ผมเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ไปเจอรูปเมื่อปีสองปีที่แล้วถ่ายไว้เยอะมาก เห็นแล้วเลยเสียดายของ เอามาทำ Review ดีกว่า แต่ก็มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังอยากแชร์ประสบการณ์อยู่ดี 555

"เมืองปากเซ" เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากจังหวัดอุบลราชธานีของไทย แต่การเที่ยวของผมนั้นจะเป็นแบบวันสองวัน 555+ ครั้งนี้ก็ได้ 2 วัน 1 คืน (เสาร์ - อาทิตย์) ไปเช้าเสาร์กลับคืนวันอาทิตย์ครับ ลองตามมากันครับ


การเดินทางครั้งนี้ผมใช้บริการของสายการบินนกแอร์ ครับ มีเที่ยวบินตรงตามที่ต้องการพอดี คือ ไป 7 โมงเช้า วันเสาร์ กลับถึง กทม. 5 ทุ่มวันอาทิตย์ ไปลงที่อุบลราชธานีครับ


ลงเครื่องเสร็จ เวลาจะอยู่ที่ 8:45 น. รีบวิ่งมาเรียกแท็กซี่หน้าสนามบินเลยครับ บอกไป "สถานีขนส่ง" จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที (ผมไม่ได้โหลดกระเป๋านะครับเลยไม่ได้รอรับ ไม่งั้นอาจไม่ทันรถเที่ยวเช้า)


เมื่อไปถึงสถานีขนส่งอุบลฯ ให้ไปซื้อตั๋วรถทัวร์ อุบลฯ-ปากเซ ที่ช่องบริษัทขนส่งฯ (200 บาท) รอบ 09:30 น.


เมื่อได้ตั๋วแล้ว มานั่งรอที่ "ชานชาลารถโดยสารระหว่างประเทศ" ตามรูปด้านล่าง


ไม่นานรถทัวร์หน้าตาประมาณนี้ก็จะเข้ามาจอดเทียบ เราก็ขึ้นไปนั่งรอข้างบนได้เลยครับ (ตามเลขที่นั่ง) รอถึงเวลา รถก็ออกเลยครับ ตรงเวลาดี


รถวิ่งไปประมาณ ชั่วโมงกว่า ก็จะมาถึง จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก มีสถาปัตยกรรมสวยงาม 555+


เอกสารที่ใช้ในการเดินทางและระยะเวลาท่องเที่ยวใน สปป.ลาว มี 2 แบบให้เลือก



แบบที่ 1. หนังสือเดินทาง (Passport) + ค่าธรรมเนียมฉบับละ 20 บาท สามารถอยู่ใน สปป.ลาว ได้ 30 วัน และสามารถเดินทางไปเที่ยวยังเมืองอื่นๆได้ (ผมเลือกแบบนี้ครับ ดูไม่ยุ่งยากดี)



แบบที่ 2. ในกรณีไม่มีหนังสือเดินทางมาด้วย ต้องทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว หรือ บัตรชั่วคราว + ค่าธรรมเนียมในการทำในเวลาราชการ อีก 50 บาท สามารถเที่ยวในแขวงจำปาสัก ได้เท่านั้น และกำหนดเวลาเพียง 3 วัน 2 คืน



ในกรณีขอหนังสือผ่านแดน สามารถติดต่อขอได้ที่ ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. – 16:30 น. หรือติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 045-255505 , 045-254218 หรือที่อีเมลล์ : [email protected]



เอกสารและหลักฐานที่ใช้ในการจัดทำหนังสือผ่านแดน

1. ภาพถ่ายขนาด 2 นิ้ว จำนวน 3 ภาพ สวมชุดสุภาพ ไม่ใส่แว่นตาดำ

2. สำเนาบัตรประชาชน หรือ พร้อมรับรองสำเนา

3. ทำการเขียนคำร้อง ตามแบบที่กำหนด ยื่นที่ศาลากลางจังหวัดอุบลฯ (ค่าคำร้อง ใบละ 30 บาท)



