ทุกครั้งที่ผมเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพและจำเป็นต้องค้างคืน ผมมักจะหาที่พักหลักร้อยเป็นที่อาศัยหลับนอน เหตุเพียงเพราะผมไม่อยากกระเป๋าสตางค์รั่ว คุณภาพของโรงแรมที่ผมเลือกเข้าพักจึงแปรตามกันกับราคาที่จ่ายไป ในใจลึกๆ แล้วผมเองก็อยากมีประสบการณ์ดีๆ อยากเห็นวิวมุมสูงยามค่ำคืนของเมืองกรุงบ้าง แต่เมื่อมาคิดหน้าคิดหลังแล้ว ผมคงสู้ราคาของห้องพักไม่ไหว คงได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ไปวันๆ เท่านั้น จนผมได้มาร่วมสนุกทาง www.facebook.com/Tamkarnwelatrips แล้วโชคหล่นใส่อย่างจัง ได้รางวัลเป็นที่พักที่ Double Tree By Hilton Sukhumvit 1 คืน นอกจากนี้ยังมีอาหารเย็นและอาหารเช้าให้อีกด้วย แล้วฝันผมก็เป็นจริงขึ้นมาซักที

สำหรับการเดินทางมาที่ Double Tree ก็สะดวกมากๆ ครับ นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีพร้อมพงษ์ จากนั้นสามารถเดินเท้าไปยังDouble Tree ได้เลย โดยจะเลือกเดินเข้าซอยสุขุมวิท 24 หรือ 26 ก็ได้ หากเข้าทางซอยสุขุมวิท 24 เดินจากปากซอยประมาณสัก 150 เมตร จะพบโรงแรม Hilton อยู่ทางซ้ายมือ ให้เดินทะลุโรงแรม Hilton มาก็จะพบทางเข้าด้านหลังของโรงแรม Double Tree ครับ

แต่ถ้าหากเข้าทางซอยสุขุมวิท 26 จะผ่านหน้าโรงแรม Double Tree เลย โรงแรมอยู่ทางขวามือครับ แต่จากการที่ผมลองเดินทั้ง 2 เส้นทาง รู้สึกว่าเข้าทางซอย 24 จะเดินใกล้กว่าครับ

เมื่อเดินเข้ามาในโรงแรม ด้านขวามือจะเป็นบริเวณ Lobby การออกแบบเน้นรูปทรงโค้ง ถึงแม้ Lobby จะดูไม่อลังการงานสร้างเหมือนโรงแรมใหญ่ๆ แต่ผมว่าบริเวณ Lobby ที่นี่ดูน่าสนใจและค่าค้นหาดีครับ ด้านหลังของ Lobby ดึงเอกลักษณ์ของกรุงเทพด้วยภาพสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้ว วัดอรุณ พระที่นั่งอนันต์ฯ เสาชิงช้า ส่วนด้านหน้าและด้านข้างของ Lobby มีชุดเก้าอี้และโซฟาขนาดใหญ่เตรียมไว้ให้แขกได้นั่งรอระหว่าง Check in/ Check out ครับ

เมื่อ Check in เสร็จเรียบร้อย พนักงานค่อยๆ เปิดลิ้นชักและนำคุกกี้ที่ยังอุ่นๆ อยู่มอบให้ผมเป็นWelcome cookies ครับ ผมเพียงแค่แง้มถุงออกดูก็ได้กลิ่นหอมของคุกกี้ขึ้นมาเตะจมูกทันที แต่อดใจเอาขึ้นไปทานบนห้องพักดีกว่าครับ

หลังจาก Check in เรียบร้อยแล้ว ผมเกิดอารมณ์ติดพันจากแนวการตกแต่งบริเวณ Lobby ของที่นี่ เลยขอเดินสำรวจโรงแรมกันก่อนเลยครับ

ติดกับชุดโซฟาที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนจะพบกับจักรยานโบราณสีแดงวางคู่กับฉากกั้นที่ออกแบบจากโครงเหล็ก ดูเก๋ไก๋ไม่เบาครับ

