เพื่อน ๆ มีใครเหมือนผมบ้างไหมครับเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ฝันว่าจะทำงานและหารายได้พิเศษเพื่อให้ได้มีโอกาสท่องเที่ยวต่างประเทศปีละสักครั้งนึง...มันไม่ได้เป็นฝันที่ยิ่งใหญ่หรอกและเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงฝันแบบนี้เช่นกันสำหรับผมได้ฝันและทำฝันนั้นให้เป็นจริงมาสักพักแล้วแต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป “ความฝันมันงอก" ผมจึงต้องปฏิบัติภารกิจออกไปตามเก็บฝันอีกครั้ง ...เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
จุดเริ่มต้นของความฝัน (ครั้งใหม่)
ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 54 ผมแบ่งเงินจากรายได้ส่วนหนึ่งไว้สำหรับเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตักตวงประสบการณ์และความทรงจำดี ๆ ในช่วงที่ยังคงมีแรงกายมากพอ ๆ กับแรงใจ... ยุโรปเป็นจุดหมายที่ผมเลือกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติเพราะทำให้ผมได้สัมผัสกับภูมิประเทศและบรรยากาศที่แตกต่าง ที่สำคัญมีวิวสวย ๆ ให้คนบ้าถ่ายภาพอย่างผมได้เสพมากมายโดยแต่ละทริปผมจะเช่ารถขับกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มซึ่งแต่ละปีก็เปลี่ยนจุดหมายไปเรื่อย โดยยังคงวนเวียนอยู่ในโซนยุโรปนี่เอง
กลับมาจากทริปแต่ละครั้ง นอกจากจะเขียนรีวิวใน pantip, blog และลงภาพบน facebook page ของตัวเองแล้วผมก็มักนำภาพถ่ายมาเปิดผ่าน TV ให้พ่อกับแม่ได้ดูซึ่งคิดว่าท่านคงมีความสุขไม่น้อยที่ได้เห็นบรรยากาศแปลกใหม่ต่างบ้านต่างเมืองที่เราไปสัมผัสมา.. จนกระทั่งหลังทริปล่าสุดเมื่อปี 57 ที่ผ่านมา ผมเริ่มรู้สึกว่าจะดีกว่าไหม หากจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวด้วยกัน เหมือนที่เราเคยไปขับรถต่างจังหวัดด้วยกันสมัยผมเด็ก ๆ แต่คราวนี้ผมเป็นคนพาพ่อกับแม่เที่ยวบ้าง เพื่อให้ท่านได้สัมผัสกับบรรยากาศจริง ได้เห็นวิวสวย ๆ ด้วยตาตัวเองแบบที่เราเห็นบ้างผมเปรย เรื่องนี้กับน้องชายและก็เห็นตรงกันว่าจะพาพ่อกับแม่และครอบครัวของน้องซึ่งมีหลานสาววัย 5 ขวบกับน้าไปขับรถเที่ยวยุโรปด้วยกัน โดยช่วยกันออกค่าใช้จ่าย ... ตั้งแต่วันนั้นภารกิจในการออมเงินของผมสำหรับทริปเก็บฝันก็เริ่มขึ้นผมแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากรายได้พิเศษนอกเหนือจากเงินเดือนมาเข้าบัญชีไว้ ที่เหลือก็นำไปลงทุนตามปกติและโชคดีที่ช่วงปลายปี 2014 ผมมีรายได้พิเศษเข้ามาพอสมควรทำให้ก้าวแรกของความฝันเริ่มต้นด้วยดี ทีนี้ก็ได้เวลาเลือกจุดหมายกันซะที
จุดหมายในฝัน
สำหรับกาเดินทางท่องเที่ยว 12 วันเต็มในทริปนี้ ผมเลือกให้พ่อกับแม่สัมผัสกับความสวยงามของออสเตรียเป็นหลัก และนั่งรถชมความสวยงามของเทือกเขา Dolomites ทางตอนบนของอิตาลีนอกจากนี้ก็มีโฉบเข้าไปในสโลเวเนียกับเยอรมนีนิดหน่อยโดยเน้นไปที่แหล่งท่องเที่ยวในเมืองเล็ก ๆที่ต้องไม่ต้องเดินเท้าไกล ๆ หรือไม่ก็สามารถนั่งชมวิวจากในรถได้เลย ... แน่นอนว่ายังคงแวะเมืองหลักสำคัญ ๆ ของออสเตรียเพียงแต่ให้นำหนักกับแถบนอกเมืองมากกว่า ... และนี่เป็น list ของจุดหมายของทริปนี้ครับ
Hallstatt
Hallstatt เป็นเมืองที่ทำให้ผมอยากจะไปเที่ยวออสเตรียเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมจึงอยากให้พ่อกับแม่ได้ไปสัมผัสความน่ารักของเมืองริมทะเลสาบท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขาแห่งนี้การเยือน Hallstatt ครั้งนี้ดอกไม้ในทุ่งหญ้าเกือบไม่มีแล้วเพราะเลยช่วง Spring และกำลังเข้าสู่ Summer แต่ดอกไม้ที่ประดับประดาตามบ้านสวยเหลือเกิน และจุดชมวิวที่เมืองนี้ก็ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลายแม้ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจนัก
Hallstatt ยังคงสวยงามแม้วันฟ้าหม่น
สมาชิกทั้ง 8 ของทริปนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาพที่มีครบทุกคน เพราะส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนถ่ายเลยไม่ได้ร่วมอยู่ในภาพด้วยสำหรับภาพนี้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนใจดีถ่ายให้ ... นาน ๆ ทีจะโพสภาพตัวเองลงกระทู้รีวิว 555แต่หลังจากนี้ขอเน้นไปที่ภาพวิวนะครับ
Bled
Bled เป็นเพียงเมืองเดียวของประเทศสโลเวเนียที่ผมไปเยือนในทริปนี้ผมเองก็เพิ่งเคยเที่ยวประเทศนี้เป็นครั้งแรก และยอมรับว่าตกหลุมรักในทันที เพราะนอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้วดูเหมือนค่าครองชีพจะต่ำกว่าประเทศข้างเคียงอีกด้วย
Bled ทำให้ผมต้องหันมามองสโลเวเนีย เหมือนที่ Hallstattทำให้ผมสนใจออสเตรีย
Dolomites
สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยชื่อของ Dolomites ซึ่งเป็นกลุ่มเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีนั้นอาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูนักแต่เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ไปเยือนดินแดนแห่งหน้าผาหินปูนแห่งนี้แล้วเป็นต้องหลงรักทุกคน ... ผมใช้เวลา 4 วัน 3 คืนในแถบนี้ยังรู้สึกเลยว่าให้เวลากับ Dolomites น้อยเกินไป
Lake Misurina ที่ Dolomites สวยสะกด
ทุ่งหญ้าบนยอด Alpe di Siusi กับยอด Dolomites
Innsbruck