เมื่อเสร็จเรื่อง ตม. ที่ฝั่งไทยแล้ว ก็ข้ามฝั่งไปเขียนคำร้องขอเข้าประเทศที่ฝั่งลาว พร้อมเสียค่าธรรมเนียม เท่านี้เราก็ออกนอกประเทศไทยแล้ว 555+


จากนั้นรถทัวร์จะจอดรอเราอยู่ ก็ขึ้นไปนั่งจนคนขึ้นมาจนครบ แล้วก็ออกเดินทางต่อครับ ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะมาถึง สะพานข้ามแม่น้ำโขง แล้วครับ กว้างสุดๆ ไปเลย


ฝั่งนู้น ที่เราเห็นคือ "ตัวเมืองปากเซ" ครับ วันนี้ฟ้าสลัวๆ มัวๆ หม่นๆ ยังไงไม่รู้ 555+


ไม่นานรถทัวร์ก็พามาส่งที่ Bus terminal ปากเซ ครับ



(ตอนนี้ !!! รถจากประเทศไทยไปจอดที่ Bus Terminal KM 2 แล้วนะครับ จะอยู่ใกล้กว่าที่นี้เยอะครับ และให้ทำการจองตั๋วรถทัวร์ปากเซ กลับ อุบล ไว้ตั้งแต่ลงรถตอนมาได้เลยนะครับ)


ขอบคุณข้อมูลจากท่านพี่ ID: ไปซะ ก่อนจะไปไม่ไหว ด้วยครับ



แต่ผมจะขอเล่าในส่วนของผมต่อนะครับ 555+ ของผมรถไปจอดที่ Bus KM 8 ไกลโขเลย ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เลยไปยืมภาพจ่าย www.hotsia.com มาให้ดูประกอบครับ ผมตามรอยท่านนี้อยู่ (แต่ภาพเก่านิดนึงนะครับ 5-6 ปีเลยทีเดียว)


สามารถต่อรถจากที่นี้ไปยังเมืองต่างๆ ได้เลยครับ เป็นจุดเชื่อมต่อใหญ่ของประเทศทีเดียว (ปัจจุบันเป็นคอนกรีตหมดแล้วนะครับ ตอนผมไปกำลังทำเลย)


ส่วนเรานั้น ต้องหาทางเข้าเมืองเพื่อไปเช่ารถมอเตอร์ไซต์ก่อนครับ เดินออกมาด้านหน้าเลยจะมีคนรออยู่เยอะครับ (ขอบคุณภาพจาก feelthai.blogspot.com)


จากนั้นก็เดินทางด้วยรถสามล้อแบบในรูปล่างครับ พี่แกซิ่งน่าดู 555+


จริงๆ เข้าเมืองมันก็ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ หลายกิโลทีเดียว ดังนั้นอย่าเสียดายเงินครับ 50-100 บาทเอง (ขึ้นอยู่กับการต่อรอง 555+)


ไม่นานก็มาถึงจุดเช่ามอเตอร์ไซต์ มีหลายร้านมากครับ เลือกตามสะดวกเลย ส่วนใหญ่ก็ 24 ชม. ราคามีตั้งแต่ 60,000- 100,000 กีบ (250-400 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถครับ (ไม่ได้ถ่ายหน้าร้านมาเช่นเดินครับ ยืมรูปตามเคย 555+)


ได้รถมาแล้ว ขณะนี้ก็เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ สามารถหาโรงแรมที่พักแถวนั้นได้เลย ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย เลยไม่ได้เอาลงให้ดูนะครับ

(จริงๆ ผมตามรอยพี่ท่านนี้ครับ เข้าไปดูได้เลยครับ https://pantip.com/topic/33628024)

เมื่อได้ที่พักแล้วก็เก็บกระเป๋า ออกเดินทางกันเลยครับ หมวกแว่น เสื้อพร้อม ลุยได้ 555+


