ติดตามการเดินทางของผมได้ที่ Facebook Page : Hang Around Thailand
https://www.facebook.com/hangaroundthailand/


"ถ้าสวรรค์มีจริง “บาหลี” คงเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์แน่ๆ"

ถ้าจะให้ยก destination ที่ผมไปแล้วประทับใจที่สุด “บาหลี” คือหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งธรรมชาติที่น่าหลงไหล บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกริมหาดที่ไม่เหมือนใคร วิถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย และน้ำใจของคนท้องถิ่นที่พร้อมจะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวตลอดเวลา มันทำให้มองข้ามสถานที่นี้ไปไม่ได้

“บาหลี” เป็นเกาะเล็กๆ ของประเทศอินโดนีเซีย ทริปนี้เราใช้บริการสายการบิน Air Asia โดยจองรอบเช้า เวลา 6.10 น. ไป – กลับได้ในราคารวมทั้งหมด 3,575 บาทถ้วน โอ้ว…แม่เจ้า!!! ทำไมถูกจังวะ 5555

ไปส่องหาตั๋วถูกๆ ได้ที่ : www.airasia.com

ก่อนไปผมได้ลองศึกษาจากหลายๆ เว็บ รวมถึงถามเพื่อนที่เคยไป เรื่องของการเดินทางในบาหลี ส่วนมากก็จะเป็นการเช่ารถพร้อมคนขับ ซึ่งตกอยู่ประมาณวันละ 1,500 บาท ถ้าไปหลายๆ คน หารกันยังไงก็คุ้ม แต่เรื่องของเรื่องคือเราไปกันแค่ 2 คนนี่สิ!!!

เลื่อนหาข้อมูลไปเรื่อยๆ เห้ย!!! ทำไมเช่ารถขับเองมันถึงถูกจังวะ ตกวันละ 20 USD หรือ 600 กว่าบาทเอง รวมทั้งเป็นคนที่ชอบขับรถเที่ยวเองอยู่แล้วเวลาอยู่ที่ไทย เลยตัดสินใจเช่ารถมันซะเลย

โดยเราใช้บริการของบริษัท balicar4rent โดยรวมถือว่าประทับใจเลยทีเดียว รับ – ส่งรถตรงเวลา มีเจ้าหน้าที่คอยบริการตลอด สามารถกำหนดจุดรับรถ วันและเวลา เองได้ ซึ่งผมกำหนดให้เป็นที่สนามบินทั้งรับและส่งรถ

ทางไปจอง : https://www.balicar4rent.com/



Day 1 : 06/01/2018

วันเดินทางเราไปถึงสนามบินดอนเมืองตอนตี 5 กว่าๆ โดยทำการ check-in ผ่าน app ของ Air Asia ไปแล้ว (โคตรสะดวก) เพราะชอบไปสาย กลัว check-in ที่เคาเตอร์ไม่ทัน 5555 จากนั้นก็เดินไปทางเชื่อมอาคารกะว่าจะไปเติมเงินเข้าซิมเน็ตของ AIS SIM2Fly

ปรากฏว่า “ปิด” จ้า ยังไม่มีค่ายไหนเปิดเลย OMG!!! จะทำยังไงดีวะเนี่ยยย

ลองโทรติดต่อ Call Center ของ AIS ดู เห้ย!!! มีคนรับสายด้วย แล้วเค้าก็ให้เติมเงินจาก Internet Banking จากนั้นก็เปิดเน็ตให้เรา (โคตรดีเลย ตี 5 ก็ยังบริการอยู่)

ผมแนะนำนะ ใครจะไปต่างประเทศ ใช้เถอะ โคตรสะดวก



พอขึ้นเครื่อง เป็นเวลาพระอาทิตย์ขึ้นพอดี หยิบกล้องมาถ่ายรูปได้ 3 รูปถ้วน จากนั้นก็หลับสิครับ นี่มันเวลานอนโว้ย!!!



