“ น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยพันธุ์ดี อัญมณีมากเหลือ เสื่อจันทบูร สมบูรณ์ธรรมชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมญาติกู้ชาติที่จันทบุรี “
สวัสดีครับ ...วันนี้ TummengTravelกลับมาพบ ทุกท่าน อีกครั้ง แล้ว ครับวันนี้ได้โอกาส พาทุกท่านไป เที่ยว จังหวัด จันทบุรี
ซึ่งเป็น 1 ใน 12 จังหวัด ที่ได้รับเลือกให้เป็น เมืองต้องห้ามพลาด ......
แล้ว จันทบุรี นี่ มันมีดี อะไร ต้องบอกเลยว่า หลังจาก ไปมาแล้ว ทำให้ผมหลงรักจังหวัดนี้ เลยละครับ
ดังนั้น จันทบุรี จะมีดี อะไรยังไง ลองไปติดตามดูครับ กับ" จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธ์ผลไม้ "
เช่นเดิมครับขอบคุณทุกกำลังใจ จากทุกทาง ที่สามารถติดตามผลงานของผมนะครับ
===================================
#Tummengtavel #แบกเป้เท่ห์ทั่วโลก
IG : tumengtravel
Web : tummengtravel.com
email: [email protected]
เพจ :
https://www.facebook.com/TummengMagazine
===================================
The Amazing Journey: Blogging Contest
ก่อนจะพาไปเที่ยวก็ขอแนะนำโครงการ The Amazing Journey: Blogging Contest ซักนิดนึงครับ
โครงการนี้เป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับ เว็บ www.ttbn.co
ซึ่งเป็นเครือข่ายการรวมตัวกันของ Blogger ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยครับ
โดยมีผู้สนับสนุนการเดินทางหลักๆในครั้งนี้คือ สายการบินนกแอร์ และ บริษัทเช่ารถไทยเร้นท์อะคาร์ ครับ
โครงการนี้ทาง ททท. เป็นผู้คัดเลือก 12 Bloggers เป็นตัวหลัก
เพื่อเดินทางไปยัง 12 เมืองต้องห้าม...พลาด
อันได้แก่ ลำปาง น่าน เลย บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ ตราด
จันทบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช
ซึ่ง ผมตั้ม ในนามของ TummengTravel / แบกเป้เท่ห์ทั่วโลก
ได้รับเลือกให้ร่วมทีม
และจับฉลากได้เดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้ครับ
โดยร่วมทีมกับ Blogger อีกสองท่านคือ
คุณอู๋ หมอยา พาเที่ยว และคุณเอ๋อ้อย Travel Planet Xperiences ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมครับ
โดยเพื่อนๆสามารถติดตามกระทู้รีวิวจันทบุรี และสกู๊ปเรื่องราวต่างๆทั้งหมดของทีมผม (T01) ได้ที่
http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T01
ผมเดินทางจาก เชียงราย ด้วยสายการบิน นกแอร์ มาถึง กทมช่วงสายๆ ครับ
แล้วก็เดินไปรับรับรถเช่า ของไทยเร้นท์อะคาร์ ซึ่งทริปนี้ จะเป็น พาหนะ ของผมและเพื่อนตลอดทริปนี้ครับ
ซึ่งรถที่ได้เป็นรถแบบ อีโค่ ครับ เพราะ จาก กทม ไป จันทบุรี นั้นขับสบายๆ ทางไม่ยากเลยครับ ใช้อีโคคาร์ ก็ทำให้ ประหยัดน้ำมันไปเยอะเลยครับ
เมื่อรับรถเรียบร้อยก็ออกเดินทาง ไปจันทบุรี กันเลยครับ
ระยะทาง จากกทมไป จันทบุรี ประมาณ 190 Kmครับใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงสี่ชั่วโมง ครับ
จะเริ่มรู้สึกได้ ว่าเข้าเขตจันทบุรี แล้ว ก็คือ จะเริ่มเห็น รถกะบะ ขนส่งผลไม้ วิ่งกันขวักไขว่
ก่อนจะมา จันทบุรี ผมลองหาข้อมูลที่พัก ในเมือง ก็ได้ข้อมูล ว่า ควรไปพักที่ โรงแรมเจมส์คลับซึ่งเป็น โรงแรมเก่าแก่ ของจันทบุรี เพื่อที่จะได้เก็บภาพ โบสถ์และต้อง นอนชั้น 5 หรือ 6 โดยเฉพาะ ห้อง 505 506605 606ก็เลยโทรมาจอง ปรากฏว่า ทาง โรงแรมไม่รับจองครับ แต่ก็บอกว่าสามารถ walk in เข้าไปได้ ผมก็เลย เสี่ยง walk in เข้าไป ปรากฏว่าได้ ห้องจริงๆ ครับ ก็ได้ภาพนี้มาครับ
