ทริปนี้เกิดขึ้นช่วงปลายเดือนตุลาคม 2560 ออกเดินทางกัน 2 สาว สู่มณฑลเสฉวนซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศจีน แรกเริ่มเดิมทีทริปนี้ถูกจัดวางไว้เพื่อการเดินทางไปสู่จิ่วจ้ายโกว จุดหมายปลายทางยอดฮิตของชาวไทย แต่เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวที่จิ่วจ้ายโกวเสียก่อน เพื่อนสาวจึงเปิดโอกาสให้เราจัดแจงบรรเลงเปลี่ยนแผนได้ตามชอบใจ เกิดแผนการเดินทางจาก เฉิงตู-หมอซี-ไห่โหลวโกว-เยี่ยนจึโกว-เฉิงตู-เล่อซาน ขึ้น ทริปนี้เปลี่ยนที่นอนกันทุกคืนเลยค่ะ ดังนั้นเพื่อน ๆ ก็จะได้เห็นรีวิวโรงแรมหลาย ๆ แบบด้วย
สำหรับรีวิวตอนแรกนี้เพื่อน ๆ จะได้พบกับ
"หมอซีเจิ้น"
เมืองที่ขนาบไปด้วยภูเขาและโอบล้อมด้วยเมฆหมอกตลอดวัน
"ไห่โหลวโกว"
หนึ่งในธารน้ำแข็งที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลน้อยที่สุด
แช่ออนเซ็นแบบจีน
ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
ออกเดินทางสู่เฉิงตูด้วยสายการบินโลว์คอสที่เพิ่งเปิดให้บริการบินตรงในเส้นทางนี้มาไม่กี่เดือน โดยขาไปบินไปคนละวันกับเพื่อนสาว
ระหว่างทาง
เดินทางร่วมกับคนจีนจำนวนมากมาหลายครั้งก็ยังรู้สึกอึดอัด และไม่คุ้นชิน แต่ครั้งนี้เป็นหนักค่ะ ไม่รู้เนื่องด้วยที่นั่งภายในตัวเครื่อง หรือคนที่นั่งข้าง ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาระหว่างทางรู้สึกไม่สบายตัว อึดอัด เหมือนหายใจไม่ออก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมืองข้างล่างเต็มไปด้วยแสงไฟสีส้มจัดแลดูแล้วคล้ายกำลังบินอยู่บนทะเลเพลิง มองไปรอบ ๆ รู้สึกแคบไปหมด จนแอบกลัวว่าเหมือนตัวเองจะหายใจไม่ออกตายบนเครื่อง ทำไมมองเห็นด้านล่างแล้วล่ะ!!! อีกตั้งนานกว่าจะแลนดิ้ง!!! ...หรือว่า...หรือว่า...เราตายไปแล้วไม่รู้ตัวนี่!!! แล้วก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีกเลยจนถึงปลายทาง
พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจีนมาได้ก็เดิน ๆ หาที่นอนที่สนามบินอยู่นานมาก ๆ เนื่องจากมีคนจับจองไปหมด กว่าจะได้ที่ว่างก็เป็นมุมไม่ค่อยดีเท่าไร ไฟสว่างโร่ อยู่ตรงประตูสนามบิน พอประตูเปิดก็มีลมเย็นวูบเข้ามาเป็นพัก ๆ ซ้ำร้ายมีคนมานั่งตรงปลายเท้าขยับตัวอยู่เรื่อย นอนได้สักพักเลยต้องหาที่ใหม่ เป็นมุมสงบ เบาะนิ่ม ยืดตัวได้เต็มที่ คนไม่พลุกพล่าน หลับเพลินจน 6 โมงเช้า ก็ได้เวลาหาทางเข้าเมืองไปเจอเพื่อนสาวที่บินมารอแล้วค่ะ
เข้าเมืองด้วยรถไฟฟ้าใหม่แกะกล่อง
ตามที่หาข้อมูลมาการเดินทางเข้าเมืองมีทั้งใช้รถบัส แชร์รถกับคนอื่น แต่ท้ายที่สุดเราไปโดยวิธีนั่งรถไฟฟ้าซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ได้หาข้อมูลมา 55555
