ได้เห็นรูปภูสอยดาวและดอกหงอนนาคแล้วก็คิดว่าอยากจะไปเห็นด้วยตา หาข้อมูลจากโลกออนไลนลานและเวปของกรมอุทยานแห่งชาติ โทรไปสอบถามแล้วก็เก็บกระเป๋าไปเลยไม่ได้วางแผนและเตรียมตัวเลย มีข้อมูลแค่ว่าทางเดินขึ้นโหดมาก ด้านบนไม่มีอาหารขาย ทุกอย่างต้องขนไปเอง อืมทำใจระดับนึงแล้วนะว่าจะลำบาก ปกติไม่ค่อยชอบแบกอะไรไปเยอะ สมบัติติดตัวไปก็เลยมีแค่เป้ 1 ใบกับกระเป๋าเล็กใส่ของเตรียมเดินขึ้นภูสอยดาวอีก 1 ใบ ออกเดินทางคืนวันที่ 7 กันยายน 2556


การเดินทางไปภูสอยดาว

พิกัดการเดินทาง: อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ โทรศัพท์ 055 436 001-2 ข้อมูลการเดินทางมีหลายเส้นทางมากที่อยู่ในเวปของอุทยานฯ และเวปท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น

1. ไปทางพิษณุโลก: เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ไปพิษณุโลก ควรกะเวลาให้ไปถึงประมาณตี 5 จากนั้นต่อรถไปอำเภอชาติตระการ และเมื่อถึงชาติตระการจะมีรถสองแถวไปที่อุทยานฯ แต่จะมีแค่เพียงวันละ 1 รอบเท่านั้น รถออกไม่เกิน 9 โมงเช้า

2. ไปทางอุตรดิตถ์: เดินทางออกจากกรุงเทพฯไปลงที่สถานีขนส่งอุตรดิตถ์ ควรไปถึงไม่เกินตี 5 ครึ่ง จากนั้นต่อรถไปอำเภอน้ำปาด พอถึงน้ำปาดก็ต่อรถไปอุทยานฯ อีกที เราเลือกเส้นทางนี้ เพราะอยากไปอุตรดิตถ์ พอมาถึงน้ำปาดวันที่เราไปไม่มีรถโดยสารขึ้นอุทยานฯ แม่ค้าบอกให้เราโบกรถขนสับปะรดขึ้นไป แล้วให้เราเดินไปรอที่แยกทางขึ้นอุทยานฯ ตรงร้านขายของชำของอาจารย์ชาตรี ไปถึงเราก็แวะซื้อน้ำและถามทาง เขาบอกว่าให้รอรถโบกขึ้นได้ รอที่หน้าร้านได้เลย นั่งรอยาวนานมากสุดท้ายก็ได้เจ้าของร้านที่เป็นอาจารย์ที่คนแถวนี้นับถือช่วยเจรจาให้คนที่มาซื้อของเราขึ้นไปส่งในราคาแค่ 500 บาท (จากปกติที่คนอื่นบอกในเวป 1,500 - 2,500 บาท)


3. ทางจังหวัดเลย (ไม่ค่อยมีใครนิยมไปนัก): เดินทางไปลงที่อำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย จะมีรถโดยสารแค่เพชรประเสริฐทัวร์บริษัทเดียว ถ้าจำไม่ผิดออกจากกรุงเทพฯ 4 ทุ่มครึ่ง ไปถึงด่านซ้ายเกือบตี 5 จากนั้นให้รอรถสองแถวคันใหญ่ๆ ด่านซ้าย-นาแห้ว-นาเจริญ-บ้านร่มเกล้า และไปเหมารถขึ้นอุทยานฯ อีกที


เราเสียเวลาในการรอรถขึ้นอุทยานฯ นานเกินไปถึงที่ทำการอุทยานฯก็ 14.20 น. แล้วเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ขึ้น มองหน้าเราแล้วบอกว่า "พี่ว่าเราขึ้นไปไม่ทันมืดหรอก เจ้าหน้าที่ที่เดินปิดท้ายออกไปแล้ว เราคงเดินไม่ทันแน่" ตกลงเราได้พักด้านล่างก่อน 1 คืน ไม่อยากแหกกฏ อุทยานฯ ไม่อนุญาตให้ขึ้นหลัง 14.00 น.


