ที่บูดาเปสต์มีเรื่องเล่าและความทรงจำที่ดีมากมาย ตั้งแต่ก่อนมาเยือนจนได้ลาจากเลยครับ และกลายเป็นความผูกพันไปโดยเมื่อไรไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพแรกที่ผมได้เห็นเมืองนี้ริมแม่น้ำดานูบ มันทำให้จุดที่ผมไปเยือนเวียนนาและปร๊ากไม่พีกสุดอย่างที่ควรเป็น ทั้งที่ผมยอมรับว่าทั้งสามเมืองสวยไม่แพ้กันเลยสักเมือง


Budapest อาจจะเป็นเมืองที่เฉยๆ ในสายตาหลายคน แต่ในความชอบของผมอยู่ๆ ดีๆ เมื่อจบทริปแล้ว Budapest กลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งเฉยเลย ทั้งที่แนวของผมเป็นไปทางธรรมชาติอย่างที่หลายคนเดาทาง แม้ความสวยงามจะได้เต็มเท่ากับปร๊ากและเวียนนา อินส์บรูกและซัลซบร๊วก แต่ที่บูดาเปสต์ของผมเฉือนไปได้ทั้งความไม่พลุกพล่านของเมือง และที่สำคัญคือการเหนือความคาดหมาย จากการที่ผมตั้งไว้เป็นเมืองผ่านเพื่อให้ได้วีซ่าอย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นเมืองที่ผมอยากหยุดเวลาไว้ที่นั่นเอาเลย ก้อเลยขอใช้กระทู้นี้ถ่ายทอดความรู้สึกถึงเมืองนี้ผ่านมุมกล้องของผมนะครับ


บูดาเปสต์ ฮังการี อดีตประเทศสังคมนิยมจ๋าแบบรัสเซีย ไม่เหมือนกับเช็คที่ยังมีกลิ่นไอตะวันตกมากกว่า ประเทศชายขอบเชงเก้นตั้งแต่เรียนมากับวิชาการการเมืองระหว่างประเทศ ผมจดไว้ในลิสต์ว่าจะเป็นหนึ่งในยุโรปกลางที่จะไปเยือนแต่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก โดยเป้าหมายหลักสำคัญคือออสเตรียและเช็ค โดยเนื่องจากเครื่องต้องไป transist ที่อัมสเตอร์ดัมก่อนก็เลยขอไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์จักหน่อย แล้วก็มาถึงเวลาขอวีซ่าในอีกแค่สองสัปดาห์ก่อนเดินทาง แล้วปัญหาคือเช็คเต็มไม่มีคิว เนเธอร์แลนด์ก็ต้องผ่านตัวแทนใช้เวลานานอีก และออสเตรียก็มีกิติศัพท์ไม่สู้ดีนักเรื่องสถานทูต (ประสบการณ์จากพันทิปเอง) เอาไง เอาไงดี เยอรมันติดต่อไปก็ไม่รับปาก เอาฟระเสี่ยงกะฮังการีนี้แหล่ะ โดยเราต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางทั้งหมด แต่โชคดีเพียง 5 วันผลวีซ่าเราก้อออกแล้วเตรียมแพคกระเป๋าได้ แม้ว่าพี่ที่เคยไปแล้วบอกว่าบูดาเปสต์ ฮังการี ไม่มีอะไรหรอก ไปแก้แผนเหอะ ซึ่งเราก้อแก้แผนจริง แต่เพื่อเป็นการขอบคุณสถานทูตยังไงเราก้ออยู่ฮังการีนานที่สุดกว่าที่อื่น 1 วัน



