แผนการท่องเที่ยวหน้าหนาวครั้งนี้ ผมวางแผนไว้ล่วงหน้าหลายเดือนก่อน ความตั้งใจแรกที่คิดไว้คืออยากไป สี่พันดอน แห่งลาวใต้ เพื่อค้นหามหานทีที่ยิ่งใหญ่ด้วยตาตัวเอง แต่เมื่อได้เริ่มค้นหาข้อมูล จนกระทั่งไปพบคลิป zipline อันหนึ่งเข้า ทำให้ผมเริ่มโลเล เสียงโหวตเป็นเอกฉันท์จากเพื่อนร่วมทริป ทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายไปยังโบลาเวนแทน

ที่ราบสูงโบลาเวน (Bolaven plateau) ลาวใต้ เป็นพื้นที่สูงเหนือกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 – 1,350 เมตร ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดงหัวสาว แขวงจำปาสักทางภาคใต้ของประเทศลาว ภายในที่ราบสูงแห่งนี้จะมีน้ำตกมากมาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเล่น zipline ที่นี่ มีเสน่ห์อย่างมาก นอกจากความสวยงามของธรรมชาติที่ได้พบเจอ พวกเรายังต้องก้าวผ่านความกลัว ความตื่นเต้นหวาดเสียวและความเหนื่อยล้า ภายในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน


ฝากติดตามเพจและเว็บไซต์ด้วยนะครับ

http://www.poppu.online

https://www.facebook.com/popputrip

(การเดินทางคือ "การเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด")

นักเดินทางสำรอง


วันที่หนึ่ง ท่าอากาศยานดอนเมือง มุ่งสู่เมืองปากเซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป ลาว)

การเดินทาง

  • สนามบินดอนเมือง ถึง สนามบินอุบลราชธานี โดยสารการบิน Thai Lion Air (ประมาณ 1 ชั่วโมง)
  • สนามบินอุบลฯ ถึง ช่องเม็ก โดย Taxi meter 800 บาท (ประมาณ 1.20 ชั่วโมง)
  • ด่านช่องเม็ก ถึงเมืองปากเซ โดยรถตู้ คนละ 100 บาท (ประมาณ 40 นาที)

พวกเราใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมือง ถึงสนามบินอุบลราชธานี โดยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ จากนั้นก็เข้าคิวขึ้น Taxi meter เพื่อจะไปต่อรถตู้ที่ บขส อุบล แต่คุณพี่คนขับแท็กซี่มีวาทศิลป์ในการโน้มน้าวให้พวกเรา 4 คนใช้บริการคุณพี่ไปถึงด่านชายแดนช่องเม็กด้วยค่าบริการ 800 บาท (ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.20 ชั่วโมง) ซึ่งพี่แท็กซี่ได้กดมิเตอร์เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า พี่คนขับเรียกค่าบริการถูกกว่ามิเตอร์ที่ขึ้นมา 872 บาท พวกเราใช้พาสปอร์ต ผ่าน ตม. ไทยมาอย่างง่ายได้ เมื่อมาถึง ตม.ลาว ผมทำการบ้านมาพอสมควร จึงเตรียมค่าผ่านด่านไว้แล้วคนละ 100 บาท ตั้งแต่เดินเข้า ตม. ไทย จนถึง ตม.ลาว จะมีพ่อค้าแม่ค้าตามประกบ เพื่อขายซิมโทรศัพท์บ้าง ชวนให้แลกเงินกีบบ้างและเชิญชวนให้ใช้บริการเหมารถไปที่ปากเซบ้าง จนถึงขนาดลดราคาจาก 1000 บาท เหลือ 500 บาทกันเลยทีเดียว แต่ไม่สำเร็จหรอกครับ ผมใจแข็ง เพราะตั้งใจจะนั่งวินรถตู้ไป