การได้พักด้านล่างก่อน 1 คืนทำให้เราได้นอนบ้านทั้งหลังที่พักได้อย่างน้อย 4 คนตามลำพัง เราได้บ้านสอยดาว 104/1 และได้รู้ว่า 600 บาทที่จ่ายไปเกินคุ้มมาก (ปกติ 1,200 บาท) ที่พักกับจุดขึ้นภูสอยดาวห่างกัน 2 กิโลเมตร เราไม่มีรถมาเจ้าหน้าที่ก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งเรา







พอเข้าบ้านเราก็รื้ออุปกรณ์อาบน้ำออกมาไปไว้ในห้องน้ำ และล้างหน้าซะหน่อยก็หยิบอุปกรณ์อาบน้ำออกมาวางนอกกระเป๋าอาบน้ำ โดยวางทั้งหมดที่กั้นส่วนแห้งกันส่วนเปียก แล้วเราก็ออกมาสำรวจบ้านต่อ สักพักได้ยินเสียงของหล่นในห้องน้ำก็เดินไปดูปรากฏว่าโฟมล้างหน้าหล่น เราก็หยิบขึ้นและวางที่เดิม ออกมาสักพักมีเสียงดังมาอีกแล้วรอบนี้เป็นขวดสบู่หล่นลงมา เราก็เก็บและวางที่เดิม ออกไปสำรวจด้านหลังบ้านพักได้ยินเสียงของหล่นอีกแล้วรอบนี้ดังกว่าทุกที เดินเข้าไปปรากฎว่าหล่นมาทั้งกระเป๋าเลย อุปกรณ์อาบน้ำหล่นลงมาหมด ก็เหมือนเดิมหยิบไว้ที่เดิม และยกมือไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ที่อยู่หลังที่ทำการอุทยานฯ (มองจากหน้าต่างห้องนอนเห็นชัดเจน) และทุกอย่างก็ไม่หล่นอีกเลย


หลังจากสำรวจที่พักก็ออกมาซนรอบๆ ที่ทำการอุทยานฯ กันต่อ ใกล้ๆ บ้านพักเรา บ้านสอยดาว 104/1 มีดงดอกหงอนนาคย่อมๆ อยู่



เดินต่อไปชมวิวรอบๆ



มีธารน้ำที่ไหลมาจากด้านข้างบ้านพักเราและมาตรงจุดที่เป็นสะพานข้ามไปยังร้านค้าสวัสดิการ ที่ร้านนี้จะมีทุกอย่างทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่มในราคาปกติไม่มีบวกเพิ่มนะ แถมด้วยยังมีปั๊มหลอดสำหรับจำหน่ายน้ำมันด้วย



เดินต่อไปจะพบเรือนเพาะชำกล้าไม้ต่างๆ ใครนำรถมาเองและนำขยะของตนที่นำลงมาจากด้านบนออกไปทิ้งที่อื่นที่มีการจัดการกับขยะดีกว่านี้จะได้รับกล้าไม้ไปเป็นที่ระลึกด้วย



เดินไปเรื่อยๆ จนถึงถนนทางเข้าที่ทำการอุทยานฯ ก็ต้องถ้ายรูปป้ายสักหน่อย



ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ รออาทิตย์ตกดิน และแล้วก็ได้เวลาโปรดของเรา




พออาทิตย์ตกอากาศก็เริ่มเย็นขึ้นมาทันที เราก็รีบเดินกลับบ้านพัก เตรียมอาบน้ำและจัดการมื้อเย็น แต่พอถึงหน้าบ้านมีแขกมารออยู่ก่อนแล้ว เลยได้แวะทักทายกัน



