ความเดิมตอนที่แล้วอยู่ในตอน หนีร้อนไปพึ่งไห่โหลวโกว

สำหรับตอนนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปตื่นตาตื่นใจกันต่อกับ


"โบสถ์คาทอลิกแห่งเมืองหมอซี"

หนึ่งในจุดพักกองทัพแดงของเหมาเจ๋อตุง


"เยี่ยนจึโกว"

พื้นที่หาดหินแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก


"แค้มปิ้งในบับเบิ้ลโฮเต็ล"

นอนค้างคืนในเต็นท์ใสชมธรรมชาติ


เดินเล่นในหมอซีเจิ้น

เมื่อคืนเราได้รับคำแนะนำจากอาเจ้เจ้าของโรงแรมว่า ไม่ต้องรีบตื่นเช้าก็ได้เยี่ยนจึโกวที่เราวางแผนจะไปพักวันนี้อยู่ไม่ไกลประมาณ 20 นาทีก็จะถึงอุทยาน พวกเราเลยว่าจะตื่นสาย ๆ หน่อย แล้ว 10-11 โมงค่อยเช็คเอาท์

สัก 7 โมงกว่า เราก็เดินลงมาด้านล่างว่าจะคุยกับอาเจ้ให้โทรหาโรงแรมที่เราจะไปคืนนี้ให้หน่อยว่ามีรถมารับไหม เคยอ่านเจอว่าบางทีเค้าก็มีรถมารับนะ (อยากประหยัดอ่ะ) ดันเจอน้องตัวนี้อยู่ตัวเดียว คุยกันไม่รู้เรื่อง โวยวายด้วย เลยกลับขึ้นไปรอในห้องก่อน


อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ คุยกับอาเจ้ โทรหาโรงแรม...ได้เรื่องคือ เค้าไม่มารับค่ะ

ออกไปหามื้อเช้ากินกันดีกว่า ระหว่างนั้นก็กด WeChat หาคนขับที่มารับเราวันก่อนให้มารับด้วย

ตั้งแต่มาทริปนี้เห็นหมอกกันจนเบื่อเลย หมอซีเจิ้นเป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยหมอกทั้งวันจริง ๆ


เคยดูในสารคดีเค้าสัมภาษณ์คนในเมืองนี้ เค้าบอกว่าเมื่อก่อนมีปัญหาคนรุ่นใหม่ออกไปทำงานกันในเมืองใหญ่กันเยอะ แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่เหล่านั้นได้เริ่มทยอยกลับมาทำงานที่บ้านเกิดของตนเองที่นี่กันมากขึ้นแล้ว เนื่องจากว่าธุรกิจการท่องเที่ยวในเมืองนี้กำลังเติบโตนั่นเอง น่ายินดีด้วยจริง ๆ ได้ทำงานใกล้ครอบครัวกันมากขึ้น


ที่แรกที่เราจะเดินไปดูนั่นก็คือ โบสถ์คาทอลิก ใช้เวลาเดินจากที่พักไม่ไกลค่ะ


โบสถ์คาทอลิกนี้มีความสำคัญก็คือ ท่านประธานเหมา ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเคยมาพักแรมที่นี่ในช่วงการถอยทัพของกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมีการถอยทัพจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือของประเทศจีนเป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นถึง 12,500 กิโลเมตร ผ่านช่วงดินแดนที่ทุรกันดารหลายแห่งทำให้ในครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิตกว่าจะไปถึงจุดหมายเพียงแค่หนึ่งในห้าเท่านั้น



โบสถ์แห่งนี้สร้างโดยมิชชั่นนารีชาวฝรั่งเศส แต่สร้างในสไตล์จีนตะวันตกเฉียงใต้


รูปปั้นท่านประธานเหมาเจ๋อตุงวัยหนุ่ม


ถัดจากบริเวณนี้ไปไม่กี่ก้าวก็จะเป็นถนนเมืองเก่าแล้วค่ะ แต่เราไม่ทันได้เดินไปดูเลย คุณเพื่อนบอกว่าขอเดินไปดูใบไม้เหลืองหน่อย เมื่อวานนั่งรถผ่านเห็นอยู่ วันนี้ต้องไปโดน