หลังจาก ได้ห้องพัก เก็บ สัมภาระ แล้ว ก็ออกไปเดินเล่นที่ ชุมชนริมน้ำจันทรบูร
ชุมชนริมน้ำจันทบูร เป็นชุมชนริมน้ำเก่าแก่กว่า 300 ปีระยะทางเดินดูวิถีชีวติที่ชุมชนริมน้ำจันทบูร ประมาณ 1 กิโลเมตร โดยตลอดทาง
บริเวณนี้มีบ้านเรือนเก่า โบสถ์คริสต์ วัด ศาลเจ้าจีน ตลาดพลอด ร้านขายอาหาร ขนมไทยแบบดั้งเดิม ซึ่งนับวันจะหาชมได้ยาก
โดยครั้งหนึ่งที่ชุมชนริมน้ำจันทบูร แห่งนี้เคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ทำให้บ้านเรือนเก่าๆ เสียหายไปบางส่วน ปัจจุบันจะกลายเป็นตึกสมัยใหม่ไปแล้ว
ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างบ้านเรือนแบบเก่า และบ้านเรือนแบบใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวมาก
ชุมชนแห่งนี้ เป็นทำเลทองของเมืองท่าการค้า และความรุ่งเรือง ยังคงสืบเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์
โดยเฉพาะช่วงรัชกาลที่ 3 จนถึง รัชกาลที่ 5 ถือเป็นยุครุ่งเรืองสูงสุดของเมืองจันทบูร
ริมฝั่งแม่น้ำจันทบุรี บนถนนสุขาภิบาล ที่เดิมมีชื่อว่า "ถนนเลียบนที" ถนนสายแรกของจังหวัด ที่มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ทั้งสองฟากฝั่งถนน เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนไม้เก่าแก่ ที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
ด้วยสิ่งก่อสร้างที่มีลวดลายการแกะสลักต่างกัน แต่ผสมผสานวัฒนธรรมแบบตะวันตก จีน ญวนและไทยเข้าไว้ด้วยกัน
สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอดีตย่านการค้าอันรุ่งเรือง และความคิดสร้างสรรค์ของช่างในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี
ตึกนี้มีประวัติ คือ ใช้ถ่ายโฆษณา ดูดู๊ดู ดูเธอทำ นะครับ
ขนมไข่ป้าไต้ ก็เป็นอีกหนึ่ง ของกินเล่น ที่ทุกคนต้องมาลองชิม ครับ ยิ่งกินตอนร้อนๆออกมาจากเตานี่อร่อยมากๆ ครับ กรอบนอกนุ่มใน หอมหวาน จริงๆ
เดินจนเมื่อยก็เลย หาร้านนั่งกิน ชิลล์ ตรงริมแม่น้ำ นี่แหละ ครับ ชื่อ ร้าน หวานคำนึงดูจะเป็นร้านที่ ตกแต่งโดดเด่น กว่าร้านอื่น ในบริเวณนั้น
ผมและเพื่อนจึงเลือกที่จะแวะไป นั่งชมบรรยากาศ ยามเย็นของ ชุมชนจันทบูร ครับ
บรรยากาศ ยามเย็น ของชุมชนริมแม่น้ำแห่งนี้ ดูเงียบสงบ ไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก อาจจะมีรถรา วิ่งกันมากมายบ้างเพราะ ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยจริงๆ ของคนจันทบุรี
นั่งได้สักพักก็ถึงเวลาที่จะเดินไปเก็บแสง ทไวไลท์ กับแลนด์มาร์ค สำคัญ หนึ่งแห่ง ของจันทบุรี ครับ นั่นคือ
โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล..(โบสถ์คริสต์เมืองจันทร์)
โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล หรือ โบสถ์คริสต์เมืองจันทร์ เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกหนึ่งเดียวในอำเภอเมืองจันทบุรี
มีความสวยงามมาก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็มีความสวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์
ภายในตกแต่งด้วยกระจกสีที่มีความสวยงามมาก ด้านหน้าโบสถ์เป็นรูปปั้นพระแม่มารี
โบสถ์คาทอลิตแห่งนี้นับเป็น โบสถ์ขนาดใหญ่ที่มีความเก่าแก่ที่อยู่คู่กับชาวจันทบุรี มามากว่าศตวรรษ
และมีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ
ผู้ที่สนใจสามารถไปเที่ยวชมโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00-07.00 น. และ 18.00-19.45 น.