ที่นี่จะมีลิฟต์อยู่ 2 จุด จุดแรกอยู่ไม่ไกลจาก Lobby มากนัก ด้านหน้าลิฟต์จุดแรกมีการตกแต่งด้วยเครื่องเล่นแผ่นเสียงและอุปกรณ์อะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นเครื่องแคชเชียร์เก็บเงินหรือเครื่อง slot machine สมัยโบราณกันแน่ เพราะผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน

เดินถัดออกมาจากลิฟต์ตัวแรก ระหว่างทาง ทางโรงแรมได้นำรูปภาพสมัยที่มีการปรับปรุงโรงแรมมาให้ชม ที่นี่รีโนเวทมาจากโรงแรมอิมพีเรียล ธาราครับ

ถัดมาหน่อยจะเป็น Connectivity Station ที่จัดเตรียมคอมพิวเตอร์ PC และ Printer ไว้คอยให้บริการครับ

บริเวณหน้าลิฟต์จุดที่ 2 มีการนำวิทยุโบราณมาตกแต่งไว้ที่ผนัง ต้องบอกเลยว่าวิทยุบางรุ่น ผมเกิดไม่ทันจริงๆครับ

ด้านข้างของลิฟต์จุดที่ 2 เป็นห้องน้ำ ผนังของทางเดินที่จะไปห้องน้ำ ออกแบบได้อย่างเก๋ไก๋ไม่แพ้จุดใดๆ มองตอนแรกก็ดูไม่ออกว่าใช้วัสดุอะไรในการตกแต่ง แต่พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นตลับเทปคาสเซ็ทครับ เชื่อว่าเด็กสมัยใหม่คงไม่รู้จักและไม่เคยเห็นเทปคาสเซ็ทแน่นอน

Concept การตกแต่งของ Double Tree จะออกแบบให้มีกลิ่นอายย้อนยุคแนวRetro ต้องยอมรับว่าตกแต่งออกมาได้โดนใจผมจริงๆ ดูเก่าแบบคลาสสิคและหรูหราควบคู่กันไป

ฝั่งตรงข้ามของ Lobby มีชั้นวางคุกกี้จำหน่ายด้วย ใครที่ทานคุกกี้แล้วติดใจ สามารถซื้อกลับไปทานที่บ้านได้ครับ บรรจุแพคเกจด้วยกล่องเหล็กอย่างดี

ทางเข้าด้านหลัง ที่อยู่ติดกับโรงแรม Hillton ครับ

ไปดูห้องพักกันบ้างดีกว่า ห้องที่ผมพักเป็นห้องแบบ Deluxe Room อยู่บนชั้น 21 ครับ

ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าห้อง ผมก็เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของโรงแรมแล้วครับ โดยปกติการจะมองดูหมายเลขห้องที่ติดอยู่หน้าประตูห้อง จะต้องเดินไปถึงหน้าประตู ถึงจะเห็นหมายเลขห้องใช่ไหมครับ แต่ที่นี่ออกแบบให้หมายเลขห้องมีมิติ ทำให้ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่หน้าประตูห้องก็สามารถมองเห็นหมายเลขห้องได้ในระยะไกลครับ

ภายในห้องให้โทนสีครีมน้ำตาล มีการใช้ลายไม้เข้ามาร่วมในการตกแต่ง พื้นห้องปูด้วยกระเบื้องลายหินอ่อน มีโต๊ะกลมสำหรับให้นั่งทำงานด้วยครับ

ด้านข้างของเตียงมีเก้าอี้ขนาดใหญ่ให้นั่งดูทีวีหรือจะชมวิวด้านนอกห้องก็ได้ ห้องไม่สามารถเปิดกระจกได้นะครับ

ในส่วนของห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้ง บริเวณโถสุขภัณฑ์ไม่มีสายฉีดชำระ ไม่มีอ่างอาบน้ำ มีแต่ Shower ผนังของห้องน้ำเป็นแบบผนังบานเลื่อน สามารถเลื่อนเปิดปิดในส่วนที่เชื่อมต่อกับเตียงนอนได้ ภายในห้องน้ำยังติดลำโพงที่เชื่อมต่อกับทีวีด้วยครับ สามารถเลื่อนเปิดผนังกระจก แล้วนั่งชมทีวีในห้องน้ำระหว่างทำกิจวัตรประจำวันได้เลยครับ