ขณะอาบน้ำทำใจไว้นิดนึงเครื่องทำน้ำอุ่นที่นี่เป็นระบบแก๊ส อาบไปก็จะมีกลิ่นมาบ้าง อาบน้ำเสร็จอากาศเย็นมากขึ้น เราก็ออกมาเตรียมมื้อเย็นที่เตรียมมาจากร้านอาหารตามสั่งก่อนมาที่อุทยานฯ มื้อนี้เป็นข้าวผัดธรรมดานี่แหละ แต่ฟินที่บรรยากาศมาก แถมด้วยเสียงน้ำไหลตลอดเวลาอีก



พออิ่มแล้วก็ต้องรีบหนีเข้ามาในบ้านเพราะอากาศเริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็รีบนอนเอาแรง พร้อมสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา


เช้าวันรุ่งขึ้นออกมาเดินซนถ่ายรูปอีกแล้ว อากาศดีท้องฟ้าสดใสมาก ถือเป็นความโชคดีของเราที่ฝนไม่ตก




หลังจากออกไปสูดอากาศแล้วก็กลับมาจัดการมื้อเช้าแบบสำเร็จรูปที่เตรียมมาพร้อมกาแฟฟรีจากบ้านพัก (สมัยนั้นยังไม่ได้พกพากาแฟไปเอง)



พออิ่มแล้วก็เก็บกระเป๋า อาบน้ำ และไปจ่ายค่าที่พัก ขณะรอที่จะติดรถเจ้าหน้าที่ไปตรงจุดขึ้นภูสอยดาวก็เดินถ่ายรูปต่อ




หลังจากเคารพธงชาติเสร็จก็นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เจ้าหน้าที่มาที่จุดลงทะเบียนขึ้นภูสอยดาว มาถึงเป็นคนแรกพร้อมเจ้าหน้าที่ ลงทะเบียนและจ่ายค่าเช่าเต้นท์ 250 บาท ที่รองนอน 20 บาท ถุงนอน 30 บาท มัดจำเต้นท์ 1,000 บาท ค่าเข้าอุทยานฯ 40 บาท เราจ้างลูกหาบนะเพราะรักสบาย ค่าจ้างลูกหาบกิโลกรัมละ 30 บาท ขั้นต่ำ 20 กิโลกรัม กระเป๋าเรา 2 ใบและอุปกรณ์การนอนที่เช่าทั้งหมด และน้ำอีก 2 ขวดก็ 20 กิโลกรัมพอดี หลังจากลงทะเบียนเสร็จเราก็ไปหาเสบียงด้วยการซื้อข้าวผัดที่ร้านเดิม เตรียมขึ้นภูสอยดาว แต่ก่อนขึ้นก็ขอชักรูปที่น้ำตกภูสอยดาวก่อน






ถึงเวลาออกเดินทางสักที เวลาดี 8.45 น. แวะไหว้ศาลที่อยู่ทางด้านซ้ายมือก่อนขึ้นบันไดเหล็ก (เราเชื่อแบบนี้เสมอว่าไปที่ไหนต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อน)



ไหว้เสร็จก็ออกเดินขึ้นบันไดเหล็กเลย ถึงเวลาปีนแล้ว



เดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก เพราะมีแต่คนบอกว่าโหดเลยต้องเก็บแรงไว้บ้าง ถ่ายรูป ชมวิวไปเรื่อยๆ



พอเริ่มเดินก็เริ่มร้อนแล้วถอดเสื้อกันหนาวออก เหลือแค่เสื้อกล้ามแล้วก็ลุยต่อ





ทางเดินบางช่วงจะมีบันไดเหล็ก ถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าสร้างบันไดขึ้นในช่วงที่ต้องปีนสำหรับตอนที่องค์ภาเสด็จฯ เมื่อหลังวันแม่ปี 2552 ในช่วงฝนที่เราไปจะมีบางช่วงที่แฉะมาก เข้าใจเลยว่าทำไมเข้าให้ใส่รองเท้าพื้นหนา แต่เราดันมีแค่คอนเวิร์สแบบพื้นบางอีกโคลนซึมเข้ารองเท้าตั้งแต่เริ่มเดินได้ไม่นานนัก



