.

.

จันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีทั้งน้ำตก ป่าเขา วัดวาอาราม ชายหาด รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจอย่างชุมชนริมน้ำจันทบูร ผมเองมาเที่ยวเมืองจันท์หลายครั้งมากๆ ส่วนใหญ่จะพักแถวหาดจ้าวหลาวเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มาครั้งนี้ ผมได้ร่วมสนุกทาง FB : ท่องเที่ยวเมืองจันท์มันส์สนุกสุดใจ แล้วโชคดีได้ที่พักที่แหลมสิงห์ไวท์เฮ้าส์รีสอร์ท จำนวน 1 คืน ครั้งนี้เลยถือเป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้เปลี่ยนที่นอนจากหาดจ้าวหลาวมาพักที่หาดแหลมสิงห์ดูบ้างครับ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่ากิน ค่าเที่ยว ผมจ่ายเองหมดครับ

ผมมารอบนี้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง มีการทำป้ายบอกชื่อ “คุกขี้ไก่" ค่อนข้างถาวรแล้ว พร้อมมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้ดูน่าสนใจมากขึ้นครับ

ผมมารอบนี้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง มีการทำป้ายบอกชื่อ “คุกขี้ไก่" ค่อนข้างถาวรแล้ว พร้อมมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้ดูน่าสนใจมากขึ้นครับ

คุกขี้ไก่ เป็นคุกโบราณที่สร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2436 สมัยฝรั่งเศสเข้ายึดจันทบุรี สร้างขึ้นเพื่อกักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส เล่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานมากเพราะด้านบนของคุกจะใช้เป็นที่เลี้ยงไก่ แล้วไก่จะถ่ายมูลรดหัวนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกตลอดเวลาเลยครับ

คุกขี้ไก่สร้างด้วยอิฐแดง มีลักษณะเป็นหอสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละประมาณ 4 เมตร สูงประมาณ 7 เมตร มีประตูช่องทางออกเตี้ยๆ 1 ช่อง นอกจากนี้ยังมีช่องระบายอากาศอยู่ 2 ชั้น ทั้ง 4 ด้าน หลังคาของเดิมเป็นโครงไม้มุมกระเบื้อง รูปปิรามิด แต่ปัจจุบันชำรุดหมดสภาพไปแล้ว อีกทั้งตัวคุกขี้ไก่เริ่มมีการทรุดตัว ดูจากสายตาก็รู้ว่าเอียงครับ ถ้าหากจะเรียกคุกขี้ไก่เป็นหอเอนเมืองจันท์ คงจะไม่ผิดนัก

ไม่ไกลจากคุกขี้ไก่นัก จะพบกับอีก 1 สถานที่ทางประวัติศาสตร์ นั่นคือ “ตึกแดง" ครับ

ตึกแดงนี้ ชาวฝรั่งเศสสร้างขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างคุกขี้ไก่ ตึกแดงใช้เป็นกองรักษาการณ์และที่พักของทหาร ตัวอาคารสร้างจากอิฐถือปูน ทาด้วยสีแดง จึงเรียกตึกนี้ว่า “ตึกแดง"

ภายในตึกแดงจะแบ่งออกเป็น 5 ห้อง แต่ละห้องจะมีประตูเปิดถึงกันหมด และมีระเบียงทั้งสองข้างตามแนวยาว ตึกแดงได้รับการบูรณะเมื่อปี 2527 ภายหลังบูรณะใช้เป็นอาคารห้องสมุดและศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนของ อ.แหลมสิงห์ ต่อมาเลิกใช้ไปแล้วครับ

ภายในตึกแดงมีการนำปืนใหญ่หล่อด้วยสำริด น้ำหนักประมาณ 4 ตัน พร้อมด้วยลูกเหล็กกลมสีดำ และชิ้นส่วนโซ่ตรวนขนาดใหญ่มาจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม

ตึกแดงเริ่มชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ที่ฝั่งตรงข้ามของปลายกระบอกปืนใหญ่ สีของฝาผนังเริ่มหลุดร่อน แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักคือคราบของสีที่หลุดร่อนนั้น ปรากฏให้เห็นเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงครับ

ติดๆ กับตึกแดง จะเป็นจุดจอดเรือของชาวประมง จุดนี้มองเห็นสะพานแหลมสิงห์ได้ด้วยครับ