ออกจาก ตม. แล้วมุ่งหน้าตรงไปตลาดวังเต่า 500 เมตร

เดินจนฝุ่นกระจาย



ถึงแล้วตลาดวังเต่า เดินไปด้านหลังจะเห็นคิวรถตู้


หลังจากผ่าน ตม.ลาว ออกมา เราก็แบกเป้เดินตามหาวินรถตู้อยู่ครู่ใหญ่ ก็อาศัยถามชาวบ้านแถวนั้นไปเรื่อยๆ มีเสียงเตือนมาแว่วๆ ว่าจะเดินไปรึ มันไกลนะ แต่พวกเราก็ไม่ท้อ ระยะทางจาก ตม.ลาว เดินไปตลาดวังเต่าก็ ประมาณ 500 เมตรได้ ไม่ได้ไกลมากอะไรสำหรับนักสู้แบบพวกเรา ถ้าแค่นี้เดินไม่ไหว เราคงตายกันในป่าโบลาเวนแน่ๆ (แค่นี้มันกระจิบมากถ้าเทียบกับสิ่งที่ต้องเจอวันพรุ่งนี้) เมื่อเจอวินรถตู้ พี่เขาบอกว่าต้องรอครบ 10 คน รถถึงออก ตอนนั้นประมาณเที่ยง พวกเราก็นั่งเล่นรอกันที่ศาลา จนใกล้จะบ่ายโมง คนก็ครบ 10 คน (เย้ๆๆ) จากตลาดวังเต่ามาถึงปากเซใช้เวลาประมาณ 40 นาทีได้ รถตู้ก็จอดให้ลงที่ตลาดดาวเรือง ผมลองเจรจาว่าให้ไปส่งที่พัก เขาก็ไม่ไป บอกว่าให้ใช้บริการรถรับจ้างที่นี่ คนละ 40 บาท (ที่นี่คิดค่าบริการเป็นรายคน หัวละ 40 บาท มากัน 4 คนก็ 160 บาท ถ้ามา 6 คนก็ 240 บาท ถึงแม้จะนั่งรถคันเดียวกัน) ผมปฏิเสธการใช้บริการแบบคิดรายหัว บอกว่าจะเดินไป จนมีคุณลุงคนหนึ่งบอกว่า 100 บาท ไปไหม อิอิ ไปสิครับ แล้วเราก็โดดขึ้นรถกัน


ถึงแล้วปากเซ แต่หัวใจไม่โดนเท


ถ้าเดินจากตลาดมาที่พักก็ไกลอยู่นะ

พวกเราพักกันที อลิสาเกสเฮ้าส์ ห้องพักอยู่ชั้น 3 พอเปิดประตูเข้าไป โอ้วว ห้องกว้างมาก 4 เตียง ห้องแอร์ มีทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ผ้าขนหนู น้ำดื่ม 4 ขวด และเครื่องทำน้ำอุ่น คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปมาก นอนพักจนหายเหนื่อย บ่ายแก่ๆ ก็ออกสำรวจปากเซ มีวัดสวยๆอยู่ใกล้ที่พักก็คือ “วัดหลวง




เป็นอีกหนึ่งวัดในปากเซที่สวยงาม ติดกับแม่น้ำ สีดอน (xedon)



ออกจากวัดก็เดินไปทางแม่น้ำจนไปเจอที่ดีๆเข้า ร้านอาหารริมแม่น้ำโขงครับ คอผมกระหายเครื่องดื่มมีฟองเป็นอย่างมาก จึงตกลงกันจะไปนั่งจิบเบียร์ลาวขวดแรกที่นี่ “ร้านอาหารเรือนแพบ้านลาว” จิบเบียร์ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ฟินอย่าบอกใคร





หลังจากพระอาทิตย์ตก เราก็เดินเท้ากลับโรงแรมตอนแรกว่าจะไม่แวะทานอะไร แต่พอเดินมาเจอร้านแหนมเนือง ใจคนก็เปลี่ยนไป พวกเราพร้อมใจกันลองแหนมเนืองร้านนี้ สั่งแหนมเนือง กับ ปอเปี๊ยะสดอย่างละจาน โอ้วว มันอร่อยมากครับ เป็นแหนมเนืองที่อร่อยที่มากเลย ราคาก็ไม่แพง มื้อนี้จ่ายไป 50000 กีบ (200 บาท) คืนนี้นอนหลับฝันดีแล้วคร๊าบบบบ!


วันที่สอง เมืองปากเซ มุ่งสู่บ้านหนองหลวง เมืองปากซอง ค้างคืนที่แคมป์กลางป่าโบลาเวน

หลังจากนอนหลับพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เราตื่นกันแต่เช้าตรู่เพื่อ Check out และฝากสัมภาระบางส่วนไว้ที่เกสเฮ้าส์แห่งนี้ (เราจะกลับมาพักกันอีกทีหลังจากออกจากป่า) แต่ละคนแบกเป้ใบย่อมกันคนละใบเพื่อเตรียมไปค้างในแคมป์กลางป่า 2 คืน (เน้นว่าเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปเท่านั้นนะครับ ฮ่าๆๆ) ฝากท้องมื้อเช้ากันที่ร้านเฝ๋อข้างเกสเฮ้าส์ แล้วก็ออกเดินเท้าไปยังสำนักงานของ Tree Top ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก “อลิสาเกสเฮ้าส์


