29th - 30th Dec 2017



จากเจียงดารา ช่วงตุลาปีเดียวกันนั้น... จขบ.คุยกับแนตตี้ว่าอยากขึ้้นดอยหลวงก่อนตัวเองจะเลยวัย 25 ไปซะก่อน แนตตี้เองก็อยากจะพิชิตยอดดอยสักครั้งก่อน 30 มาเยือนอะไรประมาณนี้ แฮร่ ++
เกิดคำมั่นกันว่าหาทางขึ้นดอยกันเถอะ เปิดเฟสเจอเพจ ๆ หนึ่งที่นำขึ้นดอยในราคาแพคเกจเหมา ๆ
ข้อความถามได้ความบลา ๆ ๆ จนเกิดการจองแต่ติดเวลาที่จองนั้นเวลางานของเรา "ไม่ได้" มันเลยวนลูปเข้าธรรมเนียมเดิมว่า.. ปิดยาว 10 วันคงได้ใช้เวลาช่วงนั้นแหล่ะ และเวลาที่ได้นั้นปลายทางของเราไม่ใช่ดอยหลวงอีกต่อไป แต่เป็นดอยแม่ตะมาน ที่ ๆ สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ มช. ที่เราจะไปตั้งเต้นท์กันนั้นตั้งอยู่

แผนเที่ยวเลยเปลี่ยนนิดหน่อยจากเดิมที่กะลุยและใช้วิชาลูกเสือที่เรียนมาให้เต็มที่ ลดขั้นเป็นแค่คุณนายเดินป่าประมาณนั้น แฮร่ !!


ดอยแม่ตะมาน
สันป่าเกี๊ยะ

เพราะในเพคเกจที่จ่ายไปนั้นมีรถบริการรับส่งจนถึงยอดดอยมีคนเตรียมอาหารและกางเต้นท์ให้หรือเรียกอีกอย่างว่า เอาเซอร์วิสมาไว้ที่ปลายดอยให้เราเสพความนอนเต้นท์ ความนอนดอยได้อย่างสบายค่ะ ซึ่งสำหรับเราแล้วไม่เสียใจที่จ่ายนะ เพราะทางโหดมากซึ่งถ้าเอารถไปเองคงกลับรถตั้งแต่โค้งแรกที่เลอะโคลนละค่ะ


.

.

.




จากที่เกริ่นว่าเราซื้อทัวร์ดอยกับทางเพจ ๆ หนึ่งซึ่งเปิดบริการได้สักระยะ แม้ว่าจะมีหลายเอเย่นที่บริการลักษณะอย่างเดียวกันแต่เราก็เลือกที่นี่เพราะหาง่ายที่สุดละมั้งคะ... เชียงดาวแคมป์ปิ้ง ไม่ต้องห่วงค่ะไม่ได้ค่าโฆษณาค่ะ เขาก็บริการดีจริงไรจริง และเป็นงาน เลยแนะนำไว้เผื่อมีใครอยากไปพักไปค้างแต่ไม่มีพลขับอย่างพวกเราค่ะ เป็นทางเลือกเนาะ หรือใครขับเองได้ติดต่อโดยตรงได้ที่นี่ค่ะ

สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ โทร : 053 222014

มาพูดถึงการเดินทางของเราดีกว่า การเดินทางของเราเริ่มต้นในวันที่ 29 และสิ้นสุดในบ่ายวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยทีมงานของแคมป์นัดหมายให้รอที่ห้างเมญ่าเชียงใหม่ รถจะมารับเราที่นั่นและพาไปที่เชียงดาวแคมป์ปิ้งเพื่อเปลี่ยนรถอีกคันนึงขึ้นดอย จุดเดียวกันนั้นเองเราได้เพื่อนร่วมทางอีก 6 ชีวิต

ซึ่งพีคสุดของการนอนดอยก็ไอ่นี่แหล่ะ สำหรับ จขบ.นะ คือผ่านที่นี่ได้แล้วดอยไหนก็ไม่กลัวละ (นั่งนะไม่ขับ)