สำหรับผู้ที่จะเข้าไปภายในโบสถ์ควรแต่งกายให้สุภาพ และเหมาะสม ด้วยนะครับ
ช่วงเย็นๆ หากพักอยู่ในเมือง ต้องไม่พลาดที่จะมา ถ่ายรูปที่นี่ เพราะ ถือว่าเป็น หนึ่ง ใน โบสถ์ ที่สวยสุดๆ ของประเทศไทย เราเลยนะครับ
แต่โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ที่วันที่ผมไป ฟ้าค่อนข้างจะครึ้มเมฆฝน
หลังจากนั่นผมก็ ไปเก็บ บรรยากาศ ชุมชน ริมน้ำจันทบูร ยามค่ำคืน พร้อมกับ อาอะไรกิน ที่ ตลาด โต้รุ่ง กลางเมือง ครับ
จากคำแนะนำ ของคนท้องถิ่น บอกว่า ให้ลองไปกินผัดไท ป้าองุ่นดู แถวนั้น คนกินกันเยอะก็ไม่พลาด ที่จะลองดู ครับ
หน้าตา ก็น่ากินดี ครับรสชาติ ก็โอเค อยู่นะครับสำหรับ ร้านที่เป็นรถเข็นแบบนี้
และผมก็ได้ ทดลอง อาหารพื้นถิ่นอีกหนึ่งอย่างก็คือ ข้าวพริกเกลือ ครับเป้นอาหารที่ คน จันทบุรี และ ตราด ชอบกินครับ
รสชาติ คล้ายๆ ข้าวมันไก่ ราดด้วยซอสน้ำจิ้มซีฟู๊ดส์ออกรส เค็มๆ เปรี๊ยว ครับใครผ่านมา ลองหาชิมดูได้ ครับ
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ กลับโรงแรมที่พักครับ ที่ Gems Club hotel ก่อนนอนก็ เก็บภาพ โบสถ์ อีกครั้งให้สมกับการที่ จองยากเย็นแสนเข็น ครับ 555
เช้าวันที่สอง ผมตื่นแต่เช้า โดยหวังว่าจะ ได้มีโอกาส เก็บแสงเช้า เพราะ ดูแล้ว พระอาทิตย์ น่าจะขึ้นมา จากด้าน โบสถ์ ครับ แต่ปรากฏว่า ฝนตก เลย มีแต่เมฆคลุมท้องฟ้า ครับ
เสร็จแล้ว ก็ออกไปเดินหาอะไร ทาน ยามเช้า ที่ ชุมชนริมน้ำจันทบูร เพราะ ว่าอยู่ไกล้ โรงแรม ที่พัก แค่ 100 เมตร ครับ เดินไปได้ สะดวก
สายๆหน่อยก็เริ่มมีแดด ออกมา ฟ้าเปิด ซึ่งเป็นปกติ ของเมือง ที่อยู่ไกล้ทะเล
หาอะไร ใส่ท้องก่อนครับ
ก๋วยจั๊บป้าไหม...ร้านอยู่ตรงข้ามบ้านหลวงราชไมตรี ใครมาชุมชนริมน้ำจันทบูร ห้ามพลาดเด็ดขาดขอบอก
โชคดี วันที่ผมไป ตรงกับวันอาทิตย์ จึงมีโอกาส เข้าไปชม ภายใน ของโบสถ์ ครับ
เพราะเป็นวันที่ คริสานิกชน จันทบุรี จะพากันเข้าโบสถ์ สวดมนต์ ร้องเพลง
ก่อนเที่ยง ผมและเพื่อน แวะไปยัง ศูนย์อัญมณี ของจันทบุรี ที่นี่เป็นแหล่งความรู้ และ แหล่งซื้อขาย อัญมณี ที่ใหญ่ เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทยเราเลยนะครับ
ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี....พิพิธภัณฑ์อัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
ตั้งอยู่ที่ถนนมหาราชในเมืองจันทบุรี
เป็นศูนย์แสดงและส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับถาวรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และในเอเชีย
ภายในศูนย์ฯ แห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เกี่ยวกับอัญมณี ตลอดจนกระบวนการผลิตอัญมณีในขั้นตอนต่างๆ
ที่จัดไว้ในลักษณะของนิทรรศการอีกด้วย
