยวอุทบานประวัติศาสตร์สุโขทัยก็ต้องได้รับแจกแผนที่นี้ขึ้นมาเป็นลายแทงเลยครับ โดยซากโบราณสถานส่วนใหญ่ก็จะอยู่ภายในกำแพงที่เหมือนเป็นขอบเขตของเมืองโบราณนั้นแหล่ะครับ โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องเดินทางเข้าไปทางประตูทิศตะวันตก ซึ่งเป็นถนนสายตรงเชื่อมตรงไปยังตัวจังหวัดสุโขทัยนั้นเองครับ ก่อนไปเที่ยวเรามารู้จักข้อมูลเบื้องต้นของอุทยานกันก่อนนะครับ
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยครอบคลุมพื้นที่ที่เป็นเมืองสุโขทัย เมืองแห่งแรกในยุคประวัติศาสตร์ที่ถือว่าเป็นเมืองที่คนไทยสามารถรวบตัวเป็นราชอาณาจักรได้เมือ 700 กว่าปีก่อน ร่วมสมัยกับเมืองล้านนาเชียงใหม่และเมืองพะเยา ซึ่งสามารถแยกตัวเป็นอิสระจากอาณาจักรพระนครของกัมพูชา ปัจจัยการสถาปนาอาณาจักรใหม่ในแถบนี้ท่ามกลางมหาอำนาจทางตะวันตกคือ พม่าพุกาม ทางใต้คือมอญขอม และทางตะวันออกคืออาณาจักรอันนามของเวียดนามโบราณ โดยอยู่ตรงกลางระหว่างขั้วอำนาจทั้งสามได้ ก็เพราะมีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้นเป็นภัยคุกคามทางเหนือแก่สามอาณาจักร นั้นก็คือจักรวรรดิหยวน หรือจักรวรรดิมงโกลที่มีฮูบีเลี้ย หลานของจักรพรรดิเจงกิสข่านนั้นเองครับ หลังจากที่มองโกลยึดจักรวรรดิจินและซ่งใต้ ครอบครองทั้งแผ่นดินจีนแล้ว ก็ตราทัพเพื่อเตรียมยึดพม่าพุกาม และอันนานเวียดนาม รวมไปถึงจัมปาเขมรด้วย อาณาจักรของคนไทยตรงกลางก็เลยถือกำเนิดขึ้นมาตรงกลาง และยังดำเนินการทูตอย่างแยบยลในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์องค์ที่สามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสุโขทัย โดยการดำเนินนโยบายต่างประเทศชั้นเซียน ด้วยการสถาปนาเออีซ๊โบราณ เอ้ย ไม่ใช่สหพันธรัฐร่วมมือกันระหว่างล้านนาและพะเยา เพื่อต่อต้านการรุกรานของมองโกล เพราะสุโขทัยอยู่ตรงกลาง การส่งให้ล้านนาและพะเยาเป็นรัฐกันชนมองโกล ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่นั้นแหล่ะครับพันธมิตรสามรัฐเล็กๆ ก็รู้ดีว่า กองทัพเติร์กมองโกลนั้น พิชิตมาแล้วทั้งโลก มีเหรอรัฐเล็กๆ ทั้งสามจะคนามือ ขนาดจักรวรรดิพุกามพม่า ที่ในอดีตเคยรบชนะจีนครองยูนนานมาแล้ว ยังพ่ายย่อยยับต่อกองทัพมองโกล แล้วล้านนาตอนบนก็เสียให้กับมองโกลไปแล้ว อย่างสิบสองปันนา สามรัฐก็เลยเปลี่ยนนโยบายเป็นรัฐบรรณาการ ยอมรับความเป็นพี่เต้ยของมองโกลไปแทนจีน ก็เริ่มทำให้ดินแดนแถบนี้กลับมาเป็นดินแดนที่มีความสงบสุขและสันติภาพอันยาวนาน สมชื่ออาณาจักร "สุโขทัย" ความสุขสดชื่นยามรุ่งอรุณตอนเช้า ยังไงอย่างงั้นนั้นเองเลย
สุขสมชื่อครับกับเมืองสุโขทัย เมืองสโลว์ไลฟ์แต่ไม่ล้าสมัย จริงๆ ต้องไปเที่ยวคู่กับเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งนั้นเก่าแก่กว่าสุโขทัยเสียอีกครับ แล้วจะฉ่ำปอดไปกับบรรยากาศวินเทจของทั้งสองเมือง อย่างไรก็ดีวันนี้สุโขทัยเจริญเติบโตขึ้นมาก มีทั้งห้างสรรพสินค้า โรงหนัง แหล่งท่องเที่ยวยามราตรี แต่ส่วนใหญ่ของเมืองก็ยังรักษาความงามสงบได้อย่างดี หลังสักทุ่มหนึ่งก็เงียบแล้วครับ และย่ิงหน้าหนาวยิ่งมืดเร็วอีกด้วย ใครมาอยู่มาเที่ยวสุโขทัยคงต้องรักเมืองเล็กๆ โบราณนี้แน่นอน แต่นั้นแหล่ะครับ ถ้าเป็นหน้าร้อนร้อนมว่ากครับ สุโขทัยได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่ทำสถิติร้อนที่สุดในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และยิ่งหน้าฝนล่ะก็ เรื่องน้ำท่วมน่าจะเป็นเรื่องปกติของเมืองไปแล้วอีกด้วย ไปเที่ยวกันดีกว่านอกเรื่องมาตั้งเยอะ