**การไปเล่น zipline ครั้งนี้ผมจองผ่านบริษัท Green Discovery ซึ่งผมได้ติดต่ออ้ายบุญไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่อยู่เมืองไทย**

ตามลิงค์นี้ https://www.greendiscoverylaos.com/eco-excursions/champassak/champassak-zip-line-canopy-walk/item/360-tree-top-explorer-3-days หรือ Line id: boun.treetop ไปได้เลย


เมื่อไปถึงจุดนัดพบ พบว่ามีผู้ร่วมเดินทางเข้าป่าครั้งนี้นอกจากกลุ่มผมอีก 6 คน เป็นชาวต่างชาติ 4 คน และชาวไทยอีก 2 คน (ซึ่งภายหลังผมนับน้องคนไทย 2 คนนี้ เข้าไว้กับกลุ่มผมเรียบร้อย) รวมทั้งหมด 10 ชีวิต แต่แบ่งสต๊าฟดูแลเป็น 2 ทีม เพราะกลุ่มคนไทยจะค้างที่แคมป์ 2 คืน แต่ชาวต่างชาติค้างแค่ 1 คืน

พวกเราออกเดินทางประมาณ 9 โมง โดยนั่งรถมินิบัสมาที่บ้านหนองหลวง ถนนที่เดินทางมาเป็นถนนลาดยาง แต่ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะมีการทำถนนกัน ยิ่งกว่านั้น ทางเข้าหมู่บ้านหนองหลวงเป็นถนนลูกรัง ซึ่งทางค่อนข้างชำรุด แนะนำว่ารถเก๋งไม่ควรขับเข้ามาอย่างยิ่ง เราถึงบ้านหนองหลวงกันประมาณ 10.30 น. ที่หมู่บ้านอากาศเย็นผิดจากปากเซ พวกเราใช้เวลาเตรียมตัวกันครึ่งชั่วโมง เพราะต้องใส่อุปกรณ์การเล่น zipline เรียกได้ว่านอกจากแบกเป้ตัวเองแล้ว ต้องแบบน้ำหนักของอุปกรณ์และน้ำดื่มอีกคนละ 2 ขวด เพื่อเดินเท้าเข้าป่าไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 5 กม. (ขวดน้ำนี้มีค่ามหาศาลเพราะเขาจะไม่แจกน้ำเพิ่มอีกเลย เราจะต้องใช้ขวดนี้เติมน้ำในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่านั้น ซึ่งผมเห็นด้วยกับนโยบายนี้นะครับ ไม่เพิ่มขยะ รักษาธรรมชาติ) อ้อเพิ่มอีกนิด ถ้าใครคิดว่าแบกเป้เองไม่ไหว มีบริการแบกเป้ให้นะครับ แต่คิดค่าบริการครั้งละ 300 บาท (ขาไป 300 ขากลับอีก 300 เด้อ)

พร้อมที่จะลุยกันมาตั้งนานแล้ว!!

เมื่อใจและกายพร้อม ฤกษ์เดินเท้าคือ 11.00 น (ทั้ง 10 คน แบกเป้กันเองนะครับ) ทางช่วงแรกเป็นทางราบเดินผ่านไร่กาแฟ สวนส้มโอ เดินชมนกชมไม้กันไปเรื่อย สักพักก็เจอลำธารมีสลิงให้เดินข้าม แต่ช่วงที่เราไปน้ำไม่เยอะจึงมีบางส่วนเดินเท้าข้ามลำธารกันมาได้ ยิ่งเดินลึกเข้าไปทางเดินไม่สะดวกมากขึ้น ต้องระมัดระวังสะดุดจะลื่นล้มได้ ห๊ะ!! ใครถามหาทาก สบายใจได้ พวกผมไม่เจอสักตัว เราเดินกันจนมาถึงลานหินกว้างก็ได้เวลาอาหารกลางพอดี อ้ายเผ็ด (ลืมแนะนำชื่อสต๊าฟดูแลกลุ่มผมไป ชื่ออ้ายเผ็ด อ้ายใหญ่ และอ้ายเล็กนะครับ) บอกว่าพักทานข้าวกันที่นี่ พวกผมปลดเป้ ปลดอุปกรณ์ออก รู้สึกตัวเบาขึ้นมาก ผมนั่งมองดูวิธีการให้อาหาร เอ๊ย วิธีการเตรียมอาหารของทีมงาน ผมชอบมากครับ ฮ่าๆๆ ทีมงานหายเข้าป่าไปสักพัก ได้ก้านใบตองออกมาหลายใบ จัดการปูบนลานหิน อีกคนก็หย่อนกับข้าวลงบนใบตองเป็นหย่อมๆ อีกคนงัดข้าวเหนียวออกมากองเป็นขยุ้มๆ ช่างเป็นวิธีการให้อาหาร เอ๊ย เตรียมอาหารที่น่ารักที่สุดที่เคยพบเห็นมา (ผมแอบสังเกตหน้าฝรั่งสาวที่มาด้วยกัน เห็นเธอมองดูวิธีการให้อาหารนิ่งๆ ไม่รู้เหมือนกันเธอคิดอะไรอยู่ ฮ่าๆๆ) มื้อนี้ผมเจริญอาหารครับ ข้าวเหนียวจิ้มแจ่ว ไข่ต้ม หมูแดดเดียว ผัดผัก ทุกอย่างอร่อยอย่าบอกใคร ผมจัดไปเต็มที่ หลังอาหาร นักเดินป่าทั้งหลาย ผลัดกันหายร่างเข้าไปยังป่าด้านหลังทีละคน คงไม่ต้องบอกนะว่าหายไปทำอะไรกัน อิอิ

