ร้อยทั้งร้อยนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่ โรม ก็จะต้องเดินทางมาท่องเที่ยวที่สังฆรัฐวาติกันอยู่แล้ว จริงๆ อาจไม่ต้องพาเที่ยวก็ได้เพราะมีรีวิวเกี่ยวกับ วาติกัน อยู่มากมายเต็มเว็บบอร์ดต่างๆ ทั้ง readme ทั้ว pantip แต่ไหนๆ ผมมาเที่ยวโรมแล้วจะไม่เล่าว่าไปทำอะไรกันที่วาติกันก็เหมือนจะบอกเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวกันไม่ครบแหงมๆ
นครรัฐวาติกัน หรือสังฆรัฐวาติกันมีสถานะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เรียกว่า enclave โดยมีกำแพงรอบล้อมกั้นเป็นชายแดนระหว่างโรมและวาติกัน เป็นศูนย์กลางของคริสตจักรคาทอลิก พระสันตปะปาที่เป็นพระประมุขของคาทอลิกชนทั้งมวลจะทรงประทับอยู่ที่วาติกันนี่ พูดเล่าเป็นพิธีการไปยังงั้นล่ะครับ ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว ประเทศที่เล็กที่สุดในโลกแห่งนี้มีระบบคมนาคม สาธารณูปโภค เศรษฐกิจและแทบทุกสิ่งอย่างผูกติดไว้กับกรุงโรม ด้วยขนาดเพียง 0.44 ตารางกิโลเมตรเอง เขตสัมพันธวงศ์เขตที่เล็กที่สุดในกรุงเทพ ยังใหญ่กว่าวาติกันถึงสามเท่า หรือเอาง่ายๆ ครับ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพยังมีขนาด 0.55 ตารางกิโลเมตร คือใหญ่กว่าวาติกันด้วยซ้ำเลย แล้วประเทศเล็กๆ มีประชากรเพียง 871 คนนี้เขาเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร ก็ได้จากเงินบริจาคของคริสตังทั่วโลก การผลิตสแตมป์และรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นแหล่ะครับ
แล้ววาติกันมีอะไรให้เที่ยวมากมายหรือเปล่า จริงๆ แล้วคนที่มาวาติกันก็มีจุดหมายแค่สองที่ครับ ที่แรกคือทัวร์ต้องเอาไปปล่อยแน่ๆ คือพิพิทธภัณฑ์วาติกัน และโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ แต่โดยส่วนตัวผมว่าตัวพิพิทธภัณฑ์เองก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากหากเทียบกับลูฟร์ แต่ที่คนแห่ไปมากกว่าคือตัวโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ที่ชีวิตครั้งหนึ่งควรเข้าไปชมความศักดิ์สิทธิของโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ซึ่งผมแนะนำให้ไปโบสถ์ตอนเช้านะครับ ถ้าพลาดแบบผมไปพิพิทธภัณฑ์ก่อนตอนเช้า ออกมาแค่ 11 โมง คิวเข้าโบสถ์นี้ก็ยาวมากมายเลย อ้อ ทางเข้าพิพิทธภัณฑ์และโบสถ์นั้นเข้ากันละคนละทางนะครับ และ วาติกันไม่ใช่อิตาลี การเข้าออกวาติกันก็คือการเข้าออกอีกประเทศหนึ่ง ที่ต้องผ่าน ตม. และต้องโชว์พาสปอร์ต แต่เอาเข้าจริง ผมไม่เห็นมีการตรวจพาสปอร์ตเลย อาจเพราะจำนวนผู้คนที่เข้าออกวันละเป็นแสนๆ หากต้องตรวจกันจริงๆ คงมีตกค้างกันแน่นอน แต่กันเหนียวไว้ก่อนครับ เตรียมไปเหอะ สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือ พวกขายทัวร์ที่บอกว่ามีลัดคิวไม่ต้องต่อคิวเข้าไปในวาติกันเนี่ย พยายามเลี่ยงเลยนะครั ลัดคิวได้จริง แต่ต้องจ่ายหนักมาก รอคิวไปเหอะ ผมยืนรอชั่วโมงเดียวเองครับ ไปชมส่วนของพิพิทธภัณฑ์กันก่อนนะครับ
ของที่แสดงส่วนใหญ่ใน Vatican Museum ก็คือพวกศิลปกรรม จิตรกรรม ภาพวาดที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของวาติกันและประวัติศาสตร์คริสตศาสนา ตอนแรกก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่ถ้ามีเวลาค่อยๆ ดูๆ ไปในแต่ละห้อง ก็เริ่มจะน่าสนใจศึกษาครับว่าทำไมวาติกันประเทศเล็กๆ ถึงอยู่รอดจาดมหาอำนาจรอบข้างมาได้ถึงกว่าสองพันปี การเดินทางมา Vatican Museum สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A ปลายทาง Batistini และลงที่สถานี Otaaviano - S. Peitro - Musei Vatican แล้วเดินไปอีก 10 นาที ไปตรงที่ฝูงชนเดินกันไปนั้นละครับ ผมแนะนำให้ซื้อตั๋วจากโรงแรมไปก่อนได้ครับ น่าจะมีขายทุกโรงแรมเลย จะได้ไม่ต้องต่อคิวเข้านาน หรือไม่ก็จองออนไลน์ได้ครับ ราคา 4 ยูโรเท่านั้นเอง แล้วก็มาถึงจุดหมายที่เรามาวาติกันในรอบนี้คือเข้าไปนมัสการโบสถ์เซนต์ปิเตอร์ครับ ที่เห็นเป็นยอดโดมนั้นล่ะครับ แต่ทางเข้าอยู่คนละทางนะครับ
St. Peter's Basilica เป็นศูนย์กลางของคาทอลิกทั้วโลก เหมือนเมกกะ ไม่เพียงแต่ความศักดิ์สิทธิเท่านั้น ความสวยงามภายในและสถาปัตยกรรมภายนอกก็มีส่วนสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิหารแห่งนี้ด้วยครับ โดยตัวยอดโดมนั้นผู้ออกแบบก็คือศิลปินเอกอย่าง ไมเคิลแองเจลโล นั้นเองครับ ไปชมด้านในกันครับ
ความขลังและความอลังการของมหาวิหารทำเราติดอยู่ในนั้นนานถึง 4 ชั่วโมงแบบไม่รู้ตัว จนเลยเวลาไม่สามารถขึ้นไปชมยอดโดมได้ครับ เพราะปิดไปแล้ว ถ้าจะขึ้นโดมต้องมารวมตัากันก่อนที่ทางขึ้นก่อน 4 โมงเย็นครับ ก็เลยอด สุดท้ายแล้วพาไปดูบรรยากาศภายนอกมหาวิหารและพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของวาติกันบ้างครับ ขอบคุณครับ ส่วนรูปด้านล่างนี้คือทหารองครักษ์ที่มีประวัติศาสตร์ว่าเป็นทหารรับจ้างจากสวิส Swiss Guard กันมานานหลายศตวรรษแล้วครับ ใครดู Angel and Demon น่าจะจำได้
ขอบคุณครับ
www.facebook.com/thetravelbagstory
TravelTherapy
วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.22 น.