จากวัดเชตุพน เราขับรถตรงเข้ากำแพงเมืองชั้นนอกที่ประตูนะโม ไปออกประตูอ้อทางทิศตะวันตก เพื่อไปดูโบราณสถานทางแถบนั้นกันบ้างครับ โดยจุดแรกที่เราจะผ่านก็คือวัดตึกครับ โบราณสถานวันดึกจะอยู่ในส่วนทางตะวันตกซึ่งเป็นด้านที่ติดกับเขาหลวง และเป็นส่วนที่เรียกได้ว่ามีความสูงที่สุดของเมืองสุโขทัยโบราณคือ คั้งอยู่บนเนินเขาครับ วัดนี้ไม่มีปรากฎหลักฐานหรือเอกสารใดๆ กล่าวถึงเลย เหลือไว้แต่เฉพาะมณฑปรูปปูนปั้นเป็นพุทธประวัติตอนเสด็จกลับจากดาวดึงส์ภายหลังขึ้นไปโปรดเทศนาแก่พระมารดาครับ
นอกเขตกำแพงเมืองยังมีโบราณสถานอีกมากมาย เรียกว่าถ้าแวะทุกจุดคงหมดไปเป็นวันเหมือนกัน อย่างหอเทวาลัย วัดป่ามะม่วง วัดตระพังช้างเผือก วัดมังกร วัดถ้า วัดช้างรอบ วัดอรัญญิก วัดเขาพระบาทน้อย แต่ละวัดดูจากแผนที่เหมือนติดๆ กัน แต่ก็ต้องเดินเข้าไปใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน แต่ชาวต่างชาติคงชอบเห็นปั่นจักรยานชมแต่ละจุด บางคนก็นั่งสเก็ตภาพความสุขเขาล่ะ แต่ผมรถอย่างเดียวครับ ร้อนจริงๆ
ที่ด้านตะวันตกนี้จะติดกับจังหวัดตาก มีไฮไลท์สำคัญแห่งหนึ่งที่เรียกว่าเรียกเหงื่อและกำลังขาได้อย่างดีเลยครับ เพราะต้องใต่เขาที่ชันเล็กน้อยขึ้นไป นั้นก็คือวัดสะพานหินครับ วัดตะพานหินหรือวัดสะพานหินอยู่ในเขตที่เรียกว่าอรัญวสี หรือ "วัดป่า" (วัดในเมืองเรียกวัดคามวสีครับ) อยู่บนเนินเขาสูง 200 เมตรโดยประมาณ ทางขึ้นวัดเราต้องใต่ไปทางเดินปูลาดด้วยหินชนวนระยะทางประมาณ 300 เมตรครับ
ลานวัดบนเขาจะมีเจดีย์ยอดทรงดอกบัวตูมขนาดเล็กๆ มีวิหารก่อด้วยศิลาแลงที่ผุพังไปหมด เปิดให้เห็นพระพุทธรูปปางประทานอภัย ซึ่งมีความงามไม่แพ้พระพุทธรูปในเมืองอย่างวัดมหาธาตุ เป็นไฮไลท์ของวัดนอกเขตเมืองกันเลยทีเดียว ท่านมีชื่อเรียกว่าพระอัฎฐารส เป็นพุทธศิลปกรรมแบบที่ได้มาจากศรีลังกา ซึ่นิยมสร้างพระพุทธรูปยืนที่มีความสูงมาก และเราจะเห็นได้มากมายที่สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ไปจนถึงพิษณุโลกเลยครับ พระอัฎฐารสสร้างตามคติลังกาที่ว่า พระพุทธองค์ทรงมีความสูงเท่ากับ 18ศอก วัดสะพานหินเชื่อกันว่าเป็นวัดที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทางช้างเผือกที่ชื่อ รูจาคีรี ขึ้นไปนบพระทุก15 ค่ำครับ ลองดูบรรยากาศจากลานวัดที่มองมายังเมืองสุโขทัยแล้วจินตนาการถึงเมืองสุโขทัยเมื่อ 700กว่าปีที่แล้วจะเป็นยังไงหนอ
จากนอกกำแพงเมืองตะวันตกขึ้นไปทางเหนือบ้างครับ ซึ่งจุดนี้จะเชื่อมต่อไปยังศรีสัชนาลัย เมืองโบราณอีกแห่งไปจนถึงลำปางเชียงใหม่ได้เลย ดังนั้นเส้นทางนี้จึงเป็นเส้นทางที่สำคัญมาตั้งแต่โบราณ และเป็นที่ตั้งของวัดศรีชุม อันเป็นไฮไลท์และเป็นภาพที่นิยมนำไปลงในนิตยสารการท่องเที่ยวต่างๆ ครับ
