สวัสดี BROMO ดินแดนลมหายใจของเทพเจ้า"

ภูเขาไฟ Bromo อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติโบรโม่เทงเกอร์เซเมรู เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเทงเกอร์มาสซีฟ บนเกาะชวาตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย ยอดภูเขาไฟ Bromo มีความสูง 2,329 เมตร ซึ่งไม่ได้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย

Bromo มาจากตัวสะกดในภาษาชวาของคำว่า "พรหม" ซึ่งเป็นพระนามของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู และภูเขาไฟ Bromo เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ยังมีควันพุ่งออกมาอยู่ ซึ่งก็น่าจะเป็นที่มาของนามเรียกขานว่าเป็น "ดินแดนลมหายใจของเทพเจ้า"

เราเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพ -> ไปรอต่อเครื่องที่สิงคโปร์ -> และมุ่งหน้าสู่สนามบิน จูอันดา สุราบายา และเรื่องราวต่างๆจึงเริ่มขึ้น

วิวระหว่างทาง ที่รถขับผ่าน


บ้านหลังเล็กๆที่อยู่บนเนินเขา ^^

เห็นม้าแล้วอย่าเพิ่งดีใจไปยังไม่ถึงจ้าาาา ฮ่าๆๆๆ

รถที่เราจะนั่งต่อไป Bromo มันก็จะเท่ห์ๆหน่อย

แอบเก็บภาพระหว่างทางที่รถจี๊บพาไปขึ้น Bromo

เราชอบดูวิวระหว่างทางนะเราว่ามันสวยดี ^^


รถจี๊บพาเรามาส่ง ตรงนี้ก็เลือกเอาว่าจะเดินหรือขี่ม้า

พื้นที่บริเวณนี้จะเป็นทรายๆ ควรเตรียมหน้ากากอนามัยมาใส่ด้วย เพราะฝุ่นเยอะ

นางแบบส่วนตัว ต้องใช้งานให้หนัก โพสท่ากลางแดด 555

เส้นทางเดินเองก็ไม่ยาก แต่ถ้าขี่ม้าก็จะชิลๆ

ระหว่างทาง......น่าจะมีคนมาแกะไว้ ถ้าเป็นกลางคืนนี่ขอเผ่นนะจ๊ะ

ที่เราจะต้องเดินไปให้ถึงอยู่โน่นจ้า

พอเดินมาได้ซักครึ่งทางลองหันหลังกลับไปดู คือวิวมันดี เป็นเทือกเขาซ้อนๆกันอยู่ และวันที่เราไปท้องฟ้าโปร่งใสมาก (แดดเปรี้ยง)

เดินต่อ...ทุกคนสู้ๆนะ ^^

สำหรับคนที่ขี่ม้า มันจะมาหยุดตรงจุดนี้ให้เราเดินต่อไปบนปากปล่องภูเขาไฟ

ถ่ายภาพหมู่กันหน่อยก่อนเดินต่อ ปล.ใช้รีโมทกับขาตั้งกล้องของจำเป็นหากเราไม่มีตากล้องไป ^^

ตรงนี้ก็จะมีช่อดอกไม้สำหรับคนที่อยากเอาไปสักการะภูเขาไฟ Bromo ...โดยใช้โยนลงไปในปากปล่องภูเขาไฟ

บันไดสูงชันเดินขึ้นมาถึงมีหอบกันบ้าง ;P

นี่แหละปากปล่องภูเขาไฟ ควันพุ่งดังฟู่ๆๆๆ มาพร้อมกลิ่นกำมะถันฉุนๆ หอมนะต้องไปลองดมกันดู 555

นี่ไงดอกไม้ที่ซื้อมาจากด้านล่าง อธิษฐานแล้วโยนลงไป

พอถ่ายรูปนี้เสร็จเราก็ต้องรีบลงเพราะจะไปจุดชมวิวไม่ทัน อ๊ากกกกกกก

ถ่ายรูปหมู่กะน้องๆผู้ร่วมทริปกันหน่อย น่ารักทุกคน เสร็จจากถ่ายภาพหมู่พวกเราก็ต้องรีบกลับไปจุดชมวิว

แต่ๆๆๆๆ....และแล้วเรื่องราวไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น 555 เราไปจุดชมวิว Viewpoint ไม่ทัน... พระอาทิตย์ก็ตกแล้ว วิวตรงนี้ก็สวยไม่เบาเห็น Bromo เหมือนกันนะ ^^ ถ่ายจากตรงจุดที่เราเปลี่ยนรถเป็นพื้นที่ของรีสอร์ท(จำชื่อไม่ได้)