จุดแรกที่ผมจะไปคือน้ำตกที่เขาว่าสวยเป็นอันดับต้นๆ ของลาวเลย คือ น้ำตกตาดเยือง และน้ำตกตาดฟาน ครับ จะอยู่ใกล้ๆ กัน เราจะไปถึงน้ำตกตาดฟาน ก่อนตามแผนที่เลยครับ


เดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงครับ เสียค่าเข้าชม 5,000 กีบ กับค่าจอดรถ 3,000 กับ ครับ


เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปได้เลยครับ ไปถึงก็งงๆ ไม่ได้ยินเสียงน้ำตกเลย ที่ไหนได้ตัวน้ำตกอยู่ไกลมากครับ อยู่หน้าผาของเขาตรงข้าม เป็นลำธารที่ไหลลงหุบเหวลึกครับ สวยดีครับ


มาถ่ายมุมมหาชนเสียหน่อย (กับป้าย 555+)


ถัดจากน้ำตกตาดฟาน เราจะไปที่ น้ำตกตาดเยือง กันต่อครับ ไม่ไกลกันมาก ขี่มอเตอร์ไซต์ 10 นาทีก็ถึงครับ


เมื่อมาถึงก็จ่ายเงินค่าเข้าชม 10,000 กีบ ค่าจอดรถ 5,000 กีบ (เออ ทำไมแพงกว่าน้ำตกนู่น 555+)



พอเดินเข้าไปถึงได้รู้ว่าทำไมแพงกว่า เพราะมัน...... แบบนี้นี่เอง แต่..คือ..เดินไกลพอสมควรเลยครับ กว่าจะมาเจอน้ำตก ได้ยินเสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล ก็มาชะโงกดู เห็นคนตัวเท่ามด ที่เราต้องเดินลงไปเหรอ 555+



เดินอ้อมมาให้พอจะเห็นตัวน้ำตก ก็สวยดีแฮะ คุ้มค่าที่จะลงไป


ก็พยายามเดินลงไป มีราวให้จับตลอดครับ ความ Slope โหดเอาเรื่องเลย


ยังครับ ยังไม่ถึง แต่มีศาลาให้นั่งพักก่อนได้ สำหรับขาลงเรายังไม่เหนื่อยครับ เอาไว้พักตอนเดินขึ้น 55+


จากศาลาในรูปด้านบน มองด้านซ้ายจะเห็นน้ำตก เป็นมุมที่มองน้ำตกสวยอีกหนึ่งมุมครับ


จากนั้นก็เดินลงไปต่อครับ มีราวกันตกให้ตลอด ปลอดภัยครับ


บริเวณสะพาน ถ่ายรูปไปยังน้ำตกจะได้วิวนี้ครับ อลังการ สวยงามมาก (แต่ผมถ่ายมาไม่ค่อยสวย 55+)


สามารถลงไปถึงพื้น จุดต่ำสุดด้านหน้าน้ำตกได้เลยครับ ถ่ายหาน้ำตกแบบตรงๆ ได้เลย


ยืมชม นั่งชม เดินชม อยู่ซักพัก จนอิ่มใจ (หายเหนื่อย) แล้ว ก็เตรียมตัวเดินกลับขึ้นไปครับ แค่มองทางขึ้นก็เหนื่อยแล้วครับ 555+ อันนี้ผมถ่ายมุมเงยประมาณ 30 องศา (นี่คือเงยแล้วนะครับ 555+)


และแล้วก็เดินขึ้นมาถึงด้านบน เล่นเอาหอบพอสมควร เลยลองเดินไปดูเหนือน้ำตกบ้าง เป็นลำธารเล็กๆ เองครับ ก่อนจะไหลลงหน้าผาลงไป


มีสะพานข้ามไปชมบรรยากาศด้วย ผมข้ามมาถึงตรงนี้แล้วก็ข้ามกลับแล้วครับ 555+


ที่น้ำตก มีร้านค้า ร้านอาหารด้วย มาน้ำตกอาหารที่เหมาะเลยคือส้มตำ พร้อมข้าวผัดกับหมูแดดเดียว ทั้ง Set ประมาณ 70,000 กีบเองครับ