และยังมีพิพิธภัณฑ์อัญมณีที่ทันสมัยด้วยครับ โดยนำเสนอแบบ Live Museum, ห้องวีดีทัศน์ 3D ที่ทันสมัยที่สุด
เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการทำพลอย การขุดพลอย การเผา และการเจียระไน, Gem Bank, ศูนย์ปฎิบัติการตรวจสอบอัญมณี
และสถานที่จัดแสดงสินค้าและนิทรรศการต่างๆที่น่าสนใจ
เปิดบริการ 09.00 น. - 17.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
ในส่วนพิพิธภัณฑ์
ส่วนซื้อขาย
ที่จันทบุรี นั้น จะมีตลาดค้าพลอย ที่ มักจะเปิดการซื้อขายกัน ใน วัน ศุกร์ และ เสาร์ ครับ ดังนั้น หากถึงวันศุกร์ เสาร์ โรงแรม ในเมืองจะหายากมาก เพราะ กลุ่มพ่อค้าพลอยจากทั้งใน และ ต่างประเทศ จะพากันมาพัก ที่นี่
มื้อเที่ยง วันที่สอง เราพากันไปทานอาหาร ขึ้นชื่อของ จังหวักจันทบุรี ครับ เป็นร้านอาหาร ที่ เปิดบริการมานานแล้ว และเป็นที่นิยม ของคนที่นี่ มารับประทานอาหารกันที่นี่ ครับ
จันทรโภชนา ร้านอาหารเก่าแก่คู่จันทบุรี
จันทรโภชนา (สาขามหาราช) ดูแลร้านโดยพี่ต่อ อุกฤษฎ์
ถ้าพูดถึงร้านจันทรโภชนาชาวจังหวัดจันทบุรี คงไม่มีใครไม่รู้จักร้านนี้เป็นที่แน่แท้ เพราะร้านจันทรโภชนา เปิดมายาวนานกว่า 50 ปี
เมนูแนะนำที่ร้านจันทรโภชนา เช่น "ยำมังคุด" ตำทุเรียน แกงหมุชะมวง
และ "แกงหมูชะมวง" ที่ร้านจันทรโภชนา
ได้ทำแบบกระป๋องไว้ให้ซื้อเป็นของฝากได้ด้วยครับ
[จันทรโภชนา สาขามหาราช]
โทรศัพท์ 039-327-179, 039-999-999
เปิดบริการทุกวัน 10.00-22.00
มาเหนื่อยๆ พักดื่มน้ำอัญชัญผสมมะนาว กันก่อนครับ เป็นการเอาวิทยาศาสตร์ มาผสมกับ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน สร้างสรร น้ำที่มีรสชาติอร่อย และแปลกตา ขึ้นมาได้ ครับ
ส่วนนี่ น้ำลิ้นจี่
ไม่นานอาหารก้มาเสริฟ
เส้นจันทร์ผัดปูนิ่ม
ยำมังคุด
ส้มตำทุเรียน
แกงหมูชะมวง
และตบท้ายด้วยของหวานครับ
ช่วงบ่าย เราแวะไปตามหา อีกหนึ่ง อันซีน ของ จันทบุรี ครับ
เนื่องจากก่อน หาข้อมูลแล้วไปเจอว่า ที่จันทบุรี มี ขนมเปี๊ยะเจ้าหนึ่ง ที่ ทำขนมเปี๊ยะอร่อยมาก ถึงขั้น คนที่จะกิน ต้อง สั่งจองกันข้ามปี ถึงจะได้กิน
เมื่อรู้ดังนี้ จึง ดั้นด้น เสาะหา ร้านขนมเปี๊ยะ เจ้านี้ เพื่อไป พิสูจน์ถึงคำร่ำลือนี้
ขนมเปี๊ยะรัชนี @ อำเภอมะขาม.....อร่อยต้องรอข้ามปี
ขนมเปี๊ยะรัชนี อยู่ในอำเภอมะขาม เป็นบ้านไม้ หลังเล็กๆ จะมีป้ารัชนี ทำขนมเปี๊ยะ อยู่คนเดียวทำให้ ผลิตขนมเปี๊ยะ ออกมาไม่พอกับ ปริมาณความต้องการ ของตลาด จึงมีการสั่งออเดอร์ ทิ้งไว้ เมื่อนานเข้าๆ ออเดอร์เหล่านนั้น ก็มีปริมาณมาก จนถึงกับต้อง สั่งปีนี้ ได้กินปีหน้า เลยครับ
หลังจากลองชิม ซึ่งจริงๆ ก็ไม่กล้าชิม แต่เมื่อปร้ารัชนี รู้ว่าเรามาไกล จึง หยิบ ขนมที่ป้ากำลังทำเสร็จใหม่ๆ ให้เราชิม ก้อร่อย สมคำร่ำลือจริงๆ ครับ