ระหว่างทาง เจอต้นไม้ที่คล้ายว่าถูกแขวนน้ำเกลือให้สารอาหาร น่ารักจัง :D


แล้วเราก็มาเจอใบไม้เหลืองของคุณเพื่อน ผ่าง! ผ่าง! ผ่าง! เหลืองมากจำนวน 3 ต้น เฮ้อ...ไปกินข้าวกันเถอะ



ขากลับก็จ่ายตลาดซื้อผลไม้แอปเปิ้ล ส้ม สาลี่ ส๊ด สด ไว้เป็นเสบียงสำหรับคืนนี้


แล้วก็มาแวะร้านอาหารเช้า เจ้าของเดียวกันกับร้านของหวานเมื่อวาน ต้องยกนิ้วให้กับความขยันของเถ้าแก่ร้านนี้เลย เปิดร้านตั้งแต่เช้าไปจนดึก

สั่งซาลาเปาไส้หมูสับ


เกี๊ยวน้ำซุปหอมกลมกล่อมมาก...และยังมีอีกหลายอย่างในเมนูที่อยากกิน แต่ยัดลงกระเพาะไม่ไหวแล้วจริง ๆ


เดินซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อย แล้วก็เข้าไปเช็คเอาท์ เรียกรถให้มารับ

ให้คนขับพามาส่งซื้อตั๋วกลับเฉิงตูพรุ่งนี้ จริง ๆ มันใกล้ที่พักมาก เราเดินมาเองก็ได้ แต่พวกเราจำไม่ได้เองว่าตรงนี้มันคือที่ซื้อตั๋ว และท่ารถ 555 ดูสิท่ารถอะไรเหมือนร้านอาหารมากกว่าอีก

ความตื่นเต้นก็อยู่ตอนซื้อตั๋วนี่ล่ะ คนขับบอกให้ลงไปซื้อ เราก็ลงไปคนเดียวฝากให้คุณเพื่อนถ่ายรูปให้ ลงมาก็งง ๆ ซื้อตั๋วที่ไหนว้าาาา เห็นแต่สองคนนี้นั่งอยู่หน้าร้านเลยเข้าไปถาม เค้าก็บอกให้ไปข้างใน ข้างในไหน???


ข้างในที่เค้าว่าก็คือ เปิดประตูกรอบไม้สีน้ำด้านล่างในสุดนี้เข้าไป....เอิ่ม เปิดเข้าไปตอนแรก ชักขาสะดุ้งออกมาเลย ตกใจอ่ะ ก็เป็นแบบบ้านคนสมัยก่อนที่คนจีนเค้าเรียกว่าซื่อเหอหยวน เราก็งง นึกว่าโดนหลอกให้เข้ามา สักพักก็สวมวิญญาณหมวยจีนตะโกนโหวกเหวกเรียกเถ้าแก่ให้มาขายตั๋ว เถ้าแก่ก็ตะโกนตอบรับออกมาจากห้องด้านบน แล้วกุลีกุจอมาขายตั๋วให้ทันที คุยไปคุยมาเถ้าแก่ก็ชมว่าภาษาจีนเราดีมาก ๆ เขิลลล...เพิ่งฝึกตั้งแต่ได้มาเที่ยวจีนไม่กี่ปีมานี้เอง รู้งี้น่าจะเรียนตั้งแต่เด็กจะได้อ่านออกเขียนได้



มุ่งสู่ดาวเยี่ยนจึโกว

เดินทางต่อสู่ดาวเยี่ยนจึโกวกันค่ะ เยี่ยนจึโกว (燕子沟) เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวชมความงามของธรรมชาติ และมีที่พักอยู่ในนี้ด้วย ซึ่งที่พักในนี้มีลักษณะพิเศษเรียกว่า Bubble Hotel ลองคลิ๊ก ๆ ถามอากู๋ดูภาพแล้วก็ว้าวอยู่คนเดียว ต้องลองไปนอนดูสักคืนแล้วล่ะ