จากนั้นก็ขี่รถกลับโรงแรม อาบน้ำอาบท่า หาข้าวกิน หาเบียร์เบาๆ ดื่มที่ร้านริมโขง เมืองปากเซ ที่นี้ตกดึก เมืองจะเงียบมากครับ คิดจะทำอะไรต้องรีบออกแต่หัวค่ำนะครับ ก่อน 5 ทุ่มควรรีบกลับโรงแรมนอน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน 555+



***** จบวันแรก*****



ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ที่

Blog : https://goalonetravel.blogspot.com/

FB Page : https://www.facebook.com/คนเดียวก็ไปเที่ยวได้-1238634139627858/

วันที่ 2

เป็นวันอาทิตย์ ผมไม่ตื่นเช้านะครับ เกือบ 8 โมง 55+ วันนี้ต้องเดินทางไกลอีกวัน รีบเช็คเอ้าท์ หาข้าวกินเสร็จแล้ว เอากระเป๋าไปฝากร้านเช้ามอเตอร์ไซต์ จากนั้นขี่ยิงยาว 40 กว่ากิโลไปปราสาทหินวัดพู ตามแผนที่ครับ


ขี่มอเตอร์ไซต์ข้ามสะพาน สัมผัสได้ว่าแม่น้ำโขงกว้างจริงๆ ครับ ได้ฟิลล์มากครับ


ขี่มาเรื่อยๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงครับ จอดรถเสร็จก็เตรียมตัวครับ เสียค่าฝากรถ 3,000 กีบ ค่าเข้าชมโบราณสถานอีก 45,000 กีบ (ราคารวมทุกอย่าง) ช่วงแรกแนะนำเดินเข้าไปชมสิ่งที่ขุดพบได้มาจัดแสดงไว้ที่นี้ก่อนได้เลยครับ เพราะขากลับมาอาจเหนื่อยก่อน จะไม่อยากดูเอา 555+


จากนั้นออกมารอรถกอล์ฟไฟฟ้าสำหรับเข้าไปยังตัวปราสาท ซึ่งอยู่ไกลมากครับ เดินไม่น่าไหว 555+


ระหว่างนั่งบนรถกอล์ฟไฟฟ้า ก็ถ่ายรูปไป มีบาราย (สระน้ำ) ขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าตามรูปแบบขอมเลยทีเดียว โดยสระน้ำขนาดใหญ่นี้มีขอบสระก่อด้วยหินทราย กว้าง 200 เมตร ยาว 600 เมตร เชื่อเว่าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้น้ำสำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ชาวลาวนิยมเรียกว่า “หนองสระ” แต่ที่ที่เราจะไปอยู่ตรงภูเขานู่นครับ (เดินไหวไหมหล่ะ 555+)


เริ่มมองเห็นซากอาคาร เราจะลงที่จุดนี้ครับ มีวัวชาวบ้านเข้ามาหากินหญ้าแถวบารายด้วย


มาดูรายละเอียดกันหน่อยว่าเราจะไปดูอะไรกัน จะได้เข้าใจเวลาไปถึงครับ


และแล้ว...เราก็ได้เวลาเดินเข้าไป จริงๆ มันก็ยังไกลอยู่ดีครับ 555+ ด้วยระยะทาง 280 เมตร ปูพื้นด้วยหินทราย ขอบทางเดินตั้งเสาหินรูปดอกบัวทั้งสองข้าง เรียกว่า “เสานางเรียง” (ลองจิตนาการสมมุติตัวเองเป็นคนโบราณสมัยนั้น ที่ต้องเดินขึ้นไปศักการะด้านบนวิหารดูครับ)


