มาเก๊า (Macau) เมืองที่ผสมผสานไปด้วยวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก รวมทั้งเราด้วย
เพราะเราเพิ่งเคยมาครั้งแรก 555
มาเก๊า มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และแหล่งบันเทิงอย่างคาสิโนขนาดใหญ่
แต่ทริปนี้ของเราเน้นท่องวัฒนธรรม และวัดนะคะเนื่องจากพูดถึงมาเก๊า
ใครๆ ก็มองไปที่คาสิโนก่อนเลย เราเองก็ยังมองนะนี่ อิอิ
แต่จริงๆแล้ว มาเก๊ามีวัดเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก
ชนิดที่ว่าสามารถเดินชมด้วยตัวเองใน 1 วันได้ง่ายๆ สบายๆ
ทริปนี้เราเป็นหนึ่งในสื่อที่ได้รับเชิญจาก การท่องเที่ยวมาเก๊าประจำประเทศไทย
เชิญให้ไปร่วมท่องเที่ยว ร่วมสัมผัสวัฒนธรรมและเรื่องราวของมาเก๊า
แม้จะบอกว่าเน้นเที่ยววัดกันหน่อย แต่ยังไงเราก็มีโอกาสไปมาแล้วทั้งคาสิโน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เราก็เก็บภาพและข้อมูลมาให้ชมกันเช่นเดิมค่าาาาาา
มาเก๊า บินสายไหน กินร้านใด เที่ยวที่ไหน พักอย่างไร
บล็อกนี้เราจะมีคำตอบให้เพื่อน ได้ตามรอยไปเที่ยวกันๆ
เมื่อการเดินทางมาถึง เราก็พร้อมเสมอ พาสปอร์ต แลกเงินไปด้วยเผื่อซื้อหนมๆ อิอิ แนะนำให้แลกเป็นเงินฮ่องกงจะสะดวกกว่ามากค่ะ
แต่ก็ต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสกุลเงินตราของมาเก๊าเค้าไว้ก็ดีนะคะ
ปาตาการ์ (MOP) แบ่งเป็น 100 อาโวส และเป็นสกุลเงินหลักของมาเก๊า
อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 103.20 ปาตาการ์ (MOP) = 100 เหรียญฮ่องกง (HKD) ซึ่งสามารถผันแปรตามสกุลเงินด้วยนะคะ
สำหรับเงินไทย 100 เหรียญฮ่องกง ประมาณ 400 บาทไทยค่ะ
มาเก๊า บินกับสายการบินไหนบ้าง ทริปนี้เราขอพูดถึงสายการบินที่เราได้นั่งไปเท่านั้นนะคะ นั่นคือ แอร์เอเชียค่ะ
ไปกลับทริปนี้ ใช้บริการหางแดง ไฟลท์ เช้าตรู่มากก 06.35 น. ค่ะ ต้องมาเช็คอิน 04.30 น. ก่อนตะวันขึ้นซะอีก แบบหน้าตาสัปหงกมาจากบ้านมาก 555
แต่ข้อดีของการเดินทางเช้าตรู่แบบนี้คือ ทำให้มีเวลาท่องเที่ยวได้มากกว่า แม้จะงีบหลับระหว่างวันก็ตาม 555
2.5 ชั่วโมง จากสนามบินดอนเมือง ถึงท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า
เวลาที่มาเก๊า เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงค่ะ อย่าลืมปรับกันด้วยน้าา
แจ้งข่าวใหม่คือ สายการบินแอร์เอเชีย มีบินตรงจากสนามบินเชียงใหม่ และอู่ตะเภา (พัทยา) บินตรงไปยังมาเก๊าได้เลยนะคะ
ไม่ต้องเสียเวลามาต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมือง แบบนี้โคตรสะดวกเลยล่ะ