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับเมืองเก่าริมแม่น้ำ Inn แห่งนี้ดีครั้งนี้ผมแวะเที่ยวในตัวเมือง Innsbruck เพียงช่วงสั้น ๆแต่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมใกล้กับที่พักซึ่งตั้งอยู่ในเมืองกลางหุบเขาชื่อ Neustift im Stubaital ที่ห่างจาก Innsbruck ออกมาราว 25 กม.... ผมรู้จักเมืองนี้โดยบังเอิญแต่ที่นี่ถือเป็นหนึ่งใน highlight ของทริปเลยทีเดียว .. นอกจากนี้ผมยังขับรถข้ามชายแดนไปชมเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Mittenwald ของเยอรมนีด้วย เห็นแล้วคิดถึงปายจริง ๆ
Innsbruck เมืองสวยคลาสสิคแห่งออสเตรีย
Stubaital อลังการธรรมชาติใกล้ Innsbruck
Mittendwald เมืองกิ๊บเก๋ของแคว้นบาวาเรีย
Konigsee & Ramsau
หากเอ่ยชื่อ Berchtesgaden ประเทศเยอรมนีหลาย ๆ คนอาจไม่รู้จักแต่ถ้าได้เห็นภาพสถานที่ท่องเที่ยว อันเป็นไอคอนประจำเมืองนี้แล้วล่ะก็ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องร้องอ๋อทันที ผมจึงเลือกพาพ่อกับแม่มาล่องเรือชมโบสถ์หัวหอมริมทะเลสาบ Konigsee แล้วไปทานข้าวเที่ยงกันริมธารน้ำใสที่ Ramasau
icon ของเมือง Berchtesgaden ที่หลายคนคุ้นเคย
Salzburg
อีกหนึ่งเมืองที่ต้องแวะของออสเตรีย เพราะนี่คือสถานที่ถ่ายภาพภาพยนตร์ The Sound of Music ที่โด่งดังสมัยพ่อกับแม่ยังรุ่น ๆเลยต้องพาไปตามรอยกันหน่อย
เมืองแห่งความทรงจำในชื่อ The sound of music
Vienna
เราปิดท้ายทริปกันที่เวียนนา เมืองหลวงของออสเตรียเมืองที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะคลาสสิคหลากหลายแขนงเป็นเมืองที่ผมเป็นห่วงเรื่องการเดินทางของพ่อกับแม่มากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า ผมนี่เองที่หลงในเวียนนา
กล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพ
ทุกครั้งที่เขียนรีวิวมักมีเพื่อน ๆ ถามเรื่องอุปกรณ์ถ่ายภาพอยู่เสมอรอบนี้ขอบอกไว้ก่อนเลยดีกว่า อิอิ ...ทริปนี้ขนกล้องพร้อมเลนส์ไปอีก 3 ตัวและนับเป็นครั้งแรกที่ทั้งหมดเป็นของ Nikon (เข้าสู่โหมดสาวก Nik เต็มตัว)โดย body เป็น Nikon D750 กับ Lens 20 f1.8, 24-70 f2.8 และ 70-200 f4 ตามลำดับ ... ก็ถือว่าครอบคลุมความต้องการครบถ้วนและเมื่อรวมกับขาตั้งกล้องแล้วน้ำหนักไม่มากจนเกินไปสำหรับชายฉกรรจ์ตอนปลายอย่างผม 555
ก่อนชมรีวิวต่อขอฝากช่องทางการติดตามผลงานด้วยครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
blog ของ "นายมด" :
www.9mot.com
facebook page :
9Mot-Photography
Youtube :
9Mot-Photography channel
instagram :
@9mot
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
โปรแกรมเก็บฝัน
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากทราบโปรแกรมการเดินทางก็ตามนี้เลยครับของจริงต่างไปเล็กน้อยเนื่องด้วยสภาพดินฟ้าอากาศ
Fri 19 Jun BKK (03:30) – VIE (09:40) รับรถที่สนามบินแล้วขับไป Hallstattพักที่ Hallstatt
Sat 20 Junช่วงเช้าเดินเที่ยว Hallstattเที่ยงออกเดินทางไป Bled ประเทศ Slovenia
Sun 21 Junเที่ยวทะเลสาบและปราสาท Bledช่วงบ่ายออกเดินทางไป Cortina d'Ampezzoในเขต South Tyrol ของอิตาลีแวะชม Lake Misurina พัก Cortina
Mon 22 Junเดินทางจาก Cortina -ไป Selva di Val Gardenaผ่าน pass ต่าง ๆ อาทิ Pass Pordoi
Tue 23 Junขึ้นขม Aple Di Siusi กลับมาพัก Selva di Val Gardena
Wed 24 Junเดินทางจาก Selva di Val Gardena ไป Innsbruck พักที่ Stubai
Thu 25 Junช่วงเช้าเที่ยวและทำกิจกรรมในเมือง Stubai ช่วงบ่ายขับรถเข้าเยอรมันไปเที่ยวเมืองMittenwald ในเยอรมนี
Fri 26 Junออกเดินทางไปพัก Zell am see โดยแวะ shopping ที่ Swarovski world และขึ้นชม Grossglockner
Sat 27 Junเที่ยว Konigsee และ Ramasu ที่เมือง Berchtesgaden ของเยอรมนีแล้วไปพักที่เมือง Sazlburg
Sun 28 Jun เที่ยว Salzburg
Mon 29 JunSalzburg -> Vienna คืนรถที่สนามบิน Viennaเที่ยวชมเวียนนาช่วงเย็น
Tue 30 Jun Vienna day trip (พระราชวังเชิญบรุนน์) , VIE– BKK
ก่อร่างสร้างฝัน
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าผมไปยุโรปติดต่อกันมา 4 ปีแล้วแต่ทริปนี้ไม่ง่ายเหมือนปีก่อน ๆ น่ะสิครับเพราะที่ผ่านมาเดินทางกับกลุ่มเพื่อน ๆ แต่รอบนี้มีเด็ก 5 ขวบกับหนุ่มน้อยวัย 72 ปีที่เดินเหินไม่คล่องไปด้วยแผนการเดินทางจึงต้องทำอย่างรัดกุมกว่าเดิมมากทีเดียว... ไปดูกันเลยว่าเตรียมตัวยังไงบ้าง
เริ่มจากเที่ยวบิน เลือกจองแบบ direct flight จากกรุงเทพ ฯ ไปลงกรุงเวียนนาของออสเตรียด้วยสายการบิน EVA air (รายละเอียดอยู่ช่วงถัดไป)... และเนื่องจากพ่อของผมเดินไม่คล่องเพราะเหนื่อยง่ายและเดินขึ้นลงบันไดไม่สะดวกนักผมจึงตัดสินใจว่าจะนำ wheel chair ไปให้คุณพ่อใช้ระหว่างการท่องเที่ยวเริ่มจากพยายามหาซื้อรุ่นที่น้ำหนักไม่มากเกินไปได้เป็นของยี่ห้อ Soma แบบพับได้น้ำหนัก 10 กก. ต้น ๆ ... ใช้เวลาพอสมควรในการศึกษาเรื่องการนำ Wheel chair ขึ้นเครื่อง ซึ่งของผมยุ่งยากนิดนึงเพราะมาจากภูเก็ตจึงต้องมีการ load และ off load ระหว่างเปลี่ยนเครื่องที่สุวรรณภูมิทั้งนี้เราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตอน check in ได้เลยครับว่าประสงค์จะใช้ wheel chair ของเราเองหลังจากมาส่งที่ประตูขึ้นเครื่องแล้วเขาจะนำไปเก็บใต้ท้องเครื่องจากนั้นจะนำมารอรับที่ประตูเครื่องอีกครั้งหลังจากเครื่องลงแล้วทั้งที่สุวรรณภูมิและเวียนนา ส่วนเราจะเป็นคนเข็น Wheel chair หรือให้เจ้าหน้าที่ของสายการบินเข็นให้อันนี้ก็แล้วแต่สะดวกครับ
หมายเหตุ
