สารภาพตามตรงเลยครับ อุตส่าห์เก็บเงินเที่ยวได้ ก็ต้องเลือกไปประเทศหนาวๆ ใช่ไหมครับ ก็บ้านเราออกจะร้อนเสียตั่บแต่กแบบนี้ ดังนั้นประเทศที่อยู่ใต้ประเทศไทยทั้งหลาย โดยเฉพาะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ไม่ว่าจะบาหลี ติมอร์ มัลดิฟ หรือที่ไหน อยู่ในแผนตอนบั้นปลายชีวิตเอาโน่นเลยครับ อยากไปประเทศหนาวๆ ก่อนจะได้กอดแฟนอุ่น ฮ่า ฮ่า แต่ในที่สุดก็มีเหตุต้องไปสิงคโปร์ ซึ่งกางแผนที่แล้วเป็นประเทศที่อยู่ใต้สุดเท่าที่เคยไปมาแล้วล่ะครับ

ก็เพราะมีเหตุต้องไปทำงานสามสี่วันครับ ก็เลยถือโอกาสหยุดเพิ่มบวกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วยไปสำรวจสิงคโปร์ที่มีคุณอเล็กเป็นทูตการท่องเที่ยวให้อยู่ เพราะสิงคโปร์กำลังพยายามบูมการท่องเที่ยวของตนเองอยู่ สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กที่เล็กกว่าภูเก็ตของเราเสียอีก ดังนั้นทุกมุมทุกจุดของสิงคโปร์ก็ต้องสร้างให้ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยครับ อยากจุดแรกเลยก็คือสนามบินชางงี สนามบินอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งสมราคาคุยครับ สุวรรณภูมิเรานี่ขี้เมี่ยงไปเลย เป็นสวรรค์ของการช๊อปปิ้งจริงๆ แบรนด์เนมเอย แม้ของเราจะมีไม่น้อยกว่ากัน แต่ผมว่าที่นั้นรุ่นใหม่ๆ มีมากกว่าของเราเยอะครับ

หลังจากปล้ำกับการสัมมนาครบสามวันแบบกว่างานจะเสร็จก้อแฮ่กแล้ว ตอนหัวค่ำก็ยังได้เที่ยวอยู่ครับ ต้องขอบคุณที่ระบบการคมนาคมของสิงคโปร์ดีมากมาย และราคาถูกด้วย แถมยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยระดับต้นๆ ดังนั้นกิจกรรมหลักๆ ยามเย็นของคนสิงคโปร์คืออะไรรู้ไหมครับ “คือการตามหาโปเกม่อน” นั้นเอง ผมไปไม่กี่วันถึงได้รู้ว่าคนประเทศนี้เก็บโปเกม่อนกันอย่างเอาเป็นเอาตายและแหล่งขุมทรัพย์ที่มีโปเกม่อนเยอะที่สุดก็คือ แถว Marina Bay ที่มีเจ้าสิงโต Merlion พ่นน้ำเป็นสัญลักษณ์และมีตึกสูงมากมาย จนกลายเป็น landmark สำคัญที่สุดของสิงคโปร์ไปเลย ใครไม่มานี้ถือว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์เลยนะเอ้า





ดังนั้นสถานที่แห่งแรกที่พาเที่ยวกันก็คือ ไปเดินเล่นออกกำลังยามหัวค่ำกันรอบๆ Marina Bay นี้ล่ะครับ ได้ดูแสงไฟประดับประดากับลมทะเลเย็นๆ ก็ถือว่าไหวอยู่นะ แม้จะร้อนไปหน่อย ที่มารีน่าเบย์หน้าโรงแรม Marina Bay Sand Resort เขาจัดให้มีการแสดงแสงสีเสียงทุกคืนเลยนะครับ นัยว่าจะแข่งกับฮ่องกง ก็ถือว่าโอเค แต่แพ้ฮ่องกงตรงที่อากาศไม่เย็นเท่านะสิ ความโรแมนติกมันไม่มา มีแต่เหงื่อกับเหงื่อจริงๆ ครับ

ไปไหนต่อล่ะ หมดมุกแล้วสิเรา ไม่หมดๆ สิงคโปร์แม้จะเล็กแต่ก็มีที่เที่ยวเยอะนะครับ ตอนเย็นๆ นี้เลย ไปหาอะไรกินแถวๆ China Town ดีกว่า ไปดูสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนี่ยลและหาอาหารอร่อยๆ กันก็ได้ครับ นั่งเมโทรไปลงสถานีชื่อเดียวกันเลย