พอเดินลงไปยังชั้นรถไฟฟ้า Chengdu Metro สายใหม่ซึ่งอยู่ใต้ดินก็ซึ่งมีความใหม๊ ใหม่ มาก มองตรงไหนก็รู้สึกเงาวับกระแทกตาไปหมด เพิ่งเปิดเมื่อต้นเดือนกันยายนนี้เอง
แล้วเราก็จะพบกับสัญลักษณ์ของเมือง เจ้าหมีแพนด้า ที่คอยยิ้มต้อนรับเราอยู่
ราคาค่ารถไฟฟ้า Chengdu Metro แค่ 5 หยวนเอง นั่งไปจนถึงสถานี Huaxiba แวะหาเพื่อนสาวที่รออยู่ที่โรงแรม แวะกินอาหารเช้าฟรีที่โรงแรม แล้วเก็บของพากันเดินไปที่สถานีซินหนานเหมิน (新南门)
อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาว ขนาดน้ำส้มที่มีให้ยังเป็นน้ำส้มร้อนเลยค่ะ ไม่ใช่แค่อุ่นนะคะ ร้อนจี๋ลวกปาก ต้องค่อย ๆ จิบเลยทีเดียว
เดินทางสู่หมอซีเจิ้น
ซื้อตั๋วได้รอบเวลา 9.30 น. ราคาคนละ 115 หยวน เป็นตั๋วระบุที่นั่ง ขึ้นรถนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ก็มาถึงจุดพักรถจุดแรก
นั่งดูวิวเพลิน ๆ อีกไม่นานก็ถึงจุดจอดแวะกินอาหารกลางวัน จัดมาค่ะ ตามนี้
นั่งรถทั้งขึ้นเขา ลงเขา โค้งแล้ว โค้งเล่า บางช่วงต้องจอดเฉย ๆ ติดรถคันข้างหน้าเป็นอะไรไม่รู้เหมือนกัน
วิวระหว่างทางโดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ นี่ทั้งน่าหวาดเสียว ทั้งสวยงาม ภูเขา สายน้ำ ต้นไม้ สายหมอก ดูจะใหญ่ไปเสียหมด มองด้วยสายตาตรง ๆ อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหันซ้าย-ขวา มองขึ้น-ลง ถึงจะดูได้ครบ น่าเสียดายที่ภาพเหล่านี้ไม่สามารถบันทึกแทนความรู้สึกด้วยกล้องหรือมือถือมาได้ทั้งหมด มีแต่คนที่ตัดสินใจจะออกเดินทางไปตามหาเท่านั้นถึงจะได้ภาพเหล่านี้เป็นรางวัลตอบแทน
บางครั้งเผลอหลับไปตื่นมาอีกทีมองลงไปเป็นเหวแล้วเห็นรถแล่นลิ๊บบบบบบ ลิบ อยู่ด้านล่าง ชวนให้ตกใจทั้งว่าเราขึ้นมาสูงขนาดนี้ และทางมันทำได้น่ากลัวขนาดนี้เลยหรอ รถก็แล่นกันตั้งเยอะ ชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้ายจริง ๆ
หมอซีเจิ้นเมืองแห่งสายหมอก
เวลาผ่านไปประมาณ 8 ชั่วโมง ในที่สุดรถก็มาส่งที่สถานีรถบัสของหมอซีเจิ้น (磨西镇) ที่สภาพดูแล้วคล้ายมาส่งหน้าร้านอาหารมากกว่า
จัดแจงใส่เสื้อเพิ่มเพื่อกันฝน แล้วยืนงงอยู่สักพัก ก็เดินออกหาร้านกินข้าวกัน เค้าว่าของขึ้นชื่อของที่นี่คือ กระต่ายย่าง ไก่ย่าง แต่เค้าขายกันเป็นตัว
หันไปเลียบเคียงถามเพื่อนสาวแล้ว เธอไม่กินด้วย เราเลยได้แต่เลือกอาหารเสียบไม้ย่าง และมะเขือย่างมาลองแทะแก้ขัดไปก่อน