ใกล้ๆ ตึกแดงจะเป็นชายหาดแหลมสิงห์ครับ

ถึงแม้ว่าชายหาดแหลมสิงห์จะสวยไม่เท่าที่หาดจ้าวหลาว แต่ผมว่าที่นี่ค่อนข้างสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่านครับ

ริมชายหาดจะมีร้านอาหารทะเลมากมาย สามารถสั่งอาหารมาทานที่เตียงผ้าใบ นั่งกินลมชมบรรยากาศทะเลที่ริมชายหาดได้เลยครับ สำหรับเมนูแนะนำ มาที่นี่ไม่ควรพลาดชิม “หอยพอก" ตัวใหญ่ๆ สดๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ด อร่อยอย่าบอกใครเชียวครับ

อิ่มหนำกับอาหารและบรรยากาศแล้ว ผมขับรถเลียบริมชายหาดแหลมสิงห์ ตรงเข้าสู่ที่พัก แหลมสิงห์ไวท์เฮ้าส์รีสอร์ทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารครับ

แหลมสิงห์ไวท์เฮ้าส์รีสอร์ทอยู่บนถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ที่เลาะเลียบริมทะเลแหลมสิงห์ เป็นรีสอร์ทสไตล์บูติคขนาดเล็ก ที่ตกแต่งแบบเมดิเตอเรเนียนผสมผสานกับแนววินเทจ มีห้องพักอยู่ 8 ห้อง ดูเหมือนจะเป็นการบริหารงานกันภายในครอบครัว สำหรับที่มาของชื่อแหลมสิงห์ไวท์เฮ้าส์เพราะเจ้าของรีสอร์ทใฝ่ฝันว่าอยากจะมีบ้านสีขาวอยู่ริมทะเลครับ

ด้านหน้าของรีสอร์ทจะทำเป็นรั้วบานบุรี มองเห็นห้องพักสีขาว ที่หันหน้าเข้าหาทะเล

ตอนขับรถเข้ามาจอดในรีสอร์ท แอบสงสัยนิดหน่อยว่าจะติดต่อขอกุญแจห้องพักได้ที่ไหน อย่างไร เนื่องจากผมมองไม่เห็นอาคารที่ให้แขกได้เข้ามาติดต่อเรื่องห้องพักเลย ในขณะที่ผมกำลังที่จะโทรสอบถามกับทางรีสอร์ท พลันเจ้าของรีสอร์ทก็เดินออกมาต้อนรับครับ จริงๆ แล้วทางรีสอร์ทมี Service Room อยู่ด้านใน เห็นว่าจะย้ายออกมาด้านนอกในอนาคตข้างหน้านี้เหมือนกันครับ

มีสระว่ายน้ำพร้อมอ่าง Jacuzzi อยู่บริเวณด้านหน้าครับ อาจจะดูไม่ค่อยส่วนตัวสักเท่าไรหากมาเล่นน้ำ นอนแช่ Jacuzzi ช่วงที่มีแสงสว่าง เพราะผู้คนที่สัญจรไปมาสามารถมองเห็นได้ครับ

ฝั่งตรงข้ามของรีสอร์ทซึ่งอยู่คนละฟากถนน จะมีศาลาสำหรับให้นั่งทานอาหาร พร้อมมีเตียงผ้าใบ และเปลญวนให้แขกได้นั่งกินลมชมทะเลครับ

จากจุดนี้สามารถมองเห็นแหลมเล็กๆ ที่ยื่นออกมา มองดูคล้ายสิงห์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “แหลมสิงห์" ด้วยครับ

มาดูในส่วนของห้องพักกันบ้างดีกว่าครับ

ห้องพักแบบแรกตกแต่งแนววินเทจ มี 2 หลัง อยู่ติดกัน หลังหนึ่งตกแต่งโทนสีเหลือง ชื่อ Sweet Vintage และอีกหลังตกแต่งโทนสีฟ้า ชื่อ Blue Vintage ตัวอาคารสีขาวชั้นเดียวมุงหลังคาด้วยหญ้าคา ห้องหันข้างให้ทะเลครับ

พื้นที่ที่เชื่อมต่อกันของทั้งสองหลังตกแต่งเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ติดข้างผนังและมีสระน้ำเล็กๆ ด้วย ด้านซ้ายจะเป็น Sweet Vintage ซึ่งมีแขกเข้าพักอยู่ ส่วนด้านขวาเป็น Blue Vintage ซึ่งว่างอยู่ ผมเลยขอเข้าไปชมภายในห้องพักครับ