แล้วเราก็มาถึงเนินส่งญาติ ใครไปต่อไม่ไหวมักจะขอกลับที่จุดนี้กัน (ถามเจ้าหน้าที่อีกละ) มือสั่นจนถ่ายรูปไม่โฟกัสเลย



ลุยต่อยังไม่เหนื่อยมากจะรีบพักไปใย อยากลองใช้แรงให้สุดก่อน




ผ่านมาอีกนิดก็เจอเนินปราบเซียน




เหงื่อไหลจนหัวเปียก ตัวเปียก กางเกงเปียกหมดแล้ว ทางโหดจริงๆ จนมาถึงเนินป่าก่อ




ลุยต่อไปอีกนิดก็จะเจอเนินเสือโคร่ง เรานั่งพักตรงนี้ 5 นาที เพราะมีลมเย็นๆมาพอดี



หลังจากเหงื่อเริ่มแห้งไปนิดนึงก็เดินต่อมายังเนินมรณะ แค่ชื่อก็สนุกละ



เนินมรณะทางสุดยอดมาก ลูกหาบเราตามมาทันที่เนินนี่ แล้วเขาก็นั่งพัก เราเดินต่อเพราะสนุก เริ่มเห็นวิวข้างทางแล้ว เริ่มสนุกกับทุกอย่างรอบตัวจนลืมเหนื่อย








สนุกจนเพลินก็ถึงลานสนแล้ว




สนุกถ่ายรูปจนเพลินลูกหาบของเรา "คุณอ๊อฟ" หน้าโหดมากแต่นิสัยดีสุดๆ เดินแซงเราไปลิ่วๆ เชียว



เรายังสนุกถ่ายรูปต่อไป ดูเวลาตอนนี้ 12.00 น. ใช้เวลาในการเดินทั้งหมด 3.15 ชั่วโมง เหนื่อย สนุก





แล้วเราก็เจอนางเอกของทริปนี้เป็นทุ่งเลย (กล้องมือถือถ่ายได้แค่นี้จริงๆ)



หลังจากถ่ายรูปไปเกือบ 15 นาที ก็เดินต่อไปยังลานกางเต็นท์ ไปทักทายเจ้าหน้าที่ พี่ๆ เจ้าหน้าที่กับคุณอ๊อฟ (ลูกหาบของเรา) จัดการกางเต็นท์ให้ เลือกทำเลให้เสร็จสรรพ มีขุดทางน้ำไหลรอบเต็นท์ให้ด้วย นี่แหละความโชคดีของเราที่ดูเหมือนทำอะไรไม่เป็น



เต็นท์กางเสร็จเรียบร้อยก็ขนของเข้าเต็นท์ และออกมาเช่าเตาแก๊สเพื่อต้มน้ำชงกาแฟ ค่าเช่า 80 บาท ค่าแก๊ส 80 บาท เราเอาหม้อที่ซื้อจากร้าน 60 บาทไปใช้ เบาสบายดี


เจ้าหน้าที่อุทยานฯและคุณอ๊อฟบอกเราว่ามีอะไรไปเรียกได้ที่บ้านพักตลอดเวลานะ หลังจากต้มน้ำชงกาแฟเสร็จก็จัดการชงชามะลิที่พกพาไปด้วยต่อเลย มื้อเที่ยงของเราเป็นข้าวผัดไข่ใส่หมูเหมือนเดิม พออิ่มก็เริ่มซนละ เดินไปถามทางท่องเที่ยวบนลานสน ได้ความว่าให้ได้ไปหลังบ้านพักเจ้าหน้าที่ วนซ้ายไปเรื่อยๆ จะกลับมาที่ลานสนพอดี จากนั้นเราก็ถามต่อว่าเห็นป้ายน้ำตกสายทิพย์ไปยังไง กลายเป็นคุณอ๊อฟเป็นคนตอบว่าเดินไปหลังป้ายที่เห็นลงไปเรื่อยๆ แต่คงลงได้แค่ 2 ชั้นนะ เพราะฝนตกมันลื่น อันตรายอย่าลงไป ถ้าไปน้ำตกแนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบไป แต่ถ้าเดินรอบลานสนใส่แตะก็ได้ ไหนๆ ก็มาแล้วลุยหน่อยละกัน เราเลือกเดินย้อนกลับไปเกือบถึงป้ายผู้พิชิตลานสนนั่นแหละ ก็จะเจอป้ายน้ำตกสายทิพย์