หลังจากนั้นก็เจรจาถามหารถแท็กซี่กับทางเจ้าของร้าน ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยก็ใจดีเหลือ บอกว่ามีรถไปส่งที่โรงแรมให้เรา ดูจากระยะทางไปถึงโรงแรมที่เราจองไม่ไกลมากหรอก แต่เปิดราคามาถึง 50 หยวน เพื่อนสาวก็กระแซะบอกว่าอากู๋บอกแค่นี้เองเดินไปได้ ดีนะไม่ลองเดินไปจริง ๆ
ในเมื่อยังหาข้อสรุปไม่ได้ ก็พักเรื่องรถไปแป๊บ ฝากกระเป๋าไว้ที่เถ้าแก่ (ลืมจ่ายตังค์ค่าอาหารอีกตั้งหาก) แล้วเดินออกไปช้อปปิ้งหาของกินเผื่อไว้ไปกินในอุทยานไห่โหลวโกว (海螺沟) ในวันพรุ่งนี้ ต่อด้วยลองหาเครื่องดื่ม และของหวานกินเพิ่ม
เครื่องดื่มทำไม่นาน แต่ขนมทำนานมาก เหมือนจะผสมแป้งใหม่หลังจากเราสั่งเลยให้เวลานานกว่าจะเสร็จ
รสชาติพอใช้ได้จ้า
เดินกลับมาที่ร้านแรกซึ่งเราฝากกระเป๋าไว้ก็จัดการจ่ายเงินค่าอาหาร แล้วให้เถ้าแก่โทรเรียกรถให้ เถ้าแก่ยุ่งแต่ก็ใจดีเกิ๊น ยื่นโทรศัพท์ให้เรากดโทรเอง ป๊าดดดด รอให้เถ้าแก่คุยให้ดีกว่า หลังจากเถ้าแก่ต่อสายคุย ถอนหายใจยังไม่เสร็จ คนขับก็มายืนยิ้มรอรับที่หน้าร้านแล้ว เฮ้ย! อะไรจะไวปานนั้น
ขึ้นรถไปได้ไม่ทันไร คนขับก็มีสายเข้า คุยเหมือนเรื่องสำคัญไม่ยอมวาง แล้วก็มาจอด ณ ที่แห่งหนึ่ง...อยู่นาน...มารับเพื่อนไปส่งอีกที่ซึ่งไม่ไกลมาก เพื่อนเดินไปก็พออยู่น้า แล้วค่อยไปส่งเราที่โรงแรม คือไรว้า?!?!
ที่พักคืนแรกนี้คือ ไห่โหลวโกวก้งกาเฉินทังเวินเฉวียนจิ่วเตี้ยน (海螺沟贡嘎神汤温泉酒店) รีวิวโรงแรมเดี๋ยวจะทำแยกไว้ต่างหากนะคะ
ระยะทางจากเมืองไปที่พักในคืนแรกของเรานี้ดูในแผนที่เหมือนจะใกล้ แต่ในความเป็นจริงคือ เป็นทางขึ้นเขาโค้งไปมาใช้เวลาราว 20 นาที ควรใช้คนขับที่ชำนาญทาง แถมตอนที่เราไปก็มืดแล้ว และหมอกลงจัดอีกต่างหาก ทำให้รู้สึกว่าค่ารถ 50 หยวนที่ต้องจ่ายนั้นไม่แพงเลย เป็นค่าความชำนาญทางคนขับค่ะ
หลังจากเช็คอินราวช่วงเกือบสี่ทุ่ม ก็พบว่าห้องที่จองมาไม่ได้ระบุว่ารวมค่าน้ำพุร้อนไหม น้องพนักงานที่เคาท์เตอร์ยืนยันว่าไม่รวมแน่ ๆ ถ้าจะใช้บริการน้ำพุร้อนต้องจ่ายเพิ่ม ทำให้ราคาห้องทั้งหมดรวมเป็น 900 หยวน (เราเลือกห้องที่เห็นวิวภูเขาด้วยไม่ใช่ห้องราคาต่ำสุดของโรงแรม)
สำคัญที่สุดคือ น้ำพุร้อนปิดห้าทุ่มจ้า (เปิดแปดโมงเช้า แต่เราก็มาใช้บริการไม่ได้อยู่ดี พรุ่งนี้ต้องออกไปไห่โหลวโกวแต่เช้า) รีบตาเหลือกไปโยน ๆ ของเก็บในห้องเปลี่ยนชุดว่ายน้ำลงมาให้บริการน้ำพุร้อนทันที
แช่ออนเซ็นแบบจีน
เมื่อมาถึงเมืองหมอซีเจิ้น หลาย ๆ คนจะเห็นว่าทั้ง ๆ ที่ในเมืองแสนจะหนาวขนาดนั้น แต่ยังมีหลายร้านขายชุดว่ายน้ำกันอยู่ ก็เพราะตรงบริเวณทางไปไห่โหลวโกวมีแหล่งน้ำพุร้อนที่ขึ้นชื่อของแถบนี้อยู่ไงคะ ชุดว่ายน้ำก็เอาไว้สำหรับใส่ลงบ่อออนเซ็นของที่นี่นั่นเอง
พุ่งตัวไปกันเลย ทางเข้าจะมีบ่อล้างเท้าทำความสะอาดให้ลุยเดินเข้าไป