ภายในห้องจะให้โทนสีขาวและสีฟ้า ตกแต่งออกแนวหวานๆ เหมาะกับคู่รักครับ มีผ้าม่าน 2 ชั้น ที่นอนขนาด King Size พื้นที่ภายในห้องพักถือว่ากว้างดีทีเดียว

ภายในห้องน้ำ โถสุขภัณฑ์จะอยู่ติดกับฝักบัวอาบน้ำเลยครับ

ตะกร้าผ้าเช็ดตัว น่ารักเชียว

ที่หน้าห้องพักมีระเบียงพร้อมชุดม้านั่งแบบโครงเหล็กและเปล เตรียมไว้ให้แขกได้มานั่งพักผ่อนนอนเอนกายรับลมทะเลได้ทั้งวัน ติดกับระเบียงจะเป็นสระว่ายน้ำครับ

Little Morroc เป็นห้องพักที่ออกแบบผสมผสานกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมของโมรอคโค ห้องหันข้างให้ทะเล ห้องนี้เหมาะกับการเข้าพักเป็นครอบครัว เข้าพักได้ 6 คนครับ

ภายนอกตัวอาคารจะเป็นสีขาว มีดาดฟ้าให้นั่งสังสรรค์กันได้ด้วยครับ

หลังนี้จะมี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำครับ ห้องนอนแรกให้โทนสีฟ้า

ห้องนอนที่สองให้โทนสีเหลือง ภายในห้องมีเพียงเตียง มุ้ง และแอร์ครับ

ที่ปลายเตียงของห้องนอนสีฟ้ามีทีวี LCD ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ พื้นที่ห้องค่อนข้างกว้าง ผมว่าถ้าจะให้ดีน่าจะมีชุดโซฟาเพื่อให้แขกทั้งสองห้องได้มานั่งชมทีวีกันที่ห้องนี้

ห้องน้ำจะมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ก่อจากปูนขึ้นมาเองโดยเฉพาะ ไม่มีการแบ่งส่วนเปียกส่วนแห้ง เวลาจะอาบน้ำก็ยืนอาบน้ำจากฝักบัวในอ่างอาบน้ำเลยครับ

ชั้นดาดฟ้าจะเป็นพื้นที่โล่งพร้อมมีเก้าอี้และโต๊ะไม้เตรียมไว้ให้แขกได้มานั่งเล่นกันด้านบนครับ แต่โต๊ะและเก้าอี้ผ่านแดดผ่านฝนมาเยอะ เลยดูไม่ค่อยแข็งแรงครับ

President House ห้องพักสีขาวที่ออกแบบสไตล์เมดิเตอเรเนียน ที่หันหน้าเข้าหาทะเล ห้องนี้เหมาะกับคู่รัก เพื่อนฝูง และครอบครัว สามารถเข้าพักได้ 4 คน ห้องนี้อยู่ติดกับถนนเลยครับ

ด้านหน้าห้องพัก มีพื้นที่ให้นั่งพักผ่อนด้วย มีทั้งเก้าอี้ไม้ เปลญวน และเก้าอี้ชายหาดครับ

ภายในห้องพักตกแต่งโทนสีฟ้า ขาว ดูแล้วน่ารักเชียวครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องนี้มีตู้เย็น, ทีวี LCD, เครื่องปรับอากาศ, กาน้ำร้อน, เครื่องทำน้ำอุ่นครับ

ฝั่งตรงข้ามของห้องน้ำจะเป็นพื้นที่สำหรับอ่างล้างหน้า มีไว้ให้ 2 อ่าง พร้อมด้วยไม้แขวนเสื้อและลิ้นชักใส่ของครับ สังเกตว่าอุปกรณ์ตกแต่งห้องทุกอย่างจะเป็นสีฟ้าเกือบทั้งหมด และแต่ละอย่างจะให้อารมณ์ที่เกี่ยวกับทะเลครับ

ภายในห้องน้ำจะมีโถสุขภัณฑ์อยู่ติดกับอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ทางรีสอร์ทก่อสร้างขึ้นเอง ที่กระจกจะมีม่านที่ทำจากเปลือกหอย จริงๆ แล้วกระจกสามารถเปิดชมบรรยากาศภายนอกได้ แต่ผมพยายามเลื่อนเปิดดู แต่เปิดไม่ออกครับ