และเมื่อเทียบกับยุโรปอื่นๆ ที่เราไปแล้ว ฮังการีประเทศชายขอบเชงเก้น เรายังไม่นึกคาดหวังอะไรมากครับ ใจไปถึงปร๊ากถึงเวียนนาถึงมิวนิคแล้ว และใจเราก้อแทบตกวูบเมื่อลงสนามบินเฟริไฮก์ (Ferihegy) คุณพระ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่เจริญเติบโตสูงที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปกลาง แต่มันคือดอนเมืองบ้านเรานี่เอง แล้วเมื่อต้องนั่ง Airport Bus ไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่่สุดคือ สถานีโคบานย่าคิสเปสต์ Kőbánya-Kispest ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แม้จะสะดวกสบาย แต่สถานีนี้อยู่ชานเมืองครับ ความแปลกตากับบรรยากาศกำแพงพังๆ ตึกโทรมๆ ถนน ซากรถถัง ซากเครื่องบิน อาคาร แฟลต ผู้คน ช่วงที่ผ่านไป เหมือนผมเดินทางย้อนเวลากลับไปยังยุคสงครามเย็นยังไงยังงั้นเลย (ดูจากหนังนะครับ) แต่เอาน่า ด้วยความที่ประเทศนี้มีรถไฟใต้ดินมาก่อนประเทศไทยหลายทศวรรษอยู่ การเดินทางในเมืองคงไม่ลำบากเท่าไร แม้สถานที่โคบานบ่าคิสเปสต์สภาพดูเหมือนผมกำลังเดินลงหลุมหลบภัย ยังไงอย่างนั้น แล้วผมก้อสะดุดตากับรถไฟใต้ดินของที่นี่ครับ

ตอนที่เราง่วนๆ อยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อหาทางออกไปสู่โรงแรมนั้น ก็มีแหม่มสาวตัวสูงเดินเข้ามาทักทาย ผมตั้งท่าจีบ เอ้ยตั้งท่าระวังอยู่ก่อนแล้วครับ ประเทศที่เป็นอดีตสังคมนิยมจะมีอะไรแปลกๆ ฟระ แต่เธอแนะนำตัวว่าเป็นนักศึกษา กำลังฝึกภาษาอังกฤษอยู่ และอาสาจะพาไปโรงแรมให้ขอดูแผนที่หน่อย สักพักเธอบอกว่าจะพาไป เราบอกไม่เป็นไร (ก้อกลัวอยู่อ่ะ) แต่เธอบอกว่าไม่ไกลหรอก แล้วเราก็ตามไปเพราะเธอสวย ไม่ใช่ใจดีต่างหาก ใจก็ลุ้น แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ว่าอยู่ใกล้มากนักหรอกนะครับ ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่พามาส่งแล้วเธอก็เดินกลับไปที่สถานทีอีก ความประทับใจมันเริ่มซึมมาแล้ว มันไม่เหมือนกับภาพที่บรรยายไว้ก่อนตรูมานี่นา เอ้า นอกเรื่องอีกแล้ว

ย่านเมืองเก่าก็เป็นเมืองมรดกโลกเหมือนกันนะครับ บูดาเปสต์ หลวงพระบางแห่งยุโรปกลาง แม้วันนี้จะพยามรักษาอัตลักษณ์แห่งชาวมายา (Magya) ไว้แต่ไหนเลยจะทานทนกระแสทุนนิยมได้ เมืองบูดาเปสต์เป็นเมืองเก่าแก่ร่วมสมัยเวียนนาและปร๊าก และยังเป็นเมืองที่ร่วมวัฒนธรรมกับเอเชียผ่านพวกเติร์กสายซงหนูที่จีนเรียกว่าฮวนนั้ง หรือคนเถื่อน ตั้งอยู่บนสองริมฝั่งแม่น้ำดานูบ ทำนองเดียวกันพระนครและธนบุรีครับ ฝั่งซ้ายตั้งอยู่บนทิวเขาตาบันกิลเลียตเฮก taban gellérthegy เรียกว่า บูดา และฝั่งตรงข้ามเป็นที่ราบลุ่มน้ำเรียกว่าเปสต์ ตอนนี้อยู่แถววอยช์มาร์ช (Voromasty) ประติมากรรมกลางแจ้งครับ สะท้อนความเป็นสังคมนิยมนะครับ