สำหรับผลิตภัณฑ์อาบน้ำ เป็นกลิ่นน้ำผึ้งผสมมะนาว หอมน่าใช้มากครับ

ฝั่งตรงข้ามกับห้องน้ำจะเป็นในส่วนของตู้เย็น และบริเวณที่เก็บเสื้อผ้า ตู้ไม้ด้านซ้ายเมื่อเปิดออกมาจะเป็นตู้เย็นและตู้นิรภัย ที่นี่ไม่มีตู้เสื้อผ้านะครับ จะมีเพียงราวสำหรับให้แขวนเสื้อเท่านั้น ติดกับราวแขวนเสื้อจะมีตู้แคบๆ เปิดออกดูจะพบกับเตารีดพร้อมที่รองรีด รวมถึงไฟฉายด้วย ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นทางโรงแรมเตรียมเตารีดและที่รองรีดให้กับแขกไว้ในทุกๆ ห้อง

ภายในตู้เย็นมีมินาบาร์เยอะพอสมควร ราคาก็พอสมควรเลยทีเดียวครับ

กาน้ำร้อน และน้ำดื่ม รวมถึงชา กาแฟ ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ฟรีครับ

มีบริการ internet ในห้องด้วย แต่คิดว่าเสียค่าบริการครับ แต่ผมคงไม่ได้ใช้ เพราะที่นี่มีบริการ Free wifi ด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นถึงความใส่ใจของที่นี่คือ มีเต้าเสียบปลั๊กไฟแบบ Universal ด้วยครับ

ที่หัวเตียงมีนาฬิกาปลุกและกระดาษโน้ตไว้ให้ด้วย นอกจากนี้ทีวีที่นี่มีหลายช่องให้เลือกดูครับ

มีเสื้อคลุมให้ด้วย

หลังจากสำรวจห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมค่อยๆ บรรจงนำคุกกี้ออกจากถุง กลิ่นที่หอมเตะจมูกทำให้ท้องผมร้องได้เลย ขอบอกเลยว่า คุ๊กกี้อร่อยมากๆ เลยครับ ทานคุกกี้ยังไม่ทันหมด พนักงานก็มาเคาะประตูห้องพร้อมกับมอบมาการองที่บรรจุในกล่องเล็กๆ ให้ ภายในกล่องเล็กๆ นั้นมีมาการอง 3 ชิ้นครับ แต่มาการองนี้ผมขอเก็บกลับบ้านเอามาฝากพ่อครับ

มองออกไปด้านนอกห้อง มองเห็นสระว่ายน้ำด้วย แต่เนื่องจากห้องผมเป็นห้องริมสุด จึงมองเห็นสระว่ายน้ำเพียงบางส่วนเท่านั้น มองออกไปไกลๆ มองเห็นตึกสูงๆ ด้วย คืนนี้ผมคงได้เห็นกรุงเทพมุมสูงอย่างที่ผมใฝ่ฝันแล้วครับ

ไปสำรวจจุดที่น่าสนใจจุดอื่นกันบ้างดีกว่าครับ ผมกดลิฟต์ไปที่ชั้น 7 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ เลาจน์ที่ใช้ชื่อว่า Mosaic บาร์ริมสระน้ำ ฟิตเนส และสระว่ายน้ำครับ

ประตูลิฟต์เปิดออกมาที่ชั้น 7 ก็มีน้องแกะสีทอง 2 ตัวยืนรอต้อนรับอยู่หน้าลิฟต์ครับ

เดินออกมาจากลิฟต์ จะพบเลาจน์ “Mosaic" ที่ตกแต่งแนว Retro มีนาฬิกาสมัยโบราณแขวนอยู่เต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ดนตรีสมัยเก่ามาให้ชมกันอีกด้วยครับ รับรองได้ว่าถูกใจคอแนว Retro อย่างแน่นอนครับ

ฝั่งตรงข้ามของเลาจน์ จะเป็นภาพแนว Mosaic ที่ทำเป็นรูปหน้าผู้หญิงทาปากสีแดง ดูแล้วพาลให้คิดถึง มาริลีน มอนโรเลยทีเดียว

บริเวณบาร์ริมสระน้ำ มีเก้าอี้สีสดใสในบรรยากาศชิลๆ ริมสระน้ำติดกับบาร์ริมสระน้ำเป็นที่ตั้งของฟิตเนสครับ