ตะกร้าผ้าเช็ดตัวและไดร์ฟเป่าผมครับ

มีน้ำดื่มให้ 2 ขวด และกาแฟ 3 in 1 ให้ 2 ซองครับ

ของตกแต่งภายในห้องก็กระจุกกระจิก ดูแล้วน่ารักดีครับ

มีชั้นดาดฟ้าให้ด้วย แต่ตอนที่ผมไปต้นไม้เริ่มแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทางขึ้น เลยไม่ค่อยสะดวกต่อการขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า ด้านบนจะเป็นพื้นที่เตรียมไว้ให้นั่งสังสรรค์กันครับ

มองจากชั้นดาดฟ้า เพียงข้ามถนนก็ถึงชายหาดแล้วครับ

บรรยากาศยามค่ำครับ

สำหรับอาหารเช้าจะเป็นข้าวต้มและปลาท่องโก๋ จะมีแม่บ้านมาเสริฟให้ที่ห้องตอน 08.00 น.

สำหรับจุดเด่นของห้องนี้คือเมื่อรูดม่านก็สามารถมองเห็นทะเลได้แล้วครับ

นอกจากห้องที่ผมพาไปชมแล้ว ยังมีห้องอีก 2 ประเภท ที่ผมไม่ได้เข้าไปชมด้านใน ได้แต่ถ่ายภายนอกมาครับ

ห้องพักนี้ดูเหมือนเพิ่งจะสร้างเสร็จครับ ด้านหลังของห้องพักเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ มองเห็นห้องพักอีก 3 หลังครับ

ห้องพักทั้ง 3 หลังเป็นแบบ Superior Cottage ในสไตล์ English Cottage เข้าพักได้ 2 คนครับ

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้ในทุกๆ ห้องพัก จะมีเครื่องปรับอากาศ, ทีวี LCD, เครื่องทำน้ำอุ่น, ตู้เย็น,ไดร์ฟเป่าผม และ free wifi ครับ

สำหรับการเดินทางมายังแหลมสิงห์ไวท์เฮ้าส์รีสอร์ทนั้นมาไม่ยากเลยครับ มุ่งหน้าสู่ อ.แหลมสิงห์ ตรงมาทางคุกขี้ไก่ เลยคุกขี้ไก่มานิดหน่อยจะพบสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายและตรงไปสุดทางจะเจอสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายอีกที ถนนจะเลาะเรียบชายหาดแหลมสิงห์ ขับไปเรื่อยๆ ก็จะถึงแหลมสิงห์ไวท์เฮ้าส์ รีสอร์ทอยู่ทางขวามือครับ

จากการที่ได้เข้าพักที่นี่ 1 คืน ผมว่าที่นี่เงียบสงบดี ห้องพักตกแต่งสวยงาม ทำเลที่ตั้งก็ใกล้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น คุกขี้ไก่ ตึกแดง หาดแหลมสิงห์ ประภาคารเก่า อ่าวกระทิง อ่าวยาง โอเอซิสซีเวิล์ด ร้านอาหารก็มีเยอะแยะมากๆ ครับ

สำหรับข้อด้อยที่ผมพบ

1. เนื่องจากเป็นกิจการที่เจ้าของดูแลเอง จึงมีพนักงานค่อนข้างน้อย แต่ถือว่าเจ้าของให้การต้อนรับและดูแลแขกที่เข้าพักเป็นอย่างดีครับ

2. อาคารที่ให้แขกได้มาติดต่อขอกุญแจห้องพัก (Service Room) อยู่เกือบด้านในสุด ซึ่งตามปกติแล้ว ควรจะตั้งอยู่ด้านหน้ารีสอร์ทครับ

3. รีสอร์ทอยู่ติดถนนและไม่มีรั้วรอบขอบชิดเท่าที่ควร แขกที่เข้าพักอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยบ้าง

4. สัญญาณ Wifi ไม่ค่อยเสถียรครับ

สายๆ ของวันใหม่ ผมไปเดินเล่นในตัวเมืองจันท์ เริ่มที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรครับ

ชุมชนริมน้ำจันทบูรเป็นชุมชนเก่าแก่ มีอายุยาวนานกว่า 100 ปีแล้วครับ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่นี่มีทั้งคนไทย คนจีน และคนญวนเข้ามาตั้งถิ่นฐาน เพราะที่นี่ทำเลดี มีการคมนาคมที่สะดวก เดิมทีเป็นศูนย์กลางการค้าขายทั้งขายส่งและขายปลีก เป็นสถานที่ตั้งของส่วนราชการ เป็นศูนย์กลางการผลิตงานหัตถกรรมและค้าขายเบ็ดเตล็ดครับ