จากการสอบถาม ป้ารัชนี จะผลิตขนมออกมาได้ วัน ละ 600 ลูก เท่านั้น แต่ลองดูว่า ตอนนี้ ป้าหยุดรับออเดอร์ไปแล้ว คนที่สั่งปีนี้ ต้องรับขนมปีหน้าเลยครับ
ด้วยความเกรงใจ จะกินขนมป้าฟรีๆ จึงขออนุญาต ซื้อมา1กล่อง ครับก็ต้องขออภัยด้วยหากไปลัดคิวใครเข้านะครับ
ออกจาก ขนมเปี๊ยะป้ารัชนี ก็มุ่งตรงไปยัง สวนผลไม้ KP Garden ครับ เพราะ มีนัดทาน บุฟเฟต์ผลไม้ ไว้ ในราคา 200 บาท กินเท่าไหร่ก็ได้ ทั้ง ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง เพราะ ปัจจุบัน เจ้าของสวน ในจันทบุรี หลายๆ สวน ได้เปิด ให้นักท่องเที่ยว เข้ามาเยี่ยมชมสวน และ ทานผลไม้แบบบุฟเฟต์ ได้ ครับ
สวนเคพี การ์เด้นท์
ตั้งอยู่ห่างจากสี่แยกแสลง (ทางไปวังแช้ม) ประมาณ 8 กิโลเมตร
จะเห็นป้ายบอกทางไปวัดทุ่งโตนด เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 200 เมตร จะพบสวนเคพี การ์เด้นท์
อยู่ด้านขวามือ ซึ่งตลอดเส้นทางจากสี่แยกแสลง จะมีป้ายชี้บอกทางติดตั้งไว้เป็นระยะๆ
เห็นได้ชัดเจนตลอดทาง ที่สวนมีที่จอดรถสะดวกสบาย
สวนแห่งนี้จะจัดบุฟเฟต์เป็นรอบๆ เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์
เปิดสวนวันละ 4 รอบคือ 9:00 11:00 13:00 และ 15:00 จะเปิดรับเพียงรอบละ 50 คนเท่านั้นครับ
ต้องโทรจองล่วงหน้าเท่านั้นนะครับ ติดต่อได้ที่ โทร.086-5662419, 039-32320110
ซึ่งที่นี่ก็เป็นหนึ่งใน 11 สวนที่จัด "เทศกาลบุฟเฟต์ผลไม้" ร่วมกับ ททท. ครับ
นอกจากจะกินผลไม้แล้ว ยังมีการ สาธิต และ สอนการปลอกทุเรียน
และสาธิต การเก็บผลไม้ต่างๆ ครับ
อันนี้เก็บมังคุด โดยการสอย เอา
ทุเรียน ใช้มีดตัด ครับ
ลองกอง ใช้ กรรไกร ตัดแต่งกิ่งตัด ครับ
เงาะ ก็ใช้ ไม้ติดมีด ขึ้นไปเกี่ยวเอาครับ
ออกจาก สวน KP ผมก้มุ่งหน้า เข้าไปยังที่พัก ในคืนที่ 2 ที่หาดเจ้าหลาว
โดยผมได้พักที่ จันทร์เจ้าหลาว รีสอร์ท ครับ
เป็นรีสอร์ท ที่ติดทะเล มีหาดส่วนตัว และพื้นที่กว้างขวาง ครับ
มีสระว่ายน้ำด้วยสำหรับคน ไม่ชอบ ไอทะเล
ในช่วงเย็น ผมได้ ติดต่อกับ จนท จากหน่วยห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน เพื่อที่จะให้พาขึ้นไปยัง จุดชมวิว
บริเวณนี้ จะมีจุดชมวิวสองจุดจุดแรกคือ จุดชมวิวเขาบ่อเตย ใช้เวลาเดินขึ้นมา 20 - 30 นาที ระยะทาง 400เมตร
ส่วนอีกจุดใกล้ๆกัน ห่างออกไป 200 เมตร คือ จุดชมวิวเกาะช่องสะบ้า
ซึ่งตอนแรก ตั้งใจ ว่า จะมาเก็บ ภาพ พระอาทิตย์ตก กันบนนี้ ปรากฏว่า วันนั้น ลมแรงมาก ไม่สามารถ ตั้งขาตั้งกล้องได้ จึง พากันลงมา เพื่อจะไปเก็บภาพ ยังจุดอื่นแทนเราเปลี่ยนสถานที่มายังหน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำภายในอ่าวคุ้งกระเบน
หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำฯ จัดทำเพื่อการสาธิตที่จะเพิ่มทรัพยากรในท้องทะเลให้มากขึ้นและยั้งยืน