มีสระว่ายน้ำแบบออนเซ็น ภาพนี้ถ่ายตอนจะออกมา แต่ตอนแรกที่เข้าไปคนแน่นมากจนไม่กล้าลงไป
เราเดินเข้าไปข้างในลึก ๆ หน่อย จะเป็นบ่อเล็กมีหลายอุณหภูมิ
บ่อที่เขียนว่า 38 องศา ลงไปจะหนาวมาก ส่วนใหญ่บ่ออุณหภูมิประมาณนี้จะโล่ง ไม่มีคนลง ต้องลงบ่อที่เขียนว่า 70 องศา ไม่รู้ว่า 70 จริงไหม พอหย่อนตัวลงไปได้สักพัก กำลังดีเลยหล่ะ แต่คนก็จะเยอะหน่อย แถมฝนตกปรอย ๆ อีกต่างหาก ถ้าคนเยอะ ไม่ได้ยืนในร่มก็ต้องแช่แบบตากฝนกันไป
ถ่ายรูปตอนเค้าจะปิดแล้ว เลยไม่เห็นคน
ระหว่างแช่น้ำพุร้อนก็คุยกับคนจีนที่ลงมาแช่ด้วยกัน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เค้าก็พยายามชวนเราคุยดีจริง ๆ
แช่จนเค้าประกาศปิดบริการ เลยรีบวิ่งฝ่าความหนาวกลับห้อง
ฟินสสสสส์กับออนเซ็นกันไป สบายตัว กลับมานอนสลบไปยันเช้าเลยทีเดียว แม้แต่เวลาไปกินข้าวเช้าโรงแรมยังไม่ทันเลย โอ๊ย เสียใจสุด ณ จุดนี้
ยังอย่าเพิ่งมัวแต่เสียใจ ความหายนะกำลังจะเกิดขึ้น....
ลงมาที่เคาท์เตอร์ 5 นาทีก่อนรถโรงแรมฟรีที่จะพาไปไห่โหลวโกวออก
1. ลืมคีย์การ์ดไว้ในห้อง แต่เพื่อนสาวลืมเสื้อกันฝนไว้ข้างในต้องเข้าไปเอา
2. เพื่อนสาวลืมรองเท้าไว้ที่ออนเซ็นตั้งแต่เมื่อวาน แล้วตอนนี้ประตูมันปิด หึ หึ
3. ซื้อตั๋วไปไห่โหลวโกว พร้อมรถไปส่งฟรีไม่ได้แล้ว เค้าบอกว่าต้องมาซื้อตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า...สักพัก เค้าก็บอกมีตั๋วให้แล้ว...อุตส่าห์หลงดีใจจะได้มีเวลากินข้าว
4. ต้องเช็คเอาท์ก่อนขึ้นรถ
5. คนจีนจำนวนมากกำลังวุ่นวายที่เคาท์เตอร์เช่นเดียวกับเรา ให้จินตนาการภาพนะว่าเป็นคนจีน มันจะวุ่นวาย ล้งเล้งขนาดไหน
แล้วเราต้องทำทุกอย่างให้เสร็จ ณ ตอนนั้นทันที เพราะเค้าบอกว่ารถมารอแล้วขึ้นรถได้ ภาษาจีนผุดออกมาจากสมองแบบเป็นภาษาแม่เลยทีเดียว จนทุกอย่างเสร็จได้ทันขึ้นรถ โดยน้องพนักงานเค้าให้คีย์การ์ดสำรองไปเปิดห้อง แล้วก็ปีนไปเอารองเท้าให้ ฝากของไว้ที่เคาท์เตอร์แบบเอ็กคลูซีฟและยังไม่เช็คเอาท์ เรามีหน้าที่แค่วิ่งไปรอขึ้นรถคอยสกัดไม่ให้คนขับออกรถก่อนเพื่อนมา แล้วภาวนาให้เพื่อนไปเอารองเท้ากลับมาได้ทันเวลา
เมื่อไรจะถึงไห่โหลวโกว
ถ้านับจากระยะทางที่รอนแรมมานานขนาดนี้แล้ว คิดว่านั่งรถอีกไม่นานเท่าไรก็คงถึง แต่ในความจริงไม่ใช่เลยเราต้องนั่งรถเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวาราวอีกครึ่งชั่วโมงกว่าถึงจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์
หน้าตาตั๋วเข้าอุทยาน+รถชมอุทยานราคา 90+70 = 160 หยวน
แล้วเหตุการณ์เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อคนจีนที่ชวนคุยข้าง ๆ ชี้ชวนให้ดูด้านนอกรถแล้ว