ระยะทาง 33 กิโลเมตร (ดอย) ที่ฝนดันมาตกก่อนวันเดินทางสภาพหนทางก็จะครื้นเครงอยู่หน่อย ๆ คือถ้าหลับตาคิดว่ากำลังนั่งเรือโต้คลื่นอยู่ ซึ่งนับถือคนขับมาก กราบบบบบบ ซึ่งก็จะได้ยินเสียงพวกที่นั่งหลังกระบะกรี๊ดมาเป็นระยะ ๆ บวกอาการสะบักสะบอม





เห็นโค้งนี้ก็ดีใจว่าอีกแป๊บก็ได้ลงละเดินทางร่วมชั่วโมงได้ รถเราก็ถึงสถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ ซึ่งเวลาที่ถึงนั้นราวบ่ายสามเกือบสี่ อากาศเย็นใช้ได้ 15 - 17 องศาหมอกหนาตา มันก็จะฟิน ๆ อยู่หน่อย ๆ ฟินที่ว่านี่คือ ตรูถึงอย่างปลอดภัยว่ะเฮ้ย..



เราเลือกเต้นท์นี้กะจะยัดกันอยู่สามคนให้เต้นท์แตกไปข้างนึง


สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ เป็นสถานีทดลองของโครงการพัฒนาที่สูงไทย-ออสเตรเลีย ภายใต้การบริหารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำการทดลองปลูกพืชและผลไม้เมืองหนาว และเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพ ตั้งอยู่บน ดอยแม่ตะมาน ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่




ทำไมต้องเน้อ...



"""""""""""""


เรื่องของทิศก็ไม่ใช่เรื่องชัดเจนของคนมักหลง (ทาง) อย่างจขบ.อีกแล้ว ยิ่งหมอกหนาอย่างนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ดอยหลวง อันเป็นที่รักของข้าเจ้าอยู่ทางไหนมีแต่หมอกบังวิวทุกทิศทาง




หมอกลวงตาจนไม่รู้ว่าข้างหน้าคือดอยหลวง และต้นไม้แห้ง ๆ เหล่านั้นคือนางพญาเสือโคร่งและดอกท้อที่ตัวเอง "ตามหา" จนต้องก้าวขาไปใกล้ ๆ เราจึงเจอความชัดเจน













อายุอานาม 3 คนปาไป 150 หลังจากไปบ้า ๆ ด้วยกันหลายที่ ที่นี่ไม่บ้าก็ให้รู้ไปเนาะ

....................




เย็นย่ำเริ่มหิว และแสงเริ่มหาย

น้องผู้ชายของแคมป์เตรียมอาหารไว้ให้ จขบ.นอนเอนหลังและจัดของในเต็นท์สักพัก ปล่อย ๆ ป้า ๆ หามุมเซลฟี่กันไป



มันก็จะฟินอยู่หน่อย ๆ

สักพักได้กลิ่นหมูย่างลอยมา อดไม่ทนรอไม่ได้ลากขาไปนั่งกับเขา

หมูกระทะกับความหนาวมันช่างเข้ากัน กรุ๊ปจาก กทม.ที่มาด้วยเขาก็จะคุยกันออกรสออกชาติอยู่หน่อย ๆ มันก็จะเฮฮากันไปแม้จะมาจากต่างที่แต่ก็คุยกันได้ค่ะ เสน่ห์ของการเดินทางก็ตรงนี้คือรุ้จักเพื่อนใหม่ไปเรื่อย ๆ




เป็นค่ำคืนที่อิ่ม และแน่น และต่อจากนั้นความหนาวรุนแรงก็เริ่มบุก การสื่อสารบนดอยแม่ตะมานเริ่มจะกระด้าง... อีกอย่าง แบตมือถือเริ่มหมดเช่นกัน นี่มันบังคับให้นอนแต่หัวค่ำเลยนี่นา

แต่ไม่ใช่อิชั้นละค่ะ หาที่ปั่นไฟดีกว่าเนาะ

จุดปั่นไฟคือร้านขายของนั่นเองค่ะ เขาจะเปิดเครื่องปั่นไฟตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม จขบ.ก็ไปยืนหนาวกับเขาด้วย เลยเห็นว่าจุดเดียวกันนั้นขายฟืน ขายทุกอย่างมันเลยค่ะ นึกถึงทางที่เขาต้องขนของขึ้นมา กำไรไม่กี่บาทให้เขาไปเถอะเนาะ



แบตเต็มแล้วยังไม่อยากนอน ปล่อยป้า ๆ นอนกันไป จขบ.นั่งดื่มตากน้ำค้างจนผมเปียกมันหนาว ห้องน้ำไม่ต้องเรียกนะ ไม่อาบจ๊ะ อาบแห้งปนพรมน้ำค้างไปละ ฮาาาา (เหม็นตัวเองชะมัด)


หลับเถอะเนาะ ฝืนแหกตาต่อก็ไม่ได้อาไร... เวลาที่นั่งดื่มหน้าชาตากหมอก ตากน้ำค้างอย่างนั้นมันทำให้เริ่มเจ็บคอนิด ๆ ละ (ทำไปได้)

.