หลังจากเสพความงามช่วง Twilight พระอาทิตย์ตกแล้ว ไกด์ก็จะพาพวกเราเดินทาง(อันแสนยาวนานอีกประมาณ 6 ชั่วโมง) ต่อไปชมบลูเฟรม หรือไฟสีฟ้าที่ Kawah Ijen

พอมาถึงเราไม่มีเวลาเตรียมตัวอะไรกันมาก (น้ำก็ไม่ได้อาบ แฮ่ๆๆๆ) ไกด์ที่เรามาด้วยเค้าจะเตรียมหน้ากากกันก๊าซไว้ให้ (เราควรเตรียมหน้ากากอนามัยมาเองด้วยนะคะใส่ก่อนที่จะสวมหน้ากากกันก๊าซเพราะว่าไม่รู้ว่ามันผ่านใครมาบ้าง ฮ่าๆๆๆ)

จากนั้น...เดินค่ะ เดินๆๆๆ ถ้าใครคิดว่าเดินไม่ไหว ที่นี่เค้ามีบริการรถ Taxi (เป็นรถเข็นแล้วมีคนลากขึ้นไปค่ะ สบายๆ) ค่าใช้จ่าย Taxi ถ้าขึ้นจากจุดเริ่มต้นเลย ราคารวมไป-กลับจะอยู่ที่ 1,000,000 รูเปีย (ประมาณ 2,500 บาท) หรือ อยากจะลองเดินเองดูก่อนก็ได้ค่ะ ระหว่างทางจะมีรถ Taxi จอดอยู่ เรียกสอบถามราคาได้ ราคาก็จะถูกลงเรื่อยๆตามระยะทาง

....ระหว่างทางขาขึ้นทางเดินจะชันตลอดทางมีจุดแวะพักเป็นร้านค้า 1 จุด เราแทบไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยเพราะมืดมากจนเดินลงไปถึงจุดชม Blue Flame ตอนเดินลงต้องเดินด้วยความระมัดระวัง เพราะทางเดินเป็นหิน และทางลงค่อนข้างชันในบางจุด

พอถึงจุดที่ชม Blue Flame แสงสีฟ้าก็จะตามภาพ แต่ของจริงมันสวยกว่านี้นะ ฮ่าๆๆๆ แต่เราไม่ได้เดินลงไปใกล้มาก ใช้เลนส์ซูมเอาแค่พอเก็บภาพมาเป็นที่ระลึก ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นกำมะถันจะแรงมาก และอันตราย จำเป็นต้องใส่หน้ากากกันแก๊สไว้



เริ่มสว่างเราก็จะเห็นกำมะถันก้อนโต

ถ่ายรูปเสร็จก็กลับขึ้นด้านบนมีจุดแวะถ่ายรูปสวยๆ มองลงไปจะเห็น ทะเลสาบสีมรกต

จากนั้นเราก็กลับลงด้านล่างค่ะ เรานั่ง Taxi เลยได้ถ่ายรูปมาระหว่างทางบ้าง

หลังจากเที่ยวในส่วน Kawah Ijen เสร็จในช่วงสายๆ เราก็กลับไปยังที่พักแค่แวะอาบน้ำ(เป็นการอาบน้ำครั้งแรกตั้งแต่บินมา 555) พักผ่อน กินข้าวที่ Catimor Homestay เพื่อพักเอาแรงก่อนถึงช่วงบ่ายที่เราจะไปแวะน้ำตก

Homestay ที่เราเข้าไปพัก(อาบน้ำ กินข้าว )

ช่วงบ่ายเราออกเดินทางไปน้ำตก Belawan แต่พอไปถึง...น้ำน้อยซะงั้น 555

จากนั้นเราก็เดินทางกลับหลังจากตะลุยโหดมันฮา นั่งรถยาวๆ ประมาณ 7 ชั่วโมง พักกินข้าว 1 ครั้ง เพื่อกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม Sunshine Homestay Surabaya ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบิน Juanda Airport ก่อนเดินทางกลับ


จบทริป Bromo - Kawah Ijen ขากลับเรามาต่อเครื่องที่สิงคโปร์(รอต่อเครื่อง 8 ชั่วโมง) เลยได้แวะเที่ยวที่สิงคโปร์ก่อนกลับอีกนิดหน่อย ถือเป็นทริปที่คุ้มค่า โหดมันฮา และได้มิตรภาพกลับมามากมาย ใครอ่านเรามาถึงตรงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนรีวิวยังไงครั้งต่อไปจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะ ^^