ส่วนตัวถามว่า China Town สวยไหม ขอบอกเลยว่า มาก แต่ไม่มากเท่าบ้านเราครับ นอกจากหอยนางรมตัวใหญ่กว่าบ้านเราแล้ว ผมว่า China Town หรือหมู่ตึกชิโน่โปรตุกีสที่ภูเก็ตสวยงามกว่าจริงๆ นะครับ แถมฟันธงเลยว่า อาหารบ้านเราอร่อยกว่าเยอะมาก สิ่งที่สิงคโปร์ดูดีกว่าบ้านเรามากก็คือความสะอาดครับ ทุกมุมนี้สะอาดหมดจรดจริงๆ ส่วน China Town นี่เดินไปสักชั่วโมงก็หมดมุกแล้วครับ แม้ว่าจะมีพวก Street Food กับพวกร้านแผงลอยต่างๆ แต่ผมว่าเยาวราชและคลองถมของเรายังมีเสน่ห์มากกว่าเสียอีกครับ


บรรยากาศส่วนตัวผมว่าสิงคโปร์ก็คือเยาวราชเล็กๆ ประมาณนั้นครับ ความที่เป็นพหุสังคมเราก็จะเห็นศาสนาสถานของหลายๆ ศาสนาอยู่ปะปนกันไป โดยเฉพาะพุทธกับฮินดูและอิสลาม ที่เรียกว่าตั้งอยู่ติดๆ กันตั้งแต่ China Town เดินไปได้เรื่อยๆ จนถึง Little India และย่าน Katong เลยครับ ใช้เวลาสักสองสามชั่วโมงก็เดินไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมืองเขาได้เกือบหมดแล้วครับ อย่างวัด Sri Mariaman Temple ตั้งอยู่ใจกลาง China Town เลยครับ เป็นวัดแขกฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะสิงคโปร์เขาเลยละ รอบๆ ตัวอาคารของวัดทั้งภายในและภายนอก จะมีปะติมากรรมรูปปั้นและรูปแกะสลักลงสีสันสดใสของเทพเจ้า เทพธิดา และสัตว์ร้ายในเทพนิยาย

และนอกเหนือจาก พุทธ ฮินดู และอิสลามแล้ว ที่สิงคโปร์ก็ยังมีวัดเต๋าอยู่มากมายเช่นกันครับ เช่น วัดเจ้าแม่กวนอิน Kwan In Thong Hood Cho Temple หรือ วัดเซียนฮกเก่ง Thian Hock Keng Temple เป็นวัดที่มีความวิจิตรงดงามมาก และขึ้นชื่อได้ว่าเป็นวัดที่สวยที่สุดในสิงคโปร์ ความอัศจรรย์ใจอีกอย่างของวัดนี้ก็คือ โครงสร้างทั้งหมดของวัดถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว นอกจากนี้ยามคุณจะเดินเข้าภายในตัววัด จะต้องยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูซึ่งมีความสูงเป็นพิเศษ เชื่อกันว่าไว้ป้องกันภูตผีเข้ามาในวัด และเพื่อให้คนที่เข้ามาสักการะก้มหัวทำความเคารพก่อนเดินเข้าวัดเลยล่ะครับ



และไม่ไกลจากวัดแขกเท่าไร ก็เป็นที่ตั้งของวัดพระเขี้ยวแก้ว (Tooth Relic Buddha Temple) เป็นวัดจีนนิกายเซนที่ได้แบบศิลปสมัยราชวงศ์ถัง (แบบวัดเล่ง หรือวัดในญี่ปุ่น) ผสมศิลปะมันดาลา โดยเป็นที่รรจุพระสารีริกธาตุพระทนต์ของพระพุทธเจ้าไว้ในสถูปทองคำหนักกว่า 320 กิโลกรัม ที่ได้มาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา นอกจากนี้ภายในวัดก็ยังมีพิพิธภัณฑสถานทางพุทธศาสนาขนาดย่อม ให้ผู้มาสักการะได้ศึกษา และเยี่ยมชมอีกด้วยครับ


นอกจากวัดแขก วัดพุทธแล้ว อิสลามก็เป็นศาสนาดั้งเดิมของคนสิงคโปร์ครับ แม้ปัจจุบันสิงคโปร์จะไม่มีสุลต่านปกครองแล้วก็ตาม แต่ Sultan Mosque ก็ยังเป็นจุดศูนย์รวมของชาวมุสลิมในสิงคโปร์อยู่และตั้งอยู่ใจกลางประเทศเลยครับ



พาเที่ยวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลักๆ มาแล้ว อืม แล้วย่านวัยรุ่น หรือแหล่งท่องเที่ยวอย่างถนนข้าวสารของสิงคโปร์มีไหม คำตอบว่ามีสิครับ ย่านนี้เป็นย่านที่เสาร์อาทิตย์วัยรุ่นจะมารวมตัวกัน เพราะมีร้านนั่งชิลๆ และร้านศิลปะร่วมสมัยต่างๆ แม้แต่ร้านสัก ร้านยีนส์ ของแต่งบ้าน รวมตัวกันอยุ่บนตรอกแคบๆ ติดกับ Sultan Mosque นั้นล่ะครับ แถวๆ ถนนอาหรับ (Arub Street) เรียกว่าตรอกฮาจี (Haji Lane) ซึ่งนอกจากพวกผับ บาร์ ยังเป็นย่านวัยรุ่นชิลๆ มีร้านกาแฟ เบเกอรี่ ร้านขนม แฟชั่น ใครอยากไปเดินเที่ยวควรไปช่วงเย็นๆ ดีกว่าครับ ถึงจะเริ่มคึกคักกัน โดยมาลงที่สถานี Bugis แล้วเดินไปตามถนน Victoria Street ไม่ไกลก็ถึงแล้วครับ



แลนด์มารร์คอีกที่หนึ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์ภูมิใจมากคือ สวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติภายใต้ชื่อ Garden of the Bay ที่เก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ดอกที่สวยงามเอาไว้และในตอนเย็นยังเปิดแสงสีเสียงให้นักท่องเที่ยวได้สนใจเข้าไปชมด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ไปนะครับ เพราะเป็นภูมิแพ้ ก็เลยเก็บบรรยากาศรอบนอกมาให้ Garden of the Bay ตั้งอยู่อ่าวมาริน่าเช่นกันด้านหลังโรงแรม Marina Sand Beach นั่งเมโทรมาลงที่โรงแรมได้เลยครับ หาไม่ยาก หลังจากชม Garden of the Bay ก็ยังเข้าไปช๊อปปิ้งในส่วนห้างสรรพสินค้าได้ด้วย

หมดแล้วครับ สำหรับสิงคโปร์ เพราะเป็นประเทศเล็กๆ สถานที่ท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไรและบรรยากาศก็ไม่แตกต่างจากบ้านเราเท่าไรเลยครับ หากไม่นับจุดขายอย่าง Sentosa โรงถ่าย Univeral Studio หรือสวนนกจูล่งแล้ว และห้างสรรพสินค้าต่างๆ แล้ว สิงคโปร์เองก็ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวเท่าไร ส่วนคำตอบของคำถามว่า สิงคโปร์น่าเที่ยวหรือไม่นั้น ต้องลองมาดูเองและตอบคำถามด้วยตัวเองนะครับ

และหากมีใครเวลาให้ไปชมน้ำพุแห่งความมั่งคั่ง Fountain of Wealth ก็ดีครับ Fountain of Wealth หรือ “น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง” อันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งโชคลาภของประเทศสิงคโปร์ที่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศเล็กๆ แห่งนี้ต้องแวะมารับพลังน้ำแห่งความร่ำรวยเสมอไป โดยตั้งอยู่ที่ห้าง Suntec City นั่งเมโทรมาลงที่สถานี Esplanade แล้วเดินเข้าตัวห้างไปเลยครับ สังเกตหาป้ายน้ำพุด้วยครับ เพราะน้ำพุจะตั้งอยู่ตรงกลางห้างเลย ตัวน้ำพุสร้างเป็นรูปวงแหวนทองแดงมีขาเป็นฐานสี่ข้าง ออกแบบตามความเชื่อของศาสนาฮินดู (Hindu Mandala) เพื่อเป็นตัวแทนจักรวาล ความเท่าเทียมและการหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนสิงคโปร์ที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติ Fountain of Wealth ได้รับการบันทึกในกินเนสบุ้คเมื่อปี 1998 ว่าเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลก


ปิดท้ายด้วยรูปสถานีต่างๆ ของสิงคโปร์ยามค่ำคืนนะครับ ยังไงลองไปเที่ยวสักครั้งไม่ไปไม่รู้นะครับ เช่น ใครชอบท่องราตรีก็นี่เลยครับ Clark Quay ไปดู Singapore Night Life กัน ขอบคุณจาก www.facebook.com/theTravelBagStory ครับ




ความคิดเห็น