บรรยากาศของสระว่ายน้ำ ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสดใสเลยทีเดียว รายรอบด้วย Day bed รวมถึงDay bed กลางสระว่ายน้ำด้วยครับ

เดินเล่นกันพอสมควรแล้ว ถึงเวลาอาหารเย็นที่ห้องอาหาร Dee Lite ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นล่าง ฝั่งตรงข้ามกับบริเวณ Lobby ครับ

ที่นี่จะมีห้องอาหารอยู่เพียงจุดเดียว คือห้องอาหาร Dee Lite ให้บริการมื้อเช้า กลางวัน และเย็น แต่มื้อเย็นเปิดบริการตั้งแต่เวลา 18.00-22.30 น. บริการแบบ Buffet ครับ

บริเวณด้านหน้าของห้องอาหาร Dee Lite บรรยากาศน่านั่งเลยทีเดียว ภายในจัดเตรียมโต๊ะทานอาหารทั้งแบบนั่ง 2 คน 4 คน รวมถึงเป็นหมู่คณะ ออกแบบแนว Retro อุปกรณ์ตกแต่งมีทั้งของเก่า รวมถึงภาพถ่ายเก๋ ๆ รับรองว่าคนชอบการถ่ายภาพต้องประทับใจแน่ๆ ครับ นอกจากนี้ทางโรงแรมยังเปิดเพลงสากลยุค 70-80 คลอให้ฟังเบาๆ ยิ่งทำให้รู้สึกได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยนั้นจริงๆ

สำหรับผมขอเลือกนั่งมุมนี้ครับ ผนังเต็มไปด้วยรูปสวยๆ นั่งทานอาหารไป ดูรูปสวยๆไป ฟังเพลงไพเราะ คลอเบาๆ เพลิดเพลินกับการทานมื้อเย็นจริงๆ ครับ

มาดูอาหารกันบ้างดีกว่าครับ

เริ่มที่บรรดา Cold Cut มีให้เลือกกันตามชอบ

ชีสต่างๆ

สลัดผัก สลัดเย็น พาเหรดกันมาเป็นขบวนครับ

มุมนี้ผมไม่ได้ชิมเลยครับ เพราะท้องไม่มีใส่แล้ว

มุมอาหารจีน มีทั้งฮะเก๋า ขนมจีบ และซาลาเปาไส้หมูแดงครับ

มุมอาหารจีน มีข้าวมันไก่ ลาบหมู ยำไส้กรอก ยำวุ้นเส้น จริงๆ แล้วยังมีเมนูอาหารไทยอีกหลายเมนู เลย แต่ไม่ทันได้ถ่ายครับ

หมูในซอสเห็ด (Pork with mushroom sauce)

ไก่ในซอสพรุน (Chicken with prune sauce)

Beef stroganoff

Grilled fish with cream sauce

Pasta ผัดกับซอสมะเขือเทศ

มุมอาหารญี่ปุ่นครับ วันที่ผมไปทางโรงแรมไม่ได้ตั้งไว้ในไลน์ Buffet เนื่องจากมีคณะทัวร์จีนลง ทางโรงแรมจึงนำมาเสริฟให้ตามโต๊ะครับ

Seafood Station

เริ่มด้วยกุ้ง

Blue Mussel จากนิวซีแลนด์

หอยนางรมจากนิวซีแลนด์เช่นกัน

หอยหวาน

ปู

เพราะผมเกรงไขมันในเส้นเลือดจะกระฉูด เลยไม่กล้าทานอาหารทะเลเยอะ เลยจัดแค่นี้พอครับ

วัตถุดิบสดๆ ที่สามารถให้เชฟปรุงแต่งได้ตามต้องการครับ

สปาเก็ตตี้

ส้มตำ รสชาติเอาใจคนไทย จัดจ้านดีครับ

ก๋วยเตี๋ยวก็มีครับ

มาดูในส่วนของอาหารหวานกันบ้างดีกว่าครับ

เริ่มที่ข้าวเหนียวมะม่วง ผมมัวแต่เดินถ่ายรูป หันมาอีกทีหายเกลี้ยงเหลือแต่จาน สงสัยทัวร์จีนจะสอยไปจนหมดจานครับ