.

.




เสียงนาฬิกาไม่ทันปลุกหรอกนะ

แต่ด้วยความชินของ Anatomy ของตัวเองมันพรึบ ๆ จะให้นอนที่ไหนประมาณเวลานี้จำต้องตื่น แหมที่พูดว่าเนี่ย.. เหมือนจะดีเนาะ.. วิถีมนุษย์เงินเดือนนั่นเอง (มองบน)

ล้างหน้า แปรงฟันไม่ทันได้แต่งสวย หยิบกล้องแล้วตั้งค่า iso ล่าตะวันที่ขอบฟ้ามุมดอยกันเนาะ ถามน้องผู้ชายที่ตื่นเช้ากว่าเราอีกว่าตะวันขึ้นทางไหน เพราะเวลานั้นตะวันยังไม่มา เขาบอกไปทางนู้นเราก็ไป.. ทั้งมืด ๆ อย่างนั้นแหล่ะ ที่กล้าเดินเพราะเพื่อนเต็มดอย แหะ ๆ

สักพักเธอก็มา ฮิเดโกะ ของอิชั้น

ขออภัยภาพไม่คม ไม่สวยนะคะ

ยังตั้งค่าอะไร ๆ ไม่ค่อยจะเป็นกะเขาหรอกฮาบ





เชียงดาวข้างล่าง สามสิบกว่าโลก็จะเห็นไฟดวงน้อย ๆ อยู่ริบ ๆ






............

และ

เดินมาอีกมุมที่ตามชาวบ้านเขามา.. อย่างที่บอกว่าไม่รู้ทิศที่ดอยหลวงตั้งอยู่หรอก เพราะวันวานที่ถึงหมอกหนาบังวิวหมดค่ะ เพิ่งจะมีก็เช้านี้แหล่ะที่ฟ้าเปิดที่สุดละ

และมุมนั้นที่เก็บรูปไปแสนใบวันก่อน ดอยหลวง อยู่นั่นนี่เอง











กับนาทีที่เธอเริ่มสว่างและเห็นชัดเต็มสองตา



ดอยหลวงว่าสวยแล้ว น้ำค้างที่ต้นนางพญาฯก็สวยใช้ได้

ว่าไหม?

เก็บรูปสักพัก จนเข้าใจว่าตัวเองยังหน้าสดอยู่นี่เนาะ ไม่ได้ละ เดี่ยวสว่างกว่านี้ชาวบ้านจะตกใจไปแต่งหน้าดีกว่าาาาาาา


ที่เต้นท์ เป็นอันเข้าใจว่า... ทำไมเขาเลือกที่นี่เป็นจุดกางเต้นท์ให้พวกเราก็เพราะสิ่งนี้ นี่เอง เป็นซีนแต่งหน้าราคาพันล้าน ๆ ๆ



และสัญญาณที่ว่าของงามมักอยู่ไม่นานมาแล้ว

หมอกมาอีกแล้ว

ไหนบอกวันนี้ฟ้าจะเปิดไม่ใช่รึ???


ไปซะละ

ดอยหลวงของอิชั้น





เฝ้ามองหมอกบดบังอีกครั้ง

มองจนดอยหลวงลับตาไปอีกแล้ว T.T

.
.
.



ที่เพ้อ ๆ มารวมชั่วโมงกว่า ๆ เนี่ยคุณนายสองนางเพิ่งจะตื่น และสวยยังไม่เสร็จขร่ะ

ซึ่งยิ่งสาย หมอกยิ่งลงหนักกว่าเดิม และคนอยู่ไม่ติดกับที่ก็เริ่มจะขยายอาณาเขตเดินอีกแล้ว สว่างเป็นไม่ได้







..................