ตอนนี้ก็ยังมีแรง เฮ้ๆ

มันชั่งสำราญจริงๆแม่นาง

จ้วงสิครับจะรอให้ใครมาตัดริบบิ้นหรอ!!

เดินออกจากลานหินมาไม่ถึง 10 นาที เราก็ได้ตื่นเต้นกับครั้งแรกกันครับ โหนสลิงครั้งแรกในชีวิต พร้อมวิวน้ำตกใหญ่ ป้าดด!! มันช่างตื่นเต้นอะไรเยี่ยงนี้ อ้ายเผ็ดสอนวิธีการใช้ตะขอและรอก สอนหลักความปลอดภัยเมื่อเล่น zipline ซึ่งผมพอจะสรุปออกมาได้ดังนี้

  • ตะขอใช้สำหรับยึดตัวเราติดไว้กับสลิง รอกใช้สำหรับเคลื่อนตัวเราไปตามสลิง ซึ่งอุปกรณ์บนตัวเราจะมีตะขอ 2 อันและมีรอก 1 อัน
  • ต้องใช้ตะขอคล้องไว้กับสลิงตามฐานต่างๆ ที่เราไปทุกครั้งตลอดเวลาที่อยู่บนนั้น
  • ในการเคลื่อนย้ายตัวเองไปตามจุดต่างๆ ให้ปลดตะขออันแรก คล้องให้เสร็จก่อนค่อยปลดอันที่สอง
  • ถ้าทำถูกวิธีของความปลอดภัย จะไม่มีช่วงเวลาใดเลย ที่เราอยู่บนฐานโดยที่ไม่มีตะขอยึดติดไว้กับสลิง หมายความว่า ถ้าเราพลาดตกจากฐาน อย่างน้อยจะมีตะขอ 1 อันที่ยึดติดเราไว้ไม่ให้ตกลงมาถึงพื้น (อ้ายเผ็ดบอกผมว่า ตะขอหนึ่งเส้นรับน้ำหนักได้ถึง 1 ตันครับ)
  • กฎของความปลอดภัยที่สำคัญที่สุด คือดูแลตัวเองให้รักษากฎ เพราะสต๊าฟไม่สามารถดูแลคุณได้ตลอดเวลา เขามีงานที่ต้องทำ ต้องเตรียมอุปกรณ์ ต้องช่วยเหลือคนที่มีปัญหาและตัวเรานั่นแหละเป็นคนที่แหกกฎเพื่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายที่สุด

Yahooo!

เพื่อความปลอดภัย คล้องไว้นะ

วันนี้ผมกลายเป็นลิง ห้อยโหนสลิงไป 10 เส้น แนะนำว่าถ้าใครอยากถ่ายคลิปเก็บไว้ดู ต้องวันนี้ครับ เพราะเส้นทาง Zipline วันนี้จะผ่านตาดเสือและตาดขมึด โหนกันลงไปถึงแคมป์ที่พักด้านล่างน้ำตก ซึ่งมันสวยงามมาก หลังจากวันนี้ไปเส้นทาง zipline จะต่างออกไป ไม่ได้กลับมาทางเดิมของวันนี้อีก มันจะน่าเสียดายมา ถ้าพลาดคลิปสวยๆของวันนี้