ที่มาของ "ดาวเยี่ยนจึโกว" ก็เพราะ ลองดูภาพที่เราเห็นในอินเตอร์เน็ตก่อนจองสิ ยังกะไม่ใช่ภาพที่พักบนโลกมนุษย์เลย


นั่งรถจากในเมืองไต่ขึ้นถนนลูกรังบนเนินเขา ผ่านบ้านชาวบ้าน ไร่ผัก ไร่ข้าวโพดหลายสิบไร่ นั่งในรถแบบหัวโยกไปมาเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตร็อก จำไว้นะคะ ใครจะมาเที่ยวที่นี่ต้องเป็นความรู้สึกนี้เท่านั้นถึงจะแน่ใจว่าเค้าพามาถูกทางแล้ว

พอมาถึงจุดทางเข้าตรงนี้ รถไปส่งต่อไม่ได้แล้วนะคะ ต้องนั่งรถของเยี่ยนจึโกวเข้าไป


เราต้องมาพูดคุยตกลงเรื่องการมารับระหว่างเรา คนขับ และเจ้าหน้าที่ในวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้เราต้องกลับเฉิงตูรถรอบเช้ามาก 7.30 แน่ะ สรุปว่าที่นี่จะมีรถไปส่งเราที่ท่ารถฟรีค่ะ ดังนั้นจ่ายคนขับไป 50 หยวนแล้วก็แยกย้าย

ถ่ายแผนที่มาเผื่อไว้ แต่เราอ่านไม่รู้เรื่องเลย


ค่าเข้าที่นี่ 60 หยวน+ค่ารถนำเที่ยว 40 หยวน (แล้วจะไม่จ่ายค่ารถได้ไหม จะเดินไปเอง ตอบเลยค่ะว่าไม่ได้แน่นอน ทางขึ้นเขาขรุขระ ด้านข้างเป็นเหว น่ากลัวมาก รถแล่นไปได้ทางเดียว และไกลมากด้วย เกินระยะที่คนปกติเค้าจะเดินกัน) แต่ราคาทั้งหมดนี้รวมอยู่ในค่าโรงแรมที่เราจองมาแล้วค่ะ

รถบัสที่จะไปส่งเราต่อด้านใน



เดินป่าดิบชื้น

จากประตูทางเข้ากว่าจะไปถึงโรงแรมด้านในต้องผ่านทางลูกรังเล็ก ๆ เลี้ยวทบไปมาหลายรอบ ด้านข้างบางช่วงเป็นเหวไม่มีทางกั้นชวนให้หวาดเสียว ทำให้แอบเครียดเมื่อนึกถึงว่าพรุ่งนี้เช้ามืด ๆ เราจะต้องผ่านทางนี้เพื่อกลับไปท่ารถ อีกด้านที่เป็นเนินเขาบางครั้งก็จะมีแพะ มีกระต่ายมาเดินเล่นกินหญ้ากันตามธรรมชาติ ต้นไม้พากันโชว์สีเหลือบแดง เหลือบเหลือง ให้พอมีสีสัน

รถจะมาส่งบริเวณโรงแรม ให้เราเอากระเป๋าเข้าเช็คอิน แล้วเราก็ค่อยเดินต่อไปอีกนิดจะเจอประตูทางเข้า

โอ้! ดูร้าง มีคนมาเที่ยวไหมนี่!

เราต้องขึ้นรถบัสจากหลังประตูนี้เพื่อไปจุดเดินชมธรรมชาติกัน

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงงงว่า นี่จะนั่งรถกันกี่ต่อกันนี่ไม่ถึงซะที เกาะตามกันมาแน่น ๆ ค่ะ ระวังตกรถ


รถจะผ่านทางลูกรังเล็ก ๆ อีกเช่นเคย จะผ่านจุดที่มองเห็นหาดหินแดงชัด ๆ จากมุมสูงอย่างเช่นจุดนี้ ดีใจที่เห็นหินยังมีสีแดงอยู่ เพราะบางคนบอกว่ามาแล้วไม่เห็นเท่าไร ที่อ่านเจอก็มีว่าเฉดสีแดงจะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูอีกด้วย