เมื่อผ่านพิธีการที่สนามบินแล้ว มีรถบัสมารับเดินทางต่อกันได้เล้ย
เราได้แวะซื้อซิมการ์ดที่ตู้ขายอัตโนมัติที่สนามบินมาเก๊าด้วย ในราคา 100 เหรียญ (400 บาท)ค่ะ
องค์ศากยมุนีที่ใหญ่ที่สุดในมาเก๊า ทำด้วยไม้ทั้งองค์
สถานที่แรกที่คณะเรามาถึงคือวัดเลยนะ อิอิ Monastery Pou Tai Sim Un วัดโปวไทซิมยุน เกาะไทปา
วัดจะอยู่ที่ชั้นดาดฟ้านะคะ ชั้นล่างจะเป็นร้านอาหารที่พวกเราจะมาลิ้มลองกัน
ข้อมูลของวัดโปวไทซิมยุน แห่งเกาะไทปาค่ะ
เปิด-ปิด เวลา 8.00-18.00
ถือว่าเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในโคโลอานและไทปา
ด้านหน้ามีศาลพระภูมิพระพรหมเอราวัณ
เดินลงมาจะเจอโถงเจ้าแม่กวนอินพันมือ (อวโลกิเตศวร) ด้านหลังจะมีแผ่นป้ายชื่อผู้เสียชีวิต ตำแหน่งยิ่งใกล้เจ้าแม่กวนอิมจะยิ่งแพง
โดยเชื่อว่า เจ้าแม่กวนอิมพันมือมีหลายมือทำให้ช่วยเหลือวิญญาณได้ทั่วถึง
(Kun = ตาทิพย์ Iam= หูทิพย์ Kun Iam = สามารถเห็นและได้ยินทุกสรรพสิ่งบนโลก)
เวลานั้น เที่ยงวันแล้วนะ พอไหว้พระกันเสร็จกดลงลิฟท์ด้านล่างชั้น 1 และ 2 มีร้านอาหารด้วย เรามาประเดิมกันที่ร้านชั้น 2 ก่อนเลย
และก็มาสะดุดตาของการเอาน้ำร้อนลวกถ้วยชาม ฆ่าเชื่อ ก่อนทานอาหาร
เน้นความสะอาด หรือเป็นความเชื่อก็ไม่รู้นะคะ น่าจะเป็นข้อแรกมากกว่า
ร้านอาหารมังสวิรัติ Pou Tai Un ชั้น 2
ร้านอาหารมังสวิรัติสำหรับคนท้องถิ่น เซ็ตละ MOP90 ต่อคน ได้อาหาร 2 อย่างค่ะ
เมนูที่ทานในร้านนี้คือ
Luo Han Zhai (แป้งทอดไส้ผัก)
Curry Mian Gen (เต้าหู + เห็ด ผัดผงกะหรี่)
Fried Wonton (Jing Lu) (เกี๊ยวทอด)
Cui Pi Qian Ceng
Spring Rolls (เปาะเปี๊ยะ)
ถ้าถามถึงรสชาติ สำหรับเราความเห็นส่วนคัวสไตล์จีนๆ มันๆ ทานได้นะคะ แต่ให้ทานบ่อยๆ ก็ไม่ไหวเพราะเราชอบแซ่บๆ อิอิ
แต่ร้านแรกนี่ยังเป็นแค่ออเดิอฟนะคะ (หา! อะไรนะ ยังมีอีก) พากันลงมายังชั้นล่างยังมีอีกร้านหนึ่งที่ไฮโซโก้เก๋กว่า
ร้านนี้จะเน้นนักท่องเที่ยวมากกว่า เป็นภัตตาคารอาหารมังสวิรัติ รูปลักษณ์อาหารและบรรยากาศจะ commercial
กว่าร้านด้านบนที่เน้นคนในท้องถิ่นค่ะ
อาหารร้านนี้เราชอบหลายเมนูเลยนะคะ อร่อยด้วย แต่ภายในกระเพาะอาหารคือครึ่งหนึ่งเป็นของร้านแรกไปซะแล้ว ร้านที่สองจึงได้แต่ชิมๆ
แต่ก็ชิมยังไงกันก็ไม่รู้ เกือบหมดทุกจาน
มีน้ำบลูเบอรี่ด้วย ทั้งแช่เย็นและไม่แช่เย็น เติมน้ำแข็งหน่อย อร่อยดีค่า
I Leng Temple วัดอีเล็ง วัดที่สองที่ได้มาเยือนค่ะ
เป็นวัดที่คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพและการแพทย์ ขอให้สุขภาพดี