พวกเรามาถึงแคมป์ก็ประมาณ 4 โมงเย็น เหนื่อย หอบ หมดแรงกันเลยทีเดียว อ้ายเผ็ดบอกว่า ให้อาบน้ำ กินข้าวกันให้เรียบร้อย ถึงจะให้ขึ้นที่พัก ก่อนอื่นผมจิบกาแฟ ชมวิวน้ำตกตาดขมึดก่อนให้หายเหนื่อย หลังจากนั้นผมเลือกอาบน้ำที่น้ำตกกับเพื่อนๆ ซึ่งถ้าใครจะอาบที่ห้องอาบน้ำก็มีให้ 2 ห้องครับ แต่ขอบอกว่าน้ำเย็นเฉียบพอกัน เพราะมันก็คือน้ำจากน้ำตกนั่นเอง อิอิ

มันจะฟินๆหน่อยนะ

ค่ำคืนนี้เราจะนอนกันที่แห่งนี้แหละ

อาหารมื้อเย็นเริ่ม 6 โมง เป็นอาหารง่ายๆ แต่รสชาติดีจนอยากเห็นหน้าแม่ครัว ข้าวไม่อั้นเติมได้ กับข้าวเหลือเฟือ น้ำเปล่าดื่มได้เต็มที่ เพราะมาจากน้ำตก (ผมชอบรสชาติน้ำตกที่นี่มาก มันจืดแต่อร่อย อร่อยกว่าน้ำขวดทุกยี่ห้อที่เมืองไทยเลยครับ ดื่มแล้วชื่นใจมาก) หลังอาหารก็เข้าที่พักซึ่งเป็นบ้านต้นไม้หลังใหญ่ มี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องส้วม 2 ห้อง แบบชักโครก ชั้นบนเป็นห้องนอน มีที่นอนหมอนมุ้งให้พร้อม นอนได้สบาย อากาศเย็นๆ แต่ไม่หนาว ประมาณ 20 องศา พวกเราพอจัดของ ทายา นวดขากันเสร็จก็มุดมุ้ง นอนฟังเสียงน้ำตก พรุ่งนี้จะเจอความตื่นเต้นโลดโผนอะไรกันอีกน้า


วันที่สาม หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น อ้ายเผ็ดนัดเวลาออกไปเล่น zipline ตอน 10 โมงเช้า เมื่อถึงเวลาเหล่าลิงน้อยและชะนีน้อยทั้งหลายก็เตรียมพร้อม อุปกรณ์การเล่นของใครของมันหยิบใช้ให้ถูกชุด ขวดน้ำเปล่าก็ถูกเติมน้ำใส่จนเต็มและคิดว่าเพียงพอที่ต้องดื่มวันนี้ (อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ไม่มีการแจกน้ำเปล่าเพิ่ม เราต้อง Reuse ขวดเปล่าที่ได้รับแจกมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันกลับ) มีสมาชิกคนไทยแค่ 6 คน ชาวต่างชาติได้แยกกลุ่มเพื่อเดินทางกลับไปอีกทาง

วันนี้เราจะโหนสลิงกันไปเล่นน้ำตกที่ตาดหินแดง อ้ายเผ็ดออกเดินนำทาง พวกเราก็ทยอยเดินตามกัน โดยมีอ้ายใหญ่และอ้ายเล็กปิดท้ายขบวน ขาผมปวดและล้ามาก ยังดีที่วันนี้ไม่ได้มีเส้นทางปีนเขาโหดๆ ให้ต้องเดิน (ของโหดอยู่พรุ่งนี้ครับ) แต่ช่วงขึ้นเขาก็ทำพวกเราต้องยืนพักหอบกันเป็นระยะๆ Zipline วันนี้เล่นพาดผ่านต้นไม้เขียวขจี มีเส้นสั้นเส้นยาวสลับกันไป เส้นที่ยาวที่สุดประมาณ 450 เมตร พวกเราสนุกกับการเล่น zipline มาก เพราะเล่นได้คล่องขึ้น แต่เมื่อถึงด่านสะพานต่างๆ ก็เรียกความเสียวโว้ยให้พวกเราเป็นระยะๆ จนชะนีน้อยบางตัวต้องโห่ร้องออกมาดังๆ ู^_^ บ่อยครั้งที่การโหนสลิงจากจุดหนึ่งไปไม่ถึงจุดหนึ่ง ต้องห้อยคากันอยู่ระหว่างทางรอให้อ้ายๆ ทั้งหลายมาดึงกลับไป เนื่องจากการกะระยะเบรกโดยใช้ไม้กายสิทธิ์ผิดไป ผมไม่รู้ว่าที่อื่นเขาเบรกกันด้วยอะไร แต่ที่นี่เขาใช้ไม้กายสิทธิ์ที่ได้รับแจกตั้งแต่วันแรก และต้องรักษาไว้เป็นอย่างดี เพราะถ้าไม่มีไม้นี้ เราก็เบรกไม่ได้ สต๊าฟที่ดูแลการเล่น Zipline ทำตามกฎแห่งความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