ต้องนำ Wheel Chair มาติด tag ที่ counter check in ด้วยนะครับทั้งนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าผู้โดยสารที่นั่ง Wheel chair จะได้รับการดูแลเอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ตลอดการเดินทาง
สายการบิน
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของผมที่ได้ใช้บริการสายการบิน EVA air สัญชาติใต้หวัน … รอบที่แล้วไปลง Amsterdam เมื่อปี 56 ... ในครั้งนั้นด้วยความมึนที่ต้องจองตั๋วให้เพื่อนร่วมทริปหลายคน ดันทะลึ่งไปกรอกชื่อกับนามสกุลสลับช่องกัน โทรไปขอเปลี่ยนกับ call center พยายามทำน้ำเสียงอ้อนวอนสุดฤทธิ์ แต่ไม่เป็นผลต้องจ่ายค่าเปลี่ยนชื่อคนละเท่าไหร่ไม่รู้ลืมไปแล้ว (ไม่อยากจำ แต่หลักพันต่อคน) ... มาปีนี้นอยด์มาก ก่อนกดปุ่มตกลงก็ดูแล้วดูอีกว่าชื่อและนามสกุลตรงกับpassport … แต่ทว่า เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้งนามสกุลของคุณพ่อ (เออหรือพูดอีกอย่างก็นามสกุลผมนั่นแหละ) ที่ปรากฏใน passport เล่มใหม่สะกดไม่เหมือนเล่มเก่าตรงคำว่าแก้วเล่มเก่าสะกด Kaew เล่มใหม่สะกด Keaw ส่วนของผมสะกด Kaeo หุหุ (ตอนจองตั๋วยังไม่ได้ต่ออายุ passport จึงใช้ข้อมูลจากเล่มเก่า)เอาแล้วไงผมก็ทำเหมือนเดิมครับ โทรเข้า call center ทำน้ำเสียงให้ดูน่าสงสารที่สุดในชีวิตเพื่อขอแก้ไข แต่คำตอบเหมือนเดิม “ไม่ได้ค่ะ" ... รอบนี้จำแม่นเลยครับ เสียไปพันนึง 555อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นความผิดสายการบินหรอกนะครับ แต่ถ้าผมต้องเลือกบินรอบต่อไปอาจแขยง ๆEVA หน่อยก็เท่านั้นเอง
สำหรับเรื่องเวลาการเดินทางนั้นออกจากกรุงเทพฯ ตี 3 ครึ่งซึ่งทรมานร่างกายไปหน่อย แต่ขากลับราวทุ่มครึ่งถือว่า ok ครับ เพราะยังได้เที่ยวเวียนนาอีกค่อนวันเลยทีเดียว... อีกเหตุผลที่จองก็เพราะเป็น flight ตรง ทำให้หลานและผู้สูงอายุไม่เหนื่อยเกินไปครับ
สำหรับการบริการบนเครื่องผมว่า ok นะครับ แม้ที่นั่งจะแคบไปสักนิดทั้งนี้ มีน้อง ๆ พนักงานคนไทยให้บริการใน flight นั้น 2-3 คนทำให้การสื่อสารกับผู้โดยสารที่ไม่ช่ำชองภาษาอังกฤษสะดวกมากขึ้น
รถเช่า
การเช่ารถขับในยุโรปจะเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับผมทุกครั้งเพราะแต่ละทริปจะมีผู้ร่วมทริปราว 6-8 คนซึ่งต้องใช้รถ minivan 7-9 ที่นั่งและต้องเป็นแบบเกียร์ออโต้ด้วยเพื่อลดปัญหาความไม่คุ้นชินของการขับรถด้วยพวงมาลัยฝั่งซ้าย... ทั้งนี้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนที่โน่นจึงไม่นิยมใช้รถเกียร์ออโต้สักเท่าไหร่ ยิ่งในกลุ่มรถ 7-9 ที่นั่งยิ่งมีตัวเลือกน้อยและราคาสูง ... ปีนี้เป็นอีกปีที่ผมเปรียบเทียบราคาผ่านเวปนายหน้ารวมถึงเวปเจ้าของบริษัทรถเองอยู่พักใหญ่ในที่สุดลองติดต่อไปทาง facebook ของ Buchbinder ( https://www.facebook.com/buchbinder.autovermietung) ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นของที่โน่น ได้ราคาพอ ๆ กับในเวปอื่น ๆ แต่ว่ารวมประกันแบบคุ้มครองทั้งหมด (Zero exceed แบบรวมความเสียหายของยางและกระจก)ซึ่งผมเห็นว่า ok หากหารจำนวนคน 7+1 ใน group ของผมและไม่ต้องจิตตกกับการตุกติกเรื่องประกันซึ่งเป็นเรื่องขึ้นชื่อสำหรับการเช่ารถขับในยุโรป (ผมเองก็เคยเจอปัญหามาแล้วเมื่อปี 55)
สำหรับรุ่นที่เช่าระบุเป็น Mercedes Vito 9 ที่นั่งหรือเทียบเคียง ซึ่งผมก็ ok เพราะเคยขับแล้วค่อนข้างชอบในสมรรถนะและพื้นที่ใช้สอยแต่ในวันรับรถจริงได้เป็น Volkswagen Caravelle9 ที่นั่ง ซึ่งผมประทับใจมากเช่นกันเพราะมีพื้นที่ท้ายรถมากกว่า Vito ซะอีก ทำให้ความกังวลเรื่องที่เก็บสัมภาระรวมถึง Wheel chair หมดไป
GPS
การขับรถเที่ยวในยุโรปนั้นGPS เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะช่วยลดอัตราการหลงได้เยอะเลย (ก็ยังหลงนั่นแหละ แต่น้อยลง อิอิ) ... ทริปนี้ผมซื้อ option GPS เสริมจากบริษัทรถเช่าวันละ 5 Euroแค่นั้นไม่พอยังยืม GPS garmin ของเพื่อนแล้วโหลด map ประเทศออสเตรียที่ครอบคลุมไปถึง Slovenia, Italy, Germany ในส่วนที่ผมเดินทางไปด้วย (เอาไว้สำรอง)นอกจากนี้ก็ยังมีแผน 3 คือ Google map บนมือถือที่ download offline map ของแหล่งท่องเที่ยวไว้แล้ว
ฟังดูอาจเหมือนโรคจิตหน่อย ๆ ที่เตรียมการแบบนี้แต่ผมเลือกใช้ GPS จากบริษัทรถเช่าเพราะส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวก เช่นบอกตำแหน่งกล้องจับความเร็ว เป็นต้น (อันนี้ช่วยได้จริงเพราะบางทีเหยียบเพลิน และ GPS ของเพื่อนที่ยืมไปเป็นรุ่น basic ไม่มีฟังก์ชันนี้)แต่ที่ต้องเตรียมของตัวเองไปด้วยเพราะเคยมีประสบการณ์ว่า GPS ของบริษัทรถเช่าไม่ได้ update มาหลายปีทำให้หาที่พักไม่เจอทำให้เสียเวลามาก ๆ
ที่อยากบอกเพื่อน ๆ คือผมคิดถูกครับ ผมได้ใช้ครบทุกอย่างที่เตรียมไปจริง ๆดังนั้นหากเพื่อน ๆ จะเช่ารถขับก็ต้องแน่ใจว่า GPS ที่ใช้งานนั้นไว้ใจได้นะครับ... ส่วนสาเหตุที่ผมต้องใช้ทั้ง 3 อย่าง ติดตามอ่านได้ในรีวิวครับ
Internet
เป็นอีกหนึ่งโจทย์ยากของการขับรถเที่ยวหลายๆ ประเทศ เพราะหากใช้บริการ roaming จากเมืองไทยก็ต้องคอยปรับเปลี่ยน network วุ่นวายพอสมควรตอนข้ามประเทศ และไม่รู้ว่าช่วงอยู่ชายแดนมือถือจะเกิดไปจับสัญญาผิดตัวทำให้เสียค่าใช้จ่ายเยอะหรือไม่ (ถ้าให้ดีคงต้องตั้ง Network เป็น manual) ส่วนบริการ pocket wifi ก็ดูเหมือนจะมีให้เลือกน้อยและอ่านจากรีวิวแล้วไม่ค่อยเสถียรนัก ... ผมจึงตัดสินใจว่า เอาวะ ไปซื้อที่โน่นก็ได้เพราะเช็คข้อมูลและราคาแล้วถูกกว่า roaming มาก ๆโดยอาจจะเลือกซื้อเฉพาะของ Austria ที่เหลือในประเทศอื่น ๆ ก็ค่อยใช้ wifi ที่โรงแรมหรือร้านอาหาร