สะพาน Széchenyi lánchíd สะพานซีฮานยีลาดซิด (ภาษาแปลกๆ แบบเดียวกับพวกฟินน์ครับ หรือสะพาน Chain Bridge ที่เก่าแก่ที่สุดครับ มีรถรางแบบอนุรักษ์เลยครับวิ่งไปตามฝั่งแม่น้ำดานูบ รูปปั้นคิสกี้ไรยานี Kiskiralylany หรือ Little Princess วันนี้กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของบูดาเปสต์ไปแล้ว โดยมีฉากหลังคือพระราชวังบูดาเปสต์สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดอยูอีกฝั่งของแม่น้ำดานูบ

คนฮังกาเรียนไม่ได้เรียกตัวเองแบบยุโรปเรียก เรียกตัวเองว่าเป็นชาวมายา ประเทศชื่อ มายาโอสแซก Magyarország แม้จะเป็นยุโรปแต่ก็แปลกแยกไปจากยุโรปอื่นด้วยเขาไม่ได้พูดภาษาในตระกูลอินโด-ยูเรเปียน เหมือนชาวยุโรปทั่วไป แต่พูดในภาษาตระกูลฟินนิช-อรูกิชครับ ซึ่งไปใกล้เคียงกับภาษาในเอเชียกลาง ภาษาเติร์กกลุ่มอุยกูร์ (ในซินเจียงของจีนก็มี) ครับ

ชื่อ ฮังการีไม่มีใครทราบที่มาแต่ความเชื่อหนึ่งน่าจะมาจากคำว่า Huns หรือฮุน หรือฮวน ในภาษาจีน (ไม่ใช่ฮั่นนะครับ ) ที่แปลว่าคนป่าเถื่อน ต้นตระกูลชาวฮังการีอพยพมาจากเอเชียกลางภายหลังถูกพวกฮั่นขับไล่เมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว แล้วจึงเข้ามาอยู่ในแถบบัลแกเรียและฮังการีลุ่มน้ำดานูบในปัจจุบัน ชาวฮันส์ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คืือ Attila ผู้พิชิตกรุงโรมในศตวรรษที่ 5 ครับ และเมืองนี้ยังมีประวัติศาสตร์กับการรบกับมองโกลด้วยนา

มหาวิหารเซนต์อิชวานบาซิลิก้า zent István-bazilika หรือชาวยุโรปเรียก St.Stephen Basillica ซึ่งตั้งชื่อตามพระนามกษัตริย์องค์แรกของฮังการีเลยครับ ว่ากันว่าเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลางกันทีเดียว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้พาเข้าไปชมนะครับ (ที่นี่เข้าฟรีด้วยขอบอก แค่ยอดตังค์ทำบุญก็พอครับ)

บริเวณลุ่มน้ำดานูบที่เป็นที่ตั้งของบูดาเปสต์มีคนอยู่อาศัยมาก่อนที่พวกฮันส์จะเข้ามาแล้วครับ ย้อนหลังไปได้ถึงศตวรรษที่ ๑ โดยพวกเคล้ท หลังจากนั้นอีกร้อยปีต่อมาพวกโรมันก็เข้ามาครอบครองดินแดนบูดาเปสต์และก่อตั้งเมือง Aquincum ซึ่งเป็นปราการชายแดนตั้งรับชนเผ่าป่าเถื่อนจากคาร์พาเธียนครับ และกลายเป็นเมืองสำคัญในแคว้นแพนโนเนียล่างของโรมัน โดยเราจะยังเห็นสิ่งที่สืบทอดมาจากวัฒนธรรมโรมันอยู่ในบูดาเปสต์ไม่น้อยเหมือนกันครับ ทั้งถนน อาคาร และที่สำคัญคือ "สปา" ครับ เพราะที่บูดาเปสต์เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่สำคัญแห่งหนึ่งของโรมัน 700 กว่าปีต่อมาบูดาเปสต์ถูกเปลี่ยนมือจากโรมันไปเป็นของบัลแกเรียครับ จนกระทั่งพวกฮันส์ซึ่งเป็นเติร์กเผ่าหนึ่งได้เข้ามาสู่ดินแดนนี้และสถาปนาอาณาจักรของตนที่บูดาเปสต์ (ทั้งบัลแกเรียและฮังการีเป็นเติร์กเหมือนกันครับ) บูดาเปสต์จึงเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๐ แล้วครับ และบูดาเปสต์ก็ได้เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของยุโรปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับ

ด้วยความเป็นเหมือนชายขอบของยุโรปแล้ว จึงต้องตั้งรับการรุกรานจากทางเอเชียบ่อยครั้งทั้งจากมองโกล และจากพวกเติร์ก รวมไปถึงการแผ่อิทธิพลทั้งทางัฒนธรรมและการรุกรานจากยุโรปด้วยกันเองทั้งเยอรมันและออสเตรีย สถาปัตยกรรมและศิลปะของบูดาเปสต์จึงมีความผสมผสานของวัฒนธรรมเหล้านั้นด้วยครับ แต่ที่มากที่สุดของคงเป็นออสเตรียเพราะปกครองฮังการีร้อยกว่าปีในนามจักรวรรดิ์ออสเตรีย-ฮังการีครับ ฮังการีกับออสเตรียจึงไม่เป็นเพียงคู่รักคู่แค้น แต่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันด้วยครับ แม้จะมีความสัมพันธ์กับฉันท์เพื่อนบ้านที่ดี มีตึงเครียดบ้างช่วงสงครามเย็น แต่สองประเทศนี้ก็ส่งเสริมวัฒนธรรมการท่องเที่ยวซึงกันและกันบ่อยครั้งมากครับ


อาคารรัฐสภาที่เป็นเอกลักษณ์ครับ คู่กับมหาวิหารเซนต์สตีเฟน อาคารสองข้างฝั่งแม่น้ำแถวนี้มีกลิ่นไอยุคออสเตรีย-ฮังการีเยอะมาก คล้ายๆ กับที่เวียนนา และก็มีสถาปัตยกรรมของบุคคลสำคัญอยู่รายล้อมโดยรอบ

บูดาเปสตืฝั่งเปสต์จะเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางการเมืองครับ เมื่อกี้บิดาประชาธิปไตย คนนี้คือ อิแมร์ น้อยก์ (Imre Nagy) นักการเมืองแนวสังคมนิยม ไและได้เป็นผู้นำรัฐบาลถึงสองครั้งในช่วงที่ฮังการีเป็นคอมมิวนิสต์ แต่สุดท้ายก้อถูกประชาชนล้มล้างในการปฏิวัติปี 1956 ก่อนโซเวียตจะเข้ามาครอบงำฮังการีได้ทั้งประเทศครับ วันนี้ท่านก็ยังเหม่อมองไปที่รัฐสภาด้วยแนวคิดที่จะปฏิรูปประเทศแบบสังคมนิยมครับ แต่ฮังการีกลายเป็นทุนนิยมไปแล้วในวันนี้ ทั้งรูปปั้นและอาคารรอบบริเวณรัฐสภานี้เป็นมรดกโลกทั้งหมดเลยนะครับ อากาศเย็นมาจิบกาแฟร้อนๆ ที่นี้มองสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็ฟินดีครับ

บริเวณนี้เรียกว่า Freedom Sqaure ครับ มี Sovient Monument ตั้งตระหง่านอยู่ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในกลางเมือง ส่วนใหญ่จะถูกทำลายหรือไม่ก็เอาไว้ไปที่ Momento Park ครับ ตอนที่ผมไปก้อยังมีป้ายต่อต้านให้เอาออกไปทิ้งซะก้อมี ขนาดอันนี้ยังไม่ปรากฎในแผนที่ท่องเที่ยวเลยครับ แสดงว่าเกลียดมาก