  • ใส่หมวกกันน็อกตลอดเวลาที่เล่น
  • ต้องรอสัญญาณความพร้อมจากอีกฝั่งหนึ่งให้เล่นได้ถึงเริ่มการส่งผู้เล่นคนต่อไป
  • ทุกครั้งที่เราโหนสลิงมาถึง จะคล้องตะขอเรากับสลิงของฐานเสมอ

พวกเขาทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อให้พวกเราปลอดภัย 50% อีก 50% ก็อยู่ที่ตัวเราว่าจะทำตามกฎแห่งความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดหรือไม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเท่ากับ 100%

ป่ะ!! ลุยกันต่อ

มีปลามาเกยตื้นด้วยหรอเนี้ย !!

ณ เวลาให้อาหาร (ฮ่าๆ)

เราเล่น zipline กันจนมาถึงตาดหินแดง จุดหมายปลายทางแห่งการเล่นน้ำ น้ำใสและเย็นมากเราเล่นกันอยู่พักใหญ่ เมื่อเล่นเสร็จก็ได้เวลาให้อาหารกลางวัน (ผมชอบคำนี้มาก “เวลาให้อาหาร” เพราะมันใช่เลย ฮ่าๆๆ) ปูใบตอง หย่อนกับข้าว และนั่งล้อมวง วันนี้พิเศษหน่อย มีข้าวสวยใส่จานและมีช้อนให้ อาหารยังคงรสชาติอร่อยจนอยากขอดูหน้าแม่ครัวเป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกยังไม่เห็นครับ) อิ่มหมีพีมัน นั่งให้ย่อยสักครู่ เราก็ออกเดินทางกันต่อ เรา Zipline กันสนุกสนาน อีกหลายสาย จนกลับถึงแคมป์ตอน 4 โมงเย็น เหนื่อยล้า จนนอนแผ่กันกลางแคมป์ พบชาวต่างชาติชายหญิงหน้าใหม่อีก 2 คนที่เพิ่งมาถึง ท่าทางอ่อนแรงพอๆกัน หลังจากหายเหนื่อยผมก็อาบน้ำตกเช่นเคย นั่งเล่นชมวิวตาดขมึดยามเย็นก่อนทานอาหารเย็น คืนนี้อากาศเย็นกว่าเมื่อคืนเพราะมีฝนตกลงมา ผมกะว่าจะนั่งเล่นจนค่ำๆถึงจะนอน เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายในแคมป์นี้แล้ว


วันที่สี่ เช้านี้ผมปล่อยโดรนขึ้นฟ้า เพื่อเก็บภาพน้ำตกสวยๆ เป็นการอำลาแคมป์แห่งนี้ หลังอาหารเช้า เราออกเดินทางกันตอน 10 โมง สวมใส่อุปกรณ์ แบกเป้ขึ้นหลัง แล้วก็ออกเดินเท้าขึ้นเขากัน ออกจากแคมป์มาสักพัก ก็ถึงกิจกรรมวัดใจสุดท้ายของทริปนี้ นั่นคือ การปีนหน้าผา สิ้นคำอธิบายของอ้ายเผ็ด พวกเราแหงนหน้ามองผา อ้าปากค้างกันสักครู่เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจ เช้านี้มีทีมสาวน้อยแม่ครัวเดินทางกลับมาด้วย พวกเธอเลยโชว์สเตปการปีนผาด้วยรองเท้าแตะให้พวกผมได้ชื่นชม (เอาน่า สาวๆเขาปีนกันคล่องแคล่วด้วยรองเท้าแตะ ผมก็ต้องทำได้สิ) สิ้นสุดความคิด ผมก็ดันให้สาวๆ ในกลุ่มปีนกันไปก่อนเลย เดี๋ยวผมปิดท้ายเอง (ช่างเป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก ฮ่าๆๆ ไม่ใช่อะไร กลัวนะจ๊ะนะ) พอเริ่มปีนป่ายหน้าผากัน ผมแหงนมองดูพี่สาวที่ปีนอยู่หน้าผม ขาเธอสั่นมากเห็นได้อย่างชัดเจน สั่นเหมือนเต้นแร็ป ผมอดขำไม่ได้ แต่ก็ตะโกนให้กำลังใจเธอ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมการปีนหน้าผาถึงเป็นการออกกำลังกาย ขอบอกว่ามันเหนื่อยมาก ต้องใช้ทั้งกำลังแขนกำลังขาในการดึงตัวเองขึ้นสู่ด้านบน (ระบบเซฟตี้มีอยู่ครับ มีตะขอเกี่ยวป้องกันการร่วงตกลงข้างล่าง) แขนล้าจนสั่น ยึดจับไม่ไหวก็อาศัยการคล้องแขนยึดไว้แทนการจับ สูงก็สูง เสียวก็เสียว สั่นสู้เว้ย