วันที่ไปถึงสนามบินมีบูธค่ายมือถือมาจัดแคมเปญแนะนำบริการพอดีแต่เป็น package แบบ 3 GB และราคาสูงกว่าที่ผมหาข้อมูลไว้ผมจึงตัดสินใจไปหาซื้อเอาตาม super market ระหว่างทางแต่แล้วมันเป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก เพราะร้านรวงที่โน่นเขาไม่ค่อยมี sim พร้อม package internet ขายมีแต่แบบเติม credit สำหรับใช้ service เฉพาะอย่างเช่น facebook, amazon หรือ ituneผมผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยและแวะร้านต่าง ๆ กว่า 10 ร้านที่ใกล้เคียงที่สุดก็เจอร้านที่ขาย package แบบที่ต้องการ แต่ sim card ไม่มีแบบ nano sim สำหรับใช้กับ iphone หรือ HTC one M8 ของผม ... โอ้วพระเจ้า ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าประเทศนี้เขาไม่ใช้ iphone กันหรือไร หรือผมเข้าใจอะไรผิด ... สรุปแล้วผมได้ข้อสรุปว่า หากหวังจะซื้อ sim ที่โน่นต้องซื้อที่เมืองใหญ่เท่านั้น เช่น Vienna, Innsbruck, Salzburg เป็นต้นถ้าเป็นพวกหมู่บ้านหรือเมืองทางผ่านเล็ก ๆ เลิกคิดเลย
สรุปแล้วทริปนี้ผมใช้ internet free ของร้านอาหารและที่พักเป็นหลักไอ้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เตรียมไว้บน dropbox หรือ save เป็น favorite ในมือถือสำหรับดูระหว่างทางนั้นแทบจะไม่ได้ใช้เลย ☹
ที่พัก
ที่พักสำหรับทริปนี้จองผ่าน booking.com ส่วนหนึ่งและ Airbnb อีกส่วนหนึ่งยกเว้นที่ Hallstatt จองตรงกับเจ้าของบ้านเพราะไปเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ... ผมพยายามหาที่พักซึ่งมีครัว เพื่อให้สามารถทำอาหารทานเองได้ และพยายามควบคุมราคาโดยเฉลี่ยไม่เกิน 2,000 บาทต่อคนต่อคืนเหมือนทุก ๆ ปีแต่ปรากฏว่าปีนี้สามารถหาที่พักดี ๆ ได้ในราคาเฉลี่ยแค่คนละ 1100 บาทต่อคนต่อคืนเท่านั้นเอง ... ผมแทบไม่ได้เก็บภาพของที่พักเลยเพราะเหนื่อยจากการขับรถและต้องวางแผนการเดินทางแต่จะใส่ข้อมูลคร่าว ๆ ไว้ในรีวิวของแต่สถานที่ท่องเที่ยวภายหลังนะครับ
พื้นที่ คห. ที่แล้วไม่พอ ขอมาต่อข้อมูลโดยละเอียดอีกหน่อยที่นี่ครับ ... คนที่อยากเที่ยวรออีกแป๊ปนะครับ
อาหารการกิน
ก็อย่างที่ทราบกันดีนะครับ ว่าอาหารตามร้านที่ยุโรปนั้นราคาค่อนข้างสูง มื้อนึงก็ราว 10 Euro ต่อคนสำหรับอาหารธรรมดาจะให้พ่อกับแม่ทานแต่เบอร์เกอร์ 3-4 Euro ทุกวันก็คงไม่ไหวดังนั้นทริปนี้ก็เหมือนทริปอื่น ๆ ของผมที่จะประหยัดค่าใช้จ่าย (จำนวนมหาศาล) ด้วยการทำอาหารทานเองเป็นบางมื้อ (ผมตั้งเป้าไว้ประมาณ 1 ใน 3 ของทริป)โดยนำหม้อหุงข้าวใบเล็กไปจากเมืองไทย พร้อมอาหารแห้ง, อาหารกระป๋องและอาหารสำเร็จรูปที่เป็นซองและขนข้าวสารไปอีก 5 กก. (มาทราบภายหลังว่าข้าวสารที่โน่นไม่ได้หายากอย่างที่คิดมีขายทั่วไปตาม supermarketถ้าราคาไม่แพงจะเป็นของเวียดนาม ซึ่งราคาไม่ต่างกับบ้านเรา แต่ถ้าอยากได้ข้าวหอมมะลิไทยก็แพงหน่อย)ทั้งนี้ต้องเลือกที่พักประเภทที่เป็น apartment ให้มากที่สุดเพราะจะมีครัวให้ด้วย (ห้องแบ่งเช่าแบบมีที่นั่งเล่นและครัวที่ยุโรปเขาก็มักเรียกว่า apartment นะครับ)ทั้งนี้จะทำให้ช่วยประหยัดค่าอาหารแต่ละมื้อลงไปได้เยอะครับเพราะทานข้างนอกคนละ 350 บาท/มื้อทำกินเองไม่เกิน 50 บาทไปกัน 8 คนก็ประหยัดไปมื้อละ 2400 บาทเชียวนะลองคิดดูว่าทั้งทริปประหยัดได้เท่าไหร่
งบประมาณโดยรวม
ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยทั้งหมดสำหรับ 8 คน (เป็นเด็ก 1 คน)อยู่ที่คนละราว ๆ 65,xxx บาท สำหรับ 12 วันเต็ม (ถ้านับแบบบริษัททัวร์ซึ่งรวมวันเดินทางด้วยก็ 14 วัน 555) อันนี้รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับภูเก็ต-กรุงเทพฯ ของการบินไทยด้วยนะครับส่วนจะกินอยู่กันอย่างลำบากหรือสะดวกสบายขนาดไหนติดตามได้ในรีวิวเลยสำหรับผมก็ถือว่าค่าใช้จ่ายจริงต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้พอสมควรครับ (จ่ายค่าอาหารน้อยกว่าที่ตั้งไว้)... เห็น budget แล้วเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีความหวังขึ้นมานะครับว่าการไปเที่ยวยุโรปนั้น หากวางแผนดี ๆ ก็สามารถไปได้โดยไม่ต้องใช้เงินหลักแสนสำหรับการท่องเที่ยว 10 วัน
โดยสรุปค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนเป็นดังนี้ครับ (เฉลี่ยต่อคนสำหรับการเดินทาง 8 คน ที่อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 37 บาทต่อยูโร)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 31,200
- ค่าวีซ่า3,750
- ประกันเดินทาง 540
- เช่ารถ7,100
- ที่พัก 10,500
- ค่าอาหาร 5,000
- ค่าน้ำมัน 1,800
- ซื้อของใช้จิปาถะ 1,000
- ค่าทางด่วนและที่จอดรถ 200
- ค่าทัวร์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ 4,000
หวังว่าข้อมูลทั้งหมดคงมีประโยชน์กับเพื่อน ๆ ในการวางแผนท่องเที่ยวนะครับ ... เอาล่ะได้เวลาเที่ยวซะทีออกเดินทางกันเลยครับ
ออกเดินทางไปเก็บฝัน
การเดินทางราว 12 ชม. โดย EVA air สู่เวียนนาเป็นไปด้วยความราบรื่นเราถึงกันราว 9:40 ในช่วงเช้าของวันที่อากาศค่อนข้างเย็น (คิดในใจ กรรมซะแระบอกลูกทัวร์ว่าไม่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปมากหรอก เพราะกำลังเข้าช่วง summer อากาศกำลังสบาย ^ ^) ...