โดยมีพันธุ์สัตว์น้ำนานาชนิด อาทิ ปลาฉลามเสือดาว, ปลาหมอทะเล, ปลาฉลามหัวบาตร, เต่าตนุ, เต่ากระ,
ปลากระพงขาว, ปลาเก๋า, ฯลฯตั้งอยู่บริเวณอ่าวคุ้งกระเบน
มาถึงก้ต้องรีบแข่งกับเวลา เพื่อจะเก็บแสงเย็น พระอาทิตย์ตกน้ำไห้ได้ ครับ
ปรากฏว่าการเที่ยว หน้าฝนนั้นต้องทำใจเมฆมาบัง พระอาทิตย์อีกแล้ว ครับ
ถึงแม้จะไม่ได้ เห็น พระอาทิตย์ไข่แดงตกน้ำ แต่ก้ยังพอมีแสงสวยๆ ให้ชม
เสียดายที่ ปลาฉลาม ไม่สบาย เลยอดเจอ เพราะ ถูกอุ้มไปรักษา ที่ศุนย์วิจัย
อยู่กันจนฟ้ามืด ฟ้าปิด ก็กลับไปกินข้าวเย็น แถวๆ จันทร์เจ้าหลาว ครับ เป้นร้านซีฟู๊ด ที่อยู่แถวนั้น
หลังจากหลับสบาย ในคืนที่สอง ของทริปจันทบุรี
เช้าวันที่ 3 ผมกับเพื่อนตื่นกันตั้งแต่เช้า ตีสี่ เพื่อที่จะขับรถ ไปยัง อีกหนึ่งแลนด์มาร์ค สำคัญ ที่เพิ่งดังมาได้ไม่นาน
นั่นคือ จุดชมวิว เนินนางพญา......จุดชมวิวสุดโรแมนติก
ปกติ ส่วนมาก คนจะมา ถ่ายรูป ช่วง พระอาทิตย์ตก กันครับ ที่ จะสวยมากๆ แต่ผมไปตอนเช้า เพราะ หลีกเลี่ยง ผู้คนมากมาย ที่หลั่งไหล กันไป ถ่ายภาพ ที่นี่ครับ เพื่อให้ได้ภาพที่ สวยงาม ปลอดผุ้คนมารบกวนครับ
ก็อยู่จุดนี้กัน จนถึงเกือบเช้า เลยครับ
ก็อย่างที่บอกครับ เนินนางพญา ไม่ใช่ จุด ชมพระอาทิตย์ขึ้น
แต่จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น สวยๆ จะอยู่ที่
สะพานตากสินมหาราช (สะพานแหลมสิงห์)
ที่นี่ จะมี เรือ และ ชาวประมง อยู่แถวนี้ เยอะแยะ เลยครับ
อย่างที่บอกว่า เที่ยวหน้าฝนต้องทำใจและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ พระอาทิตย์ขี้อาย
กว่าจะโผล่มาอีกที ก็เล่นเอา สว่างจ้าไปแล้ว
ช่วงสายของวันที่ 3 เราขับรถไปยัง อำเภอ ขลุง
ตามคำบอกเล่า ที่ เพื่อนๆ แนะนำมาว่า เฮ้ยย ...ไปจันทร์ต้องลองไปนอน ที่ หมู่บ้านไร้แผ่นดิน สักที แล้ว จะรู้ว่า ฟินแค่ใหน
แค่ได้ยินชื่อหมู่บ้านไร้แผ่นดินผมก็หูผึ่ง รีบ ค้นคว้าข้อมูล ต่างๆ นานา และหาจองที่พัก ก่อนเดินทางแค่วันเดียว โดยได้ ที่พัก ชื่อ ว่า บ้านทะเลดาว ซึ่งต้องไปขึ้นเรือ ที่ ท่าเรือ ขลุง เวลา 11.30 น.
เมื่อมาถึงจัดแจงฝากรถที่เช่ามา จาก ไทยเร้นท์อะคาร์ ไว้และนั่ง จัดแจง เอาเสื้อผ้าใส่ กระเป้ ใบเล็ก ของ LowAlpine ซึ่งเป็นเป้ขนาดเล็กเหมาะ สำหรับใส่เสื้อผ้าออกทริป2 วัน 1 คืน หรือ ไส่ ของ จิปาถะ ไปวันเดยืทริป ครับ เห็น เล็กๆแบบนี้ แต่ จุของได้มากทีเดียวครับ
เมื่อถึงเวลาเรือออกตรงเวลา ครับโดยในเรือ จะมี ทั้ง ชาวบ้าน และนักท่องเที่ยว ที่จะไปยังหมู่บ้านไร้แผ่นดิน
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน ต.บางชัน อ.ขลุง
เดินทางจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 40 Km. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที เป็นหมู่บ้านที่ ไม่มีถนนเข้าถึงครับ จะไปไหนมาไหน ต้องอาศัย นั่งเรือออกมาแล้ว ค่อย มาต่อรถอีกที ครับ
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน เหตุที่เรียกแบบนี้เพราะบ้านแต่ละหลังของที่นี่ส่วนมากไม่ได้ปลูกสร้างบนแผ่นดิน แต่สร้างบนดินเลน ตามแนวป่าชายเลน
บ้านทะเลดาว โฮมสเตย์
การเดินทางไปบ้านทะเลดาว โฮมสเตย์นั้นต้องนั่งรถยนต์มาลงที่ขลุง จากนั้นต้องนั่งเรือโดยมีเรือให้เลือก 2 แบบ คือ เรือใหญ่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที และเรือเร็ว ที่ใช้เวลาเพียง 15 นาที โดยระหว่างทางจะพบกับวิวแม่น้ำ ป่าโกงกาง นกเหยี่ยวที่บินมาคอยตอนรับระหว่างทาง
จากนั้นเมื่อมาถึงที่บ้านทะเลดาว โฮมสเตย์ คุณจะได้พบกับการบริการจากเจ้าของบ้านที่พร้อมจะบริการคุณอยู่ตลอด ทั้งเรื่องอาหารการกิน การดูแลเอาใจใส่เสมือนมาพักอยู่บ้านตัวเอง แม้ที่นี่จะไม่หรูหรา มีแต่อากาศดีๆ ลมเย็นๆ จากทะเล ที่รอให้ทุกคนมาสัมผัสและใช้ชีวิตในแบบเรียบง่ายกัน
โดยเรือหางยาวของทาง โฮมสเตย์ จะมีเพียงวันละ 1 รอบเท่านั้น ออกจากท่าเรือ อ.ขลุง 12.00 น. และ ออกจากบ้านทะเลดาว โฮมสเตย์ มาที่ท่าเรือขลุง 10.00 น. ราคาค่าโดยสาร คนละ 70 บาท/รอบครับ
ถ้ามาไม่ทันเรือของโฮมสเตย์ ต้องเหมาเรือหางยาวเล็กไปเองครับ ราคาลำละประมาณ 500 บาทครับ
ราคาที่พักที่ บ้านทะเลดาว โฮมสเตย์ราคาคนละ 1,500.-/คน
ได้รับอาหาร 3 มื้อ มื้อเที่ยง, มื้อเย็น และมื้อเช้า ทะเลพื้นบ้าน, ซีฟู๊ด ปิ้งย่าง (ไม่อั้น), ข้าวต้ม ทะเล
กิจกรรมที่ทำ ชมฝูงเหยี่ยวแดง, ร้องคาราโอเกะ, ตกปลา, แพเปียก, พายเรือคะยัค, ชมทะเลแหวก, ทำบุญตักบาตรตอนเช้า
ถ้าเพื่อนๆสนใจอยากมาเที่ยว หมู่บ้านไร่แผ่นดิน บางชัน ติดต่อที่บ้านทะเลดาว โฮมสเตย์เจ้าของโฮมสเตย์น่ารัก และใจดีสุดๆๆครับ
ติดต่อได้ที่ Facebook :
https://www.facebook.com/BanThaleDawHomeStey
หรือ โทร. 083-598009, 088-2144424
ถ้าเพื่อนจะมาในวันหยุดสุดสัปดาห์ ควรจองล่วงหน้าก่อน 1-2 เดือนนะครับ ไม่งั้นไม่มีที่พักแน่นอน ที่นี้คิวแน่นมาก
เมื่อมาถึง เก็บของเข้าห้องพัก ขนาด กระทัดรัด แต่ก็ไม่ได้อึดอัด นัก
ก็ออกมาทานอาหารกลางวัน ที่ บ้านทะเลดาวจัดเตรียมไว้ให้ครับ เพราะ อยู่ในแพ็คเก็จ ราคา 1500 บาท ที่จองมาอยู่แล้ว ครับ
โดยจะมี ห้องพัก 1 คืน อาหาร 3 มื้อ กลางวัน เย็น เช้า
และกิจกรรมพาล่องแพชมเหยี่ยวแดง ครับ
ซึ่งอาหารก็จัดเต็ม เป็นอาหารซีฟู๊ดส์ แบบ พื้นบ้าน ตามวัตถุดิบที่หาได้ง่ายๆแถวนั้น ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง ปู ปลา ปูนิ่ม
ทานข้าวเสร็จแล้ว ยังมีเวลาเหลือเฟือ ที่จะออกไปเดินชม วิถีชีวิต ของชุมชน บ้านไร้แผ่นดินนี้ ครับ ก่อนที่จะออกไปล่องแพ ตอน 16.00 น.