แล้วเราก็มาเริ่มเดินจุดชมธรรมชาติกัน เจ้าหน้าที่จะมีให้เลือก 2 จุด ได้แก่ ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร และระยะทาง 5 กิโลเมตร ซึ่งกว่าเราจะมาถึงก็บ่ายแล้วคาดว่าไม่น่าจะเดินช่วง 5 กิโลเมตรทัน เพราะเห็นทางเริ่มเดินแล้วแบบว่าต้องแหงนหน้า 75 องศามองกัน ส่วนทาง 1.5 กิโลเมตร เป็นทางเดินลง

ลักษณะทางช่วงแรกจะเป็นแบบป่าดิบชื้น คล้าย ๆ ดอยผ้าห่มปกบ้านเรา แต่ว่าเค้าจะทำทางเดินไว้ดีมาก เดินง่ายค่ะ


ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวเยี่ยนจึโกวคือ เดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน โดยเดือนตุลาคมที่เรามากันนี้ถือว่าเป็นเดือนที่ราคาโรงแรมและค่าขนส่งแพงที่สุดแล้วค่ะ


กลุ่มคนที่มาเดินพร้อมพวกเราสังเกตได้ว่าแต่ละคนแบกกล้องใหญ่เหมือนกระบอกข้าวหลามอันโต ๆ มาส่องกันทั้งนั้น

ดูเหมือนว่าคนที่มาที่นี่เป็นจะพวกที่ถ่ายรูปมืออาชีพ หรือพวกถ่ายทำสารคดีกันมากกว่ามาเดินเที่ยวกันปกติ

รูปล่างนี้มือสมัครเล่นนะคะ


เยี่ยนจึโกวถือได้ว่าเป็นน้องสาวของธารน้ำแข็งไห่โหลวโกวที่เราไปมาเมื่อวาน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไห่โหลวโกว มีพื้นที่ตั้งแต่ระดับความสูง 1,800 จนถึง 4,000 เมตร เป็นที่รู้จักกันดีกว่าที่นี่เป็นพื้นที่หาดหินแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นบ้านของพืชพันธุ์ไม่ต่ำกว่า 4,000 ชนิด และสัตว์กว่า 300 สายพันธุ์


ใบไม้สีสดชุ่มฉ่ำเหมือนของปลอมเลย





ถึงแม้ตอนแรกจะมีคนลงมาเดินพร้อมกัน แต่สักพักก็แตกกลุ่มกันไปเหลือเราแค่สองคน เดินไปสักพักก็ได้ยินเสียงร้องที่เหมือนไม่ใช่คน ตอนแรกก็คิดว่าหูฝาด แต่มันก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนตกใจคิดว่าจะมีตัวอะไรวิ่งออกมา เกือบวิ่งแล้ว ดีที่ได้ยินกลับเป็นเสียงคนแทน...ร้องเพลง? สวดภาวนา? แต่ไม่เห็นต้นเสียงที่ร้องนะ

บรรยากาศก็ดูวังเวงพาให้จินตนาการเสียด้วย


มหัศจรรย์หาดหินแดง

ใกล้ ๆ จุดที่เราเห็นวิวหาดหินแดงจะมีนกบินแน่นไปหมดราวกับเป็นสวนนกธรรมชาติขนาดย่อม ๆ

จุดนี้เราจะเห็นหินแดงแต่ละก้อนห่างกันหน่อย เลยถ่ายภาพออกมาไม่แดงเท่าไร



สาเหตุที่หินที่นี่เป็นสีแดงไม่ใช่เพราะว่าตัวหินเป็นสีแดงนะคะ มันเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เจริญเติบโตในสภาวะแวดล้อมแบบพิเศษของที่นี่ ดังนั้นถ้าได้เดินชมธรรมชาติอีกเส้นทางที่จะได้มีโอกาสเดินเรียบน้ำใกล้ชิดกับหินแดง เราก็ไม่ควรเอามือไปสัมผัสตัวหินนะคะ เพราะจะเป็นการทำลายธรรมชาติด้วย