ทองหยอด

Carrot Cake

Chocolate Mud Cake

หาชื่อขนมไม่เจอครับ

Strawberry Cake

Orange Puppy Seed

Tiramisu

Coffee Cake

Berry Mousse

Berry Tart

Mousse

Pannacotta Cup

นอกจากนี้ยังมีไอศกรีมอีกด้วย แต่ผมลืมถ่ายมาครับ

ตบท้ายด้วยผลไม้ตามฤดูกาล

กับเครื่องดื่มเย็นๆ อย่างน้ำแตงโม และน้ำแอปเปิ้ลครับ

ผมตั้งใจไว้ว่าจะนั่งทานยันครัวปิดเลย เพราะผมไม่ต้องเดินทางไปไหนต่อ อิ่มปุ๊บก็เดินขึ้นห้องเลย แต่เวลาผ่านไปเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง ผมต้องยอมแพ้ครับ ยิ่งนั่งยิ่งอึดอัดมาก เรียกได้ว่าทานจนเหนื่อย และจุกมากๆ ครับ

ถ้าขึ้นไปนอนแบบนี้คงนอนไม่หลับแน่ๆ เลยขอไปเดินเก็บบรรยากาศยามค่ำที่ชั้น 7 ริมสระว่ายน้ำกันก่อนครับ

Mosaic ยามพลบค่ำ น่าสนใจกว่าตอนบ่ายอีกครับ บรรยากาศดีจริงๆ แขกชาวต่างชาติมาใช้บริการกันเยอะเลยครับ

ริมสระน้ำ แขกต่างชาติจับจอง Day Bed กันเป็นคู่ๆ นอนตากลมชมวิวแสงไฟของเมืองหลวงกัน

ภายในห้อง Fitness ครับ อุปกรณ์ออกกำลังกายเยอะดีครับ

หลังจากเก็บบรรยากาศเรียบร้อยแล้ว กลับไปพักผ่อนกันต่อที่ห้องพักครับ

เก็บบรรยากาศของห้องพักยามค่ำคืนอีกสักนิดหน่อย

มานั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก เห็นกรุงเทพมุมสูง นับเป็นครั้งแรกของผมที่ได้มีโอกาสนอนอยู่บนชั้นสูงๆ ณ กรุงเทพมหานคร

เตียงที่นี่ทั้งใหญ่ทั้งนุ่ม นอนสบายมากๆ หมอนก็นุ่มมากๆ ทิ้งหัวลงหมอนแล้วเหมือนหัวเราฝังลงไปในหมอนเลยครับ คืนนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมมีความสุขมากจริงๆครับ

เช้าวันใหม่ผมฝากท้องไว้ที่ห้องอาหาร Dee Lite เช่นเคย ห้องอาหารเปิดตั้งแต่ 06.00-10.30 น.ครับ

การจัดไลน์ Buffet จะคล้ายกับช่วงอาหารเย็นครับ แตกต่างกันที่เมนูอาหารเท่านั้น บางเมนูก็จะซ้ำกับอาหารเย็น เช่น อาหารจีนที่มีทั้งขนมจีบ ซาลาเปา รวมถึงสลัดผัก, ก๋วยเตี๋ยวด้วยครับ

ผมเริ่มที่ข้าวต้มครับ มีกับข้าวให้หลายอย่างเหมือนกันทั้งยำกุนเชียง ไข่เยี่ยวม้าครับ

Egg Benedict เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นและได้เคยชิมครับ นอกนั้นยังมี French toast, Bacon, ไส้กรอกลูกวัว, แพนเค๊ก และอีกหลายเมนูเลยครับ ผมเก็บบรรยากาศมาไม่หมด เนื่องจากแขกมาใช้บริการกันเยอะ เกรงใจแขกท่านอื่นๆ ครับ