ผ่านด่านปีนหน้าผากันมาได้ครบทุกคน ต้องนั่งพักหอบกันยกใหญ่ ก่อนออกเดินเท้าต่อเพื่อไปจุดสูงสุดของตาดขมึด (เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้ เพราะตอนอยู่แคมป์ด้านล่าง เราแหงนมองดูตาดขมึดว่ามันสูงมาก แต่ตอนนี้มายืนอยู่บนนี้ได้ มันสุดยอดมาก) อ้ายเผ็ดบอกว่าเราจะพักทานมื้อกลางวันกันที่นี่ ผมก็ควักโดรนออกมาบินเก็บภาพสวยๆจนแบตหมด วิธีการให้อาหารยังน่ารักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมื้อนี้เป็นข้าวผัด รสชาติอาหารถูกลดทอนลงเพราะความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ให้นานที่สุด

เริ่มความเสียวกันได้เลย เฮ้ยๆๆ!!

ถึงเวลาให้อาหารแล้ว พร้อมกับวิวหลัก 5 พันล้าน

การเดินทางหลังจากนั้นก็ไม่ได้ลำบากอะไรมีช่วงขึ้นเขาบ้าง สลับกับทางราบ ผมจึงมีโอกาสถามอ้ายเผ็ดถึงวิธีกำจัดขยะที่แคมป์ เพราะตลอดเส้นทางที่ผมเดินในป่า ไม่พบเห็นขยะใดๆเลย อ้ายเผ็ดเล่าว่า ถ้าเป็นขยะสดจะฝังกลบไว้ แต่ถ้าเป็นขวดพลาสติดต่างๆ เขาจะเก็บลงไปทิ้งที่หมู่บ้าน ผมชื่นชมด้วยใจกับการบริหารจัดการขยะของเขา ใช้ธรรมชาติที่มีส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว และดูแลธรรมชาติให้คงอยู่เพื่อเป็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน อยากให้เมืองไทยดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่เราใช้ทำมาหากินอยู่ทุกวันให้มากกว่านี้ เพราะหลายๆสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมไปเยือนในเมืองไทย ไม่ได้เดินทางลำบากหรือไกลแบบที่นี่ แต่เดินไปตรงไหนก็เห็นขยะตามที่ต่างๆ จนชินตา

น้ำตกตาดฟาน อีกหนึ่งสถานที่ที่นิยมเล่น Zip-line

ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ ที่รู้ๆอยู่ใกล้ ออฟฟิศ Tree Top และปิดเร็วมาก


ขานั่งรถกลับมายังปากเซ เราได้แวะ “น้ำตกตาดฟาน” อีกหนึ่งจุดที่มีการโหนสลิง-จิบกาแฟ แต่พวกผมไม่ได้เล่นกันหรอกครับ เราเล่นกันมาจนอิ่มแล้ว ขอกลับโรงแรมพักผ่อนดีกว่า เมื่อมาถึงบริษัท Tree top ผมได้พบกับอ้ายบุญจึงได้มีการพูดคุยกันนิดหน่อย ก่อนขอตัวไปทานแหนมเนืองอีกครั้ง ซึ่งน้องใหม่อีก 2 คนที่มารวมกลุ่มกับเราได้ลองแล้ว ก็ชมว่าอร่อย ทานกันจนอิ่มแปล้ก็แยกย้ายกันกลับโรงแรม พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านกันแล้ว


วันที่ห้า พวกเรา check out ตอน 8 โมงเพราะนัดรถมารับ ไปส่งที่ช่องเม็กตอน 9 โมงเช้า เราตกลงทานเฝ๋อร้านเดิมข้างโรงแรม ทานเสร็จยังพอมีเวลาจึงข้ามฝั่งไปร้านซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อเบียร์ลาวกลับบ้าน เมื่อมาถึงช่องเม็กสแตมป์พาสปอร์ตเจ้าหน้าที่เรียกค่าบริการอีกคนละ 100 บาท เพื่อข้ามไปฝั่งไทย