ซึ่งการมีสุขภาพดีเป็นปัจจัยแรกๆ ที่จะทำให้สบายทั้งกายและใจ ยกมื่อขอพรไว้ก่อนเลยค่า
สุขภาพดี ด้วยกันถ้วนหน้านะคะ ^^
Kun Iam Temple เกาะไทปา (วัดแห่งที่ 3)
เป็นวัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งเดียวบนเกาะไทปา ซึ่งองค์เจ้าแม่กวนอิมถูกปิดด้วยทองคำเปลวทั้งรูป
ซึ่งแต่ละวัดที่สังเกตเห็นคือจะเห็นขดธุูปที่ถูกจุดไว้ขนาดเล็ก-ใหญ่ จำนวนมาก
การไหว้พระในมาเก๊า นิยมถวายผลไม้ชนิดละ 3 หรือ 5 ชิ้น โดยจะเริ่มจาก ถวายผลไม้ > จุดธูป > เผากระดาษเงินกระดาษทอง
ราคาธูปขนาดธรรมดา อยู่ที่ MOP5-MOP10/ ธุปที่หนาขึ้นมาหน่อยอยู่ที่ประมาณ MOP10-MOP20
ธูปขดเริ่มที่ MOP 120 จนถึง MOP 360 ระยะเวลาอยู่ได้ 10-30 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดค่ะ
ธูป+กระดาษเงินกระดาษทอง ราคาเริ่มต้นที่ MOP 25
ออกจากวัดนั้น มาวัดนี้ ใช้วิธีการเดินเท้าค่ะ เพราะแต่ละวัดใกล้กันมาก ถนนหนทาง บางเส้นจะเป็นวันเวย์ จะมีนักท่องเที่ยวเดินทั่วไป
แอบเห็นมีร้านน่ารักมุ้งมิ้งข้างทางด้วย เป็นร้านเบเกอรี่เล็กๆ เห็นแล้วยิ้มทันที พร้อมชัตเตอร์ทำงานด้วยเลย อิอิ
มาถึงวัดที่ 4 กันแล้วค่า ปรบมือรัวๆ เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร 555
สังเกตนะคะว่าผนังวัดจะติดกับร้านอาหารเลย วัดที่นี่ส่วนมากจะเป็นเหมือนร้าน หรือล็อคเดียว
สังเกตว่าเป็นวัดเราดูจากขดธูปที่ห้อยอยู่หน้าวัดนี่ล่ะคะ ไม่ได้ห้อยแค่ขดธูปเท่านั้นนะคะ
ยังมีตู้ให้แสตมป์เก็บเลเวลด้วยว่า เราได้เดินทางมาถึงจุดนี้กันแล้วนะเออ
เป็นเรื่องราวการเดินทางน่ารักๆ จาะการท่องเที่ยวมาเก๊าค่ะ
ซึ่งภายในสมุดสแตมป์นี้จะมีเส้นทางแผนที่แต่ละวัดให้ด้วย พร้อมคำอธิบาย
เราได้แต่มองภาพว่าใช่วัดนี้หรือเปล่าเพระาอ่านไม่ออก 555
เมื่อเห็นว่าใช่ ก็กดประทับตราโลดค่าา ว่าแล้วก็เข้าไปข้างในกัน
Tin Hau Temple วัดทินโฮ่ว (วัดที่ 4)
อยากบอกว่าวัดนี้ เป็นวัดที่เก่าที่สุดในไทปาค่ะ ไม่ทราบปีที่สร้างแน่นอน จึงวัดจากปีที่สร้างระฆังวัด (1758) กดเครื่องคิดเลขแล้วได้ 257 ปีค่ะ
ทินเฮาก็คืออีกชื่อหนึ่งขององค์อาม่า ซึ่งเป็นเทพแห่งท้องทะเล
ความเก่าแก่สองร้อยกว่าปีของวัดนี้สัมผัสได้เลยจะมีแสงลอดเข้ามาน้อยมาก ภายควันธูปเกาะกันจนเป็นสีดำหนาแน่น
อยากเสี่ยงเซี่ยมซีอยู่นะคะ ติดที่ว่าอ่านไม่ออก อิอิ
Pak Tai Temple วัดปักไท (วัดที่ 5)
วัดปักไท สร้างสมัยปี 1855 เป็นจักรพรรดิแห่งทางเหนือ ที่เชื่อว่ามีอำนาจทางทะเล ซึ่งในสมัยก่อนนักเดินเรือนิยมมากราบไหว้ก่อนออกเรือ