ออกจากอาคารขาเข้า ก็มาเจอกับบูธขาย sim มือถือพร้อม internet แต่ดูแล้วมีแบบ 3 GB ซึ่งคิดแล้วว่าน้อยไปสำหรับการแชร์กันหลายคนและต้องดูกล้องวงจรปิดด้วย ก็เลยไม่ซื้อ (คิดผิดถนัด)
ที่สนามบินเวียนนาการใช้ Wheel chair ไม่ได้เป็นอุปสรรคเพราะมีลิฟท์ให้ และบางจุดก็เป็นทางลาดควบคู่กับบันได
สำหรับการติดต่อรับรถเช่าที่สนามบินเวียนนาอาจจะต้องเดินไกลสักหน่อยและเคาท์เตอร์ของแต่ละบริษัทก็อยู่หลบมุมเข้าไปในตึก แต่ก็ไม่ได้หายากจนเกินไป ... ทั้งนี้ผมติดต่อรับกุญแจรถและ GPS จากบริษัท Buchbinder ตามที่ได้จองไว้แล้วซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะบอกหมายเลข block ของรถที่เราเช่าไว้พร้อมกับบัตรสำหรับออกจากที่จอดรถ
เราช่วยกันขนสัมภาระไปยังที่จอดรถแบบทุลักทุเลพอสมควรเพราะมีกระเป๋าเดินทางขนาดกลางคนละใบ นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าใส่สัมภาระส่วนกลางด้วยส่วนผมอาสาเป็นมือใหม่หัดเข็น Wheel chair ให้พ่อและต้องใจหายใจคว่ำเพราะทำรถเข็นตกร่องจนทำให้พ่อล้มหน้าคะมำโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากแต่ก็ทำให้รู้ว่าต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้
รถที่เราได้สำหรับทริปนี้เป็นแบบ 9 ที่นั่งตามที่จองไว้แต่เป็น Volkswagen Caravelle ซึ่งมีที่นั่ง 3แถว (3+3+3) และด้านหลังเป็นพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ที่เพียงพอสำหรับกระเป๋าของพวกทั้ง 8 คนและ Wheel chair แบบไม่ต้องอัดแน่นนัก ... ผมทำการถ่ายภาพสภาพรอบรถอย่างละเอียด แม้ว่าจะทำประกันแบบ full insurance ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง .. จากนั้นใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์เล็กน้อยกำหนดพิกัด GPS เป็นจุดหมายแรกของเราวันนี้นั่นคือเมือง Hallstatt ที่อยู่ห่างออกไปราว 3 ชม.
รถ Volkswagen Caravelle เป็นรถ Mini Van แต่ก็ขับไม่ยากนักทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผมขับในยุโรปเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้วดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไม่ชินรถพวงมาลัยซ้ายมากนัก (สงสัยรอบหน้าคงต้องลองเกียร์ manual ดูซักที)
รถสำหรับทริปนี้ของเราครับ
เส้นทางสู่ Hallstatt มีเมฆครึ้มตลอดทางอุณหภูมิเย็นกว่าที่ผมคิดไว้พอสมควร (ไม่ถึง 20 องศา)ทั้งนี้ตลอดทางผมแวะ super market และร้าน IT ตามเมืองต่าง ๆ ที่ผ่านเพื่อหาซื้อ Sim internet ตามที่หาข้อมูลไว้แต่การแวะกว่า 10 ร้านกลับหาซื้อไม่ได้เลยดังนั้นถ้าเพื่อน ๆ เจอบริการ sim internet ในสนามบินผมแนะนำให้ซื้อเลยครับ อย่าหวังซื้อระหว่างทางเว้นเสียแต่ว่าเพื่อน ๆ จะเที่ยวในเมืองใหญ่ ๆ อาทิ Vienna, Innsbruck, Salzburg
นอกจากแวะหาซื้อ sim card แล้วผมก็แวะถ่ายภาพ landscape ริมทางเป็นระยะน่าเสียดายที่ทุ่งดอกหญ้าสีทองแทบจะไม่หลงเหลือแล้วสำหรับปลายเดือน มิ.ย.แต่มีดอกหญ้าหลากสีขึ้นมาแซมแต่ไม่หนาแน่นสวยงามเหมือนทุ่งดอกหญ้าสีเหลืองที่มักพบเห็นได้ราวเดือนพ.ค.
ผมขับโดยใช้เส้นทางด่วนเพราะทางบริษัทรถมี sticker ทางด่วนให้แล้วจึงช่วยให้ประหยัดเวลาได้อย่างดี (หากไม่มีสติกเกอร์แล้วไปใช้ทางด่วน ถ้าเจอตำรวจจะถูกปรับเยอะมาก) ... ก่อนถึง Hallstatt เราจะเริ่มเห็นภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเยอะขึ้นและช่วงท้ายเป็นช่วงที่ต้องขับรถไต่เขาเพื่อเข้าไปยังเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้ (บางเส้นทางอาจใช้อุโมงค์แทน) ...
แวะถ่ายภาพสวย ๆ ริมทางระหว่างเดินทางไปHallstatt เป็นระยะ
เส้นทางสวย ขับอย่างสบายใจ
เราแวะซื้อของสดสำหรับทานเป็นมื้อเย็นที่หมู่บ้าน Obertraun ก่อนถึง Hallstatt ซึ่งผมก็ถือโอกาสเก็บภาพบรรยากาศน่ารักของบ้านเรือนแถบนี้ ... สิ่งที่จะได้เห็นแทนที่ทุ่งดอกหญ้าหากมาในช่วงปลายเดือน มิย. ก็คือดอกกุหลาบครับ เพราะช่วงนี้จะแข่งกันบานเต็มที่สวยงามสดชื่นมาก ๆ
ผมขับรถต่อไปอีกเล็กน้อยก็ถึง Haus Lidy ที่พักประจำของผมเมื่อมาเยือน Hallstatt ... ข้อดีของที่นี่คือบ้านอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองและทะเลสาบสามารถจอดรถที่บ้านแล้วเดินมาเที่ยวได้อีกทั้งบ้านใกล้เรือนเคียงแถบนั้นตกแต่งสวยงามน่ารักมาก ๆ ผมจึงติดอกติดใจที่นี่และมาพักเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ... ข้อเสียมีนิดเดียวคือไม่มี amenities ในห้องน้ำให้และห้องที่พัก 5 คนอาจจะคับแคบไปสักนิดแต่โดยรวมผมยังคงชอบอยู่โดยเฉพาะเมื่อได้คุยกับคุณป้า Lidy ที่จะคอยดูแลเราระหว่างอาหารเช้าทำให้ได้อรรธรสของความเป็นท้องถิ่นจริง ๆ
บ้านคุณป้า Lidy ที่พักประจำของผม
วิวจากช่องลมในห้องนอนของเราครับ
เย็นวันแรกที่ออสเตรียผมต้องล้มเลิกแผนเดินเที่ยวริมทะเลสาบกลางคันเพราะฝนตกปรอย ๆ ทำให้อากาศหนาวมาก อาจทำให้ไม่สบายกันได้ มีผมเพียงคนเดียวที่ออกเดินไปถ่ายภาพเล็กน้อยแต่แล้วก็ต้องยอมแพ้กับสายฝนที่โปรยปรายลงมา
เดินเก็บภาพช่วงเย็น ได้ภาพมานิดหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าออกมาดูอากาศที่ระเบียงหลังห้อง โชคดีมากที่ได้เห็นกวางป่าออกมาเดินกลางทุ่งหญ้าข้างบ้าน เสียดายที่หยิบกล้องออกมาบันทึกภาพไว้ไม่ทัน