เป้าหมายเราวันนี้จะไปปราสาทบูด้า และก้อเดินขึ้นเขากันไปหอบแฮ่กๆ เพื่อจะไปชมบริเวณเมืองบูด้ากันครับ จริงๆ แล้วมีรถเมล์ขึ้นไปถึงเลย โง่จริงเรา บรรยากาศจะครึ้มๆ เพราะฝนเพิ่งหยุดตกไปเองครับ แต่ดูศิลปะไปตลอดระหว่างทางก็สวยดีนะเออ buda hill ขึ้น bus 16 หรือ 16A จากมอสควาเต ใกล้ๆกับห้างแมมมอธ จะไปถึงบนเขาได้เลยค่ะ ไม่เกิน 15 นาที


เมืองโบราณบูด้าหน้าโบสถ์มาเธียอัสครับ ที่อยู่นี้คือชาวเมืองจริงๆ นะครับ มีอาคารสำนักงาน บ้านเรือน อยู่ติดกับปราสาทเลยด้วยซ้ำ และโรงแรมหรูฮิลตันก้ออยู่บนนี้ด้วยครับ รูปล่างสุดคือ Museum of Music History ครับ อยากเข้าไปเหมือนกันแต่ไม่มีเวลามากเท่าไรครับ บังเอิญถ่ายภาพนี้กับฉากหลังทึม รู้สึกยังกะบ้านผีสิง น่าส่งพี่ป๋องกพล ทองพลับเข้าไปจริงๆ เชียว



บรรยากาศของเมืองบูดาครับ วันนี้ฝนตกนักท่องเที่ยวบางตามากครับ และเราอยู่ส่วนท้ายวัง นักท่องเที่ยวจะออหน้าวังมากกว่าครับ ร้านผ้าปักลูกไม้สวยนะครับ แต่ผมว่าไม่ต่างจากเมืองไทยเท่าไร แต่นักช๊อปเค้าชอบมาก



เป้าหมายที่เราจะไปล่ะครับ Matthias churh หรือมาเธียวเทมปลอม Mátyás-templom ในภาษาฮังการี โบสถ์ก่อสร้างแบบทรงโรมันตั้งแต่ปี 1015 ก่อนสมัยสุโขทัยเสียอีก และก่อสร้างต่อเติมมาเรื่อยๆ ทั้งแบบโกธิค มุสลิม เดิมโบสถ์แห่งนี้มีชื่อว่า Church of Our Lady ครับ แต่มาเปลี่ยนชื่อตามพระนามของพระเจ้ามาธิอัสที่ทรงบูรณะโบสถ์แห่งนี้และก่อสร้างส่วนหลังโบสถ์เพิ่มเติมอีกด้วยครับ โบสถ์มาธิอัสยังใช้เป็นที่บรมราชาภิเษกของกษัตริย์หลายพระองค์แม้ในยุคที่ตกเป็นของออสเตรียด้วยครับ


เหมือนที่เวียนนาและปร๊าก Plague Monutment ระลึกถึงโรคกาฬโรคที่คร่าชีวิตคนยุโรปไปกว่าครึ่ง โดยชาวมองโกลที่เข้ามารุกรานยุโรปเป็นผู้นำเชื้อโรคนี้เข้ามาจากประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง



ในช่วงที่บูดาเปสต์ถูกปกครองโดยพวกเติร์กเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี สมบัติและศาสนวัตถุทั้งหลายถูกขนไปเก็บไว้ที่เมืองเพรสบรวก หรือบาติสลาว่าครับ และโบสถ์ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นสุเหร่าอีกด้วยครับ ดุจากที่ศิลปบนหลังคาก็ได้รับอิทธิพลจากอิสลามครับ