บอกว่า
"หิมะตก เมืองไทยไม่มีหิมะใช่ไหม" แล้วก็ยิ้ม ๆ
เราก็ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี คนที่อยู่เมืองร้อน ใคร ๆ ก็อยากเห็นหิมะทั้งนั้น แต่...เรายังไม่พร้อม เนื่องจากว่าดูจากอุณหภูมิที่เป็นตัวเลขก่อนมาแล้วคิดว่ามีแค่ฝนตกปรอย ๆ เท่านั้น เลยเอาเสื้อกันหนาวบาง ๆ น้อย ๆ ติดมาแค่สองตัว แล้วหิมะตกนี่จะรอดไหม รองเท้าก็ว่าจะมาซื้อใหม่ตอนมาจีน แต่ยังไม่มีเวลา สนุกอีกแล้วล่ะสิ
พอลงรถมาได้เจอปัญหาใหม่คุณเพื่อนบ่นคลื่นไส้ วิ่งไปอ้วกทันที โอ้ว ดีนะที่พวกเราไม่ได้กินข้าวเช้ามา ไม่อย่างนั้นคงได้อ้วกกองโตกว่านี้แน่ แอบกลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องอาการแพ้ที่สูงกันหรือเปล่า เพราะจุดที่รถมาจอด และเป็นจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์นี้ความสูงก็ 2,980 เมตรแล้ว
ถ้าช่วงที่อากาศเปิดตรงจุดที่รถบัสมาจอดนี้ จะมองเห็นวิวยอดเขาที่ใหญ่โตจนเหมือนจะสูงไปทะลุท้องฟ้า มันเป็นภูเขาที่ใหญ่จนเราต้องเบิ่งตามองว่าที่เห็นน่ะเป็นภาพจริงหรือฝัน เสียดายที่ช่วงเวลาแห่งความสวยงามของธรรมชาตินั้นอยู่ได้ไม่นาน พอหมอกมาบังก็ไม่เห็นแล้ว
ก่อนขึ้นไปข้างบนก็ไปหาของกินรองท้องตอนเช้า และหาเครื่องกันหนาวเพิ่มเติม เช่าเสื้อกันหนาวตัวละ 50 หยวน บอกเลยว่าคุ้มมาก ไม่งั้นทนไม่ไหว เที่ยวไม่สนุกแน่นอน
ทิวต้นสนท่ามกลางหิมะที่ค่อย ๆ โปรยลงมา (เหมือนจะมีฝนผสมลงมาด้วยนะ)
ในรีวิวมีแนะนำว่าถ้าเดินขึ้นตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติก็จะได้บรรยากาศกว่า แต่เราดูแล้วว่า อากาศแบบนี้แค่ขยับตัวหยิบของยังลำบากเลย ต้องขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปกลับแล้วหล่ะ ราคาตั๋วอยู่ที่ 150 หยวน
เมื่อธรรมชาติเผยความงามออกมา
หลังจากขึ้นกระเช้ามาได้เราก็จะพบกับความงามของธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไปตามระดับความสูงเริ่มตั้งแต่ป่าสนสีเขียว ป่าสนสีเหลืองท่ามกลางสายหิมะที่ค่อย ๆ โปรยปรายลงมา
เท่าที่เคยอ่านรีวิวก่อนมา บางคนบอกว่าที่นี่สวยมาก บางคนบอกว่าที่นี่ไม่สวยเลย ความเห็นค่อนข้างต่างกัน อาจจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ได้มาเห็นด้วย ถ้าอากาศปิด ขมุกขมัว ไม่เห็นอะไรเลย พื้นดินเป็นดำ ๆ ไม่มีหิมะตกคงไม่สวยแบบนี้
สำหรับเราถือว่าโชคดีได้มาเห็นช่วงที่สวยงามของที่นี่ เราว่าสวยกว่าสถานที่อื่น ๆ ในจีนที่เคยไปมาอีก
นอกจากนี้เรายังต้องทึ่งกับการก่อสร้างเคเบิ้ลคาร์ของพี่จีนที่ทำได้อย่างมหัศจรรย์มาก ลองมองไปไกล ๆ นั่นสิ จะเห็นทางเดินเล็กกกกก เล็ก ไม่น่าเชื่อว่าเราจะขึ้นมาแขวนเคว้งคว้างได้สูงขนาดนี้