หลังมื้อเช้าที่บ้านพักอันอบอุ่นแล้วเราก็ออกเดินไปเที่ยวส่วนที่เป็นตัวเมืองริมทะเลสาบผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษเพราะได้เห็นพ่อกับแม่และครอบครัวได้สัมผัสกับบรรยากาศอันสดชื่นของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่ผมอยากให้พ่อกับแม่มาเห็นกับตา ... นาทีนั้นมันแอบตื้นตันยังไงบอกไม่ถูก
เราเดินเที่ยวเมือง Hallstatt ไปจนถึงจุดชมวิวมหาชน (ช่วงนี้ต้องเข็น Wheel chair ขึ้นเนินใช้พลังมากพอสมควร) และเป็นจุดแรกที่เราได้ถ่ายภาพหมู่ด้วยกันครบทุกคน
เพลิดเพลินกับวิวที่จุดชมวิวมหาชนสักพักผมให้คนอื่น ๆ เดินกลับไปทางเดิม ส่วนผมขึ้นเนินไปยังโบสถ์ที่อยู่ด้านบนเพื่อเก็บภาพมุมสูงอีกหน่อย
ฝนเริ่มตกปรอยๆ เมื่อเราเดินกลับมาถึงที่จอดรถพอดี... เราจึงโบกมือลา Hallstatt เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือเมือง Bled ในประเทศ Sloveniaระหว่างทางผมกำหนดให้ GPS โฉบเข้าไปที่ Wörthersee ซึ่งเป็นทะเลสาบที่อยู่ในเมือง Velden... เมืองนี้หาที่จอดรถฟรีค่อนข้างยาก ทำให้เราได้เก็บภาพเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ดูหลานสาวของผมจะสนุกกับการได้เห็นนกเป็ดน้ำมากเป็นพิเศษส่วนคนอื่น ๆ ก็ตื่นตาตื่นใจกับน้ำสีเขียวมรกตในทะเลสาบที่ใสจนมองเห็นปลาตัวใหญ่เบื้องล่าง
บรรยากาศที่นี่เป็นเมืองตากอากาศมาก ๆ
ลูกทัวร์ผมโดยเฉพาะคุณหลานตื่นเต้นเป็นพิเศษกับน้ำทะเลสาบใสมองเห็นตัวปลา รวมถึงเจ้าเป็ดน้อยเหมือนในนิทานเด็กด้วย
เราใช้เวลาที่นี่กันราวครึ่งชั่วโมงก็ออกเดินทางต่อสู่สโลเวเนีย
เส้นทางสู่สโลเวเนีย
ดูเหมือน GPS ที่ติดมากับรถเช่าจะไม่มีข้อมูล update ของถนนใน Slovenia ทำให้มันนำทางผมเข้ารกเข้าพงไปไกลจนผมคิดว่าต้องผิดทางแน่ ๆ เพราะเข้าป่าลึกไปทุกที (บางครั้ง GPS จะเลือกเส้นทางสายรองหากพบว่าใกล้กว่า ทำให้ผมไม่เอะใจในช่วงแรก) ... สุดท้ายผมต้องนำ GPS ที่ติดตัวมาจากเมืองไทยเพื่อให้นำทางแทน และพบว่าจุดหมายอยู่กันคนละฝั่งของภูเขาเลยนับเป็นโชคดีมาก ๆ ที่เตรียมแผนสำรองไว้
ที่พักคืนนี้เป็นแบบ apartment (บ้านแบ่งชั้นบนให้เช่าทั้งชั้น) มี 3 ห้องนอนกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และครัวอยู่ในทำเลชานเมืองห่างจากทะเลสาบ Bled ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวราว 10 กม.ที่สำคัญราคาที่พักถูกมาก ๆ
วิวจากที่พัก
มื้อค่ำวันนั้นเราทำอาหารทานกับข้าวสวยร้อน ๆ หลายอย่าง และมีไวน์แดงช่วยเพิ่มความอบอุ่นนิดหน่อย ... และเนื่องจากช่วงนี้พระอาทิตย์จะตกราว 3 ทุ่มเศษผมจึงขอออกไปถ่ายภาพที่ริมทะเลสาบและจะได้ถือโอกาส survey สถานที่ไปด้วยในตัว ... ทั้งนี้ใช้เวลาขับรถราว 15 นาทีก็ถือทะเลสาบในจุดที่ผมหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว ..แสงเย็นวันนี้กำลังสวยพอดีจึงถือโอกาสบันทึกภาพไว้หน่อย
บรรยากาศยามเย็นริมทะเลสาบ
เช้าวันรุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้าทานกันเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังปราสาท Bled ที่อยู่ริมทะเลสาบการมาในช่วงเช้าทำให้นักท่องเที่ยวแทบไม่มีเสียดายมากที่ทางเดินไปยังประตูทางเข้าเป็นเนินค่อนข้างชันและพื้นไม่เรียบทำให้ไมสามารถเข็น Wheel chair ขึ้นไปได้คุณพ่อจึงขอนั่งอยู่บริเวณทางขึ้น โดยมีคุณแม่อาสานั่งเป็นเพื่อนเพราะเกรงว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะพาลไม่สนุกกันทุกคน ... ผมรู้สึกเสียดายมากที่พ่อจะไม่ได้เห็นวิวสวย ๆ ด้านบนปราสาทแต่เมื่อคิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักผมจึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน
ปราสาท Bled นั้นไม่ใหญ่โตมากนัก ภายในจัดแสดงประวัติต่างและโบราณวัตถุที่สำคัญแต่ที่ทำให้ทุกคนต้องมาเยือนคือวิวจากปราสาทที่สวยสะกดใจมาก ๆ เพราะสามารถมองเห็นทะเลสาบที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขา Alpe ได้อย่างเต็มตาโดยมีเกาะเล็ก ๆ ที่มีโบสถ์ด้านบนเป็นภาพประจำของที่นี่
เราใช้เวลาเดินเที่ยวและถ่ายภาพอยู่พอสมควรก็เดินทางไปยังริมทะเลสาบในจุดที่ผม survey ไว้ล่วงหน้าแล้วได้เห็นคนท้องที่มาทำกิจกรรมฤดูร้อนกันแล้วสนุกดีส่วนพวกเราก็นั่งจิบกาแฟริมทะเลสาบได้ฟิลมาก ๆ ... เสียดายที่การถ่ายภาพจุดนี้ควรทำในช่วงบ่าย ๆ เพราะในช่วงเช้าจะเป็นการถ่ายย้อนแสง ผมเลยไม่ได้ภาพดั่งใจนัก
วันนี้เราต้องเดินทางข้ามประเทศอีกครั้งโดยต้องขับกลับเข้าไปในออสเตรียแล้วขับลัดเลาะชายแดนเพื่อต่อไปยังเขต South Tyrol ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีโดยขาออกจาก Slovenia เราใช้เวลาสั้นกว่าขาเข้ามากเพราะใช้ทางด่วนที่เป็นอุงโมงค์ยาวหลายกม. ไม่ต้องขึ้นเขาวกวนเหมือนตอนขามา
ตลอดเส้นทางจาก Slovenia ผ่าน Austria ไปยัง Italy ผมขับผ่านภูเขาหลายลูกถ้านับโค้งคงไม่แพ้ขับจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนเป็นแน่แต่ตลอดทางได้ชมทิวทัศน์สวย ๆ ของทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวบนยอดเขาที่กำลังเขียวขจีต้อนรับฤดูร้อน...