จุดที่ปักไทต่างกับวัดอาม่าก็คือ เมื่อมีคนมาไหว้ก่อนเดินเรือปักไทสามารถทำได้แค่บอกสัตว์น้ำในทะเล
หรือสิ่งต่างๆใต้ทะเล ว่าอย่าทำร้ายคนๆนั้น ในขณะที่อาม่าสามารถเข้ามาช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายได้
พูดถึงองค์อาม่าเป็นเทพที่ชาวมาเก๊าและชาวจีนนับถือกราบไหว้กันมาก แต่เดิมองค์อาม่าคือเทพแห่งท้องทะเล
ในสมัยก่อนที่ชาวมาเก๊ายังทำการประมง ก่อนออกเรือชาวประมงจะต้องมากราบไหว้อาม่าเพื่อขอให้เดินทางปลอดภัย
แต่ปัจจุบัน องค์อาม่าถูกบูชากราบไหว้สำหรับขอพรและความช่วยเหลือได้ทุกเรื่อง
และวัดอาม่า เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ซึ่งวันนี้เรายังไม่ได้พาไปรู้จักกันนะคะ อยู่อีกสองวันเดี๋ยวพาไปกราบไหว้
รู้จักกันอย่างแน่นอนค่า แต ณ เวลานี้
มาหาของกิน และเดินช้อปปิ้งกันย่าน Street Food กันคะ นักท่องเที่ยวหลากหลาย ล้นหลามมาก ส่วนใหญ่ ขายของฝากของที่ระลึก อาหารการกินแบบหิ้วกลับ น้อยนักจะเห็นร้านที่สามารถนั่งได้ ที่สามารถนั่งร้านได้ก็จะแคบๆ ไปด้วย แม้แต่ร้านกาแฟสตาร์บัคก็ตาม ร้านกาแฟที่นี่เราจะเห็นแค่แบรนด์สองแบรนด์นะคะ ประเภทร้านที่นั่งแช่นานๆ ร้านแนววินเทจ มุ้งมิ้งแบบพี่ไทยเราที่เกลื่อนตามเส้นทางจะไม่มีให้เห็นนะเออ
ว่าแล้วสองคนงามก็เก็บภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อย
เข้ามาเช็คอินที่พักของคณะเราใน 2 คืนที่มาเก๊าค่ะ Rocks Hotel โรงแรมบูติคในเครือของ Macau Fisherman Wharf
แม้โรงแรมจะได้ระดับแค่ 3 ดาวเนื่องจากมีจำนวนห้องน้อย และไม่มีสิ่งอำนวยสะดวกเช่นสระว่ายน้ำและฟิตเนส
แต่การตกแต่ง ราคา
และการบริการ เทียบเท่ากับโรงแรม 4 ดาว ภายในโรงแรมตกแต่งด้วยสไตล์ Victoria สมัยศตวรรษที่ 18
มีจำนวนทั้งหมด 72 ห้อง
สอบถามเรทราคามาให้แล้ว ห้องที่เราได้พักนี้ประมาณ 5000 บาทต่อคืนค่ะพร้อมอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์
ในส่วนตัวเราชอบนะ เรื่องการตกแต่งโทนอบอุ่นๆ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพัก ได้พักห้องละ 1 คน มีความเป็นส่วนตัวอย่างมาก
ห้องน้ำสวยมากด้วย นอนแช่น้าอุ่นทั้งสองคืนเลย อิอิ
ทำเลที่ตั้งของ Rocks Hotel ที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือ ติดทะเลค่ะ เปิดระเบียงห้องไปจะเห็นทะเล ลมเย็นๆ แผ่ซ่านเข้ามาทันที
ตอนที่เราไปพักนี่คือ วันที่ 19-21 กันยายน ที่ผ่านมานะคะ อากาศพอๆ กับบ้านเราค่ะ
เก็บของเข้าห้องพัก พักผ่อนไปสักหน่อย คราวนี้เปลียนรถบัสกันล่ะ ด้วยการขึ้นรถนำเที่ยวรอบๆ มาเก๊า