เราถึงสนามบินเดนปาซาร์ เกาะบาหลี เวลา 11.20 น. เลทไปประมาณ 10 นาที พอเปิดโทรศัพท์เจ้าหน้าที่ของบริษัทก็ message มาพอดี นัดเจอตรง Information แล้วพาเราไปเอารถ



นี่คือเพื่อนร่วมทางของเราในทริปนี้ คุณบรีโอ

พอได้รถแล้ว พนักงานถามว่าคุณจะทำประกันรถด้วยไหม เบี้ยประกันวันละ 6 USD ซึ่งคุ้มครองตลอด 4 วันที่เราอยู่ที่นี่ ผมเลยตอบตกลงไป (แนะนำใครเช่าขับก็ทำไว้ดีกว่า เพราะที่โน่นถนนแคบ อาจมีเฉี่ยวชนได้)

ออกมาก็จะเจอด่านเก็บค่าเข้าสนามบิน จ่ายไป 5,000 IDR



ทริปนี้ใช้แผนที่ของ Google Map เป็นหลัก โดยวางแผนไว้ก่อนไป แล้วเซฟ map ไว้บน internet (ใครอยากได้ ทักมาขอได้นะ)



จุดแรกที่เราจะไปเรียกว่า “Puncak Karang Boma Pecatu” เป็นหน้าผาที่ยื่นออกไปกลางทะเล ซึ่งเป็น hidden place ของบาหลีเลยก็ว่าได้ ตอนผมไปคือไม่มีคนเข้าไปเลย มีแค่ฝรั่งเดินตามเรามาแค่คนเดียว

พอไปถึงจะเจอไม้กั้นอยู่ ไม่ให้รถใหญ่เข้า ต้องจอดแล้วลงเดินต่อ ประมาณ 1 กิโล



เดินตามทางไปเรื่อยๆ จะมาสุดทางที่ประตูเหล็ก ให้ออกขวาเดินตามทางเข้าป่าไป



ตรงไปเรื่อยๆ จะมาสุดทางที่ลานกว้างๆ ข้างหน้าเป็นหน้าผา โคตรสวยเลยวะ แต่ไม่เหมาะกับคนกลัวความสูง 5555 ปั๊ย!!! ไปถ่ายรูป



จากนั้นเราก็ขับรถต่อไปจุดหมายที่ 2 ก็คือ “Uluwatu Temple” หรือวัดอูลูวาตูนั่นแหละ เป็นวัดดังที่ตั้งอยู่บนหน้าผา ใครมาบาหลีแล้วไม่ได้มาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึง 5555

วัดอูลูวาตูเสียค่าเข้าคนละ 30,000 IDR แล้วก่อนเข้าต้องนุ่งโสร่งทุกคน (ทุกวัดในบาหลีจะต้องนุ่งโสร่งก่อนเข้า)



ยังเดินถ่ายรูปไม่ทันครบรอบ ฝนก็ตกอย่างหนัก เราต้องยืนค้างอยู่ในศาลาประมาณ 1 ชม. เลยตัดสินใจวิ่งผ่าฝนมาที่รถ เพราะจะต้องขับรถไปที่พักที่อยู่ใกล้กับภูเขาไฟอากุง และห่างจากอูลูวาตูประมาณ 2 ชม.

การขับรถในบาหลีค่อยข้างที่จะขับง่าย เหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา แต่ต้องระวังมอเตอร์ไซหน่อย เพราะมอเตอร์ไซที่นี่เยอะมาก แล้วขับกันไม่กลัวตายซักนิด 5555 สุดท้ายเลยต้องเอาพระมาห้อยหน้ารถ วิถีชาวพุทธโคตรๆ 5555



เราไปถึงที่พักประมาณ 1 ทุ่ม ฟ้าก็มืดไปแล้ว เราเลยไม่ได้ถ่ายรูปที่พักในคืนนั้น เก็บของ กินข้าวอาบน้ำแล้วนอนเลย


Day 2 : 07/01/2018

ใครที่เคยดูรีวิว หรือกระทู้บาหลีผ่านหูผ่านตามาบ้าง จะรู้ว่าที่นี่มีที่พักดีๆ เจ๋งๆ โคตรเยอะ ซึ่งที่พักของเรามีชื่อว่า Hideout Lightroom เป็นเครือเดียวกับ Hideout Bali ที่ Blogger ดังๆ หลายคนเคยไปพัก แล้วก็เจ๋งจริงๆ โคตรสวย โคตรชิค พูดมากก็ไม่เชื่อ ไปดูรูปกันดีกว่า

ทางไปจอง : https://th.airbnb.com/rooms/18761574



สรุปว่าพอเราถ่ายรูปที่พักเสร็จ ฝนก็ตกหนักมาก หนักทั้งวัน แบบมองไม่เห็นอะไรเลย เราเลยไม่ได้ออกไปไหน ได้แต่นอนเล่น ถ่ายรูปอยู่ที่พักอย่างเดียว