แฮมและชีสต่างๆ

น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋

Pastry หลากหลาย

ขนมปังมีให้เลือกหลายชนิดเลยครับ

Banana Bread

Butter Cake

Roll มีให้เลือก 2 กลิ่นครับ

ทานคู่กับโกโก้ร้อน

ตามติดด้วยผลไม้ตามฤดูกาล

ฟรุทสลัด

นมเปรี้ยวและโยเกิต

ปิดท้ายด้วย Muesli ครับ

จากการที่ผมได้เข้ามาสัมผัส Double Tree โดยใช้เวลาอยู่ที่นี่ตลอด 2 วัน 1 คืน ผมเห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่ทางโรงแรมตั้งใจจะมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับแขกที่เข้าพักอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของห้องพักหรือการให้บริการ

สิ่งที่ผมประทับใจใน Double Tree

- การออกแบบของหมายเลขห้องที่มีการออกแบบให้หมายเลขห้องมีมิติ ทำให้สามารถมองเห็นเลขห้องพักได้โดยที่ไม่ต้องมายืนอ่านหมายเลขห้องพักตรงหน้าประตู ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นการออกแบบแบบนี้ จากที่นี่เป็นที่แรก

- มีเต้าเสียบปลั๊กไฟแบบ Universal ทำให้ผู้เข้าพักที่มาจากต่างถิ่นที่มีหัวปลั๊กไฟไม่เหมือนบ้านเรา สามารถชาจไฟได้อย่างไม่มีปัญหา

- ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี การจะขึ้น-ลง ลิฟต์ต้องใช้ Key Card มาควบคุมการเปิด-ปิดประตูลิฟต์ครับ

- พื้นที่ใช้สอยภายในห้องพักถึงแม้จะไม่กว้างขวางสักเท่าไร แต่การออกแบบโดยการนำกระจกเข้ามาเป็นส่วนประกอบ รวมถึงการออกแบบผนังห้องน้ำให้มีลักษณะแบบสไลด์เปิด-ปิดได้ จึงทำให้ห้องดูไม่คับแคบและอึดอัด อีกทั้งยังมีการออกแบบให้มีลำโพงที่ต่อมาจากโทรทัศน์ไว้ในห้องน้ำ ทำให้สามารถนั่งชมโทรทัศน์จากห้องน้ำในระหว่างทำภารกิจส่วนตัวได้อีกด้วย

- ถึงแม้ห้องพักจะอยู่ถึงชั้นสูง ๆ แต่ความแรงของน้ำนั้นเรียกว่าแรงได้ใจ อาบน้ำได้อย่างเพลิดเพลินครับ

- เตียงและหมอนนุ่ม นอนสบายมากๆ

- ทำเลที่ตั้งดี ใกล้สถานีรถไฟฟ้า สะดวกต่อการเดินทาง

- พนักงานมี Service mind ดีมากๆ ช่วงทานอาหารพนักงานดูแลเป็นอย่างดี

- อาหารหลากหลาย รสชาติอร่อยครับ

จุดด้อยที่พบ

- ผมติดใจเรื่องโต๊ะสำหรับให้แขกได้ใช้เขียนหนังสือหรือนั่งทานอาหารที่เป็นทรงกลมนี่แหล่ะครับ รู้สึกว่ามันจะกินพื้นที่ของห้องค่อนข้างเยอะ อาจเนื่องมาจากการเป็นรูปทรงกลม ทำให้จะเอาวางเข้าซอกเข้ามุมเป็นไปได้ยาก หากเป็นโต๊ะทรงสี่เหลี่ยม ผมว่าจะจัดให้เข้าที่เข้าทางได้ง่ายกว่าทำให้เพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้มากกว่านี้

- ราคาของ minibar ค่อนข้างสูงครับ

ท้ายสุดนี้ผมต้องขอขอบคุณ Double Tree By Hilton Sukhumvit ที่มอบโอกาสดีๆ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผม ทำให้วันหยุดพักผ่อนที่แสนธรรมดาของผมกลับกลายเป็นวันหยุดพักผ่อนที่ทำให้ผมมีความสุขมากๆ

ขอบคุณเพจ www.facebook.com/Tamkarnwelatrips ที่จัดกิจกรรมดีๆ มาให้แฟนเพจได้ร่วมสนุกกัน หากใครอยากโชคดีอย่างผม สามารถกดไลค์เป็นแฟนเพจได้เลยนะครับ เพจนี้มีรูปสวยๆ กิจกรรมดีๆ มาฝากแฟนเพจอยู่ตลอดเวลาครับ

ความคิดเห็น