เริ่มออกตามล่าซากุระเมืองไทย หรือนางพญาฯที่บานล่อหน้าล่อตาใต้แสงตะวันอ่อน ๆ ปนสายหมอกอย่างนั้น อดใจไม่ไหว (ตามลำพัง)








เดินเก็บรูปเพลินจนออกนอกรั้วที่พักไป

บนถนนที่ผ่านมาวานนั้น ใต้ต้นสนเหล่านั้น น้ำค้างปานน้ำฝน สดชื่นมากนะ หยิบฮูดคลุมหัวกลัวหวัดแดร๊กเอา

เงียบ สงบอย่างนี้ เป็นจังหวะดีที่จะหาคำตอบให้ตัวเองก่อนปีใหม่

แต่เอาไปเล่าให้เพื่อนฟังมันบอกว่า โอกาสดีอย่างสูงที่จะได้สามีใหม่ คือเปลี่ยวแท้ทรู เอ่อ... จริงด้วย


...............

....

เดินจนหนำใจ หิวแล้วกลับไปหาฝูงดีกว่า เฮ้ย หาเพื่อนจ๊ะ หาเพื่อน


กลับเต้นท์เจอน้องชายทำอาหารให้ทาน น่ารักชะมัด

นี่ยังคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่ซื้อทัวร์มาอย่างนี้ ข้าวของที่ต้องเตรียมคงอีรุงตุงนังมากมายยยย


..................


มื้อเช้าที่ง่าย ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น จขบ.พาป้า ๆ ไปตามหาซากุระที่ว่าอีกครั้ง

คราวนี้ขยายอาณาเขตเที่ยวได้ไกลกว่าเดิมได้สักทีละเนาะ เพราะมีคนหารความเสี่ยงด้วยแล้ว 5555



ถือเป็น trekking ที่ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน และฟินอยู่ไม่น้อยค่ะ




ทางสีชมพู แต่ดูแทบไม่ออกว่าชมพูอย่างนั้น เพราะหมอกนั่นเอง



จ๊ะ เอาที่สบายใจนะ



รูปนี้สวยมั๊ยแกรรรร ???

............








เดินไป ได้ยินเสียงเพลงไป เพลงดังด้วยสิ ผู้สาวขี้เหล้า เอิ่มมม

เรามองทางข้างหน้าไม่เห็นอะไรอีกนอกจากจะไกลเต้นท์ไปเรื่อย ๆ และไม่รู้จุดหมายปลายทาง เลือกมุดรั้วกลับเข้าที่พักดีกว่า จะให้เดินกลับทางเดิม ป้าขาลากแล้วไม่ไหวจ๊ะ ไม่เอา



วิธีทรมาน สว.ที่ดีที่สุด ให้มันมุดรั้ว 5555 ดีงาม


หลักฐานว่า... ดอยแม่ตะมาน มีอารยะชนตั้งรกรากอยู่ด้วยนะ




เราว่า

เราเจอที่มาของเสียงเพลงผู้สาวขี้เหล้าของเราแล้วล่ะ แท่ แดร่



ซึ่งก็จะถูกใจนางไม่ใช่น้อย ถึงขั้นเข้าไปขอถ่ายกะรถเขาซะเลย

มากันหลายคัน







เราก็เก็บรูปตามประสาพวกโลกสวยของเราสักพัก

ก่อนกลับเข้าเต้นท์เก็บของแล้วลาดอยกันค่ะ




แม้ว่า... การเยือนของเรานั้นจะเจอแต่สายหมอก แต่เรานับว่าไม่เสียเที่ยว

การเดินทางจะมีเสน่ห์ตรงที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้นี่แหล่ะเรียกจุดเซอร์ไพร์ส

วิธีเดินทางเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พลิกเป็นจุดพีคของการเดินทางครั้งนี้

เราเคยได้ยินว่า การเยือนแม่ตะมานไม่ง่าย เข้าใจแท้จริงก็วันนี้แหล่ะ

ขาขึ้นว่าเสี่ยงแล้ว ขาลงยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะที่สวนสยาม (เก่าไปไหม)

แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า ปลอดภัย กลับบ้านดีกว่า

แล้วกลับมาอีกนะ แม่ตะมาน

.

.

.

Mariabamboo

 วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 14.47 น.

ความคิดเห็น