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่สรุปแล้วครับว่า มาจากคำว่าพื้นเมือง ศรีชุมแปลว่า ต้นโพธิ์ เพราะมีต้นโพธิ์อยู่รายล้อมวัด แต่สมัยอยุธยาไม่มีใครรู้คำนี้ จึงสันนิษฐานว่าเป็นวัดทีมีฤาษีชุมไป วัดศรีชุมสร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหงเพราะปรากฎชื่อพระประธานในมณฑปคือพระอจนะ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่โต มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เชื้อชวนนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมไม่ขาดสายทุกวัน โดยในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งบันทึกว่า "เบื้องตีนนอน (ทิศตะวันตก) ของเมืองสุโขทัยมีพระอจนะตั้งอยู่" โดยภายในพระมณฑปนั้นส่วนหลังคาได้พุพังกลางเป็นพระพุทธรูปนั่งอยู่กลางแจ้งไปแล้ว ริมผนังยังเห็นภาพสลักลายเส้นพุทธชาดกให้เห็นอยู่บ้างเลือนลาง ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานจิตรกรรมไทยที่เก่าแก่ที่สุด
แม้จะปล่อยให้พุพังลงไปตามกาลเวลา แต่วัดศรีชุมก็ไม่ใช่วัดร้างนะครับ มีคนมานมัสการมาตั้งแต่โบราณ อย่างประวัติที่เล่ากันต่อมาคือ เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะยกทัพไปตีเมืองเชลียง (สวรรคโลก) ซึ่งไม่ยอมเข้ากับไทยตอนที่พระองค์ประกาศอิสรภาพจากพม่า โดยได้ยกทัพมาชุมนุมที่วัดศรีชุมก่อนจะไปตีเมืองเชลียง แต่การรบครั้งนี้เป็นการรบกับไทยด้วยกันเอง ทหารเลยไม่มีกำลังใจจะรบเสียเท่าไร พระองค์เลยคิดอุบายให้ทหารคนหนึ่งปีนไปอยู่ด้านหลังองค์พระ และพูดให้กำลังใจแก่ทหาร กลายเป็นตำนานพระพูดได้แห่งวัดศรีชุมมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ส่วนพระอจนะที่เห็นในปัจจุบันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ในปี ๒๔๙๕ โดยมีท่านศาสตรจารย์ศิลป์ พีระศรี ชาวอิตาลีเป็นแม่งานใหญ่ พระพุทธรูปท่านถึงได้งดงามมาถึงทุกวันนี้ครับ วัดศรีชุมยังเป็นวัดที่มีการค้นพบศิลาจารึกหลักที่ ๒ ที่บรรยายประวัติวงศ์พระร่วง และราชวงศ์ผาเมือง และการตั้งเมืองสุโขทัย ซึ่งเท่ากับเป็นการล้มล้างทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ เป็นของปลอมด้วยครับ
ากวัดศรีชุมเราตรงเข้าไปในกำแพงเมืองที่ประตูศาลหลวง ไปจอดรถตรงอนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงแล้ว ออกเดินไปโบราณสถานอื่นๆ กันครับ ที่ใหญ่สุดในโซนนี้ก็คือวัดสระศรี ที่ตั้งอยู่กลางน้ำเลยครับ วัดสระศรีสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ตั้งอยู่กลางสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ชื่อตระพังตระกวน ที่วัดสระศรีมีเจดีย์ทรงลังกาซึ่งแสดงให้เห็นเป็นหลักฐานเด่นชัดว่า สุโขทัยได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนามาจากศรีลังกา (ในขณะเดียวกันที่ขอมมอญทางใต้เป็นพราหม์ฮินดู) อุโบสถอยู่กลางสระน้ำเป็นความเชื่อตามศาสนาพุทธ ที่ว่าน้ำเป็นสิ่งบริสุทธิ์กั้นเขตระหว่างพระสงฆ์กับฆราวาส เรียกว่า อุทกสิมาครับ