***********************************************************************

สรุปทริป Bromo - Kawah Ijen

- งบ 15,000 บาท รวมค่าไกด์ , รถยนต์ที่พาเราไปทุกที่ รวมรับส่งสนามบิน ไปทั้ง Bromo , Kawah Ijen , น้ำตก Belawan , ค่ารถจี๊บ , ค่า Homestay พร้อมอาหารเช้า ,ค่าตั๋วเครื่องบิน(ตอนเราจองรวมไปกลับ ราคา 7,xxx บาท) ทุกอย่างอยู่ในงบ 15,000 ค่ะ ^^ (ปล.ไม่รวมค่าอาหารและค่ารถม้า ค่า Taxi นะ)

- เงินอินโดนีเซียใช้สกุล"รูเปีย" เราแลกไปเผื่อ 5,000 บาท(ประมาณ 1,980,000 รูเปีย) เหลือๆนี่รวมค่า Taxi ที่ขึ้น Kawah Ijen แล้ว เพราะค่าใช้จ่ายที่อินโดที่ใช้จริงๆก็จะมีแค่ซื้อน้ำ อาหาร ซึ่งไม่แพงเลย

- ค่าอาหารต่อ 1 มื้อ ไม่เกิน 100 บาท หรือถ้ากินในร้านอาหารกันแบบจัดเต็มหารเฉลี่ยประมาณ 100 - 150 บาท (เรากินเยอะมาก)

- ค่าขี่ม้า+คนจูง จะเป็นตอนที่จะขึ้นไปปากปล่องภูเขาไฟ Bromo ค่าขี่ม้าเค้าตั้งราคาไว้ประมาณ 100,000 รูเปีย(ประมาณ 250 บาท) แต่ถ้าเดินไปเรื่อยๆเค้าก็จะมาถามเรา เราก็สามารถต่อรองราคาลงมาได้อีกค่ะ อาจจะเหลือ 70,000 รูเปีย

- ค่ารถ Taxi ตอนขึ้นไปดู Blue Flame(เป็นรถเข็นแล้วมีคนลาก 3 คน ลากขึ้นไป) ค่ารถจากข้างล่างสุด-ไปถึงข้างบนก่อนจะต้องเดินลงไปจุดชม Blue Flame รวมทั้งไป-กลับ อยู่ที่ประมาณ 1,000,000 รูเปีย(ประมาณ 2,500 บาท) หรือจะลองเดินไปเรื่อยๆก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเรียกใช้บริการ Taxi มีเกือบตลอดทาง ราคาก็จะถูกลงด้วยค่ะ เส้นทางเดินลาดชัน ถ้าฟิตมาดีเดินไปเรื่อยๆก็สบายเลยค่ะ

- อาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อ , ปลา ,ไก่ , ผัดหมี่อินโด และเกือบทุกๆมื้อเราจะเจอข้าวเกรียบอันเล็กๆเหมือนเอาไว้กินเป็นเครื่องเคียง

***สิ่งที่ต้องเตรียมไป คือ ยาประจำตัวต่างๆเผื่อฉุกเฉิน , เสื้อกันฝน(เตรียมไปเผื่อ) . เสื้อกันหนาวกันลม และไฟฉาย(ใช้ตอนขึ้นไป Kawah Ijen) , ส่วนไม้เท้าเดินป่า(Trekking Pole) ไม่ต้องเอาไปจะดีกว่าค่ะ เพราะเราโดนยึดที่สนามบินตอนขากลับออกจากอินโดนีเซีย

ส่งท้ายด้วยภาพอาหารละกันนะคะ 555 รวมๆจากร้านอาหาร และของ Homestay

ผัดหมี่อินโด โปะด้วยไข่ และข้าวเกรียบ แต่ข้าวเกรียบหยิบกินไปก่อนแล้ว 555

อันนี้คล้ายๆน้ำพริกกะปิบ้านเราแต่ไม่อร่อยเท่า

มื้อนี้เราชอบสุด ยกเว้นผัดถั่วอะไรก็ไม่รู้เค็มๆมันๆ ทำมาจากถั่วเขียวหั่นเป็นแท่งๆ555

เห็นข้าวผัดกับข้าวเกรียบแล้วน้ำตาจะไหลเป็นเมนูที่น่ากลัวมากสำหรับเรา 555

ข้าวเกรียบอีกแล้วๆๆๆ ><

สุดท้ายเราฝากเพจน้อยๆ https://www.facebook.com/TravelChillChill จะพยายามมาลงเยอะๆ ฮ่าๆๆๆ




เที่ยวชิลชิล

 วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 23.55 น.

ความคิดเห็น