ถัดจากวิวป่าสนสีเขียว สีเหลือง ก็จะเห็นวิวป่าสนที่ถูกเคลือบไว้ด้วยหิมะแบบนี้
น้ำตกสายน้อย ๆ หลายสิบสาย ที่ไหลลงมาจากยอดเขาที่สูงเทียมเมฆ อุณหภูมิน้ำตอนนี้คงเย็นฉ่ำน่าดู
แอบถ่ายจากช่องลมด้านบนเคเบิ้ลคาร์
หลังจากจุดสิ้นสุดเคเบิ้ลคาร์ ความสูงที่บริเวณนี้จะอยู่ที่ 3,400 เมตร จะมีทางเดินให้ไปชมความงามในเส้นทางต่าง ๆ ดังนั้นเวลาเดินชมไม่ควรรีบเร่งจนเหนื่อยเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่สูงได้
ตอนแรกเราก็คิดว่าเส้นทางเดินชมมีแค่จุดเดินไปดู No.1 Glacier ที่เดียวเสียอีก เพิ่งมาค้นพบที่หลังว่ามีเส้นทางเดินชมหลายจุดทีเดียว ดังนั้นเวลาไปเผื่อเวลาสำหรับเที่ยวที่นี่ 1 วันเต็มไปเลยก็จะดี
อุทยานไห่โหลวโกวแห่งนี้จัดว่าเป็นอุทยานระดับ AAAA ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของภูเขา Gonggar ซึ่งยอดเขานี้นับว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในมณฑลเสฉวนมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 7,556 เมตร ธารน้ำแข็งที่นี่เป็น typical modern marine glaciers ซึ่งพบได้ยากในที่ละติจูดต่ำ และที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลต่ำ ๆ เช่นนี้ จุดที่ต่ำที่สุดอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 2,850 เมตรเท่านั้น
ยอดเขา Gonggar
จะถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี สามารถมองเห็นยอดเขาได้จากหลายจุดทั้งจากในเมือง หรือในอุทยาน วันนี้หิมะ และหมอกลงหนัก
ทำให้ได้เห็นยอดของ "ราชาแห่งขุนเขาของเสฉวน" หรือ "จุดสูงสุดของแชงกรีล่า" ได้เพียงแว่บเดียวเท่านั้น
เขา Gonggar เปรียบเสมือนแม่ของไห่โหลวโกว และธารน้ำแข็งอื่น ๆ ในบริเวณนี้ โดยมี No.1 Glacier เป็นพี่ใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 14.2 กิโลเมตร และอีก 6 กิโลเมตรแผ่เข้าไปในป่าสนอันบริสุทธิ์ซึ่งพบได้ยากในโลก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ปัจจุบันปริมาณธารน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่ได้ลดลงไปเรื่อย ๆ ตามสภาวะโลกร้อน
กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทำอีกอย่างหนึ่งในยามรุ่งอรุณก็คือ ออกมาชมยอดเขา Gonggar สัมผัสแสงแรกของวัน จนมองเห็นเป็นยอดเขาสีทอง
นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ยังมียอดเขาที่มีความสูงไล่เลี่ยกันอยู่อีกหลายยอด
เรานั่งรอเผื่อหิมะ และหมอกจะเบาลงจนเห็นยอดเขา แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เลยออกเดินต่อพบว่ามีทางน่าเดินไปอีกหลายที่เลยที่เดียว ต้องรีบเดินแล้วสิ
