สำหรับตอนนี้จะพาไปเดินสูดกลิ่นลมหนาว อากาศเย็นสบายกันที่เมืองคุราชิกิครับ นั่งรถไฟสายซันโยเพียง 16 นาทีจากเมืองโอคายาม่า เราก็มาถึงเมืองคุราชิกิแล้วครับ อากาศกำลังเย็นสบาย แดดเปรี้ยงเลย ใส่เสื้อยืดตัวหนึ่งเดินได้ทั้งเมือง เหมือนทั้งเมืองติดแอร์ครับ เมืองคุราชิกิเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ในจังหวัดโอคายาม่าเหมือนกันครับ แลนด์มาร์กสำคัญก็คือคลองโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (สมัยเอโดะคือสมัยที่โชกุนผู้ทรงอำนาจใช้เมืองเอโดะหรือโตเกียวในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางทหารหรือการปกครอง ส่วนเกียวโตคือที่ประทับของพระจักรพรรดิครับ) ซึ่งคลองนี้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญเมื่อครั้งคุราชิกิเป็นศูนย์กลางค้าขายข้าวที่สำคัญของญี่ปุ่น ชื่อ คุราชิกิ เองก็แปลแบบหยาบๆ ได้ว่าเมืองแห่งยุ้งฉางครับ

การเดินทางมายังเมืองคุราชิกิก็ไม่ยากอย่างที่บอกครับ นั่งรถไฟเพียง 15-16 นาทีจากเมืองโอคายาม่ามาถึงสถานีคุราชิกิครับ แต่ตัวเมืองโบราณต้องเดินไปจากสถานีอีกประมาณ 10 นาทีครับ แต่ระหว่างทางเราสามารถเดินเข้าไปในย่านถนนคนเดิน ที่มีร้านค้าน่ารักๆ เยอะแยะมากมายเพลินๆ ได้อีกด้วยครับ


จริงๆ แล้วเป้าหมายของเราในวันนั้นไม่ได้จะหยุดแค่ที่เมืองคุราชิกิหรอกครับ ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นสักพักแล้วมุ่งไปที่เมืองโคจิม่า เมืองเล็กๆ ริมฝั่งทะเลที่เป็นสถานที่ผลิตยีนส์ยี่ห้อดังของญี่ปุ่นคือยีนส์โมโมทาโร่ แต่เอาเข้าจริงๆ แผนล่มทุกทีกลายเป็นมาอยู่ที่เมืองคุราชิกิกันถึงเย็นเลย รู้สึกตัวอีกทีก็สี่โมงกว่า ฟ้าจะมืดแล้วเลยไม่ได้ไปที่โคจิม่าเลย เพราะคุณแฟนดันหลงไหลบรรยากาศริมคลอง แล้วเผลอใจไปว่าเป็นเซโกะแห่ง Rising Sun ซะง้าน แต่จริงๆ ก็หลงด้วยล่ะครับ เดินไปเดินมาหาคลองไม่เจอดันไปทะลุถึงโรงแรม Ivy Square ตามแผนที่ข้างบน แล้วยังเดินจ้ำๆ ขึ้นเหนือไปอีก กลายเป็นแต่เจอบ้านคนเป็นหลังๆ โรงเรียนเอย สวนเอย สุดท้ายต้องเดินย้อนกลับมาเสียเวลาไปถึงครึ่งชั่วโมงเหมือนกันครับ


เมืองคุราชิกิในสมัยโบราณนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการค้าข้าว (แต่จริงๆ ก็เป็นศูนย์การค้าสินค้าอื่นๆ ด้วยครับ) จนถึงในช่วยปฏิรูปเมจิ เมืองคุราชิกิเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมทอผ้าไปอีกด้วยครับ (แปลกใจที่การปฏิรูปของญี่ปุ่นเมื่อร้อยปีก่อน ทำให้ความเจริญกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ในขณะที่ของไทยปฏิรูปมาพร้อมๆ กัน แต่ความเจริญกลับกระจุกตัวที่กรุงเทพ และนี่คืออีกหลักฐานสำคัญที่หลายคนเข้าใจผิดไปว่า สยามกับญี่ปุ่นในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นเจริญพอๆ กัน แต่ในความจริงแล้ว ต้องยอมรับครับว่าญี่ปุ่นเจริญกว่าเรามาก อย่างเมื่อร้อยปีที่แล้วก็มีอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อการส่งออกแล้ว จนมีรายได้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ของเรา และพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเรือ และการทหารจนรบชนะรัสเซียได้) และเป็นโชคที่เมืองคุราชิกิไม่ได้รับผลกระทบจากการปูพรมทิ้งระเบิดของอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นร้านค้าต่างๆ เป็นีร้านค้าที่มีอายุมาตั้งแต่ 2-300 ปีแล้วครับ


และก็เช่นเดียวกันกับที่โอคายาม่าครับ ที่คุราชิกิเองมีพิพิทธภัณฑ์เยอะมากเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางชิลๆ อย่าง toy museum ครับ อย่างอันนี้เป็นพิพิทธภัณฑ์ของผู้เขียนการ์ตูนเรื่องดังครับ คิทาโร่ แม้แต่การ์ตูนโบราณรุ่นคุณป้า (คุณป้าจริงๆ นะครับ แต่แกยังอ่านอยู่เลย เรื่อง จอร์จี้ หรือเรื่องแคนดี้ ชื่อ อิรางาชิ ยูเมโกะ อะไรประมาณนี้ล่ะครับ)


ปิดท้ายด้วยภาพสุดท้ายกับขนมแนะนำครับ คาคิเซนเบ้ หรือข้าวเกรียบหอยนางรมครับ อร่อยกรอบดีครับ ใครไปก็อย่าพลาดนะครับ ที่ร้านนี้ยังมีขายซุบหอยนางรมแบบชงสำเร็จด้วยครับ ขอบอกว่าหรอยมากครับ เอามาฝากที่บ้านไม่พอกันเลยทีเดียว ถึงขนาดบอกว่าคราวหน้าให้ไปที่คุราชิกิไปซื้อมาใหม่อีก เพราะมีขายที่นี่ที่เดียวเป็น OTOP เลยครับ อีกทีหนึ่งที่ขายซุบหอยนางรมอร่อยๆ ก็คือที่เซนไดครับ

ขอบคุณครับ

www.facebook.com/thetravelbagstory

ความคิดเห็น