ปราสาทหินวัดพู ถือเป็น ปราสาทหินที่สวยงามที่สุดในลาว โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคขอมโบราณ ลักษณะปราสาทนั้นเป็นเทวสถานขอมคล้ายคลึงกันกับเขาพระวิหาร ในอดีตนั้นเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา คาดว่าสร้างตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ถือว่าเป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่ง ด้านหลังนั้นโอบล้อมด้วยภูเขาขนาดใหญ่ ส่วนบริเวณด้านหน้าก็มีแม่น้ำโขงไหลผ่าน ทำให้บรรยากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ไฮไลท์ภายในปราสาทก็มีมากมาย ทั้งเสานางเรียง ขอบทางเดินที่มีเสาหินรูปดอกบัวเรียงราย ภาพสลักลวดลายหน้าบันรูปอุมามเหศวร ร่องรอยของรูปสลักทวารบาลบนซุ้มประตูที่พังไปแล้ว เป็นต้น นอกจากนั้นปราสาทหินวัดพูแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ.2544 อีกด้วย


เดินต่อไปครับ มาซักครึ่งทางเริ่มจะเห็นตัวอาคารบ้างแล้วครับ 555+ มีอาคาร 2 หลัง ขนาบ 2 ข้างทางเดิน


อาคารดังกล่าวก่อด้วยหินทราย สลับกับอิฐและศิลาแลงบางส่วน แต่มีการแกะสลักลวดลายสวยงามที่บริเวณหน้าบันและทับหลังของตัวอาคารด้วย สันนิษฐานว่าอาคาร 2 หลังนี้ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรืออาจเป็นพลับพลาของกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ยามที่เสด็จมาบูชาเทวสถานแห่งนี้ ชาวลาวในปัจจุบันเชื่อตามคติท้องถิ่นว่าที่แบ่งเป็นอาคาร 2 หลังเพราะเป็นที่พำนักของฝ่ายผู้ชายและฝ่ายผู้หญิง จึงเรียกชื่อว่า “โรงท้าว” และ “โรงนาง”


สภาพตัวอาคารปัจจุบันครับ (ถ่ายย้อนแสงนิดนึงนะครับ 555+)


ถัดจาก "โรงท้าว โรงนาง" เป็นทางเดินปูด้วยแผ่นหินทรายยาวตรงไปสู่บันไดขั้นแรก ที่จะขึ้นไปยังตัวปราสาทประธาน มีต้นลั่นทมขึ้นคล้ายซุ้มประตูเลยทีเดียว


จากนั้นเป็นบันไดหินขึ้นสู่ปราสาท บางช่วงมีกองอิฐของปราสาทเก่า และชั้นกำแพงหินป้องกันดินทรุดเป็นระยะๆต่อไป จุดเด่นของบันไดทางขึ้นช่วงแรกนี้คือต้นลั่นทมขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสวยงาม ชาวลาวถือว่าลั่นทมเป็นดอกไม้ประจำชาติ นิยมเรียกว่า “จำปา” เหนือบันไดนี้จะมีร่องรอยของ “โคปุระ” หรือซุ้มประตูซึ่งพังไปแล้วเช่นกัน


มีส่วนเหลือให้เห็นคือ รูปสลักทวารบาล หรือผู้รักษาประตูด้านทิศเหนือ ในสภาพมือขวากุมไม้เท้า มือซ้ายแนบหน้าอก เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ผ่านขึ้นไปยังปราสาทเบื้องบน แต่ชาวลาวกลับตีความว่าเป็นรูปสลักของ “พระยากำมะทา” ผู้ควบคุมการก่อสร้างปราสาทวัดพู กำลังทุบอกตนเองด้วยเสียใจที่การก่อสร้างปราสาทวัดพู เสร็จทีหลังการก่อสร้างพระธาตุพนม


ถัดจากบันไดนี้ขึ้นไป เป็นทางเดินยาวที่ปูด้วยแผ่นหินทราย ที่มีความชันตามแนวลาดของภูเขา


เมื่อเดินมาถึงข้างบนพักเหนื่อยซักหน่อย ถ่ายภายย้อนไปดูข้างหลังที่เราเดินขึ้นมาบ้าง 555+