รูปปั้นของกอรเกย์ อาร์ถู หรือ görgői és toporczi Görgey Artúr ผู้นำทางการทหารคนสำคัญก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ของฮังการีครับ ผู้เกิดที่ฮังการี เรียนที่ปร๊าก ทำงานที่เวียนนาเป็นราชองครักษ์ อย่างไรก็ดีกอร์เกย์เข้าร่วมกับฝ่ายปฏิวัติต่อต้านราชวงศ์ฮัพบูรกของออสเตรีย ในการปลดออกฮังการีจากออสเตรีย (ก้อแหงล่ะท่านเป็นคนฮังการีนี่นา)


ด้านหลังคือ Várszínház วาสซินฮัส หมายถึง Palace Theatre ที่เข้าไปในนี่จะเป็นพิพิทธภัณฑ์สถานแห่งชาติกันแล้วล่ะครับ ซึ่งอยู่ติดกับพระราชวังบูด้า Buda Palace รวบรวมศิลปะตั้งแต่สมัยโรมันมาจนถึงชาวฮุน หรือฮวน (ในภาษาจีนคือพวกอนารยชน) สันนิษฐาณว่าคือชาวซงหนู โดยราชวงศ์ฮั่นของจีนไล่ออกมาจากเอเชียกลาง สุดท้ายก็มาผงาดที่ยุโรป นำโดยอัลติตา ผู้โค่นล้มจักรวรรดิโรมันตะวันตกนั้นเอง



ตรงนี้คือ Matthias Fountain ครับ องค์บนสุดก้อคือพระเจ้ามาธิอัส



หน้าปราสาทบูดา มีรูปปั้นทรงม้าของเจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย ปราสาทบูดาเดิมหน้าตาไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกครับ เพราะสร้างบนวังเก่าที่มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าบีลา ที่4 ตั้งแต่ปี 1247 และเริ่มสร้างต่อเติมมาตลอดเช่นในสมัยดยุคแห่งสลาโวเนีย (คนละที่กะสโลวีเนียนะครับ เป็นดินแดนของพวกสลาฟอยู่ทางตะวันออกของโครเอเชีย) ในสมัยพระเจ้าซิกิสมัน ลักเซมเบิร์ก ได้ก่อสร้างเพิ่มเติมจนปราสาทบูดาได้ชื่อว่าเป็นปราสามทรงโกธิคที่ใหญ่ที่สุดในยุคกลางกันเลยทีเดียว และกลายเป็นศูนย์กลางสถาปัตยกรรมแบบโกธิคของโลกยุคนั้นอีกด้วยครับ ปราสาทบูดามาต่อเติมอีกครั้งในสมัยพระเจ้ามัทธีอัสนี่เอง ซึ่งเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการแล้ว ปราสาทจึงมีลักษณะแบบละตินอีกด้วยครับ

ปราสาทบูดาถูกปล่อยร้างในช่วงที่พวกเติร์กออตโตมันปกครองดินแดนนี้ครับ ทำให้พุพังลงมากตามกาลเวลา ยิ่งตอนเกิดสงตรามโดยพวกคริสเตียนขับไล่เติร์กออกไปในช่วงปี 1688 ปราสาทได้รับความเสียหายจากสงครามอย่างมากครับ ทั้งโดนระเบิดและไฟใหม้ ในปี 1714 พระเจ้าชาลส์ที่สามรับสั่งให้ทำลายปราสาทที่พุพังทิ้ง แต่โชคดีที่ส่วนใหญ่ถูกฝังไว้ใต้ดินก่อนหน้านั้น กว่าจะฟื้นฟูอีกครั้งก็ในปี 1748 มาแล้วครับ และกลายเป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์จากออสเตรียหลายพระองค์ แต่ตัวปราสาทเองก็ได้รับความเสียหายอีกหลายครั้งทั้งจากผลของสงครามปลดแอกฮังการี จนกระทั้งไ้ดรับการบูรณะให้สมกับเป็นสมบัติของชาติจริงๆ ก็อีกกว่าร้อยปีต่อมาครับ