มาเที่ยวที่แนะนำให้มาเยี่ยมชมที่ “บ้านเรียนรู้ชุมชนริมน้ำจันทบูร" ก่อนนะครับ ที่นี่จะจัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของชุมชนริมน้ำจันทบูร เป็นนิทรรศการภาพถ่าย เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ความรู้ของชุมชนให้กับนักท่องเที่ยวครับ

เกือบทุกครั้งที่ผมมาเที่ยวเมืองจันท์ ผมจะแวะมาเที่ยวที่ชุมชนแห่งนี้ มาเที่ยวที่นี่เหมือนได้เล่นเกมตามหา RC เพราะจะมีเหมือนแผนที่บอกว่าบ้านไหนมีของเด่นของดังอะไร ของเด่นของดังที่ว่าจะเป็นของทานเล่นทานจริงครับ

อย่างร้านนี้ ร้านก๋วยจั๊บป้าไหม ร้านอยู่ตรงหัวมุมเลยครับ ร้านเก่าๆ แบบนี้ ผมมาไม่ทันได้ชิมสักที มาทีไรก๋วยจั๊บหมดตลอด เลยได้แต่ชิมก๋วยเตี๋ยวน้ำก๋วยจั๊บแทนครับ

ต่อด้วยร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊อี๊ดครับ มาร้านนี้ต้องมาชิมก๋วยเตี๋ยวทะเลสูตรต้มยำ เรียกได้ว่ายกทะเลมาไว้ในชามเลยครับ มีทั้งกุ้ง กั้ง ปลาหมึก ปู รสชาติจัดจ้านแบบชาวญวน ทานได้แบบไม่ต้องปรุงรสเพิ่มเลย และอีกเมนูที่ไม่ควรพลาดคือ ข้าวหน้าพริกเกลือ ของทะเลสดๆ ลวกจิ้มทานคู่กับน้ำจิ้มพริกเกลือรสเด็ดครับ

ปิดท้ายด้วยไอศกรีมตราจรวด โรงงานทำไอศกรีมด้วยเครื่องจักรแห่งแรกของเมืองจันท์ครับ

จริงๆ ของทานเล่นมีมากมายในชุมชนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นขนมไข่สูตรโบราณ,ข้าวตัง,ขนมเทียนแก้ว,ขนมกุ้ยช่าย,บ๊ะจ่าง รวมถึงขนมโบราณอย่างขนมลืมกลืน ขนมโก๋ญวน ขนมกลีบลำดวนครับ

นอกจากของกินแล้ว ยังมีของเก่าๆ ให้น่าศึกษาหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายยาจังกวงอัน ร้านขายยาจีนเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่นี่มีตู้ยาโบราณ เครื่องชั่งยา มีดหั่นยา ครกตำยาทองเหลือง ที่หาดูได้ยากแล้วครับ

โรงเจเทียงเซ็งตึ้ง มีอายุกว่า 100 ปีเช่นกัน โดดเด่นด้วยลายฉลุไม้สวยงามมากๆ ครับ

อาคารเก่าๆ ที่หลงเหลือแต่ละหลังยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย ลวดลายการแกะสลักแบบฝรั่งเศส แบบไทย และแบบผสมผสาน เช่น ระบายชายคาไม้ฉลุแบบขนมปังขิง ช่องลมไม้ฉลุลายเถาดอกไม้ ราวระเบียงเหล็กหล่อลวดลายสวยงาม ลูกกรงหน้าต่างไม้ฉลุลายจีน สถาปัตยกรรมเหล่านี้มีความสวยงามและมีเอกลักษณะเฉพาะตัวจริงๆ ครับ

กาลเวลาเปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ ก็ชำรุดทรุดโทรมเป็นของธรรมดา ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักที่นี่ บอกเลยว่าผมหลงรักที่นี่ รักในความคลาสสิกของอาคารบ้านเรือน รักในความมีไมตรีจิตของเจ้าบ้านที่มีต่อนักท่องเที่ยว ผมจึงมาเที่ยวที่นี่แทบทุกครั้งที่ผมมาเมืองจันท์ การมาแต่ละครั้งก็เริ่มเห็นมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด และครั้งล่าสุดนี้ ผมเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก บ้านบางหลังเช่นร้านขนมไข่ป้าไต๊ เดิมเป็นบ้านตึกทรงยุโรป อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี มีช่องลมฉลุลวดลายดอกไม้ พื้นปูกระเบื้องดินเผาสีสันสวยงาม แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงบ้านใหม่ จนไม่หลงเหลือความมีเสน่ห์อีกแล้ว ทุกอย่างที่กล่าวมานั้น ปัจจุบันได้หายไปหมดแล้วครับ จริงๆ แล้วถ้าหากจะปรับปรุงบ้านใหม่ ผมว่ามันน่าจะมีวิธีที่จะเก็บรักษาของโบราณไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ไปนานๆ ครับ

อย่างอาคารหลังนี้เดิมคือบ้านหลวงราชไมตรี ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งยางพาราภาคตะวันออก บ้านหลังนี้เป็นเรือนไม้สักทอง ครั้งแรกที่ผมเห็นบ้านหลังนี้แทบอยู่อาศัยไม่ได้แล้ว แต่ยังหลงเหลือความสวยงามของลายฉลุที่ระเบียงและเชิงหลังคา ปัจจุบันได้ปรับปรุงใหม่หมดทั้งหลังแต่ยังคงเก็บลายฉลุต่างๆ เอาไว้เหมือนเดิม อาคารเปลี่ยนสภาพเป็นโรงแรม และได้เก็บเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมถึงของสะสมต่างๆ นำมาจัดแสดงและใช้งานจริงภายในโรงแรมด้วยครับ

จากชุมชนริมน้ำจันทบูร สามารถเดินขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำจันทบุรีเพื่อมายังโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมลครับ

โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมลหรือ อาสนวิหารพระแม่ปฏิสนธินิรมล เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิก มีลักษณะตามศิลปะแบบโกธิก เดิมทีเดียวหลังคาเป็นยอดแหลม แต่ได้มีการรื้อส่วนแหลมออกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อไม่ให้เป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศ แต่ปัจจุบันได้มีการนำยอดแหลมมาใส่ไว้บนหลังคาเช่นเดิมแล้ว ด้านหน้าของอาสนวิหารจะมีรูปปั้นพระแม่มารีด้วยครับ

ภายในอาสนวิหารตกแต่งด้วยกระจกสีนำเข้าจากฝรั่งเศสที่เรียกว่า สเตนกลาส เป็นภาพนักบุญต่างๆ จำลองแบบมาจากโบสถ์น็อตเตอร์ดามในประเทศฝรั่งเศสครับ หลังจากนั้นก็มีการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด ว่ากันว่าอาสนวิหารแห่งนี้มีความงดงามมากที่สุดในประเทศเลยครับ

สิ่งที่น่าสนใจในอาสนวิหารแห่งนี้ ผมว่าคงจะหนีไม่พ้น องค์แม่พระประดับพลอยครับ ยามต้องแสงไฟ จะมีความระยิบระยับที่องค์แม่พระสวยงามมากๆ ถ้าหากใครไปเที่ยวที่นี่แล้วต้องการเข้าไปชมด้านใน ควรจะแต่งกายให้สุภาพนะครับ ไม่ควรสวมใส่กางเกงขาสั้น กระโปรงที่สั้น เข้าไปด้วยอาการสำรวม หากต้องการจะถ่ายภาพด้านในไม่ควรโพสท่าทางที่ไม่สุภาพ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่คอยเข้ามาเตือน ควรถ่ายภาพด้วยอาการสำรวมครับ

ผมมาปิดทริปที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรีครับ

เดิมที่นี่เป็นศาลากลางเก่า ตัวอาคารเป็นอาคารแบบยุโรป ชั้นเดียว ก่ออิฐฉาบปูน เสาระเบียง กันสาด ช่องลม ตกแต่งด้วยไม้ฉลุลายสวยงามเชียวครับ นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตกได้อย่างลงตัว

จริงๆ แล้วเมืองจันทบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่มากๆ ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงในรีวิวนี้ และที่สำคัญเมืองจันท์อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงแล้วครับ เพื่อนๆ ลองใช้เวลาในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ มาพักผ่อนที่เมืองจันทบุรีดูนะครับ แล้วจะรู้ว่า เมืองจันท์มีอะไรดีมากกว่าที่คิดแน่นอนครับ

ความคิดเห็น