บันไดชั้นถัดไปได้เชื่อมต่อขึ้นสู่ระเบียงตระพักชั้นบนสุด ที่หน้าบันไดนี้จะมีร่องรอยของ “สะพานนาคราช” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สะพานสายรุ้งหรือทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ตามคติเขมร เมื่อเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นบนสุดก็จะเป็นที่ตั้งของปราสาทหลังประธาน หัวใจสำคัญของเทวสถานปราสาทวัดพูแห่งนี้ (บันไดนี้จะชันมาก)


ให้ดูความชันแบบจ๊ะๆ ด้วยมุมเงย 45 องศา (555+)


ขึ้นมาถึงแล้ว เลยถ่ายย้อนมาให้ดูครับ ชันจริงๆ


ตัวปราสาทประธานของปราสาทวัดพู แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คืออาคารหินทรายส่วนหน้าเรียกว่า “มณฑป” สร้างขึ้นราวๆช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 มณฑปนี้จะมีจุดเด่นตรงที่ มีการสลักภาพเล่าเรื่องและภาพบุคคลต่างๆตามความนิยมในศิลปะเขมรมากมายทั้งที่ตัวผนังปราสาท หน้าบันและทับหลัง


ด้านในสุดของมณฑปเป็นห้องที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชาวลาวสร้างขึ้นในภายหลัง ช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนตัวปราสาทวัดพูจากเทวสถานของศาสนาฮินดูของเขมร มาเป็นวัดพุทธศาสนาแบบลาว


ด้านหลังมณฑปเป็นอาคารก่ออิฐแบบโบราณ ซึ่งก็คือ “ปราสาทประธาน” นั่นเอง ในอดีตปราสาทอิฐหลังนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ “ภัทเรศวร” ที่กษัตริย์กัมพูชาเคารพนับถือมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรเจนละ แต่ปัจจุบันไม่มีศิวลึงค์อยู่ในห้องนี้แล้ว


โดยรวม ตัวสิ่งปลูกสร้าง ผุพังไปมากทีเดียวครับ


หน้าผาเพิงหินด้านหลังปราสาทประธานของวัดพู จะมีน้ำไหลซึมออกมาตลอดทั้งปี ชาวลาวเรียกว่า “น้ำเที่ยง” ซึ่งถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากยอดภูเกล้า “ลิงคบรรพต” เปรียบประดุจไหลมาจากศิวลึงค์แห่งพระศิวะบนเขาไกรลาส จึงถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หากได้ปะพรมหรือดื่มกินแล้วจะเกิดสวัสดิมงคลด้วยพรแห่งพระเป็นเจ้า


มีป้ายอธิบายอาคารแต่ละหลังไว้ด้วยครับ


มาดูวิวมุมสูงจากด้านบนดูครับ จากจุดที่เราเดินมาตรงสระน้ำนู้นๆ เลยครับ ไกลเอาเรื่อง 555+


แม้ว่าปราสาทวัดพูจะมีสภาพที่เก่าแก่ปรักหักพังตามกาลเวลา และไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเท่าปราสาทนครวัดที่เป็นสิ่งมหัสจรรย์ของโลก แต่คุณค่าของโบราณสถานแห่งนี้ คือ เป็นจุดกำเนิดอารยธรรมกัมพูชาสมัยเจนละ ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ในอดีต และต่อเนื่องมาจนกลายเป็นศูนย์รวมความศรัทธาในจิตใจของชาวลาวเจ้าของพื้นที่ในปัจจุบัน ก็ยิ่งใหญ่สมควรแก่การมาเยี่ยมเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ทั้งเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านและเพื่อทำความความเข้าใจวิถีศรัทธาของประเทศเพื่อนบ้านได้ดียิ่งขึ้นครับ


(ข้อมูลความรู้ จาก https://dputhp.wordpress.com/2014/07/23/km09-ปราสาทวัดพู)