ทางลงไปที่น้ำตกไม่โหดมากนัก แต่ชั้นแรกที่เจอน้ำไม่มาก แต่เห็นแล้วเหมือนมีคนมาปูพรมสีเขียวไว้ทั้งน้ำตกเลย



ความซนไม่ได้จบเพียงแค่ชั้นแรก เดินลงต่อไปอีกชั้นทางเริ่มยากขึ้นต้องเกาะเกี่ยวกิ่งไม้มากขึ้น ภาพที่เห็นก็สวยขึ้นด้วย




ลงมาครบ 2 ชั้นตามที่คุณอ๊อฟบอกแล้วแต่ยังเห็นทางลงได้อยู่ มีความลำบากมากขึ้นเห็นแล้วว่าต้องทั้งปีน ทั้งเกาะให้วุ่นวายแน่ แต่เห็นทางไปมีหรอเราจะไม่ไป ลงต่อไปอีกชั้นละกัน อยากรู้ว่าเป็นยังไง ภาพที่ออกมาสวยนะเขียวตัดกับน้ำใสๆ กล้องเราเป็นกล้องมือถืออะถ่ายมาได้แค่นี้ก็พอใจแล้ว



ความซนยังมีและขอไปต่อชั้นที่ 4 ละกัน



ความซนสิ้นสุดลงที่ชั้นนี้เนื่องจากไปต่อยากจริงๆ อาจได้แผลและต้องนอนอยู่แถวนั้นก็เป็นได้ ก็เลยกลับขึ้นมาและเดินย้อนกลับไปยังลานกางเต็นท์ และเริ่มเดินต่อตามทางที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯบอก กลับมาเดินชมนางเอกของทริปนี้ต่อ ดอกหงอนนาคสวยๆ เต็มไปหมด






เดินวนซ้ายไปเรื่อยๆ จะพบจุดที่องค์ภาฯ ทรงกิจกรรมคืนกล้วยไม้ป่า



เลยมาอีกนิดก็จะเจอดงกระดุมเงิน



เดินต่อมาจะเจอหลักเขตไทย-ลาวและป้ายจุดท่องเที่ยวสองแผ่นดิน เดินข้ามไปได้เลยนะ เจ้าหน้าที่บอกเข้าไปได้ 1 กิโลเมตร ถ้าแค่อยากโทรศัพท์ก็เดินไปแค่เนินต้นไม้ตรงนั้นก็พอเครือข่ายที่ใช้ได้ AIS และ DTAC เท่านั้น (ตอนนี้น่าจะได้ครบทั้ง 3 ค่ายแล้วมั้ง) เราก็เดินเข้าไปไม่ไกลมากนักก็จะเห็นทหารฝั่ง สปป.ลาวอยู่ไกลๆ



เดินต่อมาอีกนิดเดียวจะพบลานจอดเฮลิคอปเตอร์



เดินผ่านมาจนเกือบสุดทางจะเจอป้ายห้ามตรงไปให้เลี้ยวซ้าย ไปชมจุดบังเกอร์สมรภูมิร่มเกล้า



ตอนไปเป็นช่วงฝนต้นหญ้าขึ้นสูงมากและในหลุมมีน้ำขังอยู่ด้วย ก็เดินผ่านมาเห็นดอกแดงๆ เกาะอยู่ที่ต้นไม้ ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าชื่ออะไร