ติดตามการเดินทางของผมได้ที่ Facebook Page : Hang Around Thailand

https://www.facebook.com/hangaroundthailand/


08/01/2018

แผนที่วางไว้ตั้งแต่แรก ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพราะเมื่อวานเราพลาดไปทั้งวัน วันนี้เรา checkout ออกจากที่พักตอนตี 5 ครึ่ง ที่แรกของวันนี้เราจะไปที่ “Pura Luhur Lempuyang” ซึ่งเป็นวัดที่อยู่บน Lempuyang mountain ซึ่งอยู่ใต้เงาของภูเขาไฟอากุง

เออๆ…นั่นแหละ!!! อากุงที่มันระเบิดอยู่ช่วงนี้แหละ แต่ตอนนี้มันไม่ระเบิดแล้ว แต่ก็ยังมีควันออกมาอยู่นิดหน่อย ปลอดภัยหายห่วง

เส้นทางไปค่อนข้างลำบาก ขับรถยาก ใครขับไม่แข็งไม่แนะนำอย่างยิ่ง ถนนแคบและ 2 ข้างทางเป็นเหวทั้งหมด

เรามาถึงประมาณ 7 โมง วัดก็เปิดพอดี น่าจะเป็นคนแรกที่เข้าไป 5555 ค่าเข้าแล้วแต่เราจะให้ เพราะเค้าให้เรา donate แต่จะมีค่าเช่าโสร่งคนละ 10,000 IDR



Pura Luhur Lempuyang เป็นวัดใหญ่ ถ้าเดินรอบๆ จะยาวประมาณ 4 กม. เป็นทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ แต่จุดหมายของเราคือประตูที่ฝรั่งเรียกว่า “Heaven Gate” หรือประตูสวรรค์นั่นแหละ ซึ่งอยู่ช่วงต้นๆ ของวัด เดินประมาณ 1 กม.



เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอลานกว้างๆ อยู่ทางด้านขวา เดินเข้าไปด้านซ้ายจะเจอบันไดทั้งหมด 3 ทาง ซึ่งคนเฝ้าบอกเราว่า ให้เราขึ้นได้แค่ทางซ้ายกับขวา ห้ามขึ้นตรงกลาง



หันหน้าเข้าหาภูเขาไฟอากุง นั่นไง Heaven Gate เจอแล้ว ไปถ่ายรูปกัน



หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็เดินลงมาถึงรถ แต่…เอ๊!!! ทำไมมันโล่งๆ วะ เหมือนกับว่าขาไปถืออะไรไปด้วย โอ้ยยย!!! ลืมขาตั้งกล้อง

หลังจากนั้นก็รีบวิ่งจ้ำอ้าวขึ้นเขาไปเอาอย่างไว การวิ่งขึ้นเขาในที่สูงๆ แบบนี้ ไม่ง่ายเลยเว้ยยย เหนื่อยมากกกก หลังจากกลับมาถึงรถ ปรากฏว่าตัวชาไปทั้งตัว

“เป็นไงละ!!! บอกไปออกกำลังกาย ก็ไม่ไป ขี้เกียจอยู่นั่นแหละ เป็นไงละ หึหึ!!!” (ถ้าร่างกายผมพูดได้ มันคงจะด่าผมประมาณนี้แหละ 5555)

หลังจากนั่งซักพัก ก็ขับออกมาจากวัด มุ่งสู่ Ubud (อูบุด) เพราะที่ถัดไปคือ “Campuhan Ridge Walk” ที่เป็นทางเดินบนสันเขา 2 ข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว อยู่กลางเมืองอูบุดเลย

Campuhan Ridge Walk ต้องเดินจากถนนใหญ่เข้าไปตามทางประมาณ 2 กม. ถึงจะเจอทุ่งหญ้ากว้างๆ



สถานีต่อไปเราจะไปกันที่ “Tegallalang Rice Terrace” หรือนาขั้นบันไดที่เป็น signature ของบาหลีนั่นแหละ ซึ่งที่บาหลีเป็นที่แรกๆ เลยที่คิดค้นการปลูกนาขั้นบันได ขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง

Tegallalang Rice Terrace เสียค่าเข้าคนละ 10,000 IDR จากนั้นเดินลงไปด้านล่าง จะเห็นป้าย start line ใช้เวลาเดินรอบๆ ประมาณ 1 ชม. ตอนเราไปเสียดายที่ข้าวโดนเกี่ยวไปหมดละ เหลือแต่ดินแห้งๆ แต่มันก็ยังสวยอยู่ 5555




หลังจากเดินรอบๆ เราก็ย้ายที่ไปอีกที่นึง เป็นที่ๆ มาบาหลีแล้วจะพลาดไม่ได้เลย คือ “Pura Tirta Empul” หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ “Tempak Siring”

คำว่า “Tirta Empul” แปลว่า บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์หรือบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ ที่ชาวบาหลีนิยมนับถือกันมากๆ ใครมีอะไรไม่สบายใจ ก็จะมาอาบน้ำขอพรที่น้ำพุแห่งนี้ ที่นี่เสียค่าเข้าคนละ 15,000 IDR ส่วนค่าเช่าโสร่งเป็นตู้บริจาค แล้วแต่จะให้เลย




ถ้าใครต้องการลงน้ำไปขอพรที่น้ำพุ จะต้องเปลี่ยนโสร่งเป็นสีเขียวก่อน ซึ่งค่าเช่าจะอยู่ที่ 10,000 IDR เพราะโสร่งด้านหน้าเค้าไม่ให้เอาลงน้ำ



นุ้งโบเราก็เอากับเค้าด้วย ต้องแรกบอกไม่อยากเปียก จะขอพรบนบก แต่พอไปถึงจริงๆ บรรยากาศมันพาไป ฟิลลิ่งมันได้ ดูขลัง น่าเชื่อถือจริงๆ เผลออีกทีไปเปลี่ยนชุดซะละ 5555



หลังจากขอพรจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว มองไปบนท้องฟ้า ก้อนเมฆมืดคลึ้มกำลังก่อตัว เป็นสัญญาณว่ากินไม่กี่นาทีฝนกำลังจะเทลงมา เราเลยตัดสินใจว่า พรุ่งนี้จะกลับมาเก็บอูบุดรีบรอบ เพราะยังมีน้ำตกที่ยังไม่ได้เก็บอีก 2 ที่ เราเลยขับรถกลับที่พัก

ก่อนเข้าที่พัก นุ้งโบรีเควสร้านๆ นึงมา เป็น Cafe เล็กๆ ชิคๆ ที่ชื่อว่า “Canina Bali” ตกต่างเป็นธีม tropical มีสระว่ายน้ำตรงกลาง

เราเข้าไปสั่งอาหาร 2 อย่างกับ cocktail 2 แก้ว แต่พนักงานแจ้งว่า ช่วงเวลานี้เป็น happy hour สั่ง cocktail 1 แก้ว แถมฟรีอีก 1 แก้ว เราเลยได้เป็น 4 แก้ว 5555 เนื่องจากเราเป็นคนกินแอลกอฮอล์ไม่เก่ง (หร๊า!!!) เลยแอบเมานิดๆ หน้าแดงกันไป




จุดประสงค์ที่มาที่นี่ เพราะเราต้องการที่จะมาจองคิวกินอาหารเช้าแบบ floating breakfast ที่เป็นการเสริฟอาหารบนถาดรอยน้ำ ชิคๆ เก๋ๆ กันไป ซึ่งเราก็จองไว้ตอน 9 โมงของวันพรุ่งนี้ ราคาจะอยู่ที่ 350,000 IDR บวก VAT กับ service charge แล้วตกอยู่ที่ 408,100 IDR

เอาหละ!!! พรุ่งนี้เจอกันใหม่ Cabina Bali

จากนั้นเราก็ขับรถกลับที่พัก ฝนก็ตกมาอย่างหนัก ที่พักของเราเป็น Pool Villa ชื่อว่า “Villa Lua” อยู่แถวๆ Canggu Beach ต้องเข้าซอยเล็กๆ ที่มีร้าน Bro Resto อยู่ด้านหน้า

เผื่อใครจะไปพักให้สังเกตป้ายสีส้มๆ ที่เขียนว่า Bro Resto ให้เลี้ยวเข้าซอยแล้วตรงไปสุดจะเจอบ้านประตูสีฟ้าอยู่ทางซ้ายมือ นั่นแหละ!!! ใช่แล้ว

ทางไปจอง : https://th.airbnb.com/rooms/14344087




เราถ่ายรูปที่พักมาน้อยมากๆ เพราะระหว่างที่เราอยู่ ฝนตกตลอด ขนาดสระน้ำเรายังไม่ได้กระโดดเลย