ได้เวลาสมควร ที่เราจะเดินกลับกันแล้วครับ ไกลลิบๆ 555+


พอเดินมาถึงจุดรอรถกอล์ฟ รถยังไม่มา แต่มีของขายน่าสนใจ น่าจะอร่อย จัดเลยป้า 1 แก้ว ในราคา 5,000 กีบ


เป็นลอดช่องน้ำกะทิ อร่อย เย็นชื่นใจดีมากครับ


และแล้วรถกอล์ฟก็มารับ และกลับมาส่งยังจุดอำนวยการข้างหน้า เราเดินเข้าไปข้างในนิดหน่อยจะมีร้านกาแฟอยู่ครับ ระหว่างทางตกแต่งสวยงามครับ


ไหนๆ ก็มาแล้ว สั่งกาแฟและน้ำดื่มมาทดสอบเสียหน่อย กาแฟเขาก็ใช้ได้เลยครับ


จากนั้นก็ต้องขี่รถยิงยาววว ไปยังจุดชมวิวเมืองปากเซหน่อย ขี่ขึ้นเขา ชันนิดหน่อยแต่ทางสะดวกครับ ขึ้นไปยังวัดพูสะเหลา จากปราสาทหินวัดพูมาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ตามแผนที่


เมื่อมาถึงข้างบน วิวสวยมากครับ มองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำโขง เห็นตัวเมืองปากเซด้วย


เดินมาไม่ไกล จะมีพระพุทธรูปนับร้อยประดิษฐานเรียงรายกันอยู่ดังรูปครับ


เดินไปอีกซักหน่อย จะเจอพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก หันองค์ไปทางเมืองปากเซครับ


มาถ่ายด้านหน้ากันบ้างครับ องค์ใหญ่จริงๆ ครับ


ตอนนี้ก็เวลา 13:00 น. แล้ว เราต้องไปถึงขนส่งปากเซเพื่อไปขึ้นรถกลับอุบลราชธานีก่อน 15:00 น. และต้องเอารถมอเตอร์ไซต์ไปคืนด้วย จะครบ 24 ชั่วโมงในเวลา 13:30 น. แล้ว ใช้เวลาประมาณ 15 นาที

ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีไปถึงร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ คืนรถ รับกระเป๋า แล้วก็โบกสามล้อไปส่งขนส่งปากเซเลยครับ รวมๆ ใช้เวลาตั้งแต่ลงเขาจนไปถึงขนส่งประมาณ 1 ชั่วโมงครับ


จากนั้นก็ไปซื้อตั๋ว แล้วก็นั่งรอยาวๆ ไปครับ รอรถออก ขากลับผมได้รถลาวนะครับ หน้าตาประมาณนี้ครับ (ยืมรูปจาก Hotsia เช่นเดิม รูปเก่า ขลังดีครับ)



***จากที่ได้แจ้งไปข้างต้นว่า ปัจจุบันรถทัวร์ ไป-กลับ ไทย จะจอดที่ Bus Station KM 2 แล้วนะครับ อย่าตามผมมานะครับ 555+



รถทัวร์มาถึงขนส่งอุบลประมาณเกือบ 19:00 น. ก็เรียกแท็กซี่ไปส่งสนามบินได้เลยครับ เช็คอินเสร็จก็หาที่นอนรอขึ้นเครื่องยาวๆ ไปครับ 2 ชั่วโมง 555+



******* จบการเดินทาง*****



จริงๆ ลาวใต้มีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะนะครับ ผมมีเวลาจำกัดเลยเลือกสถานที่ที่อยากไป หวังว่าพอจะเป็นประโยชน์กับท่านที่สนใจไปเที่ยวลาวใต้นะครับ



ปล. ขอขอบคุณ พี่ ID : ไปซะ ก่อนจะไปไม่ไหว ที่ช่วยแนะนำ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะครับผม



ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ที่

Blog : https://goalonetravel.blogspot.com/

FB Page : https://www.facebook.com/คนเดียวก็ไปเที่ยวได้-1238634139627858/

GoAloneTravel

 วันพฤหัสที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 00.02 น.

ความคิดเห็น