Macau City Tour ซึ่งมี 3 เส้นทาง และรับส่งตามจุดป้ายของ City Tour นั้นๆ
พนักงานบนรถหรือไกด์ พูดภาษาไทยได้ด้วยนะคะ ระหว่างทางที่วนเวียนตามเส้นทางก็จะอธิบายสถานที่รถได้วิ่งผ่าน
จนมาจอดยังจุดนี้
Macau Tower
มาเก๊าทาวเวอร์มีความสูงทั้งหมด 338 เมตร ตั้งแต่จุดล่างสุดถึงจุดสูงสุดของอาคาร
แถวนี้จะเป็นมุมมหาชนเราจะเห็นตากล้องและนักท่องเที่ยวมากางขาหามุมถ่ายรูปทไวไลท์ยามเย็นกันจำนวนมาก
แต่ ณ เวลานี้ เมื่อเห็นมาเก๊าทาวเวอร์ไกลๆ เราก็เข้าไปสัมผัสความสูงแบบใกล้ชิด กันเลยดีกว่า
ภายในมาเก๊าทาวเวอร์ มีบริการร้านชา สำหรับชุด afternoon tea และร้านอาหาร ซึ่งร้านที่เป็นไฮไลท์คือร้าน 360 degree café ชั้น 60
เป็นร้านอาหารที่สามารถชมวิวได้ 360 องศา
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวบนอาคารได้ 2 ชั้น คือ 58 ซึ่งเป็น indoor observation deck จะเป็นการชมวิวจากด้านในอาคาร
หรือ ชั้น 61 Outdoor Observation Deck เป็นการชมวิวผานกิจกรรมต่างๆ เช่น skywalk, skyjump, Tower Climb, Climbing wall,
และ Bungy Jump ที่ได้รับการบันทึกแล้วว่าเป็น Bungy Jump ที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 233 เมตร
ซึ่งเวลานั้นบอกเลยว่ากรี๊ดกร๊าดกันมาก ลุ้นระทึกกับคนที่เล่น Bungy Jump ด้วยค่ะมีเหล่าหน่วยกล้าแม้กระทั่งเด็กๆ
ถ่ายทอดสดให้ดูผ่านจอ ได้ลุ้นกันแบบใกล้ๆ กันเลยทีเดียว
และมาถึงช่วงเวลาสำคัญของเทศกาลแข่งขันแสดงพลุไฟนานาชาติครั้งที่ 27
โดยจะจัดขึ้นในเดือนกันยายนของทุกปี จัดแสดงทุกวันเสาร์ของเดือนกันยาตั้งแต่เวลา 21.00 เป็นต้นไป
โดยที่นั่งชมพลุของกลุ่มเราอยู่บริเวณ มาเก๊าทาวเวอร์ซึ่งเป็น BBQ Buffet แบบ Open Air
ราคาผู้ใหญ่ หัวละ 448 MOP / เด็ก อายุ 6-12 ปี หัวล่ะ 268 MOP
นั่งชมการประกวดพุลนานาชาติแบบจุใจกว่า 1 ชั่วโมงเต็มๆ
ช่วงที่เราไปนั้น วันเสาร์ที่ 19 กันยายน ประเทศที่ร่วมแข่งขันมี 1. เกาหลี 2.อิตาลี 3. โปรตุเกส
วันแรกในมาเก๊า กับโปรแกรมเดินทางตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ยาวเหยียด ขนิดที่ว่า กลับเข้าโรงแรมสลบ
ไสลแช่น้ำอุ่นต่อชาร์ตพลัง 555
กับโปรแกรมท่องเที่ยววันต่อมา วันที่ 2 และวันที่ 3 เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวไหนกันนั้น
โปรดติดตามกันนะคะ ^^
และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากๆ เอามาฝากกันสำหรับเพื่อนๆ ที่จะไปเที่ยวมาเก๊า ที่นี่เลยค่า
การท่องเที่ยวมาเก๊าประจำประเทศไทย
RinSa YoyoLive
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.32 น.