คนที่นี่อาชีพส่วนใหญ่ คือ ประมงพื้นบ้านครับ
วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ ยังคงสืบต่อกันมาไม่หายไปใหน ครับ
เมื่อถึง เวลา สี่โมงเย็น ทาง บ้านทะเลดาว ก็เตรียมแพไม้ไผ่ขนาดใหญ่ โดยใช้เรือหางยาว ลาก ออกไปยัง ทะเล ด้านปากอ่าวเพื่อพานักท่องเที่ยว ไปชม เหยี่ยวแดง ที่ หากิน อยู่บริเวณนี้ ครับ โดยที่แพ นั้น ก้จะมี น้ำ ขนม ต่างๆ ให้กินไปด้วย
นอกจากของบ้านทะเลดาว ก็ยังมีของ เจ้าอื่นๆ ที่ ออกมาพร้อมๆ กันด้วยครับ
เมื่อถึงยังจุดที่มีเหยี่ยวแดงบิน อยู่จนท ของ บ้านทะเลดาว ก็ เอามันหมู ที่เตรียมไว้ โปรย ลงไปยัง ทะเล เพื่อให้ เหยี่ยว บินมาโฉบ เอาอาหารไปกินครับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเยอะพอถึงเวลาจริงๆ มีเป็นร้อยตัวได้ครับ
หลังจากให้อาหารเหยี่ยวแล้วแพก็ไปจอดยัง ทะเลแหวก ซึ่งเป็นสันดอน กลางปากอ่าว โผล่ขึ้นมา โดยมีทรายสีดำมีพื้นที่ กว้างขวาง ให้ นักท่องเที่ยวไปเดินเลน รับลม และ ขัดผิว โดยทราย สีดำนี้ ครับ
ก่อนกลับ เดินเก็บขยะ บนหาดทรายดำซะหน่อย ตามโครงการ เที่ยว 1 วันเก็บขยะ 1 ชิ้น ครับแค่คนละชิ้น ก็ช่วยให้ สถานที่เที่ยว สะอาดขึ้นได้นะครับ
หลังจากนั้น เรือหางยาว ก็ลากแพกลับมายังที่พัก และ ปล่อย ฟรีสไตล์อีกครั้ง เพื่อรอ อาหารเย็น
ผมกับเพื่อเลย ขออาสา พายเรือ คายัค ข้ามฝาก เพื่อ จะไปเก็บบรรยากาศ บ้านทะเลดาว จาก อีกฝั่งของชุมชนบางชัน
ด้วยความคาดหวังว่าจะเห้นพระอาทิตยืตกสวยๆ แสงสวยๆ
ปรากกว่าก็ได้ภาพแบบนี้ ครับ
เมื่อถ่ายเสร้จแล้ว ก็พายเรือกลับมา ทานอาหารเย็น มื้อจัดเต็ม มากๆ เพราะ ผม สองคน ทาง บ้านทะเลดาว จัด ปูมาให้ เหลือบ 4 โล แถมยังมี ปูนิ่ม กุ้ง และปลาอีก แบบว่า สามารถกิน 4-5 คนได้ สบายๆ
และคืนนั้นพวกผมก้นอนหลับ สนิท ท่านกลาง ฝนที่ตกกระหน่ำ เกือบตลอดคืน
ก่อนที่ จะตื่นเช้ามา ตักบาตร โดยทาง บ้านทะเลดาว เตรียม อาหาร และข้าว ที่จะใส่บาตรไว้ให้ ส่วนใคร จะซื้อ อาหารแห้ง ใส่เพิ่ม ก็สามารถ ซื้อได้ อีกครับ
และ เมื่อถึงเวลา ก็เดินทางออกมาจาก บ้านทะเล เพื่อกลับมาขึ้นฝั่งที่ ท่าเรือ อำเภขลุง อีกครั้ง ในเวลา ประมาณ 10.00 น.
ใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมง มาถึง ก็ไปเอารถ และขับกลับไปยัง ดอนเมือง เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับ เชียงราย
เป็นอันจบทริป จันทบุรี เป็นที่เรียบร้อย
บทสรุปจันทบุรี
จากที่เคยมา เมื่อ สิบกว่าปีที่แล้ว จนได้มาอีกครั้งใน รอบนี้ ทำให้รู้ว่า จันทบุรี นั้น นอกจาก จะเป็นเมืองผลไม้ แล้ว ยังเป็นเมือง ที่ อุดมสมบรูณ์ เพียบพร้อมไปด้วย แหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา สายหมอก แม่น้ำ และ วิถีชีวิต ชุมชนโบราณ
เหมาะแก่การ มาเที่ยว มาพักผ่อน สักครั้ง
และถ้าถามว่า ผมจะกลับมาอีกครั้งไหม คำตอบก็คือ มาแน่นอน
ดังนั้นหากเพื่อนๆ คนไหน ยังไม่ รู้ว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหน ใกล้ กรุงเทพ ลอง คิดถึง จันทบุรี ดูครับ 1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด สมชื่อ จริงๆ
และวันนี้ ผมก็ขอ จบการรีวิว จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันผลไม้ ไว้แต่เพียงเท่านี้ ครับ
หากเพื่อนๆ ถูกใจ ก็สามารถ เข้าไปกดโหวต ให้กับ ทีม จันทบุรี ได้ ที่ ลิ้งค์นี้ ครับ
http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T01
สวัสดีครับ
ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็น Nok Air และ Thai Rent A Car รองเท้า KEEN และ อุปกรณ์การแต่งกาย Outdoor Innovation ที่ทำให้เกิดงาน The Amazing Journey ขึ้นมา
และขอบคุณที่ให้โอกาสผมและเพื่อน Blogger อีก 2 ท่าน
ได้มีโอกาสเดินทางมายังจังหวัดจันทบุรีในครั้งนี้ครับ เป็นทริปที่ประทับใจจริงๆครับ
แบกเป้เท่ทั่วโลก
วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 11.01 น.