ไม่น่าเชื่อหนาวขนาดนี้ ใบไม้แดงยังอยู่เลย
รีบจ้ำ ๆ กลัวไม่ทันเวลา หันกลับมาอีกทีคุณเพื่อนเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติที่นี่ มัวแต่กดบันทึกภาพมากไปหน่อยเกิดภาวะนิ้วชาไร้ความรู้สึกค่ะ เลยต้องไปขอความช่วยเหลือจากร้านค้าให้ต้มน้ำร้อนจี๋เอามาล้างมือ เอ๊ย ไม่ใช่ เอามาอังมือให้เลือดไหลเวียนขยับนิ้วได้เป็นปกติ
ทางเดินขึ้นบันไดแบบนี้อาจจะดูเดินไม่ยากเมื่ออยู่บนพื้นราบ แต่พอมาเดินในที่อากาศเบาบาง หนาวจับใจ และยังหิมะตกอีก ก็ลำบากไม่ใช่เล่นเลยนะ
มุมนี้ดูเหมือนที่เอ๋อเหมยซัน
เดินต่อไปอีกนิดจะเจอ Chakrasamvara Pagoda ซึ่งเป็นศิลปะแบบธิเบต
จุดหมายสุดท้ายของที่นี่ที่เราเลือกจะเดินตามหาก็คือ หาดหินแดง อยากเห็นว่ามันจะแดงเหมือนในรูปจริงไหม เพราะเรามีแพลนที่จะไปดูที่ Yanzigou ในวันต่อไปด้วย
เห็นความแดงของก้อนหินอยู่บาง ๆ นะ
บางมากจนสีขาวของหิมะเด่นกว่า แย่ล่ะ พรุ่งนี้จะเป็นแบบนี้ไหมนี่
พอมองกลับไปด้านล่าง สวยมาก จนไม่อยากกระพริบตาเลย
ถ่ายรูปได้สักพักก็ต้องรีบจ้ำลงกลัวไปไม่ทันรถรอบ 4 โมงเย็น ว่าจะพักกินข้าวก่อนลงด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะเดินกันจนเพลินขนาดนี้
ก่อนลงเคเบิ้ลคาร์ แวะกินข้าวกล่องระบบอุ่นร้อนแบบไม่ต้องเวฟกับชานม ข้าวแข็งมากจนคิดว่าเป็นข้าวปลอมทำจากเม็ดพลาสติก กับก็รสแบบต้องฝืนทน...แนะนำว่ากินมาม่าดีกว่านะ อร่อยกว่ามาก
ขากลับลงรถผิด นั่งหลับเลยมาถึงในเมือง เดือดร้อนต้องหารถกลับไปโรงแรมใหม่
กลับมาถึงในเมืองก็มีปัญหาโรงแรมไม่ได้รับการจองจาก agoda ไม่รู้จัก agoda ด้วยซ้ำ วุ่นวายมาก ห้องก็เต็ม ดีนะเป็นระบบไปจ่ายที่โรงแรม ไม่ได้ตัดเงินไปก่อน เราเลยไปเดินหาเอาเอง ได้โรงแรม The Glaciers Impression Hotel คืนละ 200 หยวน
เก็บของเสร็จออกมาเดินหาโรงเตี๊ยม หาอะไรอร่อย ๆ กินกัน
ยกข้าวมาให้เป็นถังเลย
ได้ข่าวว่าเมนูเด็ดเมืองนี้คือ เบค่อนผัดมันฝรั่ง โอ๊ยยยยยย หอมกลมกล่อมจริง ๆ ด้วย
กินคู่กับซุปผักอะไรไม่รู้ลืมชื่อแล้ว ไปยืนชี้ ๆ ให้เถ้าแก่เนี้ยแนะนำถึงหน้าตู้
หลังจากนั้นก็ไปเดินช้อปปิ้งของเพื่อสำหรับไปกินในอุทยานอีกแห่งที่จะไปวันพรุ่งนี้
พบกันในตอนต่อไปที่ พาเพื่อนไปเช็คอินที่ดาวเยี่ยนจึโกว นะคะ
#ถ้าสนใจรีวิวที่เที่ยวที่กินอื่น ๆ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวอันซีนในประเทศจีน#
#มาติดตามกันได้ที่เพจ GoNeverStop จ้า จุ๊บ จุ๊บ#
GoNeverStop
วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 23.56 น.