เดินต่อไปตรงจุดสถานีที่ 7 จะมีเก้าอี้ให้นั่ง เป็นอีกจุดที่สามารถโทรศัพท์ได้ชัดแจ๋วมาก (ของเรา ais) เรานั่งรอดูอาทิตย์ตกที่จุดนี้เลย ชอบมันมีอะไรอยู่ในรูปมากกว่าแค่อาทิตย์ตก





หันกลับไปดูที่ลานกางเต็นท์หมอกไอฝนมาอีกแล้ว เต็มมาก ชอบมุมนี้มาก



หลังจากที่ได้รูปอาทิตย์ตกในแบบของเราแล้วก็เดินต่อไปยังสถานีที่ 8 จุดชมอาทิตย์อัสดงที่ทางอุทยานฯจัดไว้ให้ เราก็ไปถ่ายกับเขาอีกนิดหน่อย




หลังจากชื่นชมอาทิตย์ตกและก็ได้พูดคุยกับกลุ่มคนมาเดี่ยวนิดหน่อย แล้วเราก็รีบกลับมาอาบน้ำ เพราะน้ำต้องตักเองที่ลำธาร น้ำเย็นมากๆ ตักมา 2 ถังสระผม 1 ถัง อาบน้ำ 1 ถัง เสร็จก็รีบกลับมาเตรียมอาหารเย็น ต้มน้ำสำหรับชงชามะลิ และอุ่นข้าวสำเร็จรูปให้ร้อนหน่อย มื้อเย็นน่าจะหิวจัดจัดการไป 2 ชุดเลย กินข้าวไปพร้อมกับดูดาวไปด้วย ดาวเยอะมาก เจ้าหน้าที่และลูกหาบปิดไฟนอนหมดแล้ว ลืมบอกไปลูกหาบที่นี่จะนอนข้างบนเลยถ้าเราค้างแค่คืนเดียว เขาบอกว่าขึ้นกับใครก็ลงกับคนนั้น แต่ถ้านอนมากกว่า 1 คืนเขาจะลงและขึ้นมารับตามที่นัดกันไว้ เรามุดเข้าเต้นท์ไปนอนหลังจากน้ำค้างแรงมากขึ้น และเรื่องผีที่มาพร้อมเสียงกรี๊ดของกลุ่มใหญ่ที่สุดดังมาจากอีกด้านของลานกางเต็นท์ หลับไปตอนไหนไม่รู้แต่ตื่นมาตอนฝนตกกระหน่ำ เราก็ตื่นมาตรวจสภาพเต้นท์นะว่าน้ำเข้าหรือเปล่า แต่เราโชคดีที่เจ้าหน้าที่กับคุณอ๊อฟ (ลูกหาบ) กางให้เราในจุดที่ขุดทางน้ำรอบเต็นท์เรียบร้อยแล้ว เราก็นอนต่ออย่างสบายใจ มารู้ตอนเช้าว่าเป็นเต็นท์เดียวที่รอดจากน้ำเข้าเต็นท์



วันรุ่งขึ้นเราตั้งมือถือปลุกจะไปดูอาทิตย์ขึ้นแต่ก็ลืมไปว่าจุดที่ขึ้นนั้นเขาบังมองไม่เห็นก็เลยได้แค่ดูความสวยงามของทะเลหมอกเล็กๆ เพราะเพิ่งเริ่มหนาว แวะไปดูปรอทที่หน้าบ้านพักเจ้าหน้าที่ 17 องศา เบาๆ ไม่มากนัก





หลังจากออกไปเดินเล่นชมวิวเช้าเรียบร้อยก็ถึงเวลาเก็บของ กินข้าว และเดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะลงแล้ว พี่เขาก็มาเก็บเต้นท์ให้ เราให้คุณอ๊อฟเป็นธุระในการหารถเหมาเข้าไปอำเภอชาติตระการ เพราะไม่อยากค้างอีกคืน หมดโควต้าเที่ยวแล้ว เรารอให้เขาเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มออกเดินมาก่อนตอน 8.25 น. เพราะวันนี้คนลงเยอะ รวมทั้งกลุ่มที่เสียงดังด้วย งั้นขอไปก่อนนะ ขากลับฝนลงเป็นระยะเราต้องใส่เสื้อกันฝนด้วย แวะถ่ายรูปที่ป้ายก่อนลง