การเดินทาง จากปากเซ ถึง สนามบินอุบลฯ

  • ปากเซ ถึง ช่องเม็ก จ้างรถ 150000 กีบ ให้ค่าผ่านด่านอีก 20000 กีบ (เวลาประมาณ 40 นาที)
  • บขส ช่องเม็ก ถึง บขส อุบล โดยรถตู้ คนละ 100 บาท (เวลาประมาณ 1.20 ชั่วโมง)
  • บขส อุบล ถึง ทุ่งศรีเมือง รถสองแถวประจำทาง คนละ 10 บาท (เวลาประมาณ 30 นาที)
  • ทุ่งศรีเมือง ถึง สนามบินอุบล โดย Taxi meter ราคา 50 บาท (เวลาประมาณ 15 นาที)

เมื่อถึง บขส อุบลฯ มีเจ้าหน้าที่ TAC (Tourist Assistance Center) คอยให้บริการตอบคำถามและชี้แนะวิธีการเดินทางให้เรา เธอน่ารักมากครับ ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาสุภาพ ผมประทับใจมาก อยากให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานบริการเป็นเหมือนเธอทุกคน นักท่องเที่ยวอย่างผมคงมีความสุขมาก พวกเราแวะทานแหนมเนืองที่ ร้านมินตรา อาหารเวียดนาม เป็นมื้อกลางวันก่อนกลับกรุงเทพฯ

ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนครับ ^_^

ธรรมชาติก่อให้เกิดการท่องเที่ยว อยากให้นักท่องเที่ยวทุกคน ท่องเที่ยวแบบรักษาธรรมชาติ ไม่ว่าสถานที่นั้นจะอยู่ในบ้านเมืองของเราหรือต่างบ้านต่างเมือง เหมือนที่ Tree top Explorer Laos ดูแลที่ราบสูงโบลาเวน ให้คงความเป็นธรรมชาติไม่แปดเปื้อนขยะที่มาจากฝีมือมนุษย์ ทำให้ขุนเขาแห่งการเล่น Zipline นี้ คงความสวยงามตลอดไป


“ผมยอมมีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย แล้วได้เห็นโลก ดีกว่าเป็นเจ้าของโลกทั้งโลก แต่ไม่เคยได้เห็นอะไรเลย”

ถ้ายังไม่จุใจตามไปดูคลิบ VDO ใน youtube ได้นะครับและฝากติดตามกด “ซับตระไคร้” ให้ด้วยนะครับ


สรุปค่าใช้จ่าย

  • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ – อุบลฯ สายการบิน Thai Lion air 1,340 บาท/คน
  • แพจเกจโบลาเวน 3 วัน 2 คืน 299 USD/คน (ตอนนี้ราคาขึ้นแล้วนะครับ ลองสอบถามจากอ้ายบุญอีกที)
  • ค่าประกันการเดินทาง Cigna 332 บาท/คน
  • Alisa guesthouse ในเมืองปากเซ 2 คืน 2,020 บาท
  • Taxi จากสนามบินอุบลฯ ถึงด่านช่องเม็ก 800 บาท
  • ค่าธรรมเนียมผ่าน ตม ลาว เข้าและออก 200 บาท
  • วินรถตู้จากตลาดวังเต่า ช่องเม็ก ไป ปากเซ 100 บาท/คน
  • สกายแล็ปจากตลาดดาวเรือง ไปโรงแรม 100 บาท
  • ค่าจ้างรถจากปากเซไปส่งด่านช่องเม็ก 600 บาท ผมจ่ายค่าผ่านทางให้เขาอีก 20,000 กีบ (เขาไม่ได้เรียกร้อง ผมจ่ายเอง) หรือจะกลับด้วยรถบัสก็ได้ได้ครับมีให้เลือก
    • มีรถบัสจากปากเซถึงอุบล 2 รอบ 7:45-11:30 น.และ 15:00-17:00 น. ราคา 80,000 กีบ
    • มีรถบัสจากปากเซถึงกรุงเทพ 15:00–05:30 น. ราคา 270,000 กีบ
  • รถตู้จากช่องเม็ก ไป บขส อุบลฯ 100 บาท/คน
  • ค่ารถสองแถวจาก บขส อุบลฯ ไปทุ่งศรีเมือง 10 บาท/คน
  • Taxi meter จากทุ่งศรีเมือง ไปสนามบินอุบลฯ 50 บาท
  • ค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารและเครื่องดื่มที่ สปป ลาว ในส่วนของผมประมาณ 140,000 กีบ

POPPU

 วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.44 น.

ความคิดเห็น