เดินต่อไปอีกหน่อยจะเห็นหาดหินแดงชัดเจนกว่าเป็นบริเวณกว้าง


ช่างเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้


พอมาสุดทางก็จะมีร้านขายของป่าพวกเห็ด เนื้อตากแห้ง

หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับ สังเกตบนยอดเขาดี ๆ สิคะ


มีน้ำตกสายยาวตกลงมาจากยอดเขาสูงเทียมเมฆหลายยอดเรียงกัน สวยมาก แต่เสียดายถ่ายรูปมาได้แค่นี้



กลับยานแม่

พอลงรถก็เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือจะเป็นทางเดินชมธรรมชาติอีกทาง และมีฟาร์มสัตว์ด้านใน เดินจากทางนี้จะไปออกตรงโรงแรมบับเบิ้ลที่เราพักพอดี

ม้าเดินเล่นกันตามธรรมชาติหลายตัว




ด้านในนี้มีร้านอาหารขายพวกบะหมี่ ขนมซอง อันนี้คุณเพื่อนซื้อมาลองกิน บวมเชียว ไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ระดับความสูงเท่าไร แต่น่าจะสูงพอสมควรเลยดูจากสภาพขนมเต่งขนาดนี้


เราเลือกกินขนมบัวลอย เป็นบัวลอยร้อนไส้งาในน้ำจืด ๆ ธรรมดา แต่อร่อยมากกกกกก


อร่อยจนคุณเพื่อนต้องไปสั่งเพิ่มมากินอีกถ้วย แล้วสักพักมีคนจีนมาเห็นก็สั่งตามกันอีก


กินเสร็จไปเดินดูฟาร์มจามรี


และคุณน้องอัลปาก้า


เดินตากฝนปรอย ๆ ไปตามทางเดินดูใบไม้เปลี่ยนสี


เปลี่ยนสีแบบเหลือบ ๆ ไม่แน่ใจว่าจะเปลี่ยนดีไหมน้า


มีต้นไม้แปลก ๆ ที่ไม่รู้จักเยอะมากมาย



ถ้าได้หมุนไปรอบตัวจะเห็นว่าเราโดนภูเขาสูงและสายหมอกล้อมไว้หมดแล้วทั้ง 4 ด้าน


ที่ทำการ และบ้านพักเจ้าหน้าที่ของเยี่ยนจึโกว



แค้มปิ้งบนดาวเยี่ยนจึโกว

มาเดินดูที่พักใกล้ ๆ เต็นท์เรากัน แบบนี้ไม่มีห้องน้ำในตัวแต่จะได้วิวที่สวยกว่าเต็นท์ของเรา



นี่คือ ที่พักของเราคืนนี้


ด้านในก็จะหรูหราผิดไปจากการนอนเต็นท์ทั่วไปสักหน่อย


พอเข้าห้องกันมาได้ก็หลับกันเป็นตายตั้งแต่เย็นเลยค่ะ ตื่นมากันอีกทีก็ช่วงหัวค่ำ

จัดการต้มน้ำ กินมาม่าจีน แซ่บสะใจ ถ้วยใหญ่ อิ่มพอดีกระเพาะเราเลย ตบท้ายด้วยขนมและผลไม้สดมากมายที่เตรียมมา


ตัดสินใจออกไปเดินเล่นด้านนอก แต่ฝนตกตลอด และหนาวมาก ๆๆๆๆๆ


มืดมาก ชนิดที่ว่ามองมือตัวเองยังไม่เห็นเลย ไม่ได้ยินเสียงคนอยู่ด้วย เลยชวนเพื่อนกลับดีกว่า ไม่ต้องเดินแล้ว บรรยากาศเหมือน The blair witch project มากขึ้นเรื่อย ๆ

ลากันไปด้วยภาพมนุษย์ต่างดาวแห่งดาวเยี่ยนจึโกวค่ะ พบกันตอนต่อไปนะคะ


#ถ้าสนใจรีวิวที่เที่ยวที่กินอื่น ๆ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวอันซีนในประเทศจีน#

#มาติดตามกันได้ที่เพจ GoNeverStop จ้า จุ๊บ จุ๊บ#

ความคิดเห็น