เมื่อเริ่มเข้าใกล้ชายแดนอิตาลีเราเริ่มมองเห็นยอดเขาหินปูนทรงเรียวสีขาว ๆ เทา ๆ สูงตระหง่านและนี่คืออีกหนึ่งจุดหมายในฝันสำหรับทริปนี้ … “Dolomites"
“Dolomites" เป็นกลุ่มเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีที่ผมเคยสัมผัสมาแล้วเมื่อปีก่อนหน้า (2557)แต่รอบที่แล้วยังเที่ยวไม่ทั่วคราวนี้นอกจากได้พาพ่อกับแม่มาสัมผัสดินแดนแห่งนี้แล้ว ผมก็ถือโอกาสมาเก็บตกหลาย ๆ จุดที่พลาดไปเมื่อปีที่แล้ว
ที่พักของคืนนี้เป็นโรงแรมที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนไหล่เขาชื่อ Rifugio Ospitale บนเส้นทางระหว่าง Lake Misurina กับเมือง Cortina D'Ampezzo ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังของแถบนี้.. อันที่จริงผมอยากได้ที่พักในบริเวณ Lake Misurina เลยเพื่อจะได้ถ่ายภาพแสงเช้าและแสงเย็นได้สะดวกแต่ว่าโรงแรมแถบนั้นมักกำหนดการพักขั้นต่ำหลายคืนลูกค้าที่พักคืนเดียวแบบผมจึงต้องพักที่โรงแรมห่างออกไปราว 13 กม. แทน
ก่อนเข้าที่พักผมพาทุกคนไปแวะไปชมวิวกันที่ Lake Misurina ก่อนซึ่งรอบนี้เรียกได้ว่าเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มตัวแล้วเพราะบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบไม่มีหิมะปกคลุมเหมือนที่มาในเดือนพ.ค.ปีก่อน
จาก Lake Misurina ผมขับรถไปยังที่พักโดยเลือกเส้นทางที่ผ่านเมือง Cortina D'Ampezzo เพื่อเก็บภาพที่จุดชมวิวมหาชน
ขับรถออกจาก Lake Misurina ได้ไม่ไกลยังไม่ถึงจุดชมวิวมหาชนเลย ก็ต้องแวะถ่ายภาพริมทางอีกแล้ว
เส้นทางสวย ๆ ระหว่างทางลงเขา
มุมมหาชนของ Cortina
จาก Cortina ต้องขับรถขึ้นเขาไปอีกเกือบ 10 กม. จึงถึงที่พักของเราที่นี่เป็นโรงแรมที่ค่าห้องสูงที่สุดของทริป แต่ต้องยอมรับว่าทั้งบรรยากาศภายในห้องและทำเลที่ตั้งสวยงามมากจริง ๆ ...
ที่พักท่ามกลางหุบเขาของพวกเรา
หลังจากเราติดต่อเรื่องห้องพักและนำของขึ้นไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็ขับรถลงมาที่ Cortina อีกครั้งเพื่อทานอาหารมื้อเย็น... เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์และค่ำแล้ว (แต่ยังไม่มืด) ร้านรวงต่าง ๆ ในเมืองปิดกันหมด ยังโชคดีที่พอหาร้านทานอาหารได้แต่ก็เป็นร้านในโรงแรมที่ราคาสูงพอสมควร
หลังจากมื้อเย็นผมนำทุกคนมาส่งที่โรงแรมส่วนผมขับรถกลับไปเก็บแสงสวย ๆ ที่ Lake Misurina อีกครั้ง
มุมเดิมแต่แสงเย็นสวยมาก
อากาศที่ทะเลสาบหนาวเย็นมาก แต่ก็แลกด้วยแสงสุดท้ายของวันที่สวยงามจับใจจริง ๆ
ขับเลยขึ้นไปบนเขาอีกหน่อย มีทะเลสาบเล็ก ๆ อีกแห่งที่พลาดไม่ได้
ผมพยายามทำเวลาให้เร็วที่สุดในการถ่ายภาพ Lake Misurina และ Lake Antorno ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเพราะเกรงว่าที่บ้านจะเป็นห่วงทำให้ความตั้งใจที่จะเก็บภาพดาวต้องล้มเลิกไปเพราะเวลาราว 3 ทุ่มกว่ายังไม่มืดสนิทเพียงพอที่จะเห็นกลุ่มดาวเช้าวันรุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้าของโรงแรมที่จัดไว้อย่างเรียบหรูดูดีตามมาตรฐานมิชิลิน (ร้านนี้อยู่ใน list ของมิชิลินด้วยเสียดายที่เสิร์ฟมื้อค่ำตอน 1 ทุ่มครึ่งซึ่งพวกเราเห็นว่าดึกไป คืนก่อนหน้าเราจึงลงไปทานกันในเมืองแทน) ... วัตถุดิบของอาหารที่นี่ต้องนับว่าดีมากและมีให้เลือกหลากหลายด้วย
วันนี้เราจะขับรถจากเมือง Cortina ผ่าน pass ซึ่งเป็นเส้นทางคดเคี้ยวบนไหล่เขาไปพักยังอีกเมืองหนึ่งในแถบ Dolomites เช่นกันแต่อยู่ใกล้กับ Aple di Siusi ที่เป็นอีกหนึ่ง Hilight ของทริปนี้ ...
เนื่องจากระยะทางวันนี้ไม่ได้ไกลมากแต่ต้องผ่านเส้นทางสูงชันและคดเคี้ยวผมขับรถไปก็หยุดถ่ายภาพเป็นระยะเพื่อให้ทั้งคนขับและผู้โดยสารได้พัก
วิวของเมือง Cortina จากมุมสูง
ตลอดระยะทางได้ชมวิวภูเขากันจนอิ่มเลย
เราแวะทานอารเที่ยงของวันกันที่ร้านอาหารบน Pass pordoi ซึ่งเป็นอีกจุดที่สวยงามมากและได้ใกล้ชิดกับหน้าหาหินปูนแต่โชคไม่ดีนักที่อากาศไม่ค่อยจะเป็นใจสำหรับการถ่ายภาพสักเท่าไหร่
จาก Pass pordoi เรายังต้องขับรถขึ้นและลงเขาอีกหลายโค้งผ่านอีก Pass สวยที่ชื่อ Pass Gardena ก่อนจะถึงหมู่บ้านที่พักชื่อ Calfosch
เส้นทางจาก Pass pordoi สู่เมืองที่พัก
ฝูงวัวที่ปล่อยให้กินหญ้าบนเขา
สำหรับที่พักที่นี่ GPS ของบริษัทรถเช่าหาไม่เจอผมจึงลองใช้ Google map จากมือถือช่วยซึ่งก็ได้ผล สามารถพาเราไปยังจุดหมายได้
ที่พักคืนนี้ชื่อ Garni Settsass เป็นโรงแรมสไตล์ท้องถิ่นห้องไม่กว้างนักและไม่มีลิฟท์ทำให้คุณพ่อลำบากพอสมควรในการเดินขึ้นลง (พลาดมากที่ไม่ได้เช็คให้ดีก่อน)วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมลุ้นมาก เพราะได้จองทัวร์นั่งรถม้าขึ้นชมยอด Alpe Di Siusi (เอลป์ ดีซิอุซิ) ที่ผมหมายมั่นปั้นมือมาก ๆ ว่าจะต้องไปถ่ายภาพให้ได้อันที่จริงการขึ้นสู่ยอด Alpe Di Siusi นั้นนิยมนั่งกระเช้าขึ้นไปแล้วไปทำกิจกรรมต่อด้านบน ... ภูมิประเทศของยอด Alpe Di Siusi นั้นจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะมีดอกหญ้าผลิบานสวยงามมากทั้งนี้สามารถขึ้นสู่ยอดเขาแห่งนี้ได้หลายทางแต่ที่นิยมกันคือขึ้นจากเมือง Ortisei หรือเมือง Seiser Alm และการท่องเที่ยวด้านบนสามารถเช่าจักรยานที่มีทั้งแบบธรรมดาและแบบไฟฟ้าหรือจะนั่งรถม้าเที่ยวชมก็ได้ ...