หลังจากเก็บของแล้วเราก็ออกไปหาอะไรกิน ซึ่งร้านที่เราไปกินนั้นเป็นอีกร้านที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมากิน เพราะเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ชื่อร้านว่า “Cafe Organic” แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศร้านไว้เลย เสียดายมากๆ ถ่ายมาแต่อาหารที่สั่ง

เมนูของร้านนี้จะไม่มีเนื้อสัตว์เลย แต่เอาผักผลไม้มาปรุงรสให้เป็นของคาวได้ดีทีเดียว อาหารถูกตกแต่งและเสริฟบนแผ่นไม้ ได้อารมย์ organic จริงๆ




ติดตามการเดินทางของผมได้ที่ Facebook Page : Hang Around Thailand
https://www.facebook.com/hangaroundthailand/


09/01/2018

วันนี้เราตั้งใจจะไป “Tanah Lot Temple” เป็นที่แรก ว่าจะตื่นกันตอนตี 5 ครึ่งแล้วออกไปถ่าย sunrise แต่ปรากฏว่าพอตื่นมา โอโห!!! ฝนตกหนักหยั่งกะฟ้าจะถล่ม โถ้ว!!! นอนต่อสิ รอไร 5555

“Tanah Lot” เป็นชื่อที่แปลว่า “Land in the Sea” เป็นวิหารที่เอาไว้บูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล

สรุปเราไปถึงวัดทานาล็อตตอนเกือบ 8 โมง ซึ่งวัดนี้เสียค่าเข้าคนละ 60,000 IDR จากนั้นก็เดินเข้าไปถ่ายรูปเรื่อยๆ




เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปดูด้านใน เพราะเรานัดทางฝั่ง Cabina ไว้ตอน 9 โมง เลยต้องรีบออก

ไปถึง Cabina ก็โซโล่ถ่ายรูปรัวๆ






หลังจากกินจนอิ่มแล้ว เราไปเดินทางต่อไปที่เมืองอูบุด เพื่อที่จะเก็บน้ำตกอีก 2 ที่ ซึ่งที่แรกที่เราจะไปคือ “Tukad Cepung Waterfall”

ระหว่างที่เราขับรถขึ้นเขาไปนั้น จู่ๆ ก็มีขับบรรทุกคันนึง ขับสวนมาอย่างเร็ว ความซวยจึงบังเกิด!!! ผมหักพวงมาลัยหลบไปทางซ้ายอย่างเร็ว โดยที่ไม่ทันได้เห็นหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ทำให้รถตกหลุมอย่างจัง ใจนี่ลงไปอยู่ตาตุ่ม ปรากฏว่ารถยางแตก เอาแล้ว!!!

รีบ message ไปหา manager ของบริษัทรถบอกว่ารถยางแตก manager ตอบกลับมาว่า “คุณต้องรอประมาณ 2 ชม. เราถึงจะไปถึงที่นั่น เพราะจุดที่คุณอยู่มันไกลจากบริษัทเรามาก”

โอโห!!! หมดกัน ชีวิต สงสัยน้ำตกคงไม่ได้เที่ยวแล้วมั้งงงง ผมเดินลงจากรถแบบเซงๆ ในใจนี่คิดว่าจะทิ้งรถไว้ตรงนี้ รอเค้ามาเปลี่ยนยางให้ แล้วจะโบกรถไปเที่ยวก่อน

แต่!!! ในความโชคร้ายยังมีโชคดีอยู่บ้าง สายตาโบเหลือบไปเห็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซอยู่ข้างทาง

โอ้ยยย!!! เป็นไปได้กี่เปอร์เซ็นในล้านวะ ที่รถยางแตกกลางป่ากลางดงละจะมีร้านซ่อมอยู่ข้างหน้า น้ำตาจิไหล TT

โบวิ่งไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีมากๆ ถึงแม้ Indonesian guys กลุ่มนั้นจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ก็เถอะ แต่กริยาท่าทางของเค้า ทำให้เราอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเป็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซ แต่เค้าก็ยินดีที่จะช่วยเราเปลี่ยนยางรถยนต์แบบไม่ลังเล



เราใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ในการเปลี่ยนยาง แล้วเดินทางต่อ ประมาณ 10 นาทีก็มาถึง ซึ่งทางมา Tukad Cepung Waterfall จะมีป้ายบอกตลอด เสียค่าเข้าคนละ 10,000 IDR

เดินลงบันไดไปเรื่อยๆ พอลงไปสุดให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงเข้าไป เดินเข้าถ้ำ ลอดหินก้อนใหญ่ ก็จะเจอน้ำตก



หลังจากเดินออกมาจากถ้ำ ฟ้าก็ร้องทักเราดัง “ฮึ่มๆ” ตามด้วยแสงแล็บแพร่บๆ โชว์ว่า “เห้ย!!! กำลังจะตกแล้วนะโว้ยยย”

พอเราเดินถึงรถเท่านั้นแหละ พี่แกก็เทลงมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เราก็ต้องไปต่อ เพราะมันเป็นวันสุดท้ายของเราแล้ว เราเหลือน้ำตกทีเด็ดอีกที่ คือ “Tibumana Waterfall” หรือน้ำตกลับที่ทาง Surfer’s Holiday เอามารีวิวนั่นแหละ จริงๆ ผมก็อยากไปเพราะพี่นี่แหละ 5555

ขับรถมาได้ซักพัก บวกกับฝนตกไม่หยุดซักที ด้วยความหิว เห็นรถเข็นขาย bakso ayam เลยหยุดแหลกเลย

ซึ่งไอ้บักโซมันก็คล้ายๆ กับก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นบอกเรานี่แหละ แต่จะแตกต่างที่เครื่องที่ใส่กับน้ำซุปที่เค้าจะเติมซอสพริกใส่เข้าไป ลองกินแล้วก็อร่อยดี แถมราคาโคตรถูก แค่ชามละ 20,000 IDR เอง



เจอเด็กๆ เตะฟุตบอลกันอยู่ เห็นเรานั่งกินก็หันมายิ้มให้ 5555



หันไปฝั่งตรงข้าม เห็นอะไรไม่รู้ คล้ายๆ วัด เลยอธิษฐานขอให้ไปถึงแล้วฝนหยุดตกไว้ก่อน



พอกินกันอิ่มก็ขึ้นรถขับต่อไป จนถึงน้ำตกทาบูมานา แล้วมันก็หยุดจริงๆ แบบไปถึงปุ่บ ฝนซาเรื่อยๆ จนหยุด โคตรดีใจ 5555

ค่าเข้าน้ำตกคนละ 10,000 IDR ทางเดินเข้าไปจะออกทางขวา แล้วเดินลงบันไดไป เดินไปประมาณครึ่งทางจะเจอทางแยกทางซ้าย สังเกตดีๆ น้ำตกจะต้องออกทางซ้ายแล้วเดินลงบันไดไปอีก จะเจอทางข้าม เดินลำบากนิดนึง



สุดท้ายภารกิจพิชิตน้ำตกของเราก็สำเร็จ หลังจากนั้นเราขับรถกลับมาที่ Canggu Beach เพื่อจะมาถ่ายพระอาทิตย์ตก แล้วก็เช่าบอร์ดถ่ายรูปเกร๋ๆ ค่าเช่าบอร์ดราคา 50,000 IDR ซึ่งทางคนเช่าถามเราว่าเคยเล่นมาก่อนไหม ถ้าไม่เคย หาดนี้ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ให้เช่าถ่ายรูปได้ เราเลยตกลงตามนั้น

การมาบาหลีแล้วไม่ได้เรียนเซิร์ฟเป็นเรื่องที่ค้างคาใจผมมากๆ ด้วยเวลาที่จำกัด อีกทั้งไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพราะฝนตกตลอดทั้งทริป ถ้ามีโอกาสครั้งหน้า เจอกันแน่!!!



นั่งเล่นซักพัก พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลับขอบฟ้า แสงของท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามแบบที่มันควรจะเป็น

การปิดทริปด้วยการนั่งดูพระอาทิตย์ตกแบบนี้ เป็นอะไรที่รู้สึกมีความสุขแปลกๆ แม้ว่าบางอย่างจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวังและเฟอร์เฟคเสมอไป แต่นี่แหละที่เค้าเรียกกันว่า “รสชาติของชีวิต”

อัพเดต Budget และ Plan นะครับ



ติดตามการเดินทางของผมได้ที่ Facebook Page : Hang Around Thailand

https://www.facebook.com/hangaroundthailand/


ความคิดเห็น