เรากำลังถ่ายรูปอยู่คุณอ๊อฟลูกหาบเราก็เดินมาบอกว่าวันนี้โชคดีได้เห็นทะเลหมอกแบบนิ่งๆ ปกติลมจะแรงวันนี้ไม่ค่อยมีลมให้ถ่ายไว้ด้วย เราก็ถ่ายมาได้อีกนิดหน่อย






และเราก็เริ่มเดินลง ขาลงเราไม่ค่อยชอบนักมันต้องเกร็งขา จิกเท้า แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก แวะถ่ายรูปตลอดขาลงเหมือนกัน ถ่ายได้นิดหน่อยพอมือสั่นก็เลิก เดินกินลมชมวิวกันต่อไป




เราลงมาถึงด้านล่าง 10.45 น. ใช้เวลาขาลง 2.20 ชั่วโมง พอลงไปถึงเราก็ไปคืนของ จ่ายเงินค่าลูกหาบ และรับเงินมัดจำคืน เจ้าหน้าที่ถามเราเป็นไงบ้าง เราก็ตอบไปว่าโหดกว่าที่คิดไว้ เขาบอกเหลือที่เดียวที่นี่แหละที่จะเป็นแบบนี้ หลังจากได้เงินคืนเราก็ไปอาบน้ำก่อนออกเดินทางไปชาติตระการ รถที่อ๊อฟหาให้เป็นของ อสม.ที่นี่ ก็คุยกันไปตลอดทาง เราบอกจะไปบึงกาฬต่อเขาก็บอกว่าบ้านเขาอยู่บึงกาฬ คุยกันไปมาถึงได้รู้ว่าที่นี่มีการจัดคิวลูกหาบไว้ทั้งหมด 300 คิว และทุกคนจะต้องส่งให้คนจ้างภายใน 6 ชั่วโมง ไม่อย่างงั้นหักเหลือกิโลกรัมละ 20 บาท การมาภูสอยดาวแบบไม่มีรถต้องมาทางพิษณุโลกจะสะดวกสุด และถ้าขากลับไม่อยากเหมาต้องค้างที่อุทยานฯอีก 1 คืนรถสองแถวออกจากที่นี่ตอน 6 โมง รอบเดียวต่อวันเท่านั้น พอมาถึงชาติตระการเราก็ต้องนั่งรอรถต่อไปพิษณุโลกอีกกว่า 2 ชั่วโมง แถมเจอรถหวานเย็นอีก เราจบทริปนี้ด้วยการนั่งรถจากพิษณุโลกเข้ากรุงเทพฯ หลับมาตลอดทาง



ทริปนี้สนุกที่ได้เห็นสิ่งที่คาดหวังไว้ทั้งหมด ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นยอดภูสอยดาวที่ต้องเดินต่อจากลานสนอีก 2.5 กิโลเมตร เพราะเปิดให้ขึ้นเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น เจ้าหน้าที่บอกใช้เวลาในการเดินไปกลับ 8 ชั่วโมง พอรู้อย่างนี้มันก็ท้าทายให้เราต้องกลับมาซ้ำที่ภูสอยดาวอีกครั้งเป็นแน่



ป.ล.รูปที่ถ่ายมาจะไม่ค่อยชัดนะครับ มันเหนื่อยจนมือสั่นเลย

ป.ล.2 ขอเถอะนะอย่าฝ่าดงดอกหงอนนาคเข้าไปเพื่อที่จะไปนั่งท่ามกลางดอกหงอนนาคแล้วถ่ายรูปเลย คุณได้รูปสวยแต่ดอกหักไปหลายต้นเลยนะ ช่วยกันรักษาให้คนที่ไปทีหลังบ้าง


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่

เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว



ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

 วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.15 น.

ความคิดเห็น