ภาพมุมสูงของสะพาน Chain Bridge สะพานที่เก่าแก่ที่สุดที่ว่าเชื่อมโลกตะวันตก (ยุโรป) กับตะวันออก (เติร์ก) เข้าด้วยกันครับ ตรงข้ามนั้นเป็น Concert Hall ครับ


พาไปเที่ยวที่อื่นกันต่อครับ พระเจ้ามัทธีอัสนี่น่าจะเป็นมหาราชที่ประชาชนรักมากนะครับ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะกษัตริย์องค์สุดท้ายของฮังการีจริงๆ คือ พระจ้าจอห์นที่ 2 ในปี 1570 ก่อนที่ฮังการีจะถูกปกครองโดยชาวต่างชาติมาตลอดเกือบห้าร้อยปีแล้ว ดังนั้นความผูกพันกับระบบกษัตริย์คงน้อย จะมีก็แต่ตอนที่พระนาง Sissi มาประทับที่บูดาเปสต์นี่เอง ที่เขาบอกกันว่าคนฮังการีรักพระนางมากกว่าคนออสเตรียเสียอีก


อีกมุมหนึ่งไม่ไกลจาก Buda Hill จะไปปีนเขาอีกลูกครับชื่อ Gellerthegy ซึ่งก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ยุโรปเหมือนกัน รูปปั้นเทพีเสรีภาพแบบฮังการีที่ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของบูดาเปสต์แล้ว ในอดีตเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพราะสามารถเห็นเมืองบูดาเปสต์ได้ทั้งเมืองเลยครับ และเคยเป็นที่ตั้งมั่นของฮังการีในการรบกับมองโกลในศตวรรษที่ 13 ครับ ซึ่งผลคือมองโกลไม่สามารถเอาชนะฮังการีได้ ยันกันไปมานาน จนจักรพรรดิเจงกิสช่านสวรรคต มองโกลจึงยกทัพกลับ สร้างความผ่อนคลายให้ยุโรปไปเลย เพราะถ้ามองโกลหลุดจากบูดาเปสต์แล้วเป้าหมายต่อมาก็ถึงเวียนนา ถึงเป็นศูนย์กลางของยุโรปในยุคนั้นเลยครับ มาถึงตรงนี้นั่งรถสาย 23 ก็ถึงนะครับ แต่เราเดินอีกแล้ว จากยอดเขาเราจะมองเห็นสะพานซาเบ็ดแฉก Szabadság หรือสะพานแห่งเสรีภาพครับ



ไปฝั่งบูดาแล้วกลับมาเที่ยวฝั่งเปสต์กันอีกทีครับ กับมหาวิหารเซนต์สตีเฟนครับ มหาวิหารสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมศัทราของโรมันคาธอลิก ซึ่งตั้งชื่อตามปฐมบรมกษัตริย์ของฮังการีพระเจ้าสตีเฟนครับ และยังเป็นที่บรรจุพระหัตถ์ขวาของพระองค์ด้วย (ผมไม่กล้าถ่ายรูปมาอ่ะครับ เป็นมัมมี่พระหัตถ์จริงๆ)






มรดกโลกอีกแห่งของบูดาเปสต์ก็คือ ถนน Andrassy วันนั้นมีขบวนรถของพวกอียูเยอะมากมีปิดถนนด้วย ถนนสายนี้เป็นถนนช๊อปปิ้งมาตั้งแต่โบราณเลยครับ ถนนสายนี้เป็นที่ตั้งของ Hungarian State Opera Theatre ครับ แต่ถนนสายนี้กลับปรากฎว่าพลุกพล่านกว่าแหล่งท่องเที่ยวเสียอีก เพราะมีแต่ของหรูๆ เต็มไปหมดเลย