ตรงข้ามกับวัดตระพังเงินก็คือโบราณสถานที่สำคัญที่สุดที่อยู่กลางเมืองสุโขทัยโบราณ และอยู่ติดกับส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นพระราชวังโบราณด้วยครับ นั้นก็คือวัดมหาธาตุ โดยเป็นวัดที่อยู่ตรงกลางเมืองเป๊ะ เชื่อว่าสร้างขึ้นเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่สถาปนากรุงสุโขทัยกันเลย สร้างโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ภายในวัดประกอบด้วย กำแพงและคูน้ำรอบล้อม เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบินฑ์เช่นเดียวกันอันเป็นศิลปะแบบสุโขทัยบริสุทธิ์ โดยช่างสุโขทัยจริงๆ (เจดีย์ทรงนี้เราจะเห็นได้อีกแถวลำปาง ลำพูนด้วย) เป็นเจดีย์ที่ทรงสร้างโดยศิลปแบบนี้ นัยว่าเพื่อให้รู้ว่าได้ทรงให้เป็นอิสระจากแบบเขมร ให้เป็นราชธานีแห่งแรกของราชอาณาจักรไทย รอบเจดีย์มีพระปางค์รอบทั้ง ๔องค์ ที่ยังมีศิลปขอมเจือปน ปูนปั้นปแสดงพุทธประวัตตามคติศรีลังกา และมีเจดีย์ใหญ่น้อยรายล้อมอีกรวมแล้วมากถึง ๒๐๐องค์
เจดีย์ประธานขนาบข้างด้วยมณฑปสองหลังที่ประดิษฐ์พระอัฏฐารสแบบที่เห็นเช่นเดียวกับที่วัดสะพานหิน นอกกำแพงเมืองนั้นแหล่ะครับ ด้านหน้าเจดีย์ประธานมีวิหารหลวง ซึ่งศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวว่าเป็นที่ประดิษฐสถานของพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑อัญเชิญมาประดิษฐสถานที่วิหารหลวง วัดสุทัศน์เทพวราราม ที่กรุงเทพในปัจจุบันเองครับ ด้านทิศใต้ของเจดีย์ประธานยังมีเจดีย์ห้ายอดขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่บรรุอัฎฐิของพระมหาธรรมราชาลิไทด้วยครับ
ครับวันนี้ผมพามาเที่ยวพอให้หายร้อนบางหรือยังครับ จริงๆ แล้วในกำแพงเมืองยังมีโบราณสถานที่สวยงามอีกหลายแห่งเลยครับ แต่ของผมเที่ยวซะจนพลบค่ำแล้ว จริงๆ แล้วตอนกลางคืนที่นี้จะเปิดไฟถึงสามทุ่มให้ชมเลยนะครับ แต่วันที่ผมไปเป็นวันปีใหม่ สักหกโมงกว่าๆ ก็แทบจะไม่เหลือผู้คนแล้วครับ ดูเหมือนวันนั้นเป็นวันปีใหม่ เขาจะปิดเร็วกว่าปกติหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาไว้เพื่อนๆ ไปเที่ยวเองก็ได้ครับ ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไร ขับรถสัก ๗ ชั่วโมงก็ถืงแล้วครับ วันนี้เลยเอามาให้ชมเป็นตัวอย่างสำหรับเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวเองวันหลังครับ จริงๆ สุโขทัยไม่ได้มีที่เที่ยวแค่นี้นะครับ อย่างออกไปนอกเมืองจะเจอทะเลสาปขนาดใหญ่ที่เขาทำเป็นแก้มลิง ชื่อ ทุ่งทะเลหลวง มีเกาะรูปหัวใจอยู่กลางน้ำเป็นที่ตั้งพระพุทธรูปคู่เมืองอีกแห่งหนึ่งครับ หรือในตัวจังหวัดเองเพื่อนก็สามารถเขาไปแวะกราบแม่ย่า ที่ศาลพระแม่ย่าใจกลางเมือง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานดวงพระวิญญาณของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยมีเทวรูปพระแม่ย่าเป็นที่เคารพของชาวเมือง เพราะชื่อว่าพ่อขุนรามคำแหงทรงสร้างเพื่ออุทิศให้กับพระราชมารดาคือ นางเสือง ซึ่งแต่เดิมศาลพระแม่ย่าอยู่บนเขาพระแม่ย่าก่อนที่ชาวเมืองจะอัญเชิญมาที่ศาลใหม่ใจกลางเมืองครับ เช่นเดิมครับ
www.facebook.com/thetravelbagstory
TravelTherapy
วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.37 น.