ผมพยายามหาข้อมูลว่าถ้าต้องขึ้นไปแล้วเราทั้งกลุ่มซึ่งมีเด็กและผู้สูงอายุรวมอยู่ด้วยจะเที่ยวกันอย่างไรดีสุดท้ายมาเจอบริการทัวร์รถม้า (horse carriage ride) ที่จะออกเดินทางจากเมือง Monte pana ขึ้นไปยัง Alpe Di Siusi โดยรวมอาหารมื้อเที่ยงไว้ในบริการด้วยทั้งนี้จะออกเดินทาง 10 โมงเช้าและกลับมาถึงเมือง Mote Pana ราวบ่าย 3 โมง ... ผมเห็นว่าวิธีนี้ทำให้เราทั้งหมดได้เที่ยวไปพร้อม ๆ กันไม่ต้องให้ผู้ใหญ่นั่งรอเหมือนกรณีไปเช่าจักรยานผมจึงจองทัวร์นี้ไปในราคา 500 Euro สำหรับ 7 ผู้ใหญ่ 1 เด็กซึ่งนับว่าไม่ถูกแต่จะว่าไปก็พอ ๆ กับ one day trip จากภูเก็ตไปเกาะสิมิลันนั่นแหละทั้งนี้ผมขอแถมให้หลานผมได้นั่งม้า (ตัวเล็ก) และเล่นในสวนสนุกของฟาร์มหลังจากทัวร์จบแล้ว
แผนที่วางไว้เหมือนจะลงตัว แต่ทว่าก่อนเดินทางทางฟาร์มที่ให้บริการขอให้ผมเลื่อนวันเพราะพยากรณ์อาการบอกว่าฝนจะตกทั้งวัน (ผมก็เห็นจากมือถือแล้วเหมือนกันแต่กำหนดการคงเปลี่ยนไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ได้จริงก็ต้องยกเลิกไปเลย)... ผมลองดูรายละเอียดของพยากรณ์แบบเป็นรายชั่วโมงบอกว่าอากาศจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไปและฝนจะตกอีกครั้งบ่าย 3 โมงซึ่งเป็นเวลาสิ้นสุดทัวร์พอดีผมไม่รอช้าแจ้งไปกับทางฟาร์มว่าผมจะไปเพราะดูเหมือนอากาศจะกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆแต่ถ้าไปถึงแล้วฝนตกก็ขอ cancel ซึ่งทางฟาร์มก็ยินดีตามนั้น
ระหว่างทางขับรถจากเมืองที่พักไปยัง Monte Pana ต้องข้ามเขา 2-3 ลูกซึ่งวิวสวยงามมาก ๆ และดูเหมือนอากาศจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ... ก่อนถึง Monte Pana เล็กน้อยเราต้องไต่เขาผ่านเส้นทางเล็ก ๆ ที่มีโค้งหักศอกจึงมาถึงจุดที่เรียกว่า Monte Pana Sport Center และฟาร์มเลี้ยงม้าซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางก็อยู่ตรงหน้า Sport Center นั่นเอง ... โชคดีที่เป็นวันธรรมดาและยังไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวเต็มตัวจึงมีลูกค้าคือเรากลุ่มเดียวแต่ผมแน่ใจเลยว่าในวันหยุดหรือเทศกาลท่องเที่ยวที่นี่น่าจะมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ดูได้จากมีร้านอาหารขนาดใหญ่และที่พักรวมถึงกระเช้าขึ้นเขาอยู่ในบริเวณนี้
ทางฟาร์มขอเลื่อนเวลาออกไปเป็นเริ่ม 11 โมงเพื่อรอให้อากาศดีเต็มที่ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้อง
บรรยากาศที่ฟาร์ม
รถม้าของพวกเราวันนี้ใช้ม้าขนาดใหญ่ 2 ตัวขนสีดำขลับดูแข็งแรงมากเราทั้งกลุ่ม 9 คนนั่งในรถม้าแบบพอดีโดยผมกับหลานสาวจองที่นั่งด้านหน้า
ม้าเริ่มนำเราออกจากฟาร์มแล้วค่อย ๆ เดินผ่านเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาผ่านป่าสนและทุ่งหญ้าโดยเจอกับนักท่องเที่ยวที่เดิน trekking และปั่นจักรยานเที่ยวเป็นระยะ
ระหว่างทางแวะให้ม้าได้พักหนึ่งครั้งและเป็นอีกจุดที่เหมาะสำหรับถ่ายภาพ
ยิ่งใกล้ยอดด้านบนก็ยิ่งเห็นยอดเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Dolomites ชัดเจนขึ้นภาพเบื้องหน้าสวยงามเหมือนภาพวาดจริง ๆ และฟ้าก็เป็นใจให้กับเราอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อถึงบริเวณที่เป็นทุ่งหญ้าด้านบนนอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังมีฝูงวัวที่กำลังเพลินกับการกินหญ้าให้เราได้ทักทายตลอดทางด้วย
จุดหมายของทัวร์เป็นกระท่อมบนเขาที่ถูกดัดแปลงให้เป็นร้านอาหารวิวสวยรายรอบด้วยทิวทัศน์อลังการของทุ่งหญ้าและเทือกเขา Dolomites แบบ 360 องศาใกล้ ๆ กันเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่นอกจากวัวแล้วก็ยังมีม้าและแพะด้วย
วิวสวยบนยอด Alpe di Siusi
กิจกรรมก่อนมื้อเที่ยง
มื้อเที่ยงวันนี้รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้วซึ่งเราได้ทานอาหารพื้นเมืองที่รสชาติดีทีเดียวงานนี้คุณพ่อ enjoy eating เพราะสั่งเบียร์ท้องถิ่นให้ลองด้วย ☺เราใช้เวลาบนยอด Alpe DI Siusi พักใหญ่ก็ได้เวลากลับซึ่งขาลงใช้เวลาราว 1 ชม. โดยม้าไม่ต้องพักเหมือนตอนขาขึ้น
พอมาถึง Monte Pana ฝนก็เริ่มส่อเค้าว่าจะตกตามพยากรณ์เป๊ะแต่ก็ไม่ลืมที่จะให้หลานสาวได้นั่งม้าแคระเล่นตามด้วยสนุกกับสนามเด็กเล่นของฟาร์มพักหนึ่งก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังที่พักนับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจมาก ๆสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจทัวร์นี้ก็ดูข้อมูลได้ที่ http://www.maneggio-montepana.com/eng/ ครับ
ฝนตั้งเค้าตอนเราลงมาถึงพอดี
ไม่ลืมกิจกรรมขี่ม้าของหลาน
สำหรับภาค 1 ก็ขอจบเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วคอยติดตามภาค 2 ต่อเร็ว ๆ นี้ ... หากชอบรีวิวน้ก็ช่วยโหวตและแชร์เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับเพื่อน ๆ ท่านอื่นด้วยนะครับ
สุดท้ายฝากช่องทางติดตามผลงานอีกสักครั้งครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
blog ของ "นายมด" :
www.9mot.com
facebook page :
9Mot-Photography
Youtube :
9Mot-Photography channel
instagram :
@9mot
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ขอบคุณมากครับขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านรีวิวนะครับ ขอขอบคุณรวบยอดตรงนี้เลย เพราะเข้าไปตอบแต่ละท่านแล้วหน้าเพจมันโหลดช้าเกินยกเว้นท่านที่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมมาผมจะไปตอบย่อยเพื่อให้อ่านง่ายครับ
สำหรับเรื่องการขับรถท่องเที่ยวในยุโรป ผมเคยเขียนบทความไว้ลองเข้าไปอ่านนะครับ คิดว่าช่วยในการวางแผนและตัดสินใจได้
10 ข้อควรรู้เมื่อต้องเช่ารถขับท่องเที่ยวในยุโรปเป็นครั้งแรก
8 เหตุผล ทำไมต้องขับรถท่องเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่เข้ามาติดตามอ่านและกำลังใจที่มอบให้ครับ
นายมด
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.55 น.