อีกหนึ่งแลนด์มาร์คครับ Heroes' Sqaure หรือจตุรัสวีรชนครับ อยู่สุดถนนสายข๊อปปิ้งนี้เลย แหล่งรวมสังสรรค์ของวีรชนทั้งหลายกันเลยทีเดียว Heroes' Square หรือโฮซอกเตเร่ Hősök tere ตั้งอยู่สุดถนน Andrassy ครับ ก่อสร้างในปี 1896 หรือราวสมัยรัชกาลที่ 5 ครับ เพื่อเฉลิมฉลองที่ประเทศฮังการีครบพันปีครับ ตรงกลางคืออนุสาวรีย์พันปี หรือ Millennium Monument ครับ ซึ่งทั้งจตุรัสวีรชนรวมกับถนนแอนเดรสซีก็ได้รับการบรรจุเป็นมรดกโลกเมื่อ 10 ปีที่แล้วครับ ฮีโร่กษัตริย์ในตำนาน เร่ิมจากจูมง ม่ายช่าย มีพระเจ้าเซนต์สตีเฟน ปฐมบรมกษัตริย์ พระเจ้าคาลมาน คอนเยส ที่สามารถขยายอาณาเขตไปถึงโครเอเชียและดัลเมเธีย พระเจ้าอันดราสที่สอง ซึ่งทรงเข้าร่วมสงครามครูเสด พระเข้าเบลาที่สี่ซึ่งทรงฟื้นฟูประเทศจากการรุกรานของมองโกล พระจ้าชาร์ลส์ โรเบิร์ต มหาราชในช่วงแรกของศตวรรษที่ 18 พระเจ้ามัทธีอัส ผู้นำแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ นอกเหนือจากบรรดากษัตริย์แล้ว ฮีโร่ทั้งหลายได้แก่ อิสวาน บอคไค ผู้ปลดแอกแคว้นทราสซิลวาเนียจากออสเตรีย เจ้าชายกาโบร์ เบทเลน อิมเม โตกลอย และฟีแรง ราโกซี่ ผู้นำการต่อต้านออสเตรีย และโคซุสบิดาแห่งการปฏิวัติที่เล่าเรื่องของท่านไปแล้วครับ (เอ่อ มาทัวร์หรือมาเรียนประวัติศาสตร์กันเนี่ย) ส่วนรูปบนรถม้าเห็นว่าแทนชนเผ่าฮังการีโบราณ ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวกซงหนูเพราะพวกนี้คิดรถเหล็กประเภทนี้ได้ก่อนคนอื่นเลย ใครอ่านสามก๊กจะรู้จักเผ่าเชียงที่ยันกันกับม้าเฉียวก็คือลูกหลานของพวกนี้เลยครับ





ที่เที่ยวสุดท้ายแล้ว Vajdahunyad Castle เลย Heroes' Square ไปจิ๊ดเดียวเอง เห็นว่าจำลองแบบบางส่วนมาจากปราสาทของท่านเคาน์แดร๊กคูล่าในทรานซิลวาเนียครับ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทางการเกษตรครับ





จบแล้วล่ะครับ นับว่าเป็นอีกหนึ่งรีวิวที่มาราธอนและยาวมากๆ เพราะบูดาเปสต์เป็นเมืองใหญ่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวกระจายไปทั้งเมืองเลย และเป็นเมืองนอกกระแสเพราะส่วนใหญ่เวลาทัวร์พาไปอย่างเต็มที่ก็คือปราสาทบูด้ากับจัตุรัสวีรชน วันนี้ก็เลยถือโอกาสพาไปเดินเล่นทั้งเมืองแทนนะครับ ขอบคุณมากครับที่ติดตามชมครับ www.facebook.com/theTravelBagStory ขอบคุณครับ


TravelTherapy

 วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